พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ

ตอน: ตอนที่ 3 โจรสลัดหรือสุภาพบุรุษ

แสงดาวสวยสุดใจในวันแต่งงาน ชุดวิวาห์สีขาวที่สั่งตัดจากกรุงเทพฯสวยงามเหมาะกับเธอมาก ใบหน้าก็ได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างดี จากช่างแต่งหน้าชั้นครูที่เดินทางจากกรุงเทพฯ มาแต่งให้จนถึงอุบลฯ เพราะรู้จักสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวกับเจ้าสาว พิธีรดน้ำสังข์จัดขึ้นที่สโมสรพ่อค้าประจำจังหวัด หมันหยากับเพื่อนเจ้าสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนอุบลฯยืนอยู่หลังตั่งพิธี ร้อยตำรวจเอกอภิชาติกับเพื่อนสนิทของเจ้าบ่าว ซึ่งเป็นนายตำรวจจากกองปราบฯ ในชุดเครื่องแบบสีขาวทำหน้าที่เพื่อนเจ้าบ่าว

ตอนเย็นมีงานเลี้ยงฉลองสมรสที่โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งในตัวเมือง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันคับคั่ง แขกผู้หญิงต่างก็อยู่ในชุดราตรียาวหลากสี ส่วนแขกผู้ชายส่วนใหญ่แต่งชุดสากล ในขณะที่คณะพรรคสี่สหายซึ่งตอนแรกคิดจะไปร่วมงานในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจ พากันไปหาซื้อเฉพาะเสื้อนอกกึ่งสปอร์ตมาสวมทับเสื้อยืดข้างใน เพื่อให้เกียรติกับงานตามสมควร ที่ไม่ได้แต่งชุดสากลทั้งชุดก็เพราะตอนย้ายมาทำงานที่นี่ ทุกคนเอามาแต่เครื่องแบบและเสื้อผ้าธรรมดาที่ใส่อยู่ประจำวันเท่านั้น

ส่วนหมันหยานั้นก็สวยสดงดงามอยู่ในชุดราตรียาวกรอมเท้าแบบเรียบ สีม่วงเข้มออกแดงคล้ายสีลูกหว้า สีเข้มของเครื่องแต่งกายขับผิวที่ขาวผ่องของเธอให้โดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้น ผมยาวถูกรวบขึ้นสูงเป็นมวยแบบหลวมๆรุ่ยร่ายเป็นธรรมชาติ เปิดให้เห็นใบหน้างามผุดผาดที่แม้จะใช้เครื่องสำอางแต่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ดูจืดชืดหรือซีดเซียว เพราะคิ้วยาวเรียวเหนือดวงตาคมลึกและโหนกแก้มสูง ทำให้เธอดูสวยคมละม้ายสาวตะวันตก ทั้งทรงผมและใบหน้าของเพื่อนเจ้าสาวสองคนได้รับการตกแต่งจากช่างเสริมสวยฝีมือดีที่เจ้าสาวจ้างมาจากกรุงเทพฯ เพื่อนเจ้วสาวอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทเรียนโรงเรียนเดียวกับแสงดาวมาหลายปีชื่อกินรี เป็นพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด คืนนี้กินรีก็แต่งตัวสวยงามไม่น้อยไปกว่าหมันหยา แต่เธอเป็นคนสวยเรียบๆ จึงไม่ดูโดดเด่นสะดุดตาเหมือนหมันหยา

ระหว่างที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินทักทายแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน หมันหยากับกินรีซึ่งหมดหน้าที่แล้วก็ได้รับเชิญจากผู้กองอภิชาติให้ไปนั่งโต๊ะเดียวกัน ผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะส่วนใหญ่เป็นนายตำรวจรุ่นเดียวกับเจ้าบ่าว ซึ่งหลายคนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ส่วนสี่สหายนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล ในที่สุดเมื่องานผ่านไปเรื่อยๆจนถึงเวลาเปิดฟลอร์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ออกไปเต้นรำเปิดฟลอร์ท่ามกลางดนตรีที่บรรเลงเพลงรักหวานๆ อีกพักใหญ่ต่อมาฟลอร์ก็เริ่มเต็มไปด้วยคู่เต้นรำ อภิชาติพาหมันหยาออกไปเต้นรำหลายเพลง ส่วนกินรีก็ถูกผูกขาดโดยปรีชา นายตำรวจผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่เหมือนนักรบโบราณ หนึ่งในคณะพรรคสี่สหาย ที่หมายตาเพื่อนเจ้าสาวของแสงดาวคนนี้มาตั้งแต่งานเริ่มแล้ว

แล้วหมันหยาก็พบตัวเองอยู่ในวงแขนของผู้ชายหนวดเฟิ้ม ตอนนั้นเธอกำลังเต้นรำอยู่กับอภิชาติซึ่งเต้นต่อเนื่องกันมาหลายเพลงแล้ว อยู่ๆสรคมณ์ก็ส่งสัญญาณขอลลับคู่กับรุ่นพี่ของเขา อภิชาติทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแล้วส่งเธอเข้าไปในอ้อมแขนของสรคมณ์ ต่อจากนั้นก็พาคู่เต้นรำคนใหม่ห่างหายออกไปในกลุ่มคู่เต้นที่แน่นฟลอร์

ชายหนุ่มหน้าหนวดคนที่หมันหยายังนึกตะขิดตะขวงใจไม่หาย ที่ล้มไปซบอยู่บนอกเปลือยๆของเขาเมื่อสองสามวันที่แล้ว พาเธอลอยละล่องไปในจังหวะเพลงวอลซ์ที่อ่อนหวานนุ่มนวล หมันหยาพบด้วยความแปลกใจนิดๆว่าชายหนุ่มมาดเซอร์คนนี้สุภาพกว่าที่คิด เขาโอบตัวเธอไว้หลวมๆ ไม่มีร่างกายส่วนใดประชิดกัน ยกเว้นมือที่จับมือและแตะหลังประคองเธอไปในท่าเต้นรำเท่านั้น ระหว่างที่เต้นรำอยู่ด้วยกัน หญิงสาวเห็นโดยไม่ต้องเสียเวลาสังเกต ว่าเครารกครึ้มของสรคมณ์หายไปหมดแล้ว เหลือแต่รอยเขียวจางๆ สงสัยว่าเขาจะลงทุนโกนมันทิ้งเพื่อให้เกียรติแก่งาน เธออดคิดอย่างขันๆไม่ได้ว่าทำไมเขาไม่โกนหนวดน่าเกลียดนั่นทิ้งไปเสียด้วยพร้อมๆกัน หนวดกวนประสาทที่ทำให้หน้าของเขาเข้มจนเกือบดุเหมือนโจรสลัดนั่นยังอยู่ตรงที่เดิม เหนือริมฝีปากรูปสวยที่ขึ้นสันเด่นชัด ตอนนี้หน้าตาของเขาดูเรียบร้อยขึ้น และคงจะเรียบร้อยมากกว่านี้ ถ้าหนวดเฟิ้มๆเหมือนนายจันหนวดเขี้ยวนั่นจะหายไปด้วย

หนุ่มสาวทั้งสองเต้นรำกันไปเรื่อยๆตามจังหวะเพลงโดยไม่ได้พูดจากัน จังหวะหนึ่งที่หมันหยาเงยหน้าขึ้นมองเขา ก็เห็นสายตาของสรคมณ์ที่กำลังมองเธออยู่ ตาสบตา มีรอยยิ้มซ่านอยู่ในตากริ่มๆและซึมนิดๆจากเหล้าที่เขาคงดื่มเข้าไปไม่น้อย หญิงสาวมองเห็นปอยผมดกดำปอยหนึ่ง ตกระอยู่ตรงหน้าผากเหนือคิ้วที่ดกหนาเป็นรูปตัววี ทำให้เขาดูละม้ายขุนนางกังฉินหรือตัวโกงในตำนานของจีนและเหมือนหนุ่มขี้เมามากยิ่งขึ้น เอ๊ะ..เขาเมาหรือเปล่าเนี่ย แต่เขาก็ไม่เห็นมีอาการเหมือนคนเมาเลยนี่นา เขาก็ยังพาเธอก้าวเดินตามเขาไปตามจังหวะเพลงได้อย่างราบเรียบ ไม่มีอาการเซหรือทรงตัวไม่อยู่ แล้วเธอก็เห็นอีกด้วยว่าเขาสูงมาก เธอสูงเลยคางเขาไปนิดเดียวเท่านั้น ทั้งๆที่เธอจัดว่าเป็นผู้หญิงที่สูงกว่ามาตรฐานของหญิงไทยทั่วไป

“คุณหยาอยู่กรุงเทพฯ หรือครับ?” นั่นเป็นประโยคแรกนอกจากคำว่า ‘สวัสดีครับ’ ที่เขาพูดกับเธอเช้าวันนี้ ตอนที่เจอหน้ากันในพิธีรดน้ำสังข์

“เอ้อ...ค่ะ” หมันหยาซึ่งกำลังเพลินอยู่กับความคิดของตัวเอง ตะกุกตะกักตอบเขา

“อยู่แถวไหนครับ?” เขารุกต่อ ตอนนี้ตาของเขามีแววระยิบระยับที่ทำให้เธอเขิน

“แถวๆพระโขนงค่ะ”

“พระโขนงตรงไหนครับ”

“บอกไปคุณอาจจะไม่รู้จักก้ได้” หมันหยาไม่คิดจะบอกเขาหรอก

“ไม่ยอมบอกเพราะกลัวผมจะไปเยี่ยมที่บ้านหรือครับ ไม่บอกก็ไม่บอก ” อีกฝ่ายอมยิ้มเมื่อคืบหน้าต่อไปว่า “จะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่ครับ?”

“เอ้อ..ยังไม่ทราบแน่เลยค่ะ อาจจะอีกวันสองวัน”

“รู้จักกับพี่แป๋วนานแล้วหรือครับ” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ค่ะ นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย” ตอนนี้หมันหยาตอบคล่องขึ้น แม้จะไม่เข้าใจว่าเขาถามทำไม

สรคมณ์ทำหน้ายิ้มกริ่ม “คุณหยาเป็นเพื่อนกับพี่แป๋ว งั้นผมควรจะเรียกคุณหยาว่าพี่หยา เหมือนเรียกพี่แป๋วหรือเปล่าครับ?”

คำถามของเขาทำให้หมันหยาเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังกวนประสาทเธอ อีตาบ้านี่คิดว่าตัวเองเด็กนักหรืออย่างไร เขาคงจะอายุมากกว่าเธอและแสงดาวอย่างน้อยก็สองปี เอ๊ะ..หรือเขาจะเห็นว่าเธอแก่ คิดแล้วหญิงสาวก็นึกโมโหขึ้นมาทันที ก็ผู้หญิงสาวๆคนไหนจะอยากให้ผู้ชายหนุ่มๆเห็นว่าแก่

เธอทำหน้าบึ้ง บอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ห้วนขึ้นมานิดหนึ่งว่า “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันยังไม่อยากมีน้องชายหน้าตาเหมือนโจรสลัด”

“โอ้โฮ! คุณหยาชมผมเสียตัวลอยเลย เห็นผมหล่อพอๆกับโจรสลัดเลยหรือครับ ขอหล่อน้องๆพี่ชาติซักนิดนึงก็พอครับ ไม่ต้องหล่อขนาดโจรสลัดของคุณหยาหรอกครับ" ชายหนุ่มทำหน้ายิ้มกริ่ม

หมันหยาเกือบจะลืมตัวค้อนเขา “เข้าใจผิดแล้วละค่ะ คุณสรคมณ์ ฉันหมายถึงหนวดเคราของคุณต่างหาก ที่ทำให้หน้าตาคุณเหี้ยมคล้ายโจรสลัด ไม่ได้ว่าคุณขี้เหร่หรือหล่อ”

“คุณหยาเคยเห็นโจรสลัดด้วยหรือครับ”

คราวนี้หมันหยาทำหน้าบึ้งแต่ไม่โต้ตอบ รู้ว่าเขากำลังรุกเธออยู่ เธอได้แต่ก้าวเท้าตามเขาไปตามจังหวะเพลง แต่สรคมณ์ไม่ยอมเลิกตอแยง่ายๆหรอก ก็เขาเห็นว่าเธอน่ารักดีนี่นา ตอนนี้เธออาจจะไม่อยากพูดกับเขาแล้วก็ได้ เขาเห็นเธอเหลียวมองไปนอกฟลอร์เต้นรำหลายครั้ง ทำท่าเหมือนอยากจะกลับไปที่โต๊ะ

“ถ้าไม่ชอบให้ผมเรียกพี่ คุณหยาจะเรียกผมว่าพี่แทนก็ได้นะครับ ผมไม่ขัดข้องหรอก คุณหยาว่าดีไหมครับ?” เขายังยั่วเธอต่อเมื่อเห็นหน้าบึ้งๆของเธอ

หญิงสาวเริ่มตบะแตก “ไม่เรียกอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะคุณกับฉันไม่ได้เป็นญาติกัน”

อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม รู้ว่าเธอกำลังโกรธ แต่ก็ไม่เลิกยั่วเธอง่ายๆหรอก

"คุณหยาทำงานที่ไหนครับ?" สรคมณ์ปลี่ยนเรื่องปุบปับ

หญิงสาวเข้าใจคำถามของเขา แต่ก็ไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องบอกว่าเธอทำงานอะไร ที่ไหน เสร็จงานของแสงดาวแล้วก็คงไม่ต้องพบเขาอีก และอีกอย่างก็นึกอยากจะยวนเขาขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เพราะเขากวนประสาทเธอมาหลายครั้งแล้ว

"ฉันอยู่กรุงเทพฯก็คงต้องทำงานที่กรุงเทพฯสิคะ ไม่น่าถาม"

อีกฝ่ายยิ้มกว้าง "คุณหยายวนเป็นเหมือนกันหรือครับ? หน้าตาน่ารักแบบนี้ไม่น่าจะยวนเป็นนะครับ หรือว่าคุณหยาเป็นญวน อุบลฯนี่มีสาวญวนสวยๆแยะนะครับ แต่สวยสู้คุณหยาไม่ได้ซักคน"

ตอนนี้หมันหยาแน่ใจแล้วว่าเขาตั้งใจจะยั่วประสาทเธอ และรู้สึกอีกด้วยว่าผู้ชายคนนี้ลูกเล่นแพรวพราว ท่าทางจะเจ้าชู้ไม่เบา หล่อก็ไม่หล่อ ตัวก็ดำปิ๊ดปี๋ หน้าตาก็เหมือนตัวโกง ยังจะมาพูดจาลดเลี้ยวอยู่ได้ เอ๊ะ..หรือว่าเขาพยายามจะจีบเธอ พอความรู้สึกเช่นนั้นเกิดขึ้นหญิงสาวก็นึกอยากกลับไปที่โต๊ะขึ้นมาทันที เธอเกลียดผู้ชายเจ้าชู้

“ขอโทษนะคะ ฉันอยากกลับไปที่โต๊ะแล้วละค่ะ”

ชายหนุ่มทำหน้ายิ้มๆ ชะงักเท้าที่กำลังก้าวไปตามจังหวะดนตรี ผายมือให้เธอเดินนำหน้า “เชิญครับ”

เขาเดินตามไปส่งเธอที่โต๊ะที่ผู้กองอภิชาตินั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆกับแขกหญิงชายอีกสามสี่คน

“เอ้า..เฮีย ผมพาพี่...เอ๊ย คุณหยามาคืนแล้วนา ขอบคุณนะครับที่ใจดีให้น้องมีโอกาสได้เต้นรำกับพี่สาวคนสวย”

สรคมณ์หันมาก้มศีรษะให้หมันหยาเล็กน้อยอย่างล้อเลียน ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะที่เพื่อนฝูงนั่งกินเหล้ารออยู่ มีสายตาของหมันหยามองตามหลังไปอย่างฉุนแกมขัน แม้จะเคืองๆอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘ผู้ชายคนนี้น่ารัก’ เขามีวิธีจีบผู้หญิงที่ไม่ซ้ำแบบกับใครเลย


อีกสามวันต่อมา หมันหยาก็ได้พบสรคมณ์อีกครั้งโดยบังเอิญ บนขบวนรถด่วนจากอุบลฯเข้ากรุงเทพฯ สี่หนุ่มซึ่งประกอบด้วยอัสดา ปรีชา ดำรงค์ศักดิ์และสรคมณ์ ต้องไปฝึกทบทวนกระโดดร่มประจำปี ที่ค่ายนเรศวรในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งหมดจะเข้ากรุงเทพฯก่อน หลังจากนั้นอีกวันสองวันจึงจะเดินทางต่อไปยังค่ายฝึก พอขึ้นรถได้ชายหนุ่มทั้งสี่ก็เข้าไปยึดตู้รถเสบียงตั้งวงดื่มเหล้ากัน ดื่มกันไปคุยกันไปหลายชั่วโมงจนได้เวลารถเสบียงปิด ก็แยกย้ายกันไปเข้านอนตามตู้นอนที่จองเอาไว้ล่วงหน้า

ตู้โบกี้ของสรคมณ์อยู่ท้ายขบวนพอดี ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดิน สอดส่ายสายตาหาหมายเลขที่นั่งของเขา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่นอนไปหมดแล้ว มองเห็นแต่ผ้าม่านสีเขียวเข้มเป็นแถวยาว เนื่องจากรู้ว่าเตียงของเขาอยู่ท้ายสุดใกล้ห้องน้ำ เขาจึงเดินแบกเป้ไปจนสุดขบวน ระหว่างนั้นเขาพบว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่หายตัวเข้าไปหลังม่านเกือบหมดแล้ว มีแต่ผู้ชายร่างใหญ่ท่าทางมึนเมาคนหนึ่งยังไม่นอน เขานั่งห้อยขาอยู่บนเคียงชั้นบน ปิดม่านไว้เพียงครึ่งเดียว ในมือมีขวดเหล้าที่ยกขึ้นดื่มอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นคนเดินผ่านมาเขาก็จ้องมองด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำ ส่งเสียงอ้อแอ้เหมือนคนเมาทั้งหลาย ส่วนเตียงล่างปิดม่านสนิท

ชายหนุ่มเดินต่อไปจนถึงเตียงนอนหมายเลขของเขา เอาเป้ขึ้นเก็บในล็อกเกอร์ด้านบน หลังจากนั้นก็เดินต่อไปตรงส่วนที่เป็นห้องน้ำ แต่แล้วสรคมณ์ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเหลือบเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนก้มหน้ากอดอกพิงเคาเตอร์อยู่ตรงอ่างล้างมือ ตอนแรกเขาคิดว่าเธอคงรอจะเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อมองห้องน้ำสองห้องที่อยู่ตรงนั้นก็เห็นว่ามันว่างอยู่ แต่แล้วเมื่อหญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาๆก็จำเธอได้ทันที หมันหยานั่นเอง สีหน้าของเธอซีดมีแววกังวลในดวงตาคู่สวย ที่เขาเคยลอบมองและแอบชมอยู่ในใจ

“อ้าว คุณหยา กลับกรุงเทพฯเที่ยวนี้เหมือนกันหรือครับ?”

“อ้อ คุณสรคมณ์” เธอทักตอบ สีหน้าของเธอมีแววโล่งใจปรากฏขึ้น

“ผมกับเพื่อนจะเข้ากรุงเทพฯเหมือนกัน” ชายหนุ่มบอกกล่าวฉันท์คนรู้จัก

“อ้อ ค่ะ คุณนอนตู้นี้เหมือนกันหรือคะ?”

“ครับ พวกเพื่อนๆผมได้ที่นอนตู้ถัดไป” แล้วเขาก็ถามต่ออย่างสงสัยว่าเธอมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม “สี่ทุ่มกว่าแล้วยังไม่นอนอีกหรือครับ?”

“เอ้อ.. หยา....เอ้อ ฉันไม่กล้าเข้าไปนอนหรอกค่ะ” เธออึกอักบอกเขาไม่เต็มปากเต็มคำ

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ที่นอนของคุณหยาอยู่ตรงไหน มีอะไรหรือเปล่า?”

“ตรงโน้นน่ะค่ะ” หมันหยาชี้มือไปกลางโบกี้ที่สรคมณ์เพิ่งเดินผ่านมา “ฉันไม่กล้าเข้าไปนอน รู้สึกว่าผู้ชายคนที่นอนเตียงบนจะเมาเหล้า เขาพูดจาลามปามฉัน ดึกแล้วก็ยังไม่ยอมนอนเสียที ฉัน เอ้อ..ฉัน”


ชายหนุ่มฟังแล้วก็เข้าใจทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เธอคงกลัวผู้ชายคนที่นั่งห้อยขากินเหล้า ที่เขาเพิ่งเดินผ่านมานั่นเอง

“ ถ้างั้นเอาอย่างนี้ดีไหมครับ คุณหยามานอนเตียงผม ส่วนผมจะไปนอนที่คุณหยาเอง แต่ที่นอนของผมอยู่เตียงบนนะครับ คุณหยาอาจจะลำบากต้องปีนสักหน่อย แต่ถ้าผู้หญิงเดินทางคนเดียว เลือกที่นอนชั้นบนน่าจะปลอดภัยกว่า”

หมันหยามองสรคมณ์อย่างสำนึกในน้ำใจ ที่เขาเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้ เพราะถ้าไม่เจอเขา คืนนี้เธอยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเลย ไม่รู้จะเอาตัวไปไว้ที่ไหนทั้งคืน ตำรวจรถไฟที่น่าจะเป็นที่พึ่งของเธอได้ก็ไม่เห็นสักคน สมมติว่าเธอจะยืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำนี้รอให้ชายขี้เมาคนนั้นหลับไปเสียก่อน แต่เธอก็คงนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะคิดมิดีมิร้ายอะไรกับเธอหรือเปล่า ความหวาดระแวงที่เป็นนิสัยประจำตัวทำให้หมันหยาคิดไกลไปถึงขนาดว่า ถ้าตอนดึกๆ ที่ใครต่อใครหลับสนิทไปหมดแล้ว เขาเกิดบ้าพอที่จะย่องลงมาจากเตียงบนแล้วเปิดม่านเข้ามาหาเธอ ใครจะตื่นมาช่วยเธอได้

เมื่อลาจากกันที่ชานชาลาหัวลำโพงตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น หมันหยาก็มีความรู้สึกที่ดีกับสรคมณ์ ลืมเรื่องที่เคยคิดว่าเขาทำตัวเป็นทั้งขี้เมาและอันธพาลไปหมดสิ้น ส่วนเรื่องที่เขาพูดจาลดเลี้ยวตอนที่เต้นรำกันคืนนั้น หญิงสาวก็เลิกถือสา คิดเสียว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ชาย และอีกอย่าง..ตั้งแต่เป็นสาวสวยขึ้นมาหมันหยาเจอผู้ชายหลายคนที่พยายามจะจีบเธอด้วยวิธีการต่างๆมาแล้ว แม้จะไม่เคยเจอใครที่ใช้วิธีแบบเดียวกับสรคมณ์ก็ตาม




greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ค. 2560, 17:50:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2560, 11:11:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 969





<< ตอนที่ 2 แรกพบสบตา   ตอนที่ 4 แพรวโพยม >>
greengrass 5 ก.ค. 2560, 17:56:18 น.
สวัสดีค่ะ หายไปนานเกือบปี ตอนนี้กลับมาใหม่แล้วค่ะ ขอเชิญเพื่อนๆเข้ามาอ่านต่อนะคะ มาตามดูว่าพระเอก
จะมีลีลาในการจีบสาวอย่างไร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account