เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๑๔ - ร่องรอยอดีต



ข้าวหอมเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน ริมฝีปากเผยออ้าแต่หาได้มีเสียงร้องใดๆ ไม่

กลิ่นละมุดบางเบาเกินกว่าที่จะคิดว่าเขาเมา หล่อนมั่นใจว่าชายผู้นี้ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ เขาไม่ได้ลืมตัว ไม่ได้เผลอไผล แต่การหอมแก้มหล่อนเสมือนเป็นการกระทำที่เขาทำเป็นประจำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกินแม่ทูนหัวของพี่”

ยิ่งคำเรียกขานที่ชวนให้ขนลุกนั้นแล้ว ข้าวหอมก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก หล่อนกะพริบตาปริบๆ มองเขา อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก

หล่อนตกใจแน่ละ...เป็นการตกใจที่ถูกชายแปลกหน้าจู่โจมจนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้

หล่อนอยากรู้...ความสัมพันธ์ระหว่างชายผู้นี้กับแม่วาด แต่จะเริ่มต้นถามอย่างไร หล่อนยังคิดไม่ตก

และสุดท้าย หล่อนรู้สึกโกรธ...โกรธมาก โกรธจนตัวสั่น กรามขบกันแน่น และหน้าแดงก่ำชัดเจน

ในเสี้ยววินาทีที่ปลายจมูกของเขาสัมผัสกับผิวเนื้อของหล่อน ด้วยสัญชาตญาณสาวห้าว ข้าวหอมใช้สองมือกระแทกอกเขาเต็มแรง แล้วส่งหมัดหนักๆ เข้าเต็มกรามของชายผู้นั้น

แรงของผู้หญิงตัวเล็กๆ ถึงจะไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายหน้าหัน มึนงงไปเล็กน้อย ส่วนหล่อนสะบัดมือเร่าๆ ด้วยความเจ็บ

“แม่วาด” น้ำเสียงของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง เฉกเช่นเดียวกับแววตา มันเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหรี่ลงด้วยความสงสัย

หากเขาสงสัยก็ไม่แปลก เพราะหากเป็นแม่วาดตัวจริง เขาก็คงไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้ แม่วาดอาจเพียงแค่ตัวสั่น น้ำตาคลอเบ้า แล้ววิ่งหนีไป หรือไม่...ก็อาจตรงกันข้าม แม่วาดอาจแย้มยิ้มเขินอายกับการกระทำของเขาก็เป็นได้!

“ไยเจ้าจึงทำเช่นนี้กับพี่ เจ้าไม่เคย...” เสียงของเขาขาดหายพร้อมกับสายตาที่ละไปจากดวงหน้าของหล่อน เขาแลมองไปทางด้านหลัง ทำเสียงฮึดฮัดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยลาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“วันนี้คงพูดกันไม่รู้เรื่องเสียแล้ว พี่คงต้องไปก่อน แล้วพี่จักหาเวลามาพบเจ้า”

พบ? พบทำไมกัน? มีเรื่องใดต้องพูดกันอีก

สำหรับข้าวหอมแล้ว หล่อนไม่อยากพบผู้ชายคนนี้อีกเลยแม้สักเสี้ยววินาที แต่คำถามที่อัดแน่นอยู่ในใจนั้นทำให้หล่อนต้องกำความไม่ชอบใจนั้นไว้ เพราะหากต้องการรู้ความจริงระหว่างเขากับแม่วาด หล่อนคงต้องเค้นหาคำตอบจากผู้ชายคนนี้นี่แหละ

“พี่ไปก่อนหนาเจ้า แล้วพบกัน”

เอ่ยลาเสร็จสิ้น ก็หมุนตัว เดินจากไปด้วยฝีเท้าอันว่องไว ข้าวหอมผ่อนลมหายใจยาว ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาถูแก้มของตนเองด้วยความรู้สึกรังเกียจและขยะแขยง จากนั้นจึงหมุนตัว เพื่อจะเดินกลับทางเดิม โดยสองตายังแลจับไปยังแผ่นหลังของชายผู้นั้น เสี้ยววินาทีนั้นเอง เพราะไม่ได้มองทาง หล่อนจึงชนเข้ากับใครคนหนึ่ง

ผลัก!

แรงปะทะทำให้หล่อนเกือบหงายหลัง แต่ใครคนนั้นคว้าตัวหล่อนไว้ได้ทันการณ์

ร่างของหล่อนเซปะทะเข้ากับอกเขา ศีรษะซุกซบอยู่กับอกกว้าง และอยู่ภายในอ้อมแขนแข็งแกร่ง

ข้าวหอมยืนตัวแข็งค้าง แทบลืมหายใจเมื่อรับรู้ว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของชายแปลกหน้า

“เป็นอย่างไรบ้าง แม่หญิง”

สุ้มเสียงนั้นแสดงถึงความสุภาพ เป็นห่วงเป็นใย แล้วยังท่าทางที่รีบปล่อยมือ เปลี่ยนมาแตะต้นแขนข้างขวาของหล่อนอย่างระมัดระวังนั้นอีก...เป็นการกระทำที่แตกต่างจากชายที่ขโมยหอมแก้มหล่อนผู้นั้นเหลือเกิน

“เจ็บตรงไหนฤๅไม่ ฉันต้องขอโทษด้วยที่เดินไม่ระวัง”

คนที่สมควรขอโทษ น่าจะเป็นหล่อนมากกว่า...ข้าวหอมคิดขณะเงยหน้าขึ้นมองเขา

ใบหน้าที่เห็นอยู่ภายใต้แสงจันทร์นั้น แม้จะไม่ชัดเจน แต่หล่อนก็พอจะมองออกว่าผู้ชายคนนี้มีหน้าตาที่หล่อเหลา รูปหน้าเรียว คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ดวงตาของที่ทอดมองมาทอประกายอ่อนโยนและอบอุ่น ทำให้หล่อนคลายความกังวลไปได้มากโข ร่างที่เกร็งอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ คลายลง

“ฉันสิคะที่ต้องขอโทษ คุณเป็นอะไรไหมคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

พร้อมกับพูด หล่อนกวาดตามองไปทั่วเนื้อตัวของเขา ก่อนจะวกกลับมามองใบหน้าหล่อๆ นั้น

“ฉันเป็นผู้ชายอกสามศอก จักเจ็บตรงไหนได้เล่า แม่หญิงต่างหาก ชนฉันเสียเต็มแรงเช่นนั้น คงเจ็บตัวไม่น้อยกระมัง”

“เจ็บนิดหน่อยเองค่ะ”

คิ้วเข้มๆ เลิกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับแววตางุนงง

“แม่หญิงมิใช่คนที่นี่หรอกรึ ภาษาของแม่หญิงช่างแปร่งหูนัก”

ข้าวหอมไม่รู้จะตอบว่าอะไรจึงทำเพียงแต่ยิ้มเท่านั้น...รอยยิ้มของหล่อนแม้จะจืดเจื่อนเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นรอยยิ้มที่สดใสชวนมอง จึงไม่น่าแปลกอะไรที่คนตรงหน้าจะเผลอมองหล่อนนานกว่าที่ควรจะเป็น

หญิงสาวยิ้มค้างอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะรีบหุบฉับเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู

“แม่วาด”

เสียงเรียบเรื่อยเหมือนที่เขาเรียกทุกครั้ง แต่วันนี้น้ำหนักของเสียงกลับผิดปกติไปเล็กน้อย

ข้าวหอมเหลียวมองจึงเป็นผู้เป็นสามีก้าวฉับๆ เข้ามาหาด้วยฝีเท้ามั่นคง ใบหน้าของเขากระด้าง ดวงตายิ่งดำจัดราวกับเพิ่งโมโหใครมา

ตายละวา...ไอ้ข้าวเอ๊ย! ทำคุณหลวงโกรธอีกหรือเปล่าวะเนี่ย!

เสียงหนึ่งในใจถาม...โกรธเรื่องอะไรล่ะ หล่อนไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เป็นคุณหลวงเองต่างหากที่สนใจคนอื่นมากกว่าหล่อน แต่ครั้นได้ยินเสียงชายตรงหน้าขยับตัว หล่อนจึงตระหนักได้ว่าตนเองยืนใกล้ชิดกับ ‘ชายอื่น’ มากเกินไป...ในฐานะภรรยาของคุณหลวง นับว่าเป็นการกระทำอันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

ฉับพลันนั้นเอง หล่อนจึงรีบถอยกรูดไปสามก้าว แล้วส่งยิ้มแหยๆ กึ่งประจบไปให้ผู้เป็นสามี

“คุณพี่”

เรียกเขาหวานๆ สักนิด เพี่อที่ว่าโทษหนักจะได้เป็นเบา

“น้องกำลังจะเดินไปหาคุณพี่อยู่พอดีค่ะ”

คำกล่าวสนิทสนมเช่นนั้นถือว่าเป็นการประกาศให้ ‘ชายอื่น’ รู้ว่าหล่อนไม่ใช่สาวโสดอีกต่อไป

“คุณพี่มาตามหาน้องหรือคะ”

“เห็นหายมานาน เป็นห่วง”

คุณหลวงก้าวมาประชิดตัวหล่อน สีหน้าผ่อนคลายลง ไม่กระด้างเหมือนเมื่อครู่ มีแต่แววตาเท่านั้นที่ดูจะยังมีโทโสอยู่หน่อยๆ

“มีปัญหากระไรกันฤๅไม่”

พร้อมกับถาม เขาหันไปมองชายที่ยืนเอามือไพล่หลังตรงหน้า พลันเห็นว่าเป็นใครก็รีบยกมือไหว้...เป็นการไหว้แสดงความเคารพสำหรับผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่า ไม่ได้แสดงความนอบน้อมจนเกินไปนัก

“คุณหลวงเองดอกรึ ไม่ได้พบกันเสียหลายปี มองไกลๆ จำแทบไม่ได้”

“คุณพระมาพระนครตั้งแต่เมื่อไรฤๅขอรับ มาราชการใช่ฤๅไม่ขอรับ”

บทสนทนานั้นบอกชัดว่าทั้งสองรู้จักกันมาก่อน

“ก็ไม่เชิงดอก ฉันตั้งใจมาเปิดหูเปิดตาด้วย อยู่ทางโน้นเงียบเหงาเกินไป ได้เข้าพระนครสักครั้งก็ช่วยให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง” ‘คุณพระ’ เหลือบมอง แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็หันกลับไปมองหน้าคุณหลวงเสียแล้ว

“ไม่ทราบว่าแม่หญิงผู้นี้...”

“ภรรยาของกระผมขอรับ”

“อ้อ...” คนฟังทำเสียงรับรู้ในลำคอ กระแสเสียงกึ่งผิดหวังกึ่งเสียดายไม่น้อย “ฉันไม่ทราบมาก่อน ต้องขอโทษด้วยหากฉันกระทำการรุ่มร่ามอันใดออกไป”

“มิเป็นไรมิได้ขอรับ ต้องขอบคุณคุณพระที่ช่วยประคองแม่วาดไว้ มิเช่นนั้นคงได้ล้มหัวฟาดพื้นเสียกระมัง”

ประโยคนั้นบอกชัด...เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่จะเห็นตั้งแต่ตอนไหน หล่อนไม่แน่ใจนัก หากหล่อนโชคดี เขาคงเห็นแค่ตอนหล่อนเดินชนคุณพระผู้นี้ แต่ถ้าหล่อนโชคร้าย...ข้าวหอมกลืนน้ำลายเอื้อก ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะโดนคุณหลวงมองด้วยแววตาเช่นไร เผลอๆ อาจจะเกลียดชังหรือขยะแขยงหล่อนเสียด้วยซ้ำกระมัง

“ดึกมากแล้ว กระผมคงต้องพาแม่วาดกลับแล้วขอรับ หากมีโอกาส กระผมคงได้สนทนากับคุณพระอีกครั้ง”

ทั้งสองเอ่ยลากันอีกสองสามประโยค ก่อนคุณหลวงจะแตะต้นแขนหล่อน พาออกเดินกลับไปยังท่าน้ำที่นายมิ่งจอดเรือรออยู่




ระหว่างทางกลับมาที่เรือน คุณหลวงไม่ได้พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ข้าวหอมก็ไม่กล้าชวนคุณหลวงคุย ได้แต่นั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง จนนายมิ่งทำเรือเข้าเทียบท่าน้ำ คุณหลวงอุ้มหล่อนขึ้นจากเรือ ครั้นสองเท้าสัมผัสพื้น หล่อนก็ทำท่าจะเดินกลับขึ้นเรือนเสียโดยเร็ว ทว่าคุณหลวงกลับรั้งข้อมือหล่อนไว้ ครั้งนี้มิใช่แค่แตะอย่างผิวเผินเช่นทุกครั้ง แต่เป็นการสัมผัสแนบแน่น กดย้ำและรัดหล่อนราวกับโซ่ตรวน

พวกบ่าวไพร่ต่างล่าถอยหายไปอย่างรู้หน้าที่ เหลือแต่เขากับหล่อนเพียงลำพังใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเพียงบางเบา

หล่อนใจเต้นแรง ตึกตักๆ...ดังเสียจนหล่อนเกรงว่าเขาจะได้ยิน

“คะ...คุณหลวง...”

ในความเงียบงันอันน่าอึดอัด ข้าวหอมทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาเสียก่อน

วินาทีที่หล่อนเปล่งเสียง มือของคุณหลวงก็ขยับ

“เป็นอย่างไรบ้าง” มือใหญ่คลายออก ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะเลื่อนไปบนแขนของหล่อน เป็นการสำรวจตรวจตรา หาใช่การลวนลามไม่

“เจ็บฤๅไม่” ถามพลางกวาดตามองหล่อน ดวงตาคู่นั้นมีความห่วงใยฉายชัด และพ่วงมาด้วยความไม่พอใจเล็กๆ “ไฉนจึงเดินไม่ระวังเช่นนี้ แล้วกลางค่ำกลางคืนเช่นนั้น กล้าเดินคนเดียวได้อย่างไร ฉไนจึงไม่รอ”

“คุณหลวงคุยเรื่องงานอยู่ไม่ใช่หรือคะ ฉันไม่อยากรบกวน ที่สำคัญไอ้พวกผู้ชายที่มาล้อมหน้าล้อมหลังฉันพวกนั้น ฉันรำคาญ ไม่อยากยุ่งด้วยก็เลยเดินหนี”

“แล้วเหตุใดหล่อนจึงไม่เดินมาหาฉัน นี่ถ้าชายที่หล่อนเดินชนไม่ใช่คุณพระวิสุทธสงครามจักเป็นเช่นไร”

ข้าวหอมเข้าใจที่คุณหลวงเป็นห่วง เขากลัวหล่อนจะถูกลวนลามนั่นเอง

“นับจากนี้ฉันอยากให้หล่อนระวังตัว ไม่ว่ากับใคร...รู้จักฤๅไม่รู้จัก ก็สมควรระวังตัวไว้เสียก่อน โดยเฉพาะกับพูชาย อย่าให้ใครหน้าไหนมาหาเศษหาเลยกับหล่อนได้ เป็นพูหญิงควรระวังตัวให้จงหนัก เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจค่ะคุณหลวง คราวหน้าฉันจะระวัง”

น้ำเสียงของหล่อนดีขึ้น ด้วยรู้ว่าคุณหลวงไม่ได้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปเสียนานแล้ว

“ฉันจะไม่มองหน้า ไม่สบตา ไม่เฉียดใกล้ผู้ชายคนไหนอีก...” ประโยคท้ายหล่อนก้มหน้า ขยับปากมุบมิบ “ถ้าไม่จำเป็น”

แว่วเสียงทอดถอนใจจากคุณหลวง ก่อนเขาจะใช้มือเชยคางหล่อน...ตาสบตา หัวใจข้าวหอมพลันเต้นระรัวขึ้นมาอีก

“ในฐานะที่หล่อนอยู่ในความคุ้มครองของฉัน ฉันย่อมต้องเป็นห่วงหล่อนกว่าใคร ฉันไม่อยากให้เกิดอันตรายใดๆ กับหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว”

แม้เขาจะห่วงหล่อนเพราะหน้าที่ หรือเพราะความมีมนุษยธรรมหรืออะไรก็ตาม ข้าวหอมก็ยังรู้สึกตื้นตันใจอยู่นั่นเอง

“ขอบคุณค่ะคุณหลวง ฉันจะระวังตัวให้มากกว่านี้”

คุณหลวงลดมือลง ทอดถอนใจเป็นคำรบสอง

“ดึกแล้ว ขึ้นนอนเสียเถิด วันพรุ่งพบกัน”

ก่อนเขาจะเดินจากไป ข้าวหอมรีบท้วง

“เดี๋ยวค่ะ ฉันมีอะไรอยากถามคุณหลวงหน่อย”

“กระไรรึ”

“คือ...ผู้ชายคนนั้น คนที่พบกันวันที่เราไปตลาดแล้วฉันเป็นลมน่ะค่ะ เขาเป็นใครหรือคะ”

“วันที่เราไปตลาด...”

“ค่ะ...วันนั้นที่มีเกี้ยวของขุนนางสักคนผ่านมา แล้วคนที่ขี่ม้านำหน้าหยุดทักคุณหลวงน่ะค่ะ” เห็นรอยสว่างวาบอย่างระลึกได้ในแววตาของคุณหลวง หล่อนจึงรีบถามอย่างกระตืรือร้น “เขาเป็นใครคะ”

“ทำไม”

สุ้มเสียงดุดัน ออกจะกระโชกโฮกฮากเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ ข้าวหอมชักลังเลว่าควรถามหรือไม่

“คือฉันเห็นเขาวันนี้ ก็เลยอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร...เท่านั้นเองค่ะ”

คนตรงหน้านิ่งเงียบไปนานจนหล่อนคิดว่าจะไม่ได้คำตอบแล้ว แต่ในเสี้ยววินาทีที่หล่อนกำลังจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ คำตอบก็ออกมาจากปากเขา

“พระพิไชยชาญยุทธ์ หลานชายเพียงคนเดียวของเจ้าพระยารณฤทธิ์พิทยศักดิ์” เขานิ่งไปอึดใจก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และแววตายังจริงจังยิ่งนัก “อยู่ให้ไกลคนคนนี้ไว้เป็นดีที่สุด!”



หลวงเดชาอักษรเคยพบหน้าเจ้าพระยารณฤทธิ์พิทยศักดิ์เพียงไม่กี่ครั้ง เป็นการพบที่มีแต่ความห่างเหินเย็นชาเกินกว่าปู่และหลานพึงมีให้แก่กัน

ในฐานะที่เป็นหลานของท่านเจ้าคุณผู้นี้เช่นเดียวกัน พระพิไชยชาญยุทธ์กลับได้รับความรัก ความเอาใจใส่ และการดูแลมากกว่า...ส่วนหลวงเดชาอักษร เปรียบเสมือนเป็นเพียงคนแปลกหน้า พบกันเมื่อไร พูดคุยกันแทบนับครั้งได้ ท่านเจ้าคุณรณฤทธิ์แทบจะไม่เคยมองหน้าหรือสบตาเขาเสียด้วยซ้ำไป

ความเจ็บปวด น้อยใจ และไขว่คว้าหาความรักจากผู้เป็นปู่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของเขามาตั้งแต่เกิด หากพอนานวันเข้าความเจ็บปวดเหล่านั้นจึงกลายเป็นความชินชา...เจ็บจนชินชา หาได้ลบเลือนบาดแผลในหัวใจนี้ไปได้ไม่

ลูกชายที่พ่อบังเกิดเกล้าไม่ต้องการ หลานชายที่ผู้เป็นปู่ผลักไสไม่ยอมรับ...เขาลืมตาดูโลกโดยที่ไม่มีใครต้องการเขาเลย แม้แต่แม่แท้ๆ ของตนเอง! โลกของหลวงเดชาอักษรดำมืดมาตลอด ยังมีอยู่บ้างที่ได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากบิดาบุญธรรมอย่างพระยาเทพไกรศรีสุเรนทร

...ความรักจากท่านช่วยให้โลกอันมืดมนมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามาบ้าง

และความเอาใจใส่จากท่าน ก็ช่วยให้คนที่ไม่มีใครต้องการอย่างเขาเติบโตอยู่ในร่องในรอย ไม่ออกนอกลู่นอกจากจนกลายเป็นคนสำมะเลเทเมา เป็นอันธพาล หรือทำให้ชีวิตด้อยค่าลงไปอีก

เป็นความภาคภูมิใจยิ่งแล้ว ที่เจ้าเดช...เด็กกำพร้าในอุปการะของท่านได้เข้ารับราชการและรับบรรดาศักดิ์เป็นถึงหลวง ก็ใครจะนึกเล่า เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ชอบหาเรื่องตีต่อยกับใครไปทั่วเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นจะเจริญก้าวหน้าได้ถึงครั้งนี้ ความดีความชอบคงต้องยกให้การสั่งสอนของท่าน พร้อมทั้งหลวงปู่ผู้เจ้าอาวาสวัดท้ายคุ้งที่คอยเฝ้าสั่งสอนตลอดมา

กระนั้น...แม้ได้รับราชการ มีหน้ามีตาถึงเพียงนี้ ผู้เป็นปู่แท้ๆ ของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับ ยังคงทำเสมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า หาใช่มีสายเลือดเดียวกันไม่!

ความเจ็บปวดที่ถูกฝังไว้ในก้นบึ้งของหัวใจทำให้เขาไม่อาจข่มตาหลับได้ สุดท้ายหลวงเดชาอักษรจึงก้มหน้าก้มตาทำงานจนเกือบค่อนรุ่ง



ข้าวหอมเฝ้าสืบเสาะหาประวัติของชายที่ชื่อพระพิไชยชาญยุทธ์จากพวกบ่าวไพร่จนดึกดื่น บางคนปิดปากเงียบไม่ยอมพูด แต่ก็มีหลายคนที่โพล่งทุกสิ่งทุกอย่างออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพียงคืนเดียวหล่อนก็ได้คำตอบในสิ่งที่ต้องการ ทั้งประวัติของชายผู้นั้น และชาติกำเนิดของหลวงเดชาอักษรอีกด้วย

กว่าหล่อนจะเข้านอนก็ดึกมากแล้ว กระนั้นยามเหลือบมองไปยังเรือนโน้น ในห้องทำงานของคุณหลวง หล่อนก็ยังเห็นเงาของเขาพาดผ่านไปมา คงมุ่งมั่นทำงานเหมือนทุกวันนั่นละ

ดวงตาดำขลับทอดอ่อนโยน กึ่งเห็นอกเห็นใจ หล่อนจับจ้องมองรูปเงานั้นชั่วครู่ ทอดถอนใจบางเบา ก่อนละสายตาแล้วเดินจากมา ความเหนื่อยอ่อนทำให้พอหัวถึงหมอน หล่อนก็ผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว



‘นวล!’ เสียงใครคนหนึ่งร้องเรียก พร้อมกับเตียงที่ยวบไหว ทำให้คนที่กำลังหลับอย่างสบายครางออกมาอย่างไม่ชอบใจ

‘นวล! ตื่นได้แล้ว พี่ไชยมารับแล้วหนา’

‘ฮื่อ...” คนขี้เซาทำสุ้มเสียงรำคาญเล็กน้อย ‘ไม่ไหว เมื่อคืนนวลไม่ได้นอนเลย ง่วงเหลือเกิน ขอหลับดีกว่า’

‘อ้าว...แล้วที่นัดไว้กับพี่ไชยเล่า’

คนถูกเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนเปิดเปลือกตาข้างซ้ายขึ้น มองเห็นฝาแฝดของตัวเองเพียงรางๆ

‘วาดไปเถิด’ ว่าพลางโบกมือไปมา ‘นวลอยากนอนต่อ ไม่ไหวจริงๆ’

‘ได้อย่างไรกันเล่า ให้วาดไปกับพี่ไชยคนเดียวน่ะรึ...’ ประโยคถัดมาดังอุบอิบเพียงในลำคอ พวงแก้มพลันซับสีเรื่อราวกับลูกตำลึงสุก ‘ไม่งาม’

‘ไปคนเดียวที่ไหนเล่า ป้าผาด พี่นิด พี่น้อยก็ไปมิใช่หรือ’

‘ถึงกระนั้นก็เถิด อย่างไรก็ไม่เหมาะ’

‘โธ่...วาด’ เจ้าหล่อนครางแผ่ว ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วลุกนั่งพรวดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย วาดถึงกับผงะ แทบจะตกเตียง

‘อุ๊ย! กระไรกันนวล จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาแบบนี้’

‘ก็วาดอยากให้นวลไปด้วยไม่ใช่รึ’ ว่าพลางยกมือลูบหน้า สลัดศีรษะสองสามที ก่อนทำปากบุ้ยใบไปทางประตู

‘วาดไปรับพี่ไชยก่อนเถิด อีกสักประเดี๋ยวนวลจักรีบตามลงไป ขอล้างหน้าล้างตาเสียก่อน’

‘ได้สิได้’ เห็นอีกฝ่ายยอมไปด้วยเช่นนั้น วาดจึงยิ้มอย่างยินดี ‘รีบตามไปหนานวล’ เจ้าตัวพูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องไป

ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ดรุณีน้อยในวัยสิบสี่ปีก็เดินแกมวิ่งลงจากเรือน ตรงไปยังท่าน้ำที่ผู้เป็นฝาแฝดนั่งรออยู่พร้อมกับ ‘พี่ไชย’

วันนี้ทั้งนวลและวาดสวมสไบสีชมพู ขับผิวเหลืองนวลลออให้ผุดผ่องยิ่งขึ้น ทั้งสองต่างมีหน้าตาที่ถอดจากพิมพ์เดียวกัน ดูเผินๆ เสมือนเป็นคนคนเดียวกัน หากยืนหรือนั่งอยู่เฉยๆ คงยากที่ใครจะแยกออก

‘ขอโทษด้วยค่ะพี่ไชย เมื่อคืนนวลมัวแต่เย็บหมอนจนค่อนรุ่ง เมื่อครู่เผลองีบไปเลยลงมาช้า’

‘ไม่เป็นไรดอกนวล พี่รอได้ วันนี้พี่หาได้มีธุระใดไม่’

คนพูดแต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาวพิมพ์ลายดอก นุ่งโจงสีเข้ม ผมทรงหลักแจวมันวับ ขับให้เห็นใบหน้าขาวๆ ที่เสมือนว่าไม่เคยถูกแดดเลยแม้จะเป็นทหารก็ตาม...เขาคือหลวงพิไชยภักดี หลายชายเพียงคนเดียวของพระยาสุรเดชพิทักษา และรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของพระยาสุรสีห์เดโชมาตั้งแต่ยังเยาว์ ชายหนุ่มเข้าๆ ออกๆ เรือนแห่งนี้มาตั้งแต่จำความได้ จึงไม่แปลกหากจะสนิทสนิมกับลูกสาวทั้งสองคนของท่านผู้หญิงอร

หลวงพิไชยภักดีพานวลและวาดไปเที่ยวตลาดแถวคลองบางลำพู แวะเลือกของกินทั้งอาหารคาวและขนม ผ้าสีสวยอีกสองสามผืน ก่อนจบลงที่ร้านขายเครื่องประดับ ผู้นำเที่ยวใจดีซื้อกำไลและสร้อยคอให้กับวาด ส่วนนวลนั้นกลับปฏิเสธไม่ยอมรับของของเขา

‘เครื่องประดับพวกนี้นวลไม่ค่อยได้ใส่ดอกค่ะพี่ไชย ซื้อมาก็เสียอัฐเสียเปล่าๆ’

‘ถ้าอย่างนั้นพี่ซื้อขนมให้แทนแล้วกัน นวลน่าจักชอบมากกว่า พี่พูดถูกฤๅไม่เล่า’

คำตอบคือรอยยิ้มกว้างขวางอวดไรฟันขาวสะอาด หล่อนยกมือไหว้พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

‘เดินไปดูทางนั้นกันต่อดีฤๅไม่ มีร้านขนมหลายร้านเทียวละ’ คุณหลวงว่าก่อนเดินนำ วาดเดินตาม ส่วนนวลยังเหลือบมองเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ จริงอยู่...หล่อนไม่ชอบสวมเครื่องประดับพวกนี้ แต่ตามประสาสตรี ย่อมให้ความสนใจในสิ่งเหล่านี้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะทับทรวงประดับทับทิมที่วางอยู่ริมสุดด้านซ้าย มองเพลินเสียจนไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งมายืนซ้อนทางด้านหลัง

‘ชอบฤๅเจ้า’

แม้จะเป็นน้ำเสียงอันเคยคุ้นแต่ก็ทำให้หล่อนสะดุ้งด้วยความตกใจ หญิงสาวเอี้ยวตัวไปมองคนพูด ปากเผยออ้าเล็กน้อยก่อนเปล่งเสียงใสๆ ออกมา

‘พี่เดช’ หล่อนกะพริบตาปริบ เหลือบมองรอบกาย ไม่เห็นผู้ติดตามเขาแม้สักคน ‘มาเที่ยวตลาดหรือคะ’

‘ไม่เชิงดอก พี่มาไหว้หลวงตาที่วัดท้ายตลาด เห็นวันนี้ผู้คนคึกคักเลยแวะชมเสียหน่อย’

‘อ้อ...แล้วมาคนเดียวหรือคะ’

‘มาคนเดียวสิเจ้า จักให้มากับใครได้เล่า’ ชายหนุ่มเหลือบมองทับทรวงที่นวลเคยจดๆ จ้องๆ อยู่ก่อนหน้านี้ ‘ทับทรวงเส้นนี้ถูกใจเจ้าฤๅไม่’

‘สวยดีค่ะ’

‘อยากได้ฤๅไม่’

คำตอบคืออาการสั่นศีรษะโดยเร็ว

‘ไม่ค่ะ นวลไม่ค่อยได้ใส่ไม่รู้จักไปทำไม’

พูดจบหล่อนก็เหลียวซ้ายแลขวา เห็นแผ่นหลังของหลวงพิไชยกับวาดอยู่ไกลๆ ก็รีบบอก

‘นวลต้องรีบไปแล้วค่ะ ประเดี๋ยวพี่ไชยกับวาดจักเป็นห่วง’

หล่อนยกมือไหว้ผลุบ หมุนตัวเร่งฝีเท้าจากไป



ราวกับสัญญาณโทรทัศน์ขาดหาย จู่ภาพนั้นก็กะพริบติดๆ ดับๆ สองสามครั้ง ครั้นภาพปรากฏอีกครากับกลายเป็นภาพอื่นหาใช่ตลาดแห่งนั้นไม่



ใต้ต้นจำปีสูงท่วมศีรษะ บนผ้าสีตุ่นที่วางบนผืนหญ้าเขียวชอุ่ม นวลกำลังขมักเขม้นกับการร้อยมาลัย สมาธิและความตั้งใจทำให้กว่าจะรู้ว่ามีผู้มาเยือน ใครคนนั้นก็มาหยุดยืนตรงหน้าเสียแล้ว

หญิงสาววางมือ เงยหน้า ครั้นเห็นว่าเป็นใครจึงยิ้มแป้น

‘พี่เดช! มาพบคุณแม่หรือคะ’

ขุนเดชาราชเดชไม่ได้สวมชุดขุนนางเต็มยศ แต่สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวแขนยาว ปลดกระดุมทุกเม็ด กับนุ่งโจงสีน้ำตาลอ่อน คาดเอวไว้ด้วยผ้าสีพื้นสีเดียวกับโจงที่นุ่งอยู่ ใบหน้าคร้ามคมแม้มีแววอิดโรยไม่น้อย แต่ประกายตากับระยับด้วยความสุข

‘จ้ะ...ประเดี๋ยวพี่ลงมาคุยด้วย รอพี่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหนหนาเจ้า’

พูดจบเขาก็ผละจากไป หายไปสักพักใหญ่ๆ เขาก็กลับมานั่งตรงหน้าหล่อนแล้ว

‘พี่มีของจักให้เจ้า’

พร้อมกับพูด เขาล้วงหยิบบางสิ่งออกมาจากผ้าคาดเอว เป็นห่อผ้าสีขาวสะอาดตา เมื่อคลี่ออก คนมองถึงกับทำตาโต

‘ทับทรวงหรือคะ’

ทับทรวงทองคำประดับด้วยทับทิมและมรกต ประกายอัญมณีวาววามชวนมองบ่งบอกว่าเป็นของดีและมีราคาเพียงใด

‘เห็นว่าเจ้าชอบ’ เขาว่าพลางขยับกายคุกเข่า ‘มา...ให้พี่สวมให้เถิด’

นวลกะพริบตาปริบ แล้วกระเถิบห่าง

‘ได้อย่างไรเล่าคะ ของมีค่าเช่นนี้ นวลไม่กล้ารับดอกค่ะ’

‘ผู้ใหญ่ให้ของ ไม่รับได้หรือ’

เจอย้อนเข้าให้เช่นนี้ นวลถึงกับพูดไม่ออก

‘แต่...’

ขุนเดชาราชเดชไม่รอให้หล่อนปฏิเสธ เขาบรรจงสวมทับทรวงส้นนั้นให้กับหล่อนทันทีราวกับเป็นการบังคับกลายๆ

‘เหมาะกับเจ้า’ เขากระซิบริมหูหล่อน เสียงห้าวทุ้มก้องกังวานอยู่ในอกของคนฟัง พร้อมกับใจที่เต้นรัวแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ‘พี่ไม่อยากให้เจ้ารับของจากคนอื่น เจ้าจักยอมรับของจากพี่คนเดียวได้ฤๅไม่’



ภาพนั้นตัดฉับ ก่อนข้าวหอมจะเบิกตาโพลง เหงื่อซึมออกมาตามไรผม แผ่นหลังที่ทาบอยู่กับเบาะนอนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อราวกับหล่อนเพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนัก

หญิงสาวยกมือทาบอก สัมผัสแรงเต้นของหัวใจตน สูดลมหายใจลึกยาว นานเท่านานกว่าจะขยับตัวลุกนั่ง

ฝัน...หล่อนฝันอีกแล้ว

หล่อนฝันแปลกๆ มาหลายครั้งจนกลายเป็นความเคยชิน ทว่าวันนี้...มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หล่อนประหลาดใจ

‘พี่ไชย’ ผู้นั้น...แม้จะดูอ่อนเยาว์กว่าที่หล่อนเคยเห็น แต่หล่อนก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเขาคือคนคนนั้น...คนที่กระทำการอันอุกอาจ หอมแก้มหล่อนเมื่อวานนี้!

ไยชายผู้นั้นจึงมาอยู่ในฝันของหล่อนได้ เด็กที่ชื่อนวลนั่นอีก...เป็นใครกันหนอ ทำไมหล่อนถึงฝันเด็กคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง

และ...คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน เมื่อระลึกถึงบางสิ่ง

ทับทรวงเส้นนั้น...คุ้นตา คุ้นใจเหลือเกิน เพราะมันเหมือนกับทับทรวงที่สตีฟมอบให้หล่อนราวกับเป็นเส้นเดียวกัน!




ปุกาดดดด
หลังจากบทนี้ ศศิจะลงตอนพิเศษให้อ่าน (ตอนพิเศษนี้ไม่ได้มีในรูปเล่มน้า แต่จะแนบไว้หลังเล่มพรหมรักเหนือกาลลิขิต - คาดว่าจะพิมพ์ปลายปีหน้า) ตอนพิเศษจะมีกี่ตอนยังไม่แน่ใจนะคะ ก็เขียนไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์คนเขียน ฮาาาาา

สำหรับใครที่รอรูปเล่มอยู่ จะเริ่มจัดส่งประมาณ 11 ส.ค.ค่ะ
EBOOK วางแผงแล้วนะคะ ^^




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2559, 15:11:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2559, 15:11:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1510





<< บทที่ ๘ - เจ้าสาวความจำเสื่อม ๒   ตอนพิเศษ ๑ – คนขี้เก๊กหึงโหด [40%] >>
แว่นใส 1 ส.ค. 2559, 16:16:16 น.
รู้เรื่องอดีตเพิ่มขึ้นละ


คิมหันตุ์ 1 ส.ค. 2559, 22:14:52 น.
แอบงงไปอีกกกกก. รออ่านในเล่มเจ้าค่ะ


Zephyr 2 ส.ค. 2559, 19:40:33 น.
ตกลงข้างหอมเป็นนวลแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account