ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 7
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๗
หนึ่งวันผ่านไป วันอิชทาร์
ณ ส่วนลึกสุดของวิหารเทพีอิชทาร์ เสียงสังวัธยายมนตราก้องกังวาน เครื่องดนตรีอันประกอบด้วยพิณฮาร์ป ขลุ่ย แตร กลองหนัง ตลอดจนเครื่องเคาะให้จังหวะล้วนกำลังขับขานท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์
โอ อิชทาร์ มหาเทพีผู้เกรียงไกร
นามของพระองค์ขจรทั่วพิภพ ดังกึกก้องถึงสรวงสวรรค์
พระองค์ผู้เหยียบยืนอยู่บนหลังสิงโต พระหัตถ์ทรงมหาศัสตรา
ทิศใดพระองค์จรไปถึง ทิศนั้นคือชัยชนะแห่งบาบิลิม
ทิศใดพระองค์ย่างกรายไปถึง ทิศนั้นคือความพินาศของศัตรู
ทรงเป็นผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์บนพื้นพิภพ
ทรงอำนาจเหนือเทพีทั้งปวง
เสียงสวดสรรเสริญดังต่ออีกเนิ่นนาน ในห้องบูชาทึบสลัว มีเพียงนักบวชสูงสุดที่มีสิทธิ์รับใช้มหาเทพีโดยใกล้ชิด วันนี้การบูชาจักพิเศษและเนิ่นนานกว่าเคย ด้วยวันนี้คือวันแห่งพระนาง
ม่านขาวถูกกางบดบังเทวรูปมหาเทพี ด้วยเทพเจ้าต้องการความเป็นส่วนตัวระหว่างรับเครื่องบูชา
ครั้งนี้คือครั้งแรกที่นลินนา เทวาสถิตได้ร่วมสวดมนตร์กับนักบวชสตรีรูปอื่น ๆ หล่อนรับรู้ได้ถึงพลังบางอย่าง ความสงบวิเศษซาบลึกสู่ภายใน ดวงใจเริ่มก่อความศรัทธา
หล่อนลืมตา เพ่งสายตาไปยังห้องบูชา ก่อนชะงักไปครู่ คล้ายเห็นเงาสตรีขาวเรืองรองแวบวาบอยู่หลังม่าน
นางกำลังกินเครื่องบูชา สดับเสียงดนตรีอย่างเพลิดเพลิน โครงร่างราง ๆ เผยความงดงามของอิสตรี สตรีนางนั้นเงยมองเธอ ดวงตาคู่สวยสบมา ก่อนวาบหายไป เป็นจังหวะเดียวกับเสียงสังวัธยายมนตราสิ้นสุดลง
นลินนาอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบ ๆ เมื่อเสร็จสิ้นการบูชา นักบวชสตรีจึงพากันคารวะ และทยอยออกจากบริเวณ มีเพียงนลินนายืนค้างอยู่อย่างนั้น กระทั่งนินซาจับบ่า เอ่ยเรียก
“เจ้ารีบไปเตรียมตัวเถิด อีกประเดี๋ยวคนทางวังคงมารับ”
นลินนาหันไป อ้าปากจะเล่า แต่สุดท้ายก็อุบเงียบ ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตาเห็น
หญิงสาวอาบน้ำผลัดผ้ารวดเร็ว ชโลมน้ำมันหอมจรุงกรุ่นติดกาย หากชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดนักบวชสตรีดังเดิม ด้วยองค์กษัตริย์ทรงเชิญเธอไปในฐานะนักบวชแห่งมหาเทพีอิชทาร์ กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ลืมคว้าผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์ติดไปด้วย เพราะบาบิลิมอยู่ในเขตทะเลทราย หลังพระอาทิตย์ตกดิน อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว
ใกล้เวลานัดแล้ว หญิงสาวจึงออกไปรอด้านหน้าวิหาร โดยมีนินซายืนคอยเป็นเพื่อน จู่ ๆ ในใจก็บังเกิดความกังวล ประกายสับสนแล่นพล่าน ชักกลัวการพบเจ้าชายเพชกัลดาราเมช หากพระองค์ตรัสถามเรื่องของในกระเป๋านั่นเธอจะตอบยังไง น่าแปลก...เธอกลัวแม้กระทั่งองค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมจะสงสัยเคลือบแคลง เธอไม่ต้องการให้พระเนตรสีสนิมคู่นั้นมีความกังขาในตัวเธอ
เสียงรถศึกแล่นตะบึงได้ยินมาแต่ไกล ก่อนตัวรถจะตีโค้งเทียบจอดหน้าวิหารจนฝุ่นฟุ้งตลบอบอวล กระทั่งม่านฝุ่นเบาบาง นลินนาก็แทบช็อก
เจ้าชายเพชกัลดาราเมช! เหตุใดจึงเป็นคนเสด็จมารับ
เห็นเธอนิ่งค้าง นินซาจึงกระตุ้นเตือน หญิงสาวเดินลงไปอย่างเงอะงะ จับจ้องพระพักตร์แห่งเจ้าชายบาบิลิม วันนี้พระวรกายสูงตระหง่านอยู่ในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มดุจเดียวกับสีท้องฟ้ายามค่ำคืน ขับพระพักตร์ขาวอย่างชาวเซมิติกให้ผุดผ่อง แม้พระพักตร์นิ่งเฉย ทว่านลินนารู้สึกราวกับพระองค์กำลังรอคอยเธอ
พลันก้าวไปถึงรถศึก ก็ทูลถามทันที
“ทำไมเสด็จมารับเองเพคะ?” หล่อนมองอย่างไม่เข้าใจ ทว่าคำตอบกลับเรียบง่าย
“หากให้ผู้อื่นมารับจะช้า อีกอย่าง เจ้าเป็นแขกคนสำคัญ”
หล่อนพยักหน้ารับ สำรวจรถศึกของชาวคัชดูอันประกอบด้วยล้อไม้หุ้มโลหะสองล้อขนาดใหญ่ ตัวรถทำจากไม้เนื้อดี สามารถขึ้นยืนสี่คนได้สบาย และยังคงเทียมอัสดรสี่ตัวเช่นเดิมเพื่อความรวดเร็ว ดูจากสภาพการณ์หล่อนคงต้องเดินทางด้วยรถศึกคันนี้ หญิงสาวถกกระโปรงขึ้นรถ เอื้อมมือจับตัวรถศึกไว้แน่นอย่างเก้กัง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชครั้นทอดพระเนตรว่า เธอจับแน่นดีแล้ว จึงตะบึงออกตัว
ระยะทางจากวิหารไปที่ประทับของกษัตริย์แห่งบาบิโลเนียไม่ไกลนัก ปราดเดียว สวนลอยบาบิโลนก็เริ่มปรากฏชัดแก่คลองสายตา ความงามของมันยิ่งทบทวีเมื่อได้ทัศนาใกล้
ครั้นเห็นรถศึกของเจ้าชายเพชกัลดาราเมชใกล้เข้ามา นายทวารจึงเปิดทวารวังสรรค์จากไม้สนซีดาร์ไว้คอยท่า รถศึกพุ่งปราดเข้าไปรวดเร็ว พานลินนาเข้าสู่พระราชวังอันทรงคุณค่าอย่างยิ่งทางประวัติศาสตร์ เสียงล้อหุ้มโลหะเสียดกับพื้นอิฐดังสนั่น ทหารนายหนึ่งรีบปรี่มารับบังเหียนไปจากพระหัตถ์หลังจากเจ้าชายหนุ่มทรงโจนลงไป แล้วรับเธอลงมาพร้อมกัน
นักศึกษามานุษยวิทยาสาวยืนค้าง มองพระราชวังอันรายล้อมด้วยกำแพงสูงเสียด มีซุ้มประตูโค้งทะลุเชื่อมต่อลานทั้งห้าของพระราชวังเข้าไว้ด้วยกัน โดยลานที่สามที่หญิงสาวยืนอยู่มีขนาดใหญ่ที่สุด ผนังด้านหนึ่งประดับกระเบื้องเคลือบหลากสีเป็นลายดอกไม้ สิงโต และเสาหัวเป็นแฉกม้วนคล้ายหัวเสากรีกแบบไอโอนิก แทบทุกจุดมีทหารยืนประจำและเดินตะเวน นักศึกษาสาวเคยดูสารคดี และทราบว่า ที่นี่คือพระราชวังใต้ อีกทั้งยังรู้อีกว่า ภายหลังพระราชวังแห่งนี้จักเป็นที่สวรรคตของจักรพรรดิกรีกผู้เกรียงไกร พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช!
“รีบเข้าไปเถิด ป่านนี้เสด็จพ่อคงคอยเจ้า”
สุรเสียงแห่งเจ้าชายเพชกัลดาราเมชดึงเธอจากภวังค์ เสด็จเดินนำเข้าไปในห้องฝั่งประดับกระเบื้องเคลือบวิจิตรตระการตา
ภายในอลังการกว่าภายนอกนัก โถงทางเดินโอ่โถงกว้างขวาง ช่องเพดานเปิดรับแสง ผนังกรุกระเบื้องเคลือบสีฟ้าครามตัดลายสิงโตย่างเยื้องสีเหลืองปนน้ำตาล เสียงบรรเลงดนตรีจำพวกเครื่องสายดังแว่วมาจากด้านใน นลินนาเริ่มเห็นประดาขุนนางและชนชั้นสูงทยอยมาพร้อมยื่นตราประทับ ไม่ก็สาส์นเชิญให้ทหารด้านหน้าดู แล้วจึงผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย
ก่อนเข้าสู่งานเขต ‘มูชฮูชชู’ ประติมากรรมหินสลักรูปมังกรกึ่งอสรพิษ สัตว์สัญลักษณ์แห่งเทพมาร์ดุคยืนตระหง่านขนาบทางเข้าอันเป็นประตูซุ้มโค้ง นลินนาเหลียวไปแลมาดูโน่นนี่ราวชาวชนบทผู้ไม่เคยเผชิญความศิวิไลซ์ก็ไม่ปาน ก่อนดวงตาจะเบิกโตอีกทบทวีเมื่อลุสู่งานเลี้ยงอันเริงรื่นครื้นเครง
แม้ไม่ค่อยได้ออกงานกับมารดา ทว่าทายาทแห่งตระกูลเทวาสถิตก็ไปเฉพาะงานใหญ่ ๆ และสำคัญจริง ๆ เท่านั้น ทว่าความหรูหราของงานเลี้ยงเหล่านั้นเทียบไม่ได้กับงานเลี้ยงตรงหน้านี้ เบื้องหน้านลินนาคือโถงกว้างอันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีนางระบำและนางดนตรีคอยให้ความบันเทิง โต๊ะทองคำยาวเหยียดตามโถงแต่ละด้านวางอาหารสีสันฉูดฉาดด้วยเครื่องเทศ และมีกลิ่นหอมยวนใจอบอวล มหาดเล็กยกเหยือกไวน์วิ่งเข้าวิ่งออกกันเป็นพัลวัน เหล่าบุรุษสรวลเสเฮฮา บรรดาสตรีหัวร่อต่อกระซิก สีสันสดใสและประกายวูบวาบของเสื้อผ้าอาภรณ์ พาให้ชุดนักบวชของนลินนาดูมอซอขึ้นมาทันที ยิ่งเฉพาะสตรีชนชั้นสูงผู้ประดับศีรษะอย่างอลังการ
ท่ามกลางแขกเหรื่อมากมาย นลินนาแลเห็นเจ้าชายนาโบนัสซาร์อยู่กลางวงล้อมของสตรีชนชั้นสูง วันนี้เจ้าชายนาโบนัสซาร์ก็ทรงหล่อเหลาสง่างามไม่แพ้กัน ทรงอยู่ในอาภรณ์หรูหรา พระหัตถ์ขวาถือแก้วไวน์จนดูราวบุรุษเจ้าสำราญ กำลังมีพระปฏิสันถารกับประดาสตรีบาบิโลน พวกนางล้วนงดงาม ด้วยสตรีบาบิโลนนั้นขึ้นชื่อเรื่องความงามอยู่แล้ว นางเหล่านั้นผิวพรรณผุดผาด ดวงหน้าอันผสมจากหลากเชื้อชาติงดงามหมดจดราวรูปสลัก แม้เรือนร่างจะค่อนไปทางสูงใหญ่ กระนั้นกลับปรากฏสัดส่วนของอิสตรีแจ่มชัด
ครั้นเจ้าชายนาโบนัสซาร์ทอดพระเนตรเห็นเธอ ก็แย้มพระสรวลกว้าง รีบปลีกองค์มาจากวงล้อม
“ข้าดีใจจริง ๆ ที่เจ้ามา” รับสั่งด้วยพระพักตร์ยินดีจริง ๆ นลินนาจึงอดยิ้มตามไม่ได้
“เพคะ หม่อมฉันสัญญาแล้วว่า ยังไงก็จะมาให้ได้”
ทว่ากระแสรับสั่งต่อมากลับแปลกประหลาด “ข้ารู้ว่า ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องมา มิฉะนั้น เสด็จพี่ราเมชคงเหงา”
รับสั่งนั้นชวนให้ผู้ฟังฉงน นลินนาเบือนไปทัศนาองค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมก็พบว่า พระพักตร์คมคายทรงเสไปทางอื่นเสียก่อน ปล่อยหญิงสาวจากอนาคตกาลตกอยู่ในความงุนงงอย่างนั้น
จู่ ๆ เสียงแตรก็พลันกังวาน ทุกการเคลื่อนไหวหยุดชะงัก คล้ายรอรับใครสักคน ทันใดนั้น ทวารไม้สนซีดาร์ก็เผยออก พร้อมกับการเสด็จมาขององค์กษัตริย์
กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาเสด็จออกพร้อมพระราชินี และพระราชธิดาของพระองค์ ทั้งสามพระองค์อยู่ในอาภรณ์หรูหราเปี่ยมสง่าสมเป็นเชื้อสายผู้ครองอาณาจักร เบื้องหลังกษัตริย์อาเคอร์ดูอานามีมหาดเล็กคอยถือฉัตรหรือร่มขนาดใหญ่ตามเสด็จทุกย่างก้าว ร่างทั่วโถงย่อกายถวายความเคารพ เว้นเพียงเชื้อพระวงศ์แลนักบวชที่โค้งกายพอเป็นพิธี ครั้นกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาประทับบนบัลลังก์พร้อมรับสั่งว่า ให้ทำตัวตามสบาย งานเลี้ยงจึงกลับมาเริงรื่นดังเดิม
เจ้าชายแห่งบาบิลิมพานลินนาไปเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์และพระราชินี ฝ่ายกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาอยู่ในพัสตราภรณ์สีม่วงขลิบชายครุยทองอร่าม ส่วนพระราชินีอยู่ในพัสตราภรณ์สีแดงปักลายประทับสง่าบนบัลลังก์ข้างกัน ขณะพระราชธิดาอยู่ในพระภูษาสีอ่อนกว่า ทรงหยิบองุ่นขึ้นมาเสวย
เจ้าชายทั้งสองพานลินนามาถึงเบื้องพระพักตร์ นักบวชสาวก้มศีรษะถวายความเคารพ แล้วจึงเงยมองพระพักตร์ทรงอำนาจของกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาแลพระพักตร์เปี่ยมพระเมตตาขององค์ราชินี
“ยินดีต้อนรับสู่งานเลี้ยงของข้า สตรีผู้ถือกำเนิดจากมหาเทพี” กระแสรับสั่งภาษาอัคคัด ทำเอานลินนาตีหน้าไม่ถูก
“เป็นเกียรติ์ของหม่อมฉันเพคะ ‘ลูกาล’ ที่ได้รับคำเชิญจากพระองค์”
พลันได้สดับถ้อยทูล สีพระพักตร์แห่งองค์กษัตริย์กลับเปลี่ยนไป รับสั่งละม้ายพึมพำ
“ท่านพูดภาษาซูเมอร์ได้...?”
รับสั่งนั่น ทำเอานลินนางงเต๊ก ก่อนจักนึกออก ลูกาล แปลว่า กษัตริย์ในภาษาซูเมอร์
“เอ่อ...เพคะ หม่อมพูดซูเมอร์ได้ ส่วนอัคคัดกับอราเมอิกได้นิดหน่อย”
แค่นั้น สีพระพักตร์ก็ปรากฏความพึงพระทัยยิ่ง “น่าชื่นชมยิ่งนัก ตอนนี้เราหาคนพูดภาษาซูเมอร์ได้ยาก แม้กระทั่งชนชั้นสูงเอง น่าประหลาดที่สตรีพูดได้ แต่สำหรับสตรีผู้ถือกำเนิดจากมหาเทพีเช่นท่านคงมิใช่เรื่องแปลก”
นลินนารับฟังกระแสรับสั่งอย่างอึดอัด แล้วจึงกราบทูล
“อย่าเรียกหม่อมฉันเช่นนั้นเลยเพคะ หม่อมฉันชื่อ นลินนา ทรงเรียกว่า นลินนาจะดีกว่า”
กษัตริย์แห่งบาบิโลเนียสดับ ก่อนจักฉงน “อินันนา?”
หล่อนส่ายหน้า ไม่ใช่ นั่นพระนามของเทพีอิชทาร์ในภาษาซูเมอร์ “ไม่ใช่เพคะ นะ-ลิน-นา ไม่ใช่อินันนา”
ทรงขมวดพระขนงไปครู่ แล้วจึงพยักพระพักตร์ แย้มพระสรวลจาง ๆ “ได้ ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่า นลินนา”
หล่อนค้อมศีรษะรับ ต่อมาจึงเป็นองค์ราชินีที่รับสั่งขึ้น
“ดีเหลือเกิน ถ้าเช่นนั้นท่านคงเป็นสหายกับธิดาข้าได้”
“พระธิดาหรือเพคะ?” หล่อนทูลย้ำ
“ใช่ธิดาแห่งข้า นางชื่อ เอนนิกิกาลดิ-นันนา”
สิ้นรับสั่งขององค์ราชินี พระธิดาผู้ประทับบนบัลลังก์ต่ำกว่าจึงตรัสขึ้นคล้ายรั้งรอโอกาสนี้มานาน
“ใช่แล้วนลินนา ข้ายินดียิ่งหากจักได้เป็นเพื่อนกับท่าน ความจริง...ข้าชื่นชอบท่านตั้งแต่วันในโถงชะตากรรมแล้ว เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้พบเจอ”
นลินนายิ้มจาง จับมองพระพักตร์สดใสของเจ้าหญิงผู้มีพระนามยาวเหยียด
“หม่อมฉันก็ยินดีที่ได้เป็นพระสหายเพคะ เพียงแต่เราคงไม่ได้พบเจอกันเท่าใด เพราะหม่อมฉันต้องรับใช้มหาเทพี”
หากพระราชินีเป็นผู้มีรับสั่งขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าจักกล่าวกับนักบวชสูงสุดเอง ให้มาเป็นครั้งคราวคงไม่มีปัญหาอันใด เอนนิกิกาลดิ-นันนาเองก็ไม่ค่อยมีสหาย นางพูดภาษาซูเมอร์ได้อยู่บ้าง คงไม่ลำบากท่าน”
ได้ยินดังนั้น นักบวชสาวก็ยิ้มรับ เบือนไปสบพระพักตร์แจ่มใสของเจ้าหญิงวัยดรุณีซึ่งทรงพระสิริโฉมแท้ตามเชื้อสายชาวเซมิติก
สตรีทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มินานก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา บุรุษผู้นั้นพาให้พระพักตร์เบิกบานของเจ้าหญิงหุบลงทันควัน นักบวชสาวฉงน มองตามก็แทบนิ่งเป็นหุ่น ครั้นเผลอสบสายตาพิฆาตประดุจดวงตาของหมาป่านั่น
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อเสด็จแม่”
บุรุษผู้นั้นก้มคารวะพระบิดามารดาแล้วจึงเงยหน้าขึ้น พระพักตร์คมคายนั้นละม้ายเจ้าชายเพชกัลดาราเมชแลเจ้าชายนาโบนัสซาร์นัก หากมีเค้าเข้มงวดจริงจังกว่า จนนลินนาแทบไม่อยากใกล้กราย ครั้นเห็นบรรยากาศอึดอัดเริ่มก่อตัว เจ้าชายนาโบนัสซาร์จึงรีบตรัสแนะนำ
“นลินนา นี่ซามูลาเอล พระเชษฐาของข้า”
นักบวชสาวนิ่งไปครู่ ก้มศีรษะคำนับ เจ้าชายซามูลาเอลจึงผงกพระเศียรรับน้อย ๆ ทว่าสายพระเนตรกลับจดจ้องเธอไม่ลดวาง ชวนให้ร่างเธอแข็งค้าง ไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงทอดพระเนตรเธอด้วยสายตาเช่นนั้น ซ้ำยังแปรไปทางพระเชษฐา ละม้ายต้องการค้นหาบางอย่าง ทว่าไม่พบ ก่อนจักทรงคารวะพระบิดามารดาอีกครา แล้วเสด็จจากไป ทิ้งความงุนงงแก่นลินนาแลราชวงศ์แห่งบาบิลิม
เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาครั้นคล้อยหลังพระเชษฐาก็เสด็จลงจากบัลลังก์ คว้าแขนเธอ หมายจะเสด็จเข้าไปในวงงานเลี้ยง
“นลินนา ไหนๆ เราก็เป็นสหายกันแล้ว ไปกับข้าเถิด”
รับสั่งพลางกระตุกแขนเธอให้เดินไปด้วยกัน ทว่าราชโอรสองค์ที่สามแห่งกษัตริย์อาเคอร์ดูอานากลับเสด็จมาขวางไว้
“เจ้าอย่าไปรบกวนนลินนาสิ ’นันนามากับพี่เถิด พี่มีเพื่อนจะแนะนำให้เจ้ารู้จักเยอะแยะเลย”ตรัสจบ แวบเดียวราชโอรสแห่งกษัตริย์ก็ทรงลากพระขนิษฐาหายไปรวดเร็ว ทิ้งนลินนากับเจ้าชายเพชกัลดาราเมชให้ยืนอยู่เบื้องพระพักตร์องค์กษัตริย์และราชินี ทัศนาดังนั้น องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมจึงตรัสขึ้น
“มาเถิดนลินนา ข้ามีอะไรให้เจ้าดู”
ทูลลาองค์กษัตริย์และราชินีเสร็จ องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมก็เสด็จนำไปยังโต๊ะจัดเลี้ยง ทรงเรียกมหาดเล็กให้ไปนำบางอย่างมา ก่อนมหาดเล็กผู้นั้นจักกลับมาพร้อมถาดในห่อผ้ามิดชิดรัดด้วยเกลียวเชือกมีดินเหนียวประทับตราลัญจกรบ่งว่า ยังไม่มีผู้ใดเปิดดูของในห่อนี้ เจ้าชายแห่งบาบิลิมทรงรับห่อมา แกะตราดินเหนียวออก แล้วเปิดผ้าคลุม หญิงสาวจึงได้ทัศนาของที่อยู่ภายใน
ลักษณะมันคล้าย ๆ กับ...เค้ก!
หญิงสาวแหงนมองเจ้าชายผู้เคร่งขรึมซึ่งบัดนี้ระบายรอยแย้มสรวลบางเบา
“นี่ไงขนมของเจ้า”
หญิงสาวชะงักค้าง รู้สึกหัวใจพลันเต้นแรง หล่อนหยิบเค้กขึ้นมาชิมดูก็พบว่า มันหอมหวานอร่อย เนื้อแป้งเนียนนุ่ม หวานด้วยอินทผลัมกับลูกเกด อีกทั้งยังหอมมันด้วยเนยและชีส ทั้งที่ไม่ได้หวานขนาดเค้กในปัจจุบัน แต่รสหวานธรรมชาติของมันกลับโอชาไม่แพ้กัน จนหล่อนเผลอกินไปเกือบหมด เหลือเพียงชิ้นสุดท้ายจึงชะงัก เค้กยังอุ่น แสดงว่า เจ้าชายหนุ่มยังไม่ได้เสวย
“จะเสวยไหมเพคะ?” ทูลถาม พลางหยิกเค้กชิ้นนั้นถวาย
เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล เห็นนางรื่นรมย์เช่นนี้ก็มิอยากขัด “เจ้ากินเถิด”
“แต่อร่อยนะเพคะ” ทูลไม่พอ ดวงตาเรียวสีน้ำตาลงดงามยังแป๋วแหววราวเด็ก ๆ ดวงตาใสซื่อนั่นทลายป้อมปราการได้ง่ายดาย จะทรงยื่นหัตถ์ไปรับ หากนางกลับยื่นมาป้อนถึงพระโอษฐ์ ทรงลังเล กระทั่งแลเห็นเนตรคู่นั้นเป็นประกายสดใสคะยั้นคะยอก็เสวย สิ่งที่นานครั้งจะปรากฏขึ้นกับพระองค์เองคือ ความเขินอายต่ออิสตรี
น่าแปลก ทั้งที่นางน่ารัก บอบบาง ดูน่าถนอม หากกระทำทุกอย่างของนางล้วนทรงพลังต่อพระหทัย นางป้อนพระองค์จนหมด แล้วหยิบเสี้ยวเล็ก ๆ สุดท้ายเข้าปาก
ทรงฉุกคิด ไม่มีสตรีนางใดที่พระองค์ทำได้เพียงมอง เหล่าเชื้อพระวงศ์หากสิเน่หาหรือปรารถนาสตรีนางใด สตรีนางนั้นย่อมต้องถวายตัวโดยมิอาจขัดขืน ทว่ากับคนตรงหน้าทรงกลัวว่า หากยื่นหัตถ์แตะต้อง นางจักสูญสลายหายไป ทรงไม่ปรารถนา แม้แต่จะให้ดวงตาคู่นั้นมีความหวาดกลัวในตัวพระองค์ น่าประหลาดหรือไม่
ในคลองพระจักษุ นางยังคงหยิบโน่นกินนี่ไปเรื่อย หากอันไหนอร่อยเป็นพิเศษก็จักใส่ถาดยื่นมาถวาย แล้วหากพระองค์ปฏิเสธนางก็จักคะยั้นคะยอจนพระองค์ยอมเสวย ทรงมองนางขัน ๆ ไม่ทันเห็นสายตาของซามูลาเอลกำลังจับจ้องมาอย่างสังเกตการณ์
“เจ้าอิ่มหรือยัง?”
ร่างโปร่งระหงพลันชะงัก เสร็จจากของคาวหวานแล้ว เหลือเพียงผลไม้เท่านั้น
“ทำไมหรือเพคะ?” หญิงสาวถาม
“ข้ามีอะไรจะพาเจ้าไปดู”
หญิงสาวรับฟังงุนงง พยักหน้า ก่อนคว้ามะเดื่อไปลูกหนึ่ง แล้วตามเสด็จเจ้าชายเพชกัลดาราเมชไป โดยมีสายพระเนตรของเจ้าชายซามูลาเอลจับจ้องไม่คลาดคลา
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชพาเธอออกจากเขตงานเลี้ยง เดินทะลุลานต่าง ๆ ไปทางทิศตะวันตก นลินนากวาดมอง ชักไม่แน่ใจว่า องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมทรงพาเธอไปที่ใด บริเวณเหล่านี้ไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้ามาได้ หล่อนได้ยินเพียงความสงัดสลับกับเสียงบรรเลงดนตรีและเสียงหัวร่อต่อกระซิกของเหล่าสตรีในลานสุดท้ายของพระราชวัง ก่อนฝ่าเท้าจะย่างผ่านความสลัวของคบเพลิงทะลุออกสู่ที่ใดสักที่
ลุถึงที่หมาย องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมชะงักฝีพระบาท นลินนาหยุดตาม เงยมองสถานที่ที่ตนมาถึง หล่อนแทบหยุดหายใจ ไม่คาดคิดในสิ่งที่ปรากฏสู่สายตา
*************************************************************************************************************
มาต่อแล้วค่า ขอโทษนะคะที่หายไปนาน ตอนนี้เป็นตอนที่ยากมากๆ ตอนหนึ่งเลย เพราะพระราชวังใต้เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งของเมืองบาบิลิม คนเขียนเลยพยายามตั้งใจเขียนให้ดีที่สุด เเละต้องไปค้นคว้ามาพอสมควร ว่าเเต่เดิมมันเป็นยังไง เนื่องจากว่า ขุดพบเเค่ฐานอาคารเท่านั้น เเต่ไม่ปรากฏชัดว่า ภายในมีการตกแต่งยังไง จึงต้องอ้างอิงจากแหล่งสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกันนั่นก็คือ พระราชวังของอัสซีเรีย
เเต่เอาเป็นว่า ตอนนี้เป็นอีกตอนหนึ่งที่คนเขียนฟินมากๆ แล้วกันค่ะ ความจริงแล้วเซธ-เวเรทชอบผู้ชายแบบพระเอกมากมาย รู้สึกว่า ความรักที่เขามีให้มันละมุนๆ เเล้วก็น่ารักดี ไม่ค่อยชอบแบบจิกกัดอะไรเท่าไร ซึ่งอันนี้เเล้วเเต่คนนะคะ เเต่นี่เป็นความรักในอุดมคติของคนเขียน สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน รวมทั้งมาคอมเมนต์ด้วยนะคะ ชื่นใจมากๆ เลย อยากขอฝากเนือฝากตัวไปอีกนาน
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2559, 15:11:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2559, 13:26:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 986
<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 6 | มัตติกาจารึกแผ่นที่ 8 >> |
แว่นใส 16 มิ.ย. 2559, 19:51:41 น.
เจ้าชายนักบวช ทรงสงสัยอะไรนะ
เจ้าชายนักบวช ทรงสงสัยอะไรนะ
Likewizy 17 มิ.ย. 2559, 07:17:44 น.
นางเอกน่ารักมากกกก สนแต่ของกิน
นางเอกน่ารักมากกกก สนแต่ของกิน