รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทที่ 1

สวัสดีนักเขียนและนักอ่านในวันที่ฝนยังตกอย่างชุ่มฉ่ำค่ะ
จริงๆ น่าจะลงนิยายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ขัดข้องนิดหน่อยเลยเพิ่งได้มาลง ต้องขออภัยด้วยค่ะ ^^
ขอบคุณผู้มีอุปการคุณหน่อยค่ะ

คุณแว่นใส oOo ตอนนี้คงได้คำตอบชัดเจนเนอะ ^^
คุณคิมหันตุ์ oOo งั้นก็น่าจะได้คำตอบพร้อมคุณแว่นใสนะคะ ^^
คุณ ann oOo ขอโทษนะคะให้รอนานไปหนึ่งวัน ยินดีที่ชอบนะคะ ^^
คุณลูกขนไก่ oOo มีนอกมีใน? นั่นสิคะ ^^
คุณ dedy oOo มาอ่านตอนนี้กันนะคะ ^^
คุณanOO oOo เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ... ^^
คุณใบบัวน่ารัก oOo มีเยอะนะคะในสังคมปัจจุบัน ที่คบโดยไม่รู้ว่าตัวมาทีหลัง ^^
คุณแล่นแต๊ oOo ยินดีและอยากให้ติดตามค่ะ ^^
คุณบัวขาว oOo อย่างเขาว่าไหมคะ ไว้ใจกับโง่ มีแค่เส้นบางๆ คั่น ^^
คุณปูสีน้ำเงิน oOo นั่นสิคะ ^^
คุณวิรัตต์ยา oOo รับกำลังใจค้าบบ พี่แก้ว ^^

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



บทที่1


‘พอรู้ว่าโทรศัพท์สลับกัน ฉันยกให้เด็กแถวบ้าน เขาส่ายหัวดิก บอกว่า ‘เชย!’ ปุ่มกดก็มีปุ่มเดียว สู้สามสามหนึ่งศูนย์ก็ไม่ได้ ‘ล้ำ’ มีครบทุกปุ่ม!’

แทนที่จะเดือดร้อน ภัทริศกลับหัวเราะถูกใจ อ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็หัวเราะซ้ำไปซ้ำมาเช่นกัน ดวงตามีรอยขันเจือหวาน เมื่อนึกถึงหน้าเจ้าของโทรศัพท์สุด ‘ล้ำ’ เครื่องนี้ จนไม่สำเหนียกว่ามีใครอีกคนมายืนมองอยู่ตรงหน้าประตูนานแล้ว

“พี่ว่าพี่พาริศไปหาหมอดีไหม อาการแปลกๆ ตั้งแต่เย็นวาน เช้านี้ยังลุกมานั่งหัวเราะคนเดียวอีก ไหนดูซิ ตัวร้อนหรือเปล่า”

ภัทรมนก้าวเข้ามานั่งบนเตียงนอนข้างน้องชายที่ผมเผ้ายังยุ่งเหยิงบ่งบอกว่าเพิ่งตื่นนอน ยื่นมือไปอังหน้าผากเบาๆ

“ตัวไม่ร้อน...เอ๊ะ แล้วนี่โทรศัพท์ใคร อย่าบอกนะว่าเจ้าพ่อไอทีอย่างริศเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์รุ่นนี้แล้ว”

สีหน้าน้องชายยังคงเกลื่อนยิ้มอย่างไม่คิดปิดบัง เขายื่นข้อความให้พี่สาวอ่าน ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กจนแทบไม่เคยมีความลับต่อกัน

พอพี่สาวทำหน้างงจึงอธิบาย

“เมื่อวานมีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งชนผม โทรศัพท์เราเลยสลับกันครับ” พอเข้าใจภัทรมนจึงหัวเราะเบาๆ

“ดูท่าทางจะเป็นคนอารมณ์ขันนะ” น้องชายพยักหน้าเห็นด้วย ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มยิ้มโดยไม่รอดพ้นสายตาพี่สาว “และคงจะสวยด้วย ใช่ไหม?”

คำหลังถูกเน้นเสียง ชายหนุ่มจึงเงยขึ้นสบตา ถึงจะรีบปรับสีหน้ายังไงก็ไม่ทันเสียแล้ว

“ก็...” เขาแกล้งลากเสียงยาว จึงโดนตีเข้าให้ “โอ๊ย! เดี๋ยวนี้แรงเยอะจริงพี่มนเนี่ย”

“ไม่ต้องมาทำพูดดีเลย อย่าให้น้องแยมหรือคุณแม่เห็นสีหน้าอย่างนี้เชียวนะ ได้โวยวายแหลกแน่ นี่คุณแม่ก็โทร.หาพี่แต่เช้าถามหาริศให้วุ่น บอกว่ามีผู้หญิงรับโทรศัพท์ริศ”

“จริงหรือครับ!” ภัทรมนพยักหน้ายืนยัน “ชีวิตหาความสงบสุขไม่ได้แน่แล้วนายริศเอ๊ย!” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนไม่ยักกะรีบลุกไปโทร.หาหรือไปหาเสียเลย แสดงว่าไม่เดือดร้อนจริง

“คุณแม่ยังบอกอีกว่าน้องแยมบินไปดูงานของบริษัทสาขาที่สิงคโปไฟลท์หกโมงเช้า ริศไม่รู้หรือถึงไม่ได้ไปส่งที่สนามบิน” ภัทรมนทั้งถามทั้งบอกพร้อมกัน คนเพิ่งทิ้งตัวนอนเด้งตัวกลับมานั่งใหม่

“รู้ครับ แต่เธอไม่ได้ชวนให้ไปส่งนี่ อีกอย่าง แยมบินไปดูงานออกบ่อย แทบทุกเดือน ไปแค่อาทิตย์เดียว ไม่ใช่เป็นปีๆ สักหน่อย ถึงต้องล่ำลากัน” น้ำเสียงราวกับพูดถึงคนอื่นที่ห่างเหิน ไม่ใช่คู่หมั้นที่มีพันธะต่อกัน

“ทำไมพี่รู้สึกว่าริศเฉยชากับน้องแยมจัง มีอะไรกันหรือเปล่า” ภัทรมนเริ่มกังวลจริงจัง

“อย่างที่ผมบอกพี่มนนั่นละ แยมเขาเปลี่ยนไป ระยะหลังนี่หงุดหงิดง่าย เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจตลอดเวลา” เป็นการอธิบายเพื่อความเข้าใจ ปราศจากความกังวล หรือความเครียดอย่างคนรักพึงมีต่อกัน

“ริศ...พี่ถามจริงๆ เถอะ รักน้องแยมไหม?”

“เราเหมาะสมกันดีนี่ครับ ทั้งหน้าตา ฐานะ ถ้าสร้างครอบครัวกันก็คง...ไม่พัง”

แม้คำตอบในใจคือเขาไม่เคยรักยศยาจริงๆ แต่เพราะความเป็น ‘ลูกผู้ชาย’ คอยเตือนเสมอว่าควรให้เกียรติเพศตรงข้ามทั้งต่อหน้าและลับหลัง โดยเฉพาะคำพูด จึงเลี่ยงการตอบตรงๆ

ภัทริศรู้ตัวเองดีเขาหมั้นกับยศยาเพราะความเต็มใจ ไม่ใช่โดนบังคับ ตอนนั้นเขาไม่มีใคร และไม่เห็นข้อเสียของยศยา เห็นว่าเธอก็น่ารักดี ครั้นเมื่อมารดาบอกว่าขอให้หมั้นกันไว้ก่อนเพื่อศึกษาดูใจ ชายหนุ่มจึงไม่ได้ปฏิเสธ เวลานั้นเขาไม่ได้มองหาหรือให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ความรัก’

“ครอบครัวอาจไม่พัง แต่ชีวิตคู่น่ะ พังแน่ ถ้าแต่งงานกันไปเพราะไม่รัก ดูอย่างบางคู่สิรักกันก็ยังพังได้เลย ยิ่งถ้าไม่รักกันมันจะอยู่กันยืดเหรอริศ” ภัทรมนเอ่ยคล้ายจะเตือน ความขมขื่นในจิตใจเธอน่าจะเป็นบทเรียนที่ชัดเจนของชีวิตคู่ที่กำลังจะพังครืน หากไม่ประคับประคองไว้ให้ดี “ลองคิดดู ถ้าริศเจอใครสักคนที่รักและอยากใช้ชีวิตคู่กับเขา ริศจะทำอะไรไม่ได้ มันทรมานนะริศ ความรักเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราควบคุมมันไม่ได้ สั่งไม่ได้ ต่อให้บอกไปอีกทาง มันก็จะเลือกตามเส้นทางของใจไม่ฟังเหตุผล...พี่เตือนเพราะรักนะ”

ชายหนุ่มดึงมือพี่สาวมากุม รอยยิ้มบนใบหน้ามีทั้งความรักและขอบคุณปนกัน

“ผมคงไม่โชคร้ายมาเจอความรักเอาเมื่อสายไปแล้วมั้งครับ” พอพูดออกไปแล้วหัวใจเขาหวั่นแบบแปลกๆ

“โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตเราเสมอ พี่ไม่อยากให้ริศอึดอัดกับน้องแยม” มือนิ่มวางทับมือน้องชาย ยิ้มให้น้อยๆ “ไม่ใช่พี่ไม่ชอบน้องแยมนะ แต่ถ้าริศไม่รักเธอ ก็...หาทางออกซะ” สองพี่น้องประสานสายตากันราวกับจะบ่งบอกถึงความรู้ใจ “รีบอาบน้ำล่ะ พี่จะไปรอทานมื้อเช้าข้างล่าง”



มื้อเช้ายังคงมีแค่สองพี่น้องเช่นมื้อเย็นเมื่อวาน ภัทริศจับได้ถึงกระแสเศร้าหมองของพี่สาว เห็นทีเขาคงต้องหาทางยื่นมือเข้ามา ‘ยุ่ง’ เรื่องนี้เสียแล้ว ขืนปล่อยไว้แบบนี้พี่สาวเขาคงตรอมใจจนสุขภาพย่ำแย่กว่าเดิมแน่นอน

“พี่ภัตยังไม่กลับมาหรือครับ”

“กำลังกลับมาจ้ะ สงสัยทำงานจนแทบไม่ได้พักเลย เห็นบ่นว่าเพลียมาก” รอยยิ้มยามเอ่ยเล่าจืดเจื่อนเต็มทน “วันนี้ริศจะเข้าออฟฟิศหรือเปล่าจ๊ะ” ภัทรมนรีบชวนเปลี่ยนเรื่อง

ทั้งที่อยากถามอยากพูดอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพี่เขย แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดใจ

“เรื่องเข้าออฟฟิศน่ะไม่เข้าแน่นอนครับ ยังไม่ถึงเวลา ผมตกลงกับคุณพ่อแล้วไงครับว่ารอให้อายุครบสามสิบก่อน ถึงจะยอมทิ้งอิสระไปนั่งเก้าอี้ท่านประธาน”

“แหม ก็แค่เดือนเดียวเองนะ น่าจะลดหย่อนให้คุณพ่อบ้าง”

“สำหรับอิสรภาพ ผมจะยื้อจนวินาทีสุดท้ายเลยละครับพี่มน”

“แต่คุณพ่ออายุเยอะแล้วนะริศ”

“พูดแบบนี้ถ้าคุณพ่อมาได้ยินละก็ ไม่ยกเก้าอี้ท่านประธานให้ผมแน่ๆ พี่มนก็รู้ว่าคุณพ่อเราน่ะ หัวใจยังหนุ่ม ขืนรู้ว่าลูกสาวสบประมาท ได้โชว์พลังทำงานไม่หยุดแหงๆ”

สองคนพี่น้องพากันหัวเราะสนุกสนาน บิดากับมารดาพวกเขามีความแตกต่างชัดเจน ผู้เป็นบิดานั้นใช้ชีวิตอย่างสุนทรี เลี้ยงลูกแบบตามใจ ให้อิสระ ส่วนมารดานั้นชีวิตมีกฏเกณฑ์ มีกรอบต่างๆ มากมาย ทว่าทั้งสองครองชีวิตคู่กันได้ยาวนาน...สิ่งเดียวที่ลดความต่างนั้นคือ ‘ความรัก’

เสียงหัวเราะหยุดลงเมื่อเสียงริงโทนที่ภัทริศยังไม่ได้ตั้งใจฟังว่าเป็นเพลงอะไรดังขึ้น พร้อมกับสั่นครืดๆ ใกล้ชามข้าวต้ม ชายหนุ่มเหลือบดู พอเห็นว่าเป็นเบอร์ตัวเองก็รีบกดรับ

จะมีใครประหลาดเหมือนเขาไหมนะ แค่เห็นหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองโชว์หรา ก็ยิ้มรับหน้าบาน ไม่นึกเดือดร้อนว่าตอนนี้มันตกอยู่ในมือของคนไม่รู้จัก

“สะ...”

“คุณ! ช่วยเอาโทรศัพท์มาแลกคืนทีเถอะ มันสั่นตลอดเวลาจนฉันไม่มีสมาธิทำงานแล้ว ถ้าคุณเสียดายก็รีบมาแลกคืนให้เร็วที่สุด ก่อนฉันจะทุบมันพังคามือ รบกวนสละเวลาเอามาแลกกันที่...ตอนเที่ยงตรง อย่าช้านะคุณ”

“โอเคครับ”

“งั้น แค่นี้แหละ”

บทสนทนาทุกอย่างรวดเร็วจนพี่สาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามงงกับสีหน้าน้องชาย ได้ยินคำทักทายไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็เอาแต่เงียบและก็อมยิ้ม ก่อนตบท้ายด้วยการตกลงอะไรสักอย่างแล้วตัดสัญญาณไป

“วันนี้พี่มนจะออกไปไหนหรือเปล่าครับ” ภัทรมนส่ายหน้างงๆ “ดีเลย งั้นผมขอยืมรถก่อนนะครับ”

“แล้วริศจะไปไหนล่ะ ไม่ไปหาหรือโทร.รายงานคุณแม่หน่อยเหรอ เดี๋ยวโดนหนักนะ” หญิงสาวบอกแกมขู่

“ไปแลกโทรศัพท์คืนครับ แล้วก็จะกลับเข้าบ้านไปหาคุณแม่ ถ้าระหว่างนี้คุณแม่โทร.มาก็รบกวนพี่มนช่วยเล่าให้ท่านเข้าใจแล้วกันนะครับ ผมยังไม่อยากหูชา ค่อยไปทั้งหูชา ทั้งตัวเขียวที่บ้านทีเดียวเลยละกัน” แล้วชายหนุ่มก็ลุกพรวดพราดเดินขึ้นห้องไป

ภัทรมนมองตามแล้วได้แต่ถอนใจ คนรักอิสระอย่างภัทริศ ทำอะไรรวดเร็วเสมอ น้องชายเธอยังไม่เหมาะที่จะมีพันธนาการผูกมัดเร็วขนาดนี้ โดยเฉพาะพันธนาการที่ชื่อยศยา รายนั้นอารมณ์ปรวนแปร ค่อนข้างเอาแต่ใจ ผิดกับภัทริศ ที่ง่ายๆ สบายๆ ไม่ชอบผูกติดกับใคร เอาใจไม่เก่ง อนาคตข้างหน้าดูท่าจะไปรอดยาก

ยิ่งไม่มีความรักมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว...ต่อให้ดื้อดึงแต่งงานกันไป ก็รังแต่จะเป็นทุกข์กันเปล่าๆ

กับคนบางคนแค่เห็นก็ถูกชะตา แค่ได้คุยก็รู้สึกชอบ หากกับอีกบางคน ต่อให้พยายามเข้าใกล้และทำดีสักแค่ไหน ก็ยังเหมือนมีอะไรกีดขวางกางกั้นอยู่ดี

ภัทรมนไม่ได้เกลียดยศยา ไม่เลยจริงๆ แต่เหมือนระหว่างเธอกับคู่หมั้นน้องชาย จะมีกำแพงอะไรสักอย่างคอยกีดขวางทุกทีที่ได้เจอกัน...หรือเธอกับยศยาอาจศรศิลป์ไม่กินกันกระมัง



จุดนัด ‘ไถ่ตัวประกัน’ คือร้านอาหารห่างจากบริษัทที่มธุรินทำงานไม่มากนัก เธอไม่อยากนัดไกลๆ เพราะกลัวกลับมาทำงานช้า ซึ่งความจริงการเข้างานช่วงบ่ายถ้ามีสายบ้าง นรินทร์ผู้เป็นเจ้านายก็ไม่เคยตำหนิ เนื่องจากมธุรินเป็นคนทำงานแทบไม่เคยพลาด ภาษีสำหรับเจ้าของบริษัทจึงค่อนข้างดีทีเดียว

หญิงสาวออกมากับเพื่อนสนิทอย่างกังสดาล เพราะปกติก็ทานข้าวด้วยกันทุกวันอยู่แล้ว วันนี้พอเธอบอกว่านัด ‘คนไม่รู้จัก’ มาแลกโทรศัพท์คืน อีกฝ่ายมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าคนไม่รู้จักคนนั้นเป็นผู้ชาย

เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้มือดังขึ้น ส่งผลให้คนที่ชะเง้อคอยืดคอยาวสะดุ้ง ด้วยกลัวว่าคนโทรมาจะเป็น ‘พระมารดา’ อีก หากพอเห็นชื่อที่เธอเพิ่งบันทึกไว้เมื่อเช้าว่า ‘เจ้าของ’ มธุรินทั้งอยากยิ้มและหงุดหงิดปนกัน เธอรีบรับสายทันที

“คุณอยู่ไหน”

“ผมมาถึงแล้ว” ภัทริศบอกโดยไม่ขยายความว่าตอนนี้เขาไม่ได้แค่มาถึง แต่กำลังยืนอยู่ในร้านและสายตาก็กำลังเพ่งไปที่มธุรินอย่างจำได้ขึ้นใจ

คิ้วเรียวยาวกำลังขมวดปมด้วยความหงุดหงิด จมูกเชิดรั้นนิดๆ นั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนดื้อพอตัว ริมฝีปากที่กำลังขยับพูดบางสวย ทุกอย่างรับกับใบหน้าเรียวได้รูป ผมสีดำยาวถูกมัดไปไว้สูงๆ ด้านหลัง ทุกการขยับและเคลื่อนไหวช่างน่ามอง...น่าจดจำ

ภัทริศไม่อยากหาคำตอบให้ตัวเองเลยว่า...ทำไมหัวใจเขาขณะนี้ถึงเต้นแรง...แรงจนแทบทะลุอกเลยทีเดียว

“แล้วคุณอยู่ตรงไหนล่ะ ฉันจะได้เอาโทรศัพท์ไปคืนให้สิ้นเรื่องเสียที”

“ไม่เป็นไรครับผมจะเดินไปหาคุณเอง” จบคำพูดพร้อมๆ กับก้าวมายืนข้างโต๊ะของสองสาว

เงาของร่างสูงเรียกสายตาของสองเพื่อนรักให้เงยมองพร้อมกัน แวบแรกที่เห็นกังสดาลถึงกับอ้าปากค้างเลยทีเดียว ส่วนมธุรินเธอก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะรู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้...คุ้นมากกว่าการแค่เดินชนเมื่อวาน

ชายหนุ่มยิ้มทักทาย กระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่มารอทั้งสองคนก็ยังไม่เอ่ยปาก เขาจึงต้องเป็นฝ่ายทักเสียเอง

“สวัสดีครับ ผม...ภัทริศ เอาโทรศัพท์รุ่น ‘ล้ำ’ มาคืน” น้ำเสียงห้าวทุ้มกับอาการกลั้นหัวเราะของเขา ทำให้มธุรินยิ่งอึ้งเข้าไปอีก

ใช่...ใช่เลย เขาคือผู้ชายในความฝันของเธอ! ทำไมถึงเป็นเขาไปได้!

“หน้าผมแปลก หรือมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าครับ” พอโดนมองมากๆ ชายหนุ่มชักเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง ทว่าคราวนี้มธุรินเรียกสติกลับมาได้

หญิงสาวยื่นโทรศัพท์ส่งให้เขา

“นี่...นี่โทรศัพท์ของคุณ ฉันแนะนำว่าให้คุณรีบโทรกลับไปแก้ตัวกับพระมารดา เอ๊ย คุณแม่คุณให้เร็วที่สุด ดูท่าทางท่านจะโกรธเอามาก”

“ทำไมผมต้องโทรไปแก้ตัวด้วยล่ะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา”

“ใช่ คุณไม่ผิด ฉันนี่ล่ะที่ผิด แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรับโทรศัพท์คุณนะ มือมันพลาดไปโดน โทรศัพท์อะไรก็ไม่รู้แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ สร้างปัญหาทันที”

“งั้นคุณก็ควรรับผิดชอบในความผิดนั้น” เขาบอกหน้าตาเฉย “และความผิดเมื่อวานด้วย”

“ก็ได้ จะให้ฉันทำยังไงก็ว่ามา จะได้จบๆ ไปเสียที” ปกติมธุรินไม่ใช่คนหงุดหงิดง่าย หากเธอโดนรบกวนตั้งแต่เช้าจนแทบไม่มีสมาธิทำงาน ร่ำๆ จะให้ประวัติการทำงานของเธอด่างพร้อยให้ได้ ครั้นจะปิดเครื่องหนีก็กลัวเขาโทรมาแล้วไม่ติด จึงต้องทนฟังเสียงครืดๆ เนื่องจากตั้งระบบสั่นไว้ แทบจะทุกสิบนาทีก็ว่าได้

“มื้อเที่ยงสักมื้อคงไม่เลวนะครับ”

“ยินดีค่ะ เชิญนั่งเลย” เปล่า ไม่ใช่มธุรินตอบ แต่เป็นคนที่เงียบไปเพราะทึ่งในความหล่อของภัทริศ

“เฮ้ย! ยายแก้มแกรับปากเขาง่ายๆ ได้ไง”

“อ้าว แกไม่พอใจหรือที่เขาเรียกค่าเสียหายแค่มื้อเที่ยง หรือจะให้เขาเรียกมากกว่านี้” กังสดาลแกล้งทำตาโต สีหน้าจริงจังราวกับว่าตัวเองกำลังช่วยให้เพื่อนไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเยอะแยะ “คุณภัทริศจะทานอะไรดีคะ เดี๋ยวแก้มสั่งให้ อ้อ...ชื่อแก้มนะคะ ส่วนเพื่อนแก้มชื่อหวานค่ะ” นอกจากไม่ฟังคำทัดทานเพื่อนแล้วยังแนะนำตัวเสร็จสรรพอีกต่างหาก

“หวาน?” ภัทริศทวน

“ค่ะ ชื่อหวาน ทำไมหรือคะ” กังสดาลสงสัย

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ...ชื่อเพราะดี” คำตอบของชายหนุ่มทำเอากังสดาลอบยิ้ม ปรายตาไปมองเพื่อนตัวเองที่แอบส่งตาขุ่นมาให้อย่างรู้ทัน

เธอตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันไปขอเมนูจากพนักงานแทน

“เรียกผมว่าริศเฉยๆ ก็ได้ครับ” เขาบอกเมื่อกังสดาลรับเมนูมาเรียบร้อยแล้ว ก่อนหันไปทางอีกคน “นี่ครับ โทรศัพท์ของคุณ” ชายหนุ่มยื่นสามสามหนึ่งศูนย์ไปแลกกับไอโฟนสี่ในมือของคนที่หน้าค่อนข้างง้ำ เกิดจากการไม่พอใจการกระทำของเพื่อน

“ถ้าคุณไม่สะดวก หรือไม่พอใจกับการต้องรับผิดชอบในความผิดของตัวคุณเอง ผมไปก็ได้นะครับ” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ท่าทางกลับไม่บ่งบอกว่ารู้สึกผิดสักนิด หนำซ้ำยังเป็นการตอกย้ำอย่างร้ายกาจ

มธุรินเม้มปากแน่น จ้องเขาตาขวางก่อนตอบเสียงสะบัดเล็กน้อย

“อาจไม่สะดวก แต่ไม่ได้ไม่พอใจ เพราะฉันเป็นฝ่ายผิด ฉันก็สมควรชดใช้ จะได้ไม่ต้องติดหนี้กันไปชาติหน้า”

ภัทริศนึกสงสัยอีกว่าทำไมคนที่ไม่ชอบการประชดประชันของผู้หญิงอย่างเขา ถึงได้รู้สึกว่าคำพูดติดประชดของผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ช่าง ‘น่ามอง’ นัก ไม่น่าเกลียดเหมือนเวลาผู้หญิงคนอื่นทำ

“เอ่อ สั่งอาหารดีไหมคะ เดี๋ยวจะเลยเวลางาน” กังสดาลแทรกภวังค์ความคิดและสายตาที่จับจ้องไปยังเพื่อนของตัวเองจนฝ่ายนั้นแทบจะวางตัวไม่ถูกอยู่แล้ว

“คุณแก้มช่วยสั่งให้หน่อยได้ไหมครับ อะไรก็ได้ ที่ไม่เผ็ด”

“คุณริศทานเผ็ดไม่ได้หรือคะ”

“ทานได้ครับ” เขาหันมายิ้มตอบ ก่อนเลื่อนสายตาไปทางฝั่งตรงข้าม “แต่พอดีเมื่อวาน มีคนเอาหัวมาเสยคาง ผมเลยกัดโดนลิ้นตัวเอง เจ็บจนคาดว่าทานเผ็ดไม่ได้อีกหลายวันแน่ครับ”

ถึงไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมายังไง แต่จากสีหน้าแววตาของคนเล่า กังสดาลพอเดาออกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้นึกโกรธเพื่อนเธอ อย่างที่คำพูดพยายามจะกล่าวหาโดยไม่จริงจัง

“แหม คุณไม่รู้หรือ ว่ายิ่งเป็นแผลยิ่งต้องทานเผ็ดเยอะๆ มันจะได้หายเร็วๆ” มธุรินนึกหมั่นไส้เลยแกล้งพูดราวกับห่วงใยเสียเต็มประดา พลางหันไปสั่งพนักงาน “เอา ผัดพริกแกงรวมมิตรเผ็ดๆ จานนึงนะคะน้อง!”

“ใจร้ายจัง ไม่เห็นหวานเหมือนชื่อสักนิด” เขาแกล้งโอดครวญ

กังสดาลหัวเราะก่อนกระซิบตอบ แต่ได้ยินกันถ้วนทั่วว่า...

“ของบางอย่างต้องขมนำหวานตามค่ะคุณริศ” แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะกิ๊กกั๊กกันไม่สนใจว่าจะมีผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกำลังหน้างอง้ำ อย่างขัดใจ



“แกคิดจะทำอะไรฮึยายแก้ม” พอแยกกับภัทริศได้มธุรินก็หันมาคาดคั้นเพื่อนทันที

“ทำอะไร ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง” คนถูกถามตีหน้าซื่อ ยักไหล่แล้วก้าวนำไปยังรถของตัวเองที่จอดไว้หลังร้าน

“อย่ามาโกหกหน่อยเลย ฉันกับแกเป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่แล้ว ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่” มธุรินก้าวตามมาดึงแขนเพื่อนให้หันมาคุยกัน

“อ้าว แกรู้แล้วจะถามทำไม และถ้าแกคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันมานาน แกก็คงมั่นใจสินะว่าทุกสิ่งที่ฉันจะทำนั่นคือความหวังดี”

มธุรินพ่นลมหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ มองเพื่อนด้วยอาการสงบลง

“ทำไมแกถึงตั้งแง่กับพี่ภัตนัก ทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรเสียหาย ไม่เคยล่วงเกินฉัน ให้เกียรติฉันทุกอย่าง บางทีช่วยเหลือฉันด้วยซ้ำ แต่กับผู้ชายคนนี้ทั้งที่เขาเป็นใครก็ไม่รู้ เพิ่งเจอกันครั้งแรก แกกลับแสดงทีท่าว่าถูกใจเขา และถ้าทำได้แกคงอยากบอกให้เขามาจีบฉันเลยสินะ”

“ถูก! แต่ถึงฉันไม่บอก ก็ดูท่าทางเขาจะคลั่งไคล้แกเอามากนะหวาน” กังสดาลพูดด้วยท่าทางยิ้มปลื้ม

“เพ้อเจ้อ”

“เพ้อเจ้อที่ไหน ฉันรู้หรอกน่าว่าแกก็ดูออก สายตาคุณริศเวลามองแกนะ อยากกินของหวานมากกว่าของเผ็ดเชียวละ”

“ท่าทางดูดีอย่างเขา คงมีแฟนเป็นโหลแล้วมั้ง” มธุรินประชดอย่างหงุดหงิด จึงไม่รู้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป

“นั่นแน่ แกเองก็เห็นว่าเขาหล่อใช่ไหมล้า...” กังสดาลทำหน้าล้อเลียนชี้นิ้วไปตรงหน้าเพื่อน มธุรินนึกได้ ถึงกับทำหน้าไม่ถูก

“พอๆ แกอย่าเปลี่ยนเรื่อง เมื่อกี้เรากำลังพูดเรื่องพี่ภัต”

กังสดาลยักไหล่ เลิกพูดเล่นหันมามองหน้าคู่สนทนาตรงๆ

“ฉันก็แค่อยากให้แกเผื่อสายตาไว้สำหรับคนอื่นบ้าง เพราะแม้พี่ภัตจะดีกับแกแค่ไหน แต่พฤติกรรมเขามันไม่น่าไว้วางใจ ไม่มีอะไรแน่ชัดสักอย่าง”

มธุรินถอนหายใจอีกรอบ ความจริงเธอคร้านจะเถียงกับเพื่อนเรื่องบริภัตแล้ว แต่อนาคตข้างหน้าเธอกับบริภัตอาจจะ เน้นว่าอาจจะ แต่งงานกัน และเมื่อถึงเวลานั้นเธอต้องการให้เพื่อนกับคนรักเข้ากันได้ดี

“แก้ม...ฉันยืนยันกับแกชัดๆ ว่า ฉันรักพี่ภัต แม้ตอนนี้ดูเหมือนเขาไม่เคลียร์ แต่ฉันเชื่อว่าเขามีเหตุผลส่วนตัวที่ยังไม่พร้อม และฉันมั่นใจว่าไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะหลอกลวงฉัน อาจมีอะไรสักอย่างที่ไม่แน่ชัดทำให้แกไม่มั่นใจในตัวเขา แต่สำหรับความมั่นใจของฉัน ไม่ได้เกิดจากความงมงาย หรือหลงใหล มันเกิดจากความรัก และความบริสุทธิ์ใจที่เขาแสดงออกต่อฉันเสมอมานะแก้ม”

คนเงียบฟังอยู่นานเม้มริมฝีปากแน่น...ใจจริงกังสดาลไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของเพื่อนเลย แต่หากพูดกันแบบไม่อิงเหตุและผลใดๆ ก็คงต้องบอกว่า...ลางสังหรณ์ หรือความไม่ถูกชะตา ทำให้เธอตั้งแง่กับบริภัต

และที่สำคัญ...โดยไม่อิงเหตุและผลใดๆ เช่นกัน เธอรู้สึกถูกชะตากับภัทริศอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงแค่เห็นครั้งแรก ได้พูดคุยกันไม่นาน แต่กลับให้ความรู้สึกดีกว่าเวลาเจอบริภัตหลายเท่านัก

ผู้ชายที่เพิ่งเจอวันนี้มีอะไรบางอย่างที่กังสดาลรู้สึกว่าเขา ‘เหมาะ’ กับเพื่อนเธอที่สุด

“เอาอย่างนี้นะหวาน ฉันขอเวลาเดือนนึง เพื่อหาหลักฐานว่าคุณภัตเขายังโสดจริงหรือเปล่า ถ้าครบเดือนฉันยังหาหลักฐานอะไรไม่ได้ ฉันจะยอมรับเขาด้วยใจจริง แต่ถ้าฉันหาได้...แกต้องเปิดโอกาสให้คุณริศ โอเคไหม?”

“แกบ้าไปแล้วยายแก้ม! ฉันไม่เอาด้วยหรอก บอกแล้วว่าฉันมั่นใจในตัวพี่ภัต และที่สำคัญฉันกับคุณริศของแกก็จะไม่มีวันเจอกันอีก พ้นจากวันนี้ไป เราก็แค่คนแปลกหน้าที่โทรศัพท์สลับกันเท่านั้น”

คนอย่างกังสดาลเรื่องจะให้ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่มีเสียละ

“แกกลัวใช่ไหมละ กลัวว่าถ้าฉันค้นเจอความจริงแกจะรับไม่ได้”

“ไม่ใช่!”

“ดี งั้นตกลงตามนี้” คนรวบรัดตัดความยิ้มกว้าง เอื้อมคว้าโทรศัพท์จากมือเพื่อนมาถือไว้ “และสำหรับคุณริศแกสามารถติดต่อกับเขาได้ เพราะในเครื่องแกมีเบอร์เขาอยู่ เดี๋ยวฉันบันทึกให้แล้วกันนะ” ไม่รอคำตอบรับใดๆ จัดการบันทึกให้เสร็จสรรพแล้วส่งคืนหน้าตาเฉย

“ตัวสำรอง” มธุรินอ่านชื่อที่เพื่อนบันทึกไว้ “ไม่เอา ฉันจะลบทิ้ง ไม่เล่นบ้าๆ อะไรกับแกทั้งนั้นล่ะยายแก้ม”

“เอาสิ ลบทิ้งก็ได้ แต่ฉันถามแกสักข้อนะหวาน” กังสดาลจ้องตาเพื่อนจริงจังอย่างน้อยครั้งที่จะทำ “แกตอบฉันได้ไหมละว่าแกมั่นใจในตัวคุณภัตเต็มร้อย ไม่มีสักเศษเสี้ยวหรือที่หวั่นใจ ลองคิดดูดีๆ นะหวาน ถ้าฉันสืบแล้วไม่เจอ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ยายเองก็จะได้สบายใจ ฉันก็จะไม่รบกวนแกอีก มันคุ้มนะ” หยุดเพื่อประเมินสีหน้าเพื่อน พอเห็นว่าฝ่ายนั้นเงียบ จึงสำทับต่อ “แต่ถ้าสืบแล้วรู้ว่าเขามีใครอยู่ก่อนแล้วจริงๆ แกอาจจะต้องเสียใจ แต่เชื่อฉันเถอะ มันคุ้มกว่า!”

มธุรินใจเต้นไม่เป็นจังหวะจนน่าแปลก ลึกๆ เธอแอบหวั่นอย่างกังสดาลบอกงั้นหรือ ไม่จริง!

“ก็ได้ ฉันจะยอมทำตามข้อตกลงของแกยายแก้ม แต่แกต้องสัญญาว่าจะทำตามที่พูดวันนี้ ถ้าสืบแล้วไม่เจออะไรแกต้องยอมรับพี่ภัต” อีกฝ่ายยิ้มกว้างพยักหน้ารับด้วยความดีใจ “แล้วฉันจะบอกให้แกรู้นะว่า ที่ฉันยอม ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในตัวพี่ภัต แต่เพราะมั่นใจว่าไม่มีอะไรต่างหากถึงยอม”

“จ้า...ยังไงก็ได้จ้า” แกล้งประชดเล็กๆ จนอีกฝ่ายค้อนให้ “งั้นเรารีบกลับบริษัทก่อนโดนไล่ออกกันเถอะ เดี๋ยวไม่มีเงินเติมน้ำมันสืบหาคดีลับ โอ๊ย!” คำสุดท้ายร้องเพราะโดนหยิกแก้หมั่นไส้

“เดี๋ยว ฉันถามก่อนว่าทำไมแกต้องบันทึกชื่อคุณริศของแกว่าตัวสำรอง”

กังสดาลยิ้มกริ่ม หลิ่วตามองเพื่อนก่อนทำท่าประสานมือระดับอกปลาบปลื้ม

“ก็ตอนนี้แกมีคุณภัตสุดที่รักเป็นตัวจริงอยู่ไงล่ะ คุณริศสุดหล่อของฉันก็เป็นตัวสำรองไปก่อน รอให้ฉันหาหลักฐานได้ก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นค่อยเลื่อนคุณริศสุดหล่อขึ้นมาเป็นตัวจริง!”

“ถ้าชอบเขามากขนาดนั้น ก็ให้เขาเป็นตัวจริงตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ แต่เป็นตัวจริงของแกนะไม่ใช่ของฉัน” แล้วร่างโปร่งก็เดินไปเปิดประตูรถอีกด้าน ทิ้งให้คนข้างหลังยืนอมยิ้มก่อนพูดดังๆ ว่า

“แหม...ถ้าสายตาเขาอยาก ‘กัดแก้ม’ มากกว่าอยากกินของหวาน ฉันก็ให้เขาเป็นตัวจริง เบอร์หนึ่ง และหนึ่งเดียวในหัวใจทันทีเลยล่ะย่ะ!” พอเข้ามานั่งในรถคู่กัน กังสดาลก็นึกอะไรออก “เออ ว่าแต่แกบันทึกเบอร์แกไว้ในเครื่องเขาหรือเปล่า”

“เรื่องอะไรฉันต้อง...” พูดยังไม่ทันจบ มธุรกินก็เบิกตากว้าง ยกมือทั้งสองข้างปิดปากด้วยความตกใจ “ตายแล้ว! ฉันบันทึกไว้ ตอนนั้นคิดแค่ว่าคนที่โทร.เข้ามาเป็นเจ้าของเครื่อง ลืมนึกไปว่าเป็นเบอร์ฉันน่ะสิ” สีหน้าคนพูดฉายชัดถึงความกังวล

“แกบันทึกว่าอะไร” กังสดาลเอียงตัวถามด้วยความตื่นเต้น คนถูกถามทำท่าอึกอัก หลบสายตาลงมองมือตัวเองพลางตอบเสียงเบา

“เจ้าของ”

ใบหน้ารูปไข่ของคนประจำที่คนขับยิ้มกว้าง ใจจริงอยากร้องกรี๊ดด้วยซ้ำแต่กลัวโดนประทุษร้าย จึงเคลื่อนรถออกพร้อมกับเปรยให้อีกคนได้ยินว่า

“พรหมลิขิต!”



ภัทรมนยิ้มกว้างเมื่อเห็นสามีก้าวลงจากรถ ร่างบอบบางติดผอมรีบก้าวไปรับเสื้อสูทมาถือไว้อย่างเอาอกเอาใจ ก่อนเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

“ง่วงมากหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มากทานข้าวก่อนแล้วค่อยไปนอนพัก มนทำกับข้าวของโปรดคุณไว้หลายอย่างเลยล่ะค่ะ” แววตาที่มักหม่นทุกข์จากความเจ็บไข้บัดนี้สุกสว่างอย่างเป็นสุขเพียงได้เห็นหน้าผู้ซึ่งเป็นที่รัก

บริภัตอ้าปากจะบอกว่าเขาง่วงและเพลีย อยากพักผ่อนมากกว่า แต่สุดท้ายก็เพียงยิ้มบางๆ พร้อมกับพยักหน้ารับ โอบไหล่ภรรยาพาเดินเข้าบ้าน ไม่อาจตัดรอนน้ำใจเธอได้สักครั้งนับตั้งแต่ได้รู้จักและแต่งงานกันมา ซึ่งเพราะความดีของเธอกับความสงสารของเขานี่ล่ะที่สร้างพันธนาการต่อกันจนยากจะแก้ไข

หลังจากแต่งงานเพราะคำขอร้องจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่อยากให้เขาดูแลภัทรมนแค่ปีเดียวบริภัตก็ได้พบกับมธุริน...หญิงสาวที่ก้าวเข้ามาในชีวิตเขาช้าเกินไป

แต่กลับเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาอยากใช้ชีวิตร่วมกัน...เป็นคนที่ทำให้เขาอยากโอบกอด อยากอยู่ใกล้ ด้วยความรัก ความเสน่หา ไม่ใช่ความสงสารหรือเห็นใจอย่างที่เกิดขึ้นกับภรรยาในอ้อมแขนขณะนี้

และแม้เขาจะอยากให้ทุกอย่างระหว่างเขากับมธุรินพัฒนาไปมากขนาดไหน ก็ไม่อาจทำได้ดั่งต้องการ ถึงอย่างนั้น เขาก็ขอเพียงได้อยู่ใกล้ๆ เธอ คอยดูแล คอยช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้ โดยไม่เคยแตะต้องให้มีมลทิน

ปกปิดทุกอย่างไว้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ หากเธอรู้ความจริงเมื่อไหร่ คนอย่างมธุรินจะไม่มีวันยอมรับการผิดศีลธรรมนี้แน่

“คุณภัตคะ...คุณภัต” คนในอ้อมแขนเรียกพลางเขย่าตัวเขาเบาๆ

“ครับ?” เขาก้มลงมองด้วยสายตามีคำถาม

“ดูท่าทางคุณจะเพลียมากจริงๆ อย่าทำงานหนักนักสิคะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา มนเป็นห่วงค่ะ” แววตาสื่อสารความห่วงใยเปี่ยมล้นอย่างที่พูด “มนว่าคุณไปนอนพักสักแป๊บก่อนดีกว่าค่ะ แล้วค่อยมาทานข้าวก็ได้ เดี๋ยวมนจะอุ่นให้ใหม่”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกฝืดเฝื่อนในปากอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เขากำลังทำมันผิดต่อผู้หญิงคนนี้ แต่เธอสิ กลับดีกับเขาทุกอย่าง...

“ขอบคุณมนมากนะครับ ที่ดีกับผมขนาดนี้” ชายหนุ่มโน้มลงจูบหน้าผากภรรยาแผ่วเบา นุ่มนวล

“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลยค่ะ มนเป็นภรรยาคุณ ก็ต้องดูแลสามีสิคะ แต่ไม่ได้ดูแลตามหน้าที่นะคะ มนดูแล เพราะมนรักคุณค่ะคุณภัต”

ยิ่งเธอแสดงออกถึงความรักมากเท่าไหร่เหมือนกับยิ่งตอกลิ่มลงบนหัวใจเขามากขึ้นเท่านั้น ภัทรมนรักเขามากอย่างไม่ต้องสงสัย เธอดีกับเขาเสมอมา ดูแลเอาใจใส่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

แต่เขาสิ นอกจากให้ได้เพียงความสงสารแล้ว...ยังทำหน้าที่สามีได้แย่ที่สุด!

“งั้นผมไปพักสักครู่นะ เดี๋ยวจะลงมาทานข้าวด้วย แต่ถ้ามนหิว มนทานก่อนได้เลย ไม่ต้องรอผม”

“มนไม่หิวหรอกค่ะ เพิ่งทานผลไม้ไป มนจะรอทานพร้อมคุณก็แล้วกันนะคะ คุณไปพักเถอะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นห้องนอนส่วนตัวชั้นบน

พอเข้ามาอยู่ในห้อง บริภัตกลับไม่ได้นอนพักอย่างที่บอกภรรยา เขาเหนื่อยใจมากกว่าเหนื่อยกาย ต่อให้พักสักแค่ไหนคงไม่หาย ชายหนุ่มวัยสามสิบปลายๆ บุคลิกสง่า รูปร่างหน้าตาดูอ่อนกว่าวัยจากการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี บัดนี้สายตาเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด

“มนนึกแล้วเชียวว่าคุณต้องไม่ยอมนอน” เสียงภรรยาดังเข้ามาพร้อมกับทรุดนั่งลงข้างๆ “คิดอะไรอยู่คะเรื่องงานอีกหรือเปล่า”

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ เอียงข้างไปหาร่างบาง “พรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปสัมมนาที่ฟิลิปปินส์กับบริษัทของนรินทร์ อาทิตย์นึง”

“เหรอคะ” น้ำเสียงนั้นบอกถึงความผิดหวัง

บริภัตเอื้อมดึงมือเธอมากุมไว้หลวมๆ ระบายยิ้มให้อย่างปลอบใจ

ผมขอโทษนะครับที่ปล่อยให้คุณเหงาอยู่กับบ้านบ่อยๆ แต่ช่วงนี้งานเยอะจริงๆ”

“ไม่เป็นไรค่ะ มนเข้าใจ คุณเองอาจจะเหงาเวลากลับบ้านมาแล้วเจอแต่ภรรยาแก่ๆ ขี้โรคคนหนึ่ง...ถ้ามนมีลูกให้คุณได้...” ก้อนตีบตันขึ้นมาจุกตรงลำคอจนพูดต่อไม่ออก

“อย่าคิดมากสิครับ คุณร่างกายไม่แข็งแรง ถ้ามีลูกจะอันตราย และที่ผมทำงานหนักทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากกลับมาหาคุณ แต่งานยุ่งจริงๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ ขอเวลาเคลียร์งานสักเดือน แล้วผมจะพาคุณไปพักผ่อนต่างประเทศ ระหว่างนี้คุณก็ดูแลตัวเองดีๆ เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางนะ”

ภัทรมนยิ้มกว้างดวงตาสว่างสดใสขึ้นมาทันที สองแขนยกขึ้นสวมกอดสามีแน่น

“ได้เลยค่ะ” บริภัตกอดตอบ เกยคางบนศีรษะเล็กพลางหลับตาระงับความอ่อนล้าในหัวใจ ครู่ใหญ่ที่เขาปล่อยให้เธอซึมซับความอบอุ่น และให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกผิดมากมายที่ไหลบ่าสู่หัวใจ

“แล้วอย่าคิดมากอีกนะครับ” พอดันตัวออกห่างเพื่อมองหน้ากันเขาก็บีบจมูกเธอเบาๆ อย่างล้อเลียน “ผมไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวเราจะได้ทานข้าวกันนะ” ผู้เป็นภรรยาพยักหน้ารับ ชายหนุ่มจึงลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ

“คุณภัตคะ...อยากมีลูกหรือเปล่า”

บริภัตนิ่งไปครู่ ก่อนยิ้มตอบ

“อยากมีสิครับ...แต่ถ้ามันอันตรายต่อคุณ ผมขอเลือกคุณดีกว่า” แล้วเขาก็เดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ภัทรมนครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง

บางที...ถ้าบ้านหลังนี้มีเสียงร้องของเด็ก มีลูกตัวน้อยๆ อาจจะสดใสน่าอยู่มากขึ้น คงไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่อขนาดนี้



โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ส.ค. 2554, 10:54:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ส.ค. 2554, 10:54:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 2883





<< บทนำ   บทที่ 2 >>
แว่นใส 3 ส.ค. 2554, 12:59:42 น.
เจ้าน้องชายจะขอให้นางเอกเราอุ้มท้องให้หรือเปล่าน๊า


anOO 3 ส.ค. 2554, 18:48:22 น.
นายภัตใจร้ายจังเลย จะเก็บไว้ทั้งสองคนเลยรึไง
ยัยหวานน่ารักดีเนอะ


ann 3 ส.ค. 2554, 19:43:41 น.
เริ่มอยากรุ้เนื้อเรื่องแล้วว่า นางเอกจะถูกชักชวนไปอุ้มบุญยังไงหว่า


ลูกขนไก่ 3 ส.ค. 2554, 21:36:48 น.
ต้องติดตามต่อไปว่าทำไมชื่อเรื่องถึงชื่อว่ารักอุ้มบุญ


ปูสีน้ำเงิน 4 ส.ค. 2554, 00:41:03 น.
ผู้ชายเห็นแก่ตัว


คิมหันตุ์ 4 ส.ค. 2554, 16:28:52 น.
มีโอกาสให้เลือกน้อยจังเลยนะคะ คุณภัต..(ดิชั้นประชด)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account