รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทที่ 2

สวัสดีมิตรรักเพื่อนนักอ่านที่ยังส่งกำลังใจต่อกันนะคะ
ขอบคุณทุกท่านค่ะ ขอบคุณ...คุณแว่นใส oOo คุณanOO oOo คุณann oOo คุณลูกขนไก่ oOo คุณปูสีน้ำเงิน oOo คุณคิมหันตุ์

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

บทที่2


“โอ๊ย! อะไรกันนักหนาเนี่ยวันนี้” เสียงร้องของราตรี เลขาวัยกลางคนของนรินทร์ดังกระทบโสตประสาทกังสดาลที่เดินสวนมา เธอเห็นเลขาสาวกำลังก้มลงเก็บของที่ร่วงกระจายเต็มพื้น จึงถลาเข้าไปช่วย

“เป็นอะไรคะพี่ราตรี ดูท่าทางหงุดหงิดน่าดูเชียว” ถามพลางช่วยเก็บรูปที่หลุดร่วงจากอัลบั้มส่งให้ ฝ่ายนั้นชะงักมือ ทำสีหน้าขุ่นจัดก่อนบ่นให้ฟัง

“ก็วันนี้งานเยอะเป็นบ้าเลยนะสิคะ แถมคุณนรินทร์เกิดอยากได้รูปที่ไปสัมมนาฟิลิปปินส์เมื่อเดือนก่อนขึ้นมาอีก พี่เลยต้องรีบออกไปรับรูปมาจากร้านที่ไปอัดลืมทิ้งไว้...งานมันเยอะแยะไปหมดนี่นา”

ประโยคท้ายทำเสียงอ่อนแก้ตัวจนกังสดาลหัวเราะออกมาเบาๆ ปกติราตรีมาดดีไม่มีหลุด เธอเป็นเลขาสุดเพอร์เฟ็คท์ก็ว่าได้ ถ้าไม่ยุ่งจนวุ่นวายจริง รายนี้ไม่บ่นแน่

“นี่แสดงว่ายุ่งและรีบจริงนะคะ รูปถึงได้หลุดร่วงเต็มไปหมดขนาดนี้”

“เปล่าซะหน่อย แม่บ้านต่างหากไม่ถูพื้นให้ดี มีน้ำหกอยู่พี่ถึงลื่น คอยดูนะเดี๋ยวจะจัดการเสียเลย บกพร่องดีนัก ถ้าเกิดเป็นลูกค้ามาลื่นล่ะจะว่าไง น้องแก้มลองนึกภาพดูสิคะ”

คนถูกบอกให้นึกภาพแกล้งกลอกตา

“ไม่อยากนึกเลยค่ะว่าเขาจะล้มลงท่าไหน” แล้วทั้งสองก็หัวเราะกัน อารมณ์ของราตรีค่อยดีขึ้น

สองปีที่กังสดาลกับมธุรินเข้ามาทำงานบริษัทแห่งนี้ บรรยากาศดูสดชื่นขึ้นมาก แทบจะทุกคนในบริษัทหลงรักสองสาวจากความสดใสร่าเริง ช่างพูด แต่รู้จักวางตัว เรื่องการทำงานนั้นก็เก่งกันทั้งคู่ ขนาดนรินทร์ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทยังให้ความสนิทสนมกับทั้งสองคน ยิ่งพวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย เมื่อรู้ว่าสองสาวยังโสดก็พากันขายขนมจีบแข่งกันให้วุ่นทีเดียว

ทว่าสองปีที่ผ่านมาสองสาวยังไม่รับซื้อขนมจีบจากหนุ่มคนไหนเลยสักคน จนพวกนั้นพากันห่อเหี่ยว เลิกขายขนมจีบกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันแทน

รูปใบสุดท้ายกังสดาลเป็นคนหยิบขึ้นมา ตั้งท่าจะยื่นให้ราตรีแต่สายตาเหลือบไปเห็นคนคุ้นตาในรูปจึงชักมือกลับมาดู

“เอ่อ...นี่ใครคะพี่ราตรี” นิ้วเรียวชี้ลงบนรูปเพื่อระบุคนที่ถามถึง หนึ่งในสามของคนในรูป

“อ๋อ คุณบริภัต เพื่อนคุณนรินทร์น่ะจ้ะ” ราตรีตอบไปโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าคนถามว่าตกใจแค่ไหนกับสิ่งที่ได้รับรู้

...ถึงว่าทำไมบริภัตถึงไม่เคยมารับหรือมาหามธุรินที่บริษัทนี้เลย...จุดไต้ตำตอแท้ๆ

ใบหน้ารูปไข่รีบปรับสีหน้าแล้วเรียกรอยยิ้มมาประดับริมฝีปาก ทำท่าสนอกสนใจเรื่องชาวบ้านขึ้นมาในทันที

“หล่อนะคะ แก้มเห็นแวบแรกสะดุดตาเลย” กังสดาลทำเอียงอายเล็กน้อยก่อนกลับมาดูรูปอีกครั้ง “เอ๊ะ แล้วผู้หญิงคนนี้ใครหรือคะ ซ้วย...สวย เกาะแขนคุณบริภัตแน่นเชียว สงสัยจะเป็นแฟนเขาแน่ๆ เลยใช่ไหมคะ แก้มล่ะเบื่อจริงคนหล่อมักมีเจ้าของหมดแล้วทุกที” จริตจะก้านที่แสดงออกไป สร้างความแปลกใจให้ตัวเองไม่น้อย ในชีวิตนี้กังสดาลแทบไม่เคยจีบปากจีบคอพูดอะไรแบบนี้เลย ให้ตายสิ

ราตรียิ้มเจื่อน กระอักกระอ่วนใจไม่กล้าตอบ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แก้มน่ะอยากรู้เรื่องชาวบ้านมากไปเอง พี่ราตรีคงไม่ทราบเรื่องส่วนตัวเขาหรอก จริงไหมคะ” แกล้งทำหน้าตารู้สึกผิดที่ละลาบละล้วง

“ใครว่าละคะ พี่น่ะรู้ยิ่งกว่ารู้อีก” ราตรีลุกยืนหันซ้ายหันขวา ก่อนลากมือกังสดาลไปยืนอีกมุม “ผู้หญิงคนนี้น่ะเป็นแค่กิ๊กค่ะไม่ใช่แฟน คุณบริภัตน่ะมีภรรยาอยู่แล้ว ตอนไปฟิลิปปินส์นะคะ กิ๊กเขาตามมาหาถึงที่ คิดแล้วพี่ล่ะสงสารภรรยาเขาจริงจริ๊ง”

เมื่อได้ฟังกังสดาลถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว...เรื่องที่ตั้งใจว่าจะสืบจู่ๆ ก็มาอยู่ในมือง่ายดายราวกับจับวาง หากสิ่งที่รับรู้กลับได้มากกว่าความตั้งใจจนนึกหวั่น...แล้วเพื่อนของเธอล่ะอยู่ลำดับที่เท่าไหร่?

“น้องแก้มคะ...น้องแก้ม เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”

“อะ...อ้อ เปล่าค่ะ” หญิงสาวบังคับมือที่สั่นน้อยๆ ให้นิ่งที่สุด “พี่ราตรีคะ แก้มขอรูปนี้ได้ไหม” ราตรีทำหน้าแปลกใจ กังสดาลจึงเหลือบซ้ายแลขวาก่อนกระซิบเบาๆ “แก้มจะบอกพี่ราตรีคนแรกและคนเดียว พี่ราตรีห้ามบอกใครนะคะ แก้มอาย”

“จ้ะๆ” เพราะความอยากรู้แท้ๆ ทำให้เลขาสาวรีบตกปากรับคำ

“คือ...แก้มน่ะแอบชอบคุณนรินทร์อยู่ค่ะ” ราตรีอ้าปากหวอ เบิกตาโต “เลยอยากขอรูปนี้ไปไว้ดูต่างหน้า ถ้าขอรูปเดี่ยวไป เดี๋ยวคุณนรินทร์รู้เพราะมันมีไม่กี่รูป แต่ถ้าเป็นรูปรวม เมื่อกี้เห็นแวบๆ มันมีหลายรูปคล้ายๆ กัน คุณนรินทร์คงจำไม่ได้หมดหรอก จริงไหมคะ”

ตายๆ เป็นบ้าอะไรเนี่ยยายแก้ม...ทำไมทุ่มสุดตัวสุดใจขนาดนี้...หญิงสาวโวยวายตัวเองอยู่ในอก และคำตอบที่ได้คือ...เพื่อเพื่อนรักอย่างมธุริน!

ราตรียังนิ่งอึ้งราวกับถูกสาปเป็นหิน กังสดาลกลัวเลขาสาวไม่ยอมจึงทำหน้าตาเศร้าสร้อยประกอบคำพูดถัดมา

“ไม่เป็นไรนะคะ ถ้าแก้มทำให้พี่ราตรีลำบากใจ แก้มก็จะขอแอบมองแอบรักคุณนรินทร์ต่อไป ได้เห็นหน้าเฉพาะตอนมาทำงานก็คงดีมากแล้วสำหรับพนักงานธรรมดาๆ อย่างแก้ม”

ราตรีกะพริบตาถี่ๆ ติดกันหลายครั้ง เหลือบมองใบหน้าสวยที่มักร่าเริงเป็นนิจ แล้วให้นึกเห็นใจ เอื้อมจับมือนิ่มนุ่มนวล

“ใครว่าล่ะคะ น้องแก้มน่ะทั้งสวยทั้งน่ารัก พี่ว่าถ้าคุณนรินทร์รู้ว่าน้องแก้มมีใจขนาดนี้ คร้านจะเปิดใจรับทันทีเลยล่ะค่ะ อย่าลืมสิคะว่าถึงคุณนรินทร์จะเพียบพร้อม แต่ก็มีตำหนิเป็นพ่อหม้ายลูกติดนะคะ”

คราวนี้เป็นฝ่ายกังสดาลอึ้ง อ้าปากค้างเบิกตาโตบ้าง

“อย่านะคะพี่ราตรี อย่าบอกคุณนรินทร์เด็ดขาด คือ แก้มไม่อยากมองหน้าเขาไม่ติดน่ะคะ สัญญานะคะพี่ราตรี” คนคิดแผนการล่อขอรูปถึงกับเหงื่อซึม ราตรียิ้มเอ็นดูตบมือลงบนหลังมือฝ่ายตรงข้ามเบาๆ

“เอาเถอะ พี่ไม่บอกหรอก มันเรื่องส่วนตัวของน้องแก้ม ส่วนรูปนี้น้องแก้มเอาไปละกันค่ะ แต่อย่าให้ใครดูเด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นล่ะก็พี่ตายแน่ๆ”

“ได้เลยค่ะ แหม...พี่ราตรีนี่นอกจากสวย เก่ง แล้วยังใจดีอีก ขอบคุณมากนะคะ”

“มัวแต่ชมกันอยู่นี่ละ พี่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวคุณนรินทร์รอนาน” เลขาสาวหมุนตัวก้าวเดิน แล้วหยุดหันกลับมายิ้มให้กำลังใจ “โชคดีนะคะน้องแก้ม สู้ๆ ค่ะ”

กังสดาลพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแหยๆ ดูท่าเธอจะไม่โชคดีอย่างคำอวยพรของราตรีหรอก ขนาดเรื่องส่วนตัวของบริภัต ราตรียังบอกเธอได้เลย ไม่อยากนึกภาพว่าถ้าเลขาสาวหลุดปากเรื่องโกหกที่เธอแต่งขึ้นให้นรินทร์ฟังจะเกิดอะไรขึ้น...หญิงสาวกลอกตาไปมา

“แกจะตายท่าไหนนะยายแก้มเอ้ย!”



มือที่กำลังรัวคีย์บอร์ดอยู่ชะงักไปนิดหนึ่งเพื่อเงยขึ้นมองว่าใครมายืนค้ำโต๊ะ พอเห็นว่าเป็นคนที่พยายามสืบหาเรื่องบริภัตมาจวนจะครบเดือนอยู่แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะ ‘จับ’ อะไรได้ หญิงสาวจึงยิ้มแกมเยาะ หันกลับมาพิมพ์งานต่อ

“ถ้าจะมาขอยืดเวลาสืบหาเรื่องพี่ภัตละก็ ฉันบอกเลยว่าไม่มีทาง พรุ่งนี้ก็ครบกำหนดตามที่แกสัญญาแล้ว ยอมรับเถอะยายแก้ม พี่ภัตน่ะเขามีฉันคนเดียว”

หัวใจของกังสดาลกระตุกวาบ...ความดีอกดีใจกับเรื่องที่ต้องการ ‘แฉ’ บริภัต ลดฮวบลงไปเกือบครึ่ง จริงอยู่ว่าการจับโกหกบริภัตได้นั้นย่อมเป็นเรื่องดีต่อเพื่อนเธอ แต่ความรักและความหวังที่มธุรินมีต่อผู้ชายคนนั้นก็มากเสียจนเธอนึกกลัว...มธุรินจะรับไหวแค่ไหนหนอ

บทสรุปจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เธอต้องบอกให้มธุรินได้รู้ความจริง

“เมื่อกี้ฉันลงไปเอาของที่ประชาสัมพันธ์ด้านล่าง เจอพี่ราตรีเข้าพอดี เขาออกไปรับรูปที่ถ่ายตอนไปสัมมนาที่ฟิลิปปินส์มา”

“แล้วไงล่ะ” มธุรินถามโดยยังไม่ละมือและสายตาจากคอมพิวเตอร์ จึงไม่เห็นสีหน้าลำบากใจของเพื่อนรัก

“มีแต่รูปสวยๆ ทั้งนั้น ฉันเลยขอมารูปหนึ่ง”

“แกก็เลยจะเอามาให้ฉันดูงั้นหรือ?” คราวนี้คนพิมพ์งานหยุดมือแล้วหันมาเลิกคิ้วถาม พอเอาเข้าจริงกังสดาลถึงกับพูดไม่ออก “แน่ะ สนิมกินปากขึ้นมาอีก ไหนล่ะรูป เอามาดูสิ จะได้เสร็จๆ ฉันจะทำงานต่อ”

“คุณริศโทร.หาแกมั่งหรือเปล่า” อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหันจนมธุรินตามไม่ทัน

“เปล่า เขาจะโทร.หาฉันทำไมล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ ฉันบอกแกแล้วว่าระหว่างฉันกับเขาก็แค่คนไม่รู้จักที่โทรศัพท์สลับกันเท่านั้น ไม่มีทางเจอกันอีก”

“อะไรๆ มันก็ไม่แน่หรอกหวาน สิ่งที่แกมั่นใจอาจไม่ใช่อย่างที่แกคิดก็ได้ บางทีแกกับคุณริศอาจรอเวลาเพื่อพบกันอย่างถาวรก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ถ้าไม่ดูละครมากไป แกก็คงอ่านนิยายมากเกินแล้วย่ะยายแก้ม น้ำเน่า!” มธุรินลูบแขนแรงๆ ประมาณว่าขนลุกกับเรื่องน้ำเน่าของเพื่อน

กังสดาลใคร่ครวญว่าเธอควรเริ่มพูดเรื่องบริภัตอย่างไรให้มธุรินเจ็บช้ำน้อยที่สุด...หากแท้จริงแล้ว ความรักเมื่อปักอก จะถอดถอนอย่างไร ก็คงหนีไม่พ้นความรานร้าว

ต่อให้เธอเริ่มด้วยคำพูดเลิศหรูขนาดไหน สรุปด้วยน้ำเสียงหวานปานใด ความเจ็บปวดที่เพื่อนกำลังจะได้รับคงไม่ลดน้อยถอยลง...เพราะมันเจ็บที่หัวใจ ไม่ใช่คำพูด

“ไม่ได้กินข้าวฝีมือยายนานแล้ว เย็นนี้ขอฉันไปฝากท้องบ้านแกด้วยคนนะหวาน” แล้วคนพูดก็เดินไปทรุดนั่งที่โต๊ะตัวเองเงียบๆ

“สงสัยจะเซ็งที่หาหลักฐานไม่ได้” มธุรินพึมพำกับตัวเองขำๆ มองเพื่อนที่หน้าซึมๆ แล้วส่ายหน้าไปมา นึกไปถึงชายหนุ่มผู้เป็นที่รักแล้วอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้

‘ช่วงนี้พี่ยุ่งมาก เราอาจไม่ค่อยได้เจอกันนะครับหวาน...แต่พี่คิดถึงหวานตลอดนะ’

นั่นคือคำพูดที่เขาบอกกับเธอทางโทรศัพท์เมื่อสิบนาทีก่อน...นี่อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่สนับสนุนความไม่ไว้วางใจของกังสดาล เหตุผลที่บริภัตไม่ค่อยมีเวลาให้เธออย่างที่คนรักกันควรจะมี

หากสำหรับมธุริน แค่นี้เธอว่ากำลังดี เจอกันบ้างบางครั้ง ไม่ต้องบ่อยจนเกินไป แต่ก็ไม่ห่างเหินจนเกินขอบเขตของคำว่า ‘แฟน’

หญิงสาวรอได้...รอวันที่เขาพร้อมให้เธอก้าวเข้าไปสู่โลกส่วนตัวอย่างเต็มใจ



นานมากแล้วที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูล ‘อินทร์จันทรา’ ไม่ได้รวมตัวสมาชิกกันพร้อมหน้าพร้อมตาขนาดนี้ เหตุที่รวมตัวกันได้วันนี้เพราะเตรียมจัดงานวันเกิดให้กับลูกชายคนเล็กในวันพรุ่งนี้ พร้อมการมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้ด้วยเลย ความจริงคุณประณตประมุขของบ้านและควบตำแหน่งประธานบริษัทยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ สามารถบริหารงานได้อย่างสบาย เพียงแต่ท่านทำงานมาหลายสิบปีแล้ว จึงอยากหยุดพัก ถอยมาเป็นที่ปรึกษา ปล่อยให้คนหนุ่มไฟแรงซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว ได้เข้ามาบริหารงานแทน หรืออีกนัยคืออยากให้เขามีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น

งานวันพรุ่งนี้จึงเป็นการจัดงานใหญ่ในรอบหลายปีก็ว่าได้ หลังจากจัดงานใหญ่ครั้งสุดท้าย ตอนภัทรมนแต่งงานกับบริภัตไปเมื่อสองปีก่อน

“ไม่เห็นต้องวุ่นวายขนาดนี้เลยนี่ครับคุณแม่ ผมเกิดมาตั้งสามสิบปีแล้ว ใครๆ ก็รู้ จะมาบอกเขาอีกทำไม โอ๊ย!” คำหลังแกล้งหลุดเสียงดังเพราะโดนหยิกเอวแบบเน้นๆ จากดัชนีของพระมารดา

“ไม่ต้องพูดมากนะพ่อตัวดี ประกาศให้เขารู้กันทั่วๆ ว่าแกน่ะอายุครบสามสิบ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว และต่อไปก็มีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ลอยชายไปวันๆ อีกเดี๋ยวก็จะแต่งงานมีครอบครัว จะได้รู้ว่าเวลามีลูกมีเมียน่ะมันยากลำบากขนาดไหน”

คุณพรรัมภาบ่นยาวก่อนตวัดค้อนให้ลูกชาย ทุกคนเลยได้แต่พากันอมยิ้ม บางคนเห็นใจ บางคนสมน้ำหน้า และบางคน...เบื่อจะฟัง

“ขนาดรู้ว่าลำบาก คุณแม่ยังอยากให้ผมมีเมีย” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ กับตัวเอง แต่เพราะนั่งใกล้มารดาท่านจึงได้ยินเต็มสองหู เป็นผลให้นิ้วกระตุกหยิกหมับตรงที่เดิมอีกครั้ง “อูย...”

“แกพูดอย่างนี้ได้ยังไงตาริศ ถ้าหนูแยมได้ยินเขาจะเสียใจ” มารดากระซิบเบาๆ ภัทริศจึงเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งบนโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ สีหน้าท่าทางของยศยาดูจะเบื่อหน่ายมากกว่า ไม่เห็นเธอจะรู้สึกอะไรสักนิด

“แล้วเรื่องเลขาล่ะ แกจะให้คุณพวงทิพย์เขาประจำตำแหน่งเดิมไหม” คุณประณตที่เอาแต่นั่งยิ้มให้สองแม่ลูกมานานได้เวลาเอ่ยบ้าง

“ไม่เอาละครับคุณพ่อ ขืนให้เลขาคุณพ่อมาช่วยงานผม น่ากลัวจะเหมือนมีแม่คนที่สองมาคอยคุม”

“อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ พูดให้ดีๆ สิวะ เดี๋ยวแม่แกคิดว่าพ่อไปทำอะไรนอกลู่นอกทางกับคุณพวงทิพย์เขา แล้วจะแย่นา”

“แล้วคุณนอกลู่นอกทางจริงไหมละคะ” คุณพรรัมภาหันมาทำตาขุ่นให้สามีไม่จริงจัง

“ไม่จริ๊ง! ผมไม่เคยนอกใจคุณเลย ที่เสนอคุณพวงทิพย์เพราะเขาทำงานดี อยู่กับบริษัทเรามานาน”

“มนเชื่อใจคุณพ่อค่ะ มนรู้ว่าคุณพ่อรักคุณแม่มาก และมนก็รู้ว่าคุณแม่ไว้ใจคุณพ่อมากด้วย” ภัทรมนยิ้มหวาน ทั้งบิดาและมารดาหันมองลูกสาวพร้อมกัน บุพการีทั้งสองยิ้มตอบด้วยความรักใคร่และเอ็นดูเป็นพิเศษ เนื่องจากภัทรมนร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก

“ให้มันได้อย่างนี้สิลูกรักของพ่อ” คุณประณตเอ่ยชื่นชม

“ความรักของคนในครอบครัวต้องมีความไว้ใจและซื่อสัตย์เป็นพื้นฐาน...ใช่ไหมคะภัต” คราวนี้หญิงสาวเงยถามคนที่นั่งโอบกอดเธอและปิดปากเงียบมานาน ทุกสายตาจึงจับจ้องไปยังบริภัต ไม่เว้นแม้แต่ยศยาที่ทอดสายตาไปทางอื่นตลอดเวลาก็ยังหันกลับมามองเขาเช่นกัน

บริภัตยิ้มให้ภรรยาก่อนเงยขึ้นสบตาทุกคนแล้วตอบรับสั้นๆ

“ใช่ครับ”

คุณประณตกับคุณพรรัมภายิ้มชื่นใจกันทั้งคู่ ที่เห็นลูกสาวกับลูกเขยครองรักอย่างมีความสุข ภัทริศลอบมองพี่เขย เกือบเดือนที่ผ่านมาเขาลองสืบค้นหาข่าวที่ได้รับมา แต่ก็ยังไม่พบอะไรผิดสังเกต การหายตัวไปแต่ละครั้งก็ไปทำงานจริง

ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่นึกวางใจ คอยสอดส่องทุกครั้งที่มีโอกาส...เพราะหากไม่มีมูลหมาคงไม่ขี้

“สรุปว่าแกจะหาเลขาใหม่ใช่ไหมนายริศ” คุณประณตถามย้ำอีกครั้ง

“ครับพ่อ ผมอยากได้เลขาใหม่ที่เป็นของผมเอง จะได้เชื่อฟังผมคนเดียว” ยามพูดเขาหลิ่วตามองมารดา รู้มาตลอดว่าคุณพรรัมภาน่ะหูตาเป็นสับปะรด ทั้งในบริษัทและในบ้านหลังนี้พนักงานและเด็กรับใช้แทบทุกคนคือหูตาของท่านทั้งนั้น

“นี่ไง ก็ให้หนูแยมมาทำงานกับตาริศสิคะคุณจะได้อยู่ใกล้ๆ กัน ดีไหมจ๊ะหนูแยม” คุณพรรัมภารีบเสนอ

“คะ? คุณป้าว่าอะไรนะคะ” ยศยาสะดุ้ง เพราะคำถามมาแบบไม่ทันตั้งตัว เธอมัวแต่มองไปยังคู่ของภัทรมนกับบริภัตจึงไม่ได้ฟังเลยสักคำว่าคนอื่นๆ พูดเรื่องอะไรกัน

“แยมน่ะ เขาทำงานบริษัทตัวเองอยู่แล้วนะครับคุณแม่ คงไม่สะดวกมานั่งเป็นเลขาต๊อกต๋อยของผมหรอก จริงไหมครับแยม” ชายหนุ่มตอบแทนให้

“ค่ะ แยมคงไม่สะดวกหรอกค่ะคุณป้า ริศเองก็คงไม่สะดวกเช่นกัน เพราะแยมอยู่ใกล้ใครมักทำให้คนคนนั้นลำบากใจเสมอเลยค่ะ” ทุกคนรับรู้ว่าคำพูดนั้นแฝงแววประชดประชัน แต่จะประชดประชันภัทริศไหมนั้น ชายหนุ่มเองไม่แน่ใจ

“โถ...หนูแยมอย่าน้อยใจเลยนะจ๊ะ ตาริศก็เป็นอย่างนี้ล่ะ เอาแต่ใจตัวเอง พูดไม่คิด ป้าถึงต้องหาคนมากำราบไงจ๊ะ”

“แหม...ผมไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้งครับคุณแม่”

“มากกว่านั้นเลยเชียวละ!” ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าม่อย หันไปทางพี่สาวเพื่อขอความช่วยเหลือ ภัทรมนเสหันมองสามีไม่ยอมสบตาน้องชาย

“มนว่าเราออกไปดูความเรียบร้อยด้านนอกกันดีกว่าค่ะคุณภัต เผื่องานนี้จะมีการประกาศวาระพิเศษเพิ่มมาอีกอย่าง...งานมงคล”

แล้วร่างบางก็ลุกยืน รั้งแขนสามีให้ลุกตาม บริภัตจึงยอมง่ายดาย ไม่ได้สนใจว่าจะมีสายตาของใครบางคนมองตามด้วยความไม่พอใจเหลือกำลัง

“เดี๋ยวสิครับพี่มน อย่ามาทิ้งระเบิดแล้วหนีแบบนี้สิครับ” ภัทริศโวยวายลั่นบ้าน พอเห็นว่าพี่สาวไม่กลับมาแน่แล้วจึงหันสบตาคนเป็นพ่อ ฝ่ายนั้นเพียงยิ้มขำ ครั้นหันมาทางมารดา ดวงตาท่านก็วิบวับอย่างหมายมาด

“แม่ว่าริศกับหนูแยมก็หมั้นกันมานานแล้วนะ แต่งๆ ไปก็น่าจะดี”

ภัทริศอ้าปากจะค้าน หากไม่ทันกับเสียงค้านของอีกคน

“อย่าเพิ่งเลยค่ะ แยมยังไม่พร้อมตอนนี้ ริศเองก็เช่นกันใช่ไหมคะ” สีหน้ายามพูดดูแปลกๆ จะว่าโกรธก็ไม่ใช่จะว่าเบื่อก็ไม่เชิง ภัทริศเพียงสงสัย ไม่ติดใจอะไรมาก

“ครับผม” ชายหนุ่มตอบหนักแน่น และก่อนบทสนทนาจะเปลี่ยนประเด็นไปไกล คุณประณตวกกลับเข้าเรื่องงานอีกครั้ง

“พรุ่งนี้พ่อจะให้คุณพวงทิพย์ประกาศรับสมัครเลขาให้แก พอไปทำงานจะได้เลือกเองให้ถูกใจ”

“ขอบคุณครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง พยายามไม่หันไปด้านข้างที่รู้สึกถึงกระแสไฟร้อนๆ จากตัวมารดา

...การได้ขัดใจคนเป็นแม่เป็นความสนุกอย่างหนึ่งของภัทริศ!



“อิ่มแปล้เลยจ้ะยาย ไปกินข้าวที่ไหนๆ ก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือยายเลยสักที่ จริงไหมยายแก้ม” มธุรินลูบท้องประกอบความอิ่ม เลียริมฝีปากบางบอกถึงความอร่อย

“จริงจ้ะ ฝีมือยายอร่อยที่ซู๊ด...” กังสดาลตอบรับเพื่อน

“ทำพูดดี เห็นชอบหายไปกินที่อื่น กับคนอื่นกันออกบ่อย ไม่เห็นมีใครมากินกับยายบ่อยๆ อย่างปากว่าสักคน” คุณเดือนเพ็ญน้อยใจไม่จริงจัง

มธุรินจึงลุกไปโอบกอดเสียแน่น จัดการหอมฟอดใหญ่จนคนเป็นยายยิ้มออก

“บ่อยที่ไหนกัน นานๆ ครั้งหรอก หวานก็กินกับยายแทบทุกมื้อ พูดแบบนี้เดี๋ยวหวานน้อยใจกลับบ้างนะ” คนพูดย่นจมูกได้น่ารักน่าเอ็นดู

กังสดาลซึ่งนั่งฟังอยู่พอจะรู้ว่าคุณเดือนเพ็ญหมายถึงใคร...ขนาดเธออายุเพียงยี่สิบหกปียังดูออกว่าบริภัตมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในใจลึกๆ นับประสาอะไรกับคนผ่านร้อนหนาวมายาวนานอย่างคุณเดือนเพ็ญ ท่านย่อมมองอะไรทะลุปรุโปร่งมากกว่าอยู่แล้ว

จะมีก็แต่คนที่ตกอยู่ในห้วงรักนั่นละ...ที่สายตาฝ้ามัวมองอะไรไม่ชัดเท่าคนอื่น

วันนี้ล่ะ...เพื่อนเธอจะได้ตาสว่าง

“เดี๋ยวยายไปนั่งพักเถอะค่ะ แก้มกับหวานจะช่วยเก็บโต๊ะและล้างจานเอง ยายอุตส่าห์ทำอาหารอร่อยๆ ให้กินแล้ว”

“ขอบใจจ้ะ งั้นยายไปนั่งเอนหน้าทีวีให้อาหารย่อยแล้วกันนะ”

พอลับร่างคุณเดือนเพ็ญสองสาวก็ช่วยกันเก็บจานเข้าไปในครัว กังสดาลลอบมองเพื่อนเป็นระยะ เพื่อหาจังหวะเอ่ยถึงเรื่องนั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ตัดใจบอกไม่ได้เสียที กระทั่งล้างจานจนเสร็จก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง

“คืนนี้แกจะค้างกับฉันหรือเปล่า” มธุรินถาม เพราะเห็นว่าเวลานี้สองทุ่มแล้ว

“ไม่หรอก แต่จะกลับดึกหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก เรื่องคุณภัต เดี๋ยว...อย่าเพิ่งปฏิเสธหรือพูดอะไรทั้งนั้น ขึ้นไปคุยกันที่ห้องแกแล้วกัน”

มธุรินพยักหน้ารับ เพราะท่าทางของกังสดาลจริงจังไร้แววล้อเล่น ได้คุยกันให้รู้เรื่องก็ดีเหมือนกัน พรุ่งนี้จะครบเดือนตามที่สัญญากันไว้แล้ว กังสดาลคงไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก เพื่อนเธอรักษาสัญญาเสมอ

“อ่ะ แกมีอะไรก็ว่ามา” ร่างโปร่งทรุดนั่งลงตรงขอบเตียง กังสดาลจึงตามมานั่งลงใกล้ๆ มือข้างหนึ่งวางบนบ่าเพื่อน สายตาจ้องแน่วแน่กับดวงตาเพื่อนรัก

“คุณภัต...เขามีภรรยาอยู่แล้วจริงๆ” กังสดาลบอกออกไปตรงๆ ไม่นึกหาคำดีๆ มาเริ่มต้นอะไรอีกแล้ว ยิ่งเพื่อนเธอรู้เร็วเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดี

มธุรินถอนหายใจ กลอกตาขึ้นมองเพดาน แบมือไปตรงหน้าเพื่อนด้วยความมั่นใจว่ากังสดาลจะไม่มีในสิ่งที่เธอขอ

“ไหนล่ะ หลักฐาน” แทบจะทันทีที่พูดจบ ‘หลักฐาน’ ก็วางแหมะลงบนมือ สีหน้ามธุรินเจื่อนลงเล็กน้อย

“ดูสิ นี่เป็นหลักฐานที่ฉันได้โดยไม่ต้องสืบ...ได้มาจากพี่ราตรีวันนี้เอง”

คิ้วเรียวขมวดด้วยความสงสัย อีกฝ่ายจึงพยักหน้าให้ก้มลงดูรูป มธุรินเม้มริมฝีปากแน่นค่อยเลื่อนสายตาลงมองช้าๆ ราวกับกลัวจะเห็นสัตว์ประหลาดดุร้ายอยู่ในมือ

แวบแรกที่เห็นรูปชัดๆ สิ่งที่สะดุดตาคือมือของผู้หญิงในรูปกำลังคล้องแขนบริภัตด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม ใบหน้าแนบวางบนไหล่ของเขาชนิดที่ใครดูก็รู้ว่าไม่ใช่เพื่อนธรรมดาอย่างแน่นอน

หากหญิงสาวกลับเลือกเอ่ยถึงอีกคน

“ทำไมมีคุณนรินทร์ในรูปด้วยล่ะ” ขณะถามสายตายังจับอยู่เพียงรูปใบนั้น มือของกังสดาลบีบไหล่เพื่อนแน่นขึ้น เธอพร้อมแล้วที่จะเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง

“แกฟังดีๆ นะหวาน พี่ราตรีบอกว่า คุณภัตกับคุณนรินทร์เป็นเพื่อนกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณภัตถึงไม่เคยมาหาแกที่บริษัทเลย เขาคงกลัวคนอื่นจะรู้ว่า...คบกับแกอยู่” กังสดาลหยุดให้เพื่อนได้ตั้งสติ

มธุรินอยากค้าน อยากเถียงแทนบริภัตเหมือนทุกที ทว่าคราวนี้ปากของเธอราวกับสนิมเกาะแน่นหนา อ้าไม่ออก

“ส่วนผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ภรรยาเขา” คนฟังเงยขวับขึ้นมองเพื่อน สีหน้าฉายความหวังเรืองรอง แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรได้ ดวงตาจึงไหวระริกรอกังสดาลเล่าต่อ “เป็นแค่กิ๊ก ที่เขานอกใจภรรยามาคบเหมือนกัน”

เหมือนใคร? คำถามแรกผุดขึ้นในอกของมธุรินรวดเร็ว และได้คำตอบในวินาทีถัดมา...เหมือนเธอสินะ

ร่างทั้งร่างของมธุรินเจ็บร้าวคล้ายจะแหลกเหลวเป็นผงธุลี มือบางกำรูปแน่น ริมฝีปากถูกกัดไว้ไม่ให้สั่น น้ำตาที่วิ่งมาคลอเบ้าถูกฝืนไม่ให้รินไหล

“ฉันไม่ได้ถามหรอกว่าภรรยาเขาเป็นใคร หรือผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เพราะสิ่งที่ ‘เรา’ อยากรู้ ก็แค่ว่าเขามีคนอื่นจริงหรือเปล่า” คำว่า ‘เรา’ กินความหมายรวมไปถึงตัวมธุรินเองและคนเป็นยายด้วย สองแขนโอบร่างของเพื่อนไว้เพื่อถ่ายทอดความรักความห่วงใย “ถ้าแกไม่เชื่อ ฉันก็ไม่ว่านะ เพราะฉันทำได้ดีที่สุดแค่นี้”

ความเงียบสยายปีกครอบคลุมบรรยากาศทั่วห้อง หากกังสดาลไม่ได้ยินแม้เสียงสะอื้นจากเพื่อนสักแอะ ไม่เห็นหยดน้ำตาบนแก้มเนียนสักหยด

“ขอบใจนะแก้ม...ขอบใจที่ทำให้ฉันตาสว่าง” กว่าจะฝืนพูดออกมาได้ มธุรินรวบรวมแรงพลังแทบทั้งหมดที่เหลืออยู่ สีหน้ากังสดาลบ่งบอกถึงความดีใจ ตอนแรกนึกกลัวว่าจะต้องเสียเพื่อนกันแน่ๆ ถ้ามธุรินไม่ยอมเชื่อ เธอกระชับร่างเพื่อนแน่นเข้าไปอีก

“ร้องไห้สิหวาน แกไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเหมือนอยู่ต่อหน้ายาย หรือต่อหน้าคนอื่นๆ ร้องไห้ได้เต็มที่ อ่อนแอได้ตามต้องการ เพราะตรงนี้มีแค่ฉัน...ที่พร้อมจะยืนข้างๆ แก จำไว้นะหวาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะยืนอยู่ข้างแกเสมอ”

เท่านั้นเอง...ทำนบน้ำตาก็พังทลายลง มธุรินสวมกอดเพื่อนตอบ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น กังสดาลลูบหลังลูบไหล่ ปากก็ปลอบไปเรื่อยๆ ปลอบไปปลอบมาพานร้องไห้ตามไปอีกคน

ความผูกพันของทั้งสองคนเหนียวแน่นและยาวนาน ทุกความรู้สึกที่ส่งรับกันละเอียดอ่อน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนๆ เดียวกัน แค่มองตาก็รู้ใจกันทุกเรื่อง

ดังนั้นความเจ็บปวดครั้งนี้ ใช่เพียงมธุรินคนเดียวที่ทุกข์ทรมาน กังสดาลเองเจ็บปวดไม่แพ้กัน

หากคงเป็นความเจ็บที่ดีที่สุด...เจ็บเพราะตาสว่าง



กังสดาลกลับบ้านไปตอนเจ็ดโมงเช้า เมื่อคืนทั้งสองคนแทบไม่ได้หลับเลยแม้แต่น้อย ดวงตาบวมช้ำของทั้งสองคนทำให้คุณเดือนเพ็ญเกิดความสงสัย ดังนั้นเมื่อเพื่อนรักกลับไป มธุรินจึงตัดสินใจเล่าให้คนเป็นยายฟัง ระหว่างเธอกับคุณเดือนเพ็ญไม่เคยมีความลับต่อกัน ทั้งชีวิตนี้เธอมียายเพียงคนเดียว ที่เลี้ยงดู คอยดูแลยามป่วยไข้ ปลอบประโลมยามเจ็บปวด คือทุกสิ่งอย่าง

“โธ่...หวาน” หญิงสูงวัยครางชื่อหลานพลางลูบศีรษะอ่อนเบา ดวงตาหล่อเลี้ยงด้วยหยดน้ำ

“หวานโง่เองค่ะยาย เรื่องแค่นี้ก็มองไม่ออก ปล่อยให้...ความรักบังตา ไม่ยอมฟังคำเตือนจากใคร สมแล้วที่ถูกหลอกมาได้ตั้งนาน” มธุรินก้มหน้า บีบมือกันบนตัก

“ไม่เอา อย่าโทษตัวเองเลย คนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ยามเมื่อผงเข้าตา เราก็ต้องให้คนอื่นช่วยเอาออก อย่างน้อยหวานก็ไม่ได้ถลำลึกไปมากกว่านี้นะลูก”

หญิงสาวเงยหน้ามองคนเป็นยาย ฝืนยิ้มให้ท่าน หากไม่ปล่อยให้หยดน้ำตาที่พรั่งพรูมาทั้งคืน ร่วงหล่นอีก เธอไม่อยากทำให้ยายเป็นทุกข์

“หวานต้องขอบคุณยายนะคะ ที่สอนให้รักนวลสงวนตัว ไม่อย่างนั้น...หวานคงเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ ค่ะ” สองมือประนมกราบลงบนตักอุ่นอันแสนคุ้นเคย

“ผ่านเคราะห์ผ่านโศกนะลูกนะ” หยดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดแทนหลานร่วงอาบแก้มคุณเดือนเพ็ญ ท่านเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กทำไมจะไม่รู้ว่า มธุรินเจ็บหนักขนาดไหน หญิงสาวไม่เคยรักหรือคบกับใครจริงจังเท่ากับบริภัตมาก่อน

“อย่าร้องไห้สิคะยาย มันทำให้หวานรู้สึกว่าตัวเองแย่มาก ที่ทำให้ยายผิดหวังในตัวหวาน” สองมือประคองใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยวัย ป้ายน้ำตาออกให้เบามือ คนเป็นยายพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ฝืนเพื่อให้หลานสาวสบายใจ

“ยายไม่เคยผิดหวังในตัวหวาน ถึงตอนนี้ยายก็ยังยืนยันว่าหวานไม่เคยทำให้ยายผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว” สองยายหลานสวมกอดกันอีกครั้ง “แล้วหวานจะเอายังไงต่อไป”

มธุรินเม้มริมฝีปากแน่น ตั้งสติมากกว่าจะตัดสินใจ เพราะเรื่องทุกอย่างเธอตัดสินใจเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ไม่มีความลังเล ไม่มีการยืดหยุ่นใดๆ ทั้งสิ้น หากขอเพียงได้ฟังจากปากเขาก่อนเท่านั้นเอง

“หวานจะไปเจอเขาค่ะยาย แค่อยากรู้ว่า เขาจะยอมบอกหวานตรงๆ ไหม หากสุดท้าย เขาจะบอกหรือไม่บอก หวานก็ตัดสินใจแล้วค่ะ” หยุดเพื่อกลืนเอาก้อนแข็งๆ ลงคอ “หวานจะให้เขาออกไปจากชีวิตหวานค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว

คุณเดือนเพ็ญยิ้ม ท่านมั่นใจว่าคนที่ต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่วัยเยาว์อย่างมธุริน ใจเด็ดพอที่จะไม่ทำผิดต่อไป หลานของท่านรู้จักผิดชอบชั่วดี ที่ผ่านมา...ผิดเพราะไม่รู้

ดวงตาของมธุรินตั้งมั่นแน่วแน่...นับจากนี้ไปเธอจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง จะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดอีก ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม




โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ส.ค. 2554, 23:02:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ส.ค. 2554, 23:02:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2609





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
คิมหันตุ์ 8 ส.ค. 2554, 00:48:02 น.
หนักแน่นไว้ค่ะ..........เอาใจช่วย..


ปูสีน้ำเงิน 8 ส.ค. 2554, 10:04:08 น.
ทำถูกต้องแล้ว ผู้ชายแบบนี้ไม่ควรเอาเป็นแฟนหรอกนะยัยหวาน
ควรจะตัดออกไปจากวงจรชีวิตเราเลยจะดีกว่า


anOO 8 ส.ค. 2554, 14:33:29 น.
แล้วถ้าไปเจอแล้วนายภัตดันไม่ยอมบอกความจริงล่ะ


innam 11 ส.ค. 2554, 12:41:29 น.
ท่าจะมีซ้อนแผนอีกเยอะ


AHA 13 ส.ค. 2554, 23:47:23 น.
สงสารมน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account