มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 6



ทางด้านนางอัมพร หลังจากส่งตัววาวพลอยกับโก๋ให้กับกลุ่มคนที่รับหน้าที่พาเจ้าหญิงรัชทายาทกลับไปริตถาวดีทางทะเลแล้ว ก็รีบกลับมายังกรุงเทพฯ ในทันที เพื่อทำหน้าที่สำคัญของตัวเองต่อ

และเพราะความไว้ใจคนกลุ่มนี้หลังจากได้ร่วมพูดคุย ปรึกษา วางแผนกันมาหลายครั้งถึงเรื่องการพาเจ้าหญิงเดินทางกลับริตถาวดี ต่างก็เห็นตรงกันว่าการเดินทางในเส้นทางปกติเป็นอันตรายต่อวาวพลอยอย่างยิ่ง จึงตัดสินใจเดินทางทางทะเล

สิ่งสำคัญที่ทำให้นางอัมพรไว้ใจคนกลุ่มนี้มากก็คือ พวกเขารับงานมาจากญาติคนหนึ่งของเจ้าหญิงรัชทายาทซึ่งไว้ใจได้ที่สุด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รับประกันว่าจะไม่ถูกตามล่าจากคนที่ต้องการเอาชีวิตอีก นั่นเป็นเหตุผลที่นางอัมพรต้องเดินทางมาหาลูกสาวแท้ๆ ทันทีที่กลับมาจากทางใต้

นางอัมพรก้าวขึ้นบันไดของสถานีตำรวจนครบาลแห่งหนึ่งที่อยู่ย่านชานเมือง นับแต่ลูกสาวคนโตเข้ารับราชการตำรวจ ไม่บ่อยครั้งนักที่นางจะได้เหยียบย่างมาที่นี่ ค่าเพราะความที่อยู่ห่างจากบ้านมากพอดูนั่นเอง

ร่างเล็กบางของหญิงวัยห้าสิบกว่าปีตรงไปยังเค้าเตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ” ตำรวจหญิงคนนั้นถามก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงานตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็ต้องชะงักค้าง

“แม่... แม่มาได้ไงคะ ทำไมไม่บอกพราวก่อน” เธอรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ และเดินออกมาจากเค้าเตอร์ ตรงเข้าสวมกอดมารดาทันที

“พอดีแม่มีธุระด่วน ก็เลยตรงมาหาลูกเลยน่ะจ้ะ” นางอัมพรตอบ หลังจากทั้งสองผละออกจากกันแล้ว

“แม่มีอะไรกับพราวเหรอคะ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอคะแม่” สิบตำรวจตรีหญิงตะวันพราว ถาม เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางแปลกๆ ของมารดา

“ลูกพอจะมีเวลาคุยกับแม่สักนิดไหมล่ะตอนนี้” นางอัมพรตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด

หญิงสาวไม่รอช้า รีบเข้าไปด้านในเพื่อขออนุญาตผู้บังคับบัญชา และฝากงานที่คั่งค้างกับเพื่อน ก่อนจะออกมาหาแม่ที่รออยู่ ทั้งคู่พากันไปยังห้องพักของตะวันพราว ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ กันนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมหน้าตาแม่ไม่สบายอย่างนั้น” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วงระคนกังวลใจ หลังปิดประตูห้องพักส่วนตัวสนิทดีแล้ว

“เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับน้อง” คำตอบของมารดาทำให้ดวงตาของตะวันพราวเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“ยัยพลอยน่ะเหรอคะ ยัยพลอยเป็นอะไรไปคะ ใครทำอะไรยัยพลอยคะแม่” และรีบถามขึ้นอย่างร้อนใจในทันที

“แม่จะบอกลูกยังไงดี คือ... มีคนตามทำร้ายน้อง แต่... มันมีสาเหตุที่เหลือเชื่อ ที่แม่ไม่เคยบอกลูกทั้งสองมาก่อนเลย... ”

นางอัมพรตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวาวพลอย หรือเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาให้กับตะวันพราวฟัง ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากสำหรับหญิงสาว

ใครจะเชื่อว่าน้องสาวที่คิดว่าคลานตามกันมาตั้งแต่เกิด แท้ที่จริงเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งริตถาวดี ไม่มีอะไรเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเธอเลยสักนิดเดียว

แล้วสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็เหลือเชื่อไม่แพ้กัน นั่นคือเธอมีบิดาเป็นราชองครักษ์ของอดีตพระราชาในริตถาวดี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาผู้เป็นแม่บอกแต่ว่าพ่อของเธอเป็นคนต่างจังหวัด

และเสียชีวิตไปด้วยโรคภัยตั้งแต่เธอกับวาวพลอยยังเล็ก ไม่เคยเอ่ยถึงประเทศที่ชื่อริตถาวดีเลยสักครั้ง สิ่งที่ได้รับรู้ตอนนี้ทำให้ตะวันพราวถึงกับนิ่งอึ้งไปหลายนาที ด้วยรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เป็นไปได้ยังไงกันคะ แม่ไม่เคยบอกพราวกับยัยพลอยเลย” หญิงสาวเปรยออกมา เหมือนไม่อยากเชื่อมากกว่าจะตัดพ้อ

“แม่ขอโทษลูก แม่คิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้วเสียอีก แม่อยากให้ลูกๆ ทุกคนมีชีวิตสงบเรียบง่ายอยู่ที่บ้านเรา นั่นคือสาเหตุที่แม่ไม่อยากให้ลูกเป็นตำรวจ” นางอัมพรพูด ตะวันพราวรู้สึกตื้ออยู่ในอกเมื่อรู้ความจริงข้อนี้

เพราะนั่นคือความขัดแย้งในอดีตระหว่างตัวเธอเองกับมารดา ตะวันพราวมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก แต่นางอัมพรไม่เคยเห็นด้วย

พูดกันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที แต่ตะวันพราวเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แม้จะยอมตามใจแม่ด้วยการเรียนในสายที่ไม่ข้องเกี่ยวกับตำรวจโดยตรง

อีกทั้งพอเรียบจบปริญญาตรีเธออาจจะทำงานในสายที่ได้ร่ำเรียนมา แต่ทว่า... ก็แอบไปสอบเป็นตำรวจหญิงตลอดทุกปี จนในที่สุดก็สอบติดเมื่อสองปีที่ผ่านมานี่เอง

นางอัมพรเห็นความตั้งใจอันดื้อดึงของลูกสาวคนโตแล้วจึงค้านไม่ออก นับแต่นั้นมาความขัดแย้งระหว่างสองแม่ลูกจึงยุติลง แต่ตะวันพราวไม่เคยรู้ถึงเหตุผลแท้จริงที่แม่คัดค้านการเป็นตำรวจของเธอเลย จนกระทั่งวินาทีนี้

“แม่ไม่อยากให้ลูกๆ เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้ อาชญากรรม การเมือง หรือมีชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอย่างนั้น แม่ไม่อยากสูญเสียลูกไปเหมือนที่เสียพ่อ ไม่ว่าตัวลูกหรือน้อง แม่ก็ไม่อยากให้กลับไปริตถาวดีทั้งนั้น แม่อยากทิ้งอดีตทุกอย่างไว้ที่นั่น”

“แต่แม่ก็ให้ยัยพลอยไปนี่คะ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง” ตะวันพราวพูดอย่างปริวิตก ปกติวาวพลอยเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยมีปากเสียงกับใคร พอมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหญิงสาวจึงอดเป็นห่วงน้องไม่ได้

“มันจำเป็นลูก ถ้าน้องอยู่กับเราบางทีอาจจะ... ” นางอัมพรพูดออกไปได้เพียงแค่นั้น ลำคอก็ตีบตันด้วยความกลัวว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นกับวาวพลอย หากไม่รีบทำอะไรสักอย่าง

“พราวเข้าใจแล้วค่ะแม่ แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดีคะ” ตะวันพราวถามขึ้นในตอนท้าย

“แม่อยากให้ลูกเดินทางไปริตถาวดีกับแม่ ปลอมตัวเป็นน้องแล้วหลอกล่อให้พวกนั้นติดตามเราแทนที่จะค้นหาน้อง” แผนการของมารดาส่งผลให้ตะวันพราวนิ่งไปนิดหนึ่ง

“แม่รู้ว่างานของลูกสำคัญ ลูกรักงานนี้มาก แต่... ” นางอัมพรเห็นดังนั้นจึงเอ่ยต่อเสียงกระท่อนกระแท่น ด้วยรู้สึกไม่มั่นใจกับการตัดสินใจของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ไม่มีปัญหาค่ะแม่ พราวจะไปกับแม่เอง” แต่คนเป็นลูกสาวกลับรับคำอย่างง่ายดาย

นางอัมพรมองหน้าลูกสาวคนโตอย่างไม่อยากเชื่อ ตะวันพราวที่เข้าใจความรู้สึกของมารดาดี จึงจับมือเล็กของนางอัมพรเอาไว้

“พราวเองก็เป็นห่วงยัยพลอยไม่น้อยไปกว่าแม่หรอกนะคะ ถ้าพราวรู้เรื่องตั้งแต่แรก พราวไม่ปล่อยให้ยัยพลอยไปโดยไม่มีพราวหรอกค่ะ แล้วตอนนี้พราวก็จะไม่ปล่อยให้แม่ไปโดยไม่มีพราวเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นพราวคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต” หญิงสาวบอกแม่จากความรู้สึกที่แท้จริง

“หนูพราวลูกแม่” นางอัมพรเสียงสั่นเครือด้วยความซาบซึ้งใจ

“ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับครอบครัวของเราอีกแล้วล่ะค่ะแม่ แม่บอกพวกเราอยู่เสมอไม่ใช่เหรอคะว่าเบื้องบนมีเหตุผลที่ดีงามเสมอที่นำเรามาอยู่ด้วยกัน

“ไม่ว่ายัยพลอยจะเป็นยัยพลอยจอมอืดอาดยืดยาด หรือเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งริตถาวดี ยัยพลอยก็เป็นน้องของพราว เป็นลูกของแม่ และเป็นครอบครัวของเรา รวมทั้งเจ้าโก๋ด้วย เราจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเราค่ะแม่” ตะวันพราวบอกด้วยท่าทางมุงมั่น จริงจัง

ก่อนที่สองแม่ลูกจะโผเข้ากอดกันแน่น น้ำตาแห่งความตื้นตันใจไหลอาบแก้ม

*-*-*-*-*-*

ร่างบอบบางอยู่ในชุดกางเกงและเสื้อสีดำ ที่ใหญ่กว่าตัวพรางรูปร่างที่แท้จริงเอาไว้ ผมสั้นเพียงใบหูปลิวไปตามสายลมยามค่ำคืน หลังจากทำใจรับกับผมสั้นๆ นี้ได้ วาวพลอยก็ยอมให้จิญจายะตัดแต่งผมให้ จนได้รูปทรงที่น่ามองขึ้นมาอีกนิดในตอนนี้

หญิงสาวยืนอยู่ตรงหัวเรือ แสงสว่างจากภายในเรือส่องเล็ดลอดออกมาเพียงสลัวราง อีกทั้งรอบข้างก็มืดสนิท มองไม่เห็นน้ำกับฟ้า แต่หากรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวจากแรงปะทะคลื่นของเรือ และละอองน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาปะทะร่างเป็นบางครั้ง

กลิ่นอายของทะเลอวลอยู่ในบรรยากาศ บนท้องฟ้ามีดวงดาวพร่างพรายละลานตา และไม่ว่าเรือจะเคลื่อนตัวไปไกลจากจุดเดิมแค่ไหน ก็เหมือนดวงดาวจะลอยตามมาอยู่เสมอ วาวพลอยคิดไปถึงมารดา

แม้ตอนนี้จะรู้ว่านางอัมพรไม่ใช่แม่ที่แท้จริง แต่เธอก็ไม่สามารถเรียก หรือรู้สึกต่อผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างอื่นได้ นอกจากแม่แท้ๆ หญิงสาว

ดีใจที่รู้ว่ามีบิดา มารดาผู้ให้กำเนิดเพิ่มเติมมาในชีวิต แม้จะไม่มีวันได้พบหน้ากันอีกแล้วก็ตาม

แต่เธอไม่ได้รู้สึกขาดแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมานางอัมพรทำหน้าที่แม่ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่มีอะไรลดหลั่นหรือน้อยไปกว่าตะวันพราวลูกสาวแท้ๆ ของนางเลย แล้วอย่างนี้เธอจะคิดได้อย่างไรว่านางอัมพรเป็นเพียงแม่เลี้ยง และตะวันพราวเป็นพี่สาวนอกไส้

แม้มาถึงตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นและเผชิญอยู่จะยังคงเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับหญิงสาว แต่วาวพลอยก็เป็นห่วงมารดากับพี่สาวยิ่งนัก กลัวเหลือเกินว่าทั้งคู่จะเดือดร้อนเพราะเธอ

“เป็นอะไรไปเจ๊ ทำหน้าเศร้าเชียว” โก๋ออกมาจากข้างในเรือถามขึ้น ซึ่งโก๋เองก็เปลี่ยนเป็นชุดสีดำเหมือนกันกับเธอ และทีมทหารรับจ้าง

“พี่คิดถึงแม่ ไม่รู้ป่านนี้แม่จะเป็นยังไงบ้าง อีกอย่างพี่ก็ไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ พี่กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับแม่” หญิงสาวเปรยออกมา

แน่นอนว่าวาวพลอยรู้ว่านางอัมพรไม่ได้ปล่อยให้เธอกับโก๋เดินทางมากับคนกลุ่มนี้ แล้วตัวเองกลับไปนอนเล่นสบายใจอยู่ที่บ้าน อะไรบางอย่างบอกกับหญิงสาวว่า สิ่งที่นางอัมพรคิดจะทำไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น่ากลัวว่าจะเสี่ยงอันตรายด้วยซ้ำ ยิ่งคิดวาวพลอยก็ยิ่งเป็นห่วง

“อย่าคิดมากสิเจ๊ อย่างป้าพรน่ะหนังเหนียว ตายยาก” โก๋ปลอบ แต่ก็ในแบบขี้เล่นของตัวเอง

“แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโก๋ ขอให้แม่ปลอดภัยด้วยเถอะ” วาวพลอยอดทำเสียงดุไม่ได้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาวนาในคราเดียวกัน

“ถ้าอยากให้แม่คุณสบายใจก็เลิกทำหน้าอมทุกข์ แล้วตั้งใจกับการเดินทางครั้งนี้จะดีกว่า อย่าให้สิ่งที่แม่คุณทำต้องสูญเปล่าสิ” เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง ทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมองพร้อมกัน หัสตะยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล

“หมายความว่ายังไงคะ แม่คิดจะทำอะไรกันแน่ บอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่านอกจากพาตัวฉันกับน้องมาส่งให้พวกคุณแล้ว แม่กับพวกคุณวางแผนอะไรกันไว้บ้าง” วาวพลอยถามเจ้าของร่างสูงใหญ่ด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักทันทีที่เห็นเขา

“เอ่อ... ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แม่ของคุณก็แค่จะหลอกล่อพวกนั้นให้หันเหความสนใจจากคุณ เพื่อให้การเดินทางของเราสะดวกขึ้นเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มพูดพร้อมเดินเข้ามาใกล้

“อะไรนะ! นั่นคือสิ่งที่แม่ฉันกำลังทำอย่างนั้นเหรอ โธ่... แม่จ๋า” วาวพลอยโอดครวญออกมา

ภาพหญิงวัยห้าสิบกว่าปี รูปร่างเล็กบางกำลังหนีการตามล่าของพวกคนร้ายหัวซุกหัวซุน ปรากฏในจินตนาการของหญิงสาว ทำให้เข่าของเธอแทบทรุด ด้วยความเป็นห่วงกังวลและหวาดกลัว

“แม่คุณเก่งและฉลาดกว่าที่คุณคิดมาก มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกมันเลิกติดตามคุณ ถ้าโชคดีก็คงสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมันได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ถ้าโชคร้ายอย่างน้อยก็คงยื้อเวลาได้สักระยะหนึ่ง ทางที่ดีเราควรฉวยโอกาสนี้ทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่มานั่งทอดอาลัยตายอยาก”

คำพูดของคนตัวโตทำให้วาวพลอยต้องหันขวับมามองเขาด้วยดวงตาวาววะวับ เธอไม่พอใจตั้งแต่ครั้งที่ตัวเองกับแม่กำลังล่ำลากันที่ท่าเรือ และหัสตะก็ทำสุ้มเสียงแบบนี้

กับประโยคที่ว่า หมดเวลาคร่ำครวญแล้ว ซึ่งแปลได้ว่ารำคาญ ดูถูก หรืออะไรประมาณเดียวกัน ส่งผลให้ความไม่พอใจที่เก็บกดเอาไว้ของหญิงสาวระเบิดตูม! ในทันที

“นี่! คุณกล้าว่าฉันงั้นเหรอ คุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน โดยที่คุณไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ คุณรู้ไหมตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันมีความสุขอยู่กับแม่ พี่สาวและน้องมาโดยตลอด แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเรื่องบ้าบอนี้ก็เกิดขึ้น โดยไม่ทันตั้งตัวฉันก็พรากจากครอบครัวมาอยู่กับคนแปลกหน้าอย่างคุณ

“ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าไว้ใจได้แค่ไหน ชีวิตที่แสนปกติสุขของฉันมันจบสิ้นลงภายในเวลาชั่วข้ามคืน ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันแบบนี้ จะให้ฉันดีใจหัวเราะร่ามองเห็นแต่ภาพที่ตัวเองได้เป็นเจ้าหญิง นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองอย่างนั้นเหรอ” เจ้าของร่างบอบบางหยุดสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะพ่นไฟให้อีกรอบ

“ฉันไม่ใช่ทหารรับจ้างเพื่อเงินอย่างคุณ ที่คงไม่รู้จักแม้กระทั่งความผูกพันในครอบครัว ไร้ความรู้สึก เย็นชา ป่าเถื่อน แล้วก็อย่ามาตัดสินฉัน” ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวจากไป โดยคนถูกด่าอ้าปากค้าง โก๋ที่ยืนฟังเงียบๆ มาโดยตลอดเห็นดังนั้นจึงยิ้มแหยๆ ให้ชายหนุ่ม

“เอ่อ ปกติเจ๊แกไม่ได้อารมณ์แรงแบบนี้หรอกครับคุณหัสตะ คงเพราะคิดถึงแม่มาก แล้วอะไรๆ ก็เกิดขึ้นเร็วมากจนแกรับไม่ทันน่ะครับ” หัสตะโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร

“ช่างเถอะ ให้เค้าระบายออกมาเสียบ้าง อะไรๆ คงดีขึ้น” ชายหนุ่มว่าพร้อมหัวเราะน้อยๆ

“เกิดอะไรขึ้นคะหัวหน้า เสียงดังไปถึงดาดฟ้าเลย” จิญจายะลงมาจากดาดฟ้าที่ขึ้นไปสังเกตการณ์ตามปกติถามขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก ไปทำงานต่อเถอะ” หัสตะบอก พลางเดินกลับเข้าไปในเคบินเรือ

จิญจายะมองมาทางโก๋ราวกับจะขอคำอธิบาย โก๋ได้แต่ยักไหล่ แบมือ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในอีกคน ทิ้งให้จิญจายะมองตาม แล้วเกาหัวอย่างงงๆ









**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQ

iO3M6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%

E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%

E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%94%

E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174



banbanbook

http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มิ.ย. 2559, 10:25:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มิ.ย. 2559, 10:25:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 934





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account