มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 16



เป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่พายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน หัสตะนั่งเฝ้าหญิงสาวอยู่ตลอดทั้งคืน คอยเช็ดตัวเวลาเธอมีไข้ คอยบีบนวด และเปลี่ยนยาพอกแผลให้ตามเวลาที่ผู้เฒ่าสั่ง

โดยมีผู้เฒ่าอังวะที่เข้ามาดูอาการเป็นระยะ อาการของวาวพลอยบรรเทาลง เธอฟื้นขึ้นมาในตอนสายๆ ที่พายุได้สงบลงแล้ว

ขณะเดียวกันนั้นเองก็มีผู้หญิง เด็กเล็กประมาณยี่สิบกว่าคน กลับมาที่บ้านหลังใหญ่ และบ้านข้างเคียง หัสตะรู้จากผู้ชายในบ้านว่าช่วงนี้เป็นหน้ามรสุม จึงต้องให้พวกผู้หญิงกับเด็กพากันไปหลบอยู่ในถ้ำที่ไหล่เขาในเวลาตั้งแต่พายุเริ่มตั้งเค้า

แต่ละวันจะเหลือเพียงพวกผู้ชายเฝ้ากระท่อมของตนกันอยู่ แต่ก็มีบางส่วนที่ไปดูแลผู้หญิงและเด็กเหล่านั้น ก่อนจะพากันกลับออกมาในตอนเช้าเพื่อใช้ชีวิตตามปกติ

วาวพลอยลืมตาขึ้นมาเห็นเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายเก่าๆ และกางเกงชาวเลนั่งอยู่ข้างแคร่ที่เธอนอน เขามองเธออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มยินดีฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้น

“คุณฟื้นแล้ว เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า” ชายหนุ่มรีบโน้มตัวเข้ามาใกล้ มือหนาจับมือของเธอเอาไว้พลางบีบเบาๆ

“นี่ ฉันถึงกับสลบไปเลยเหรอคะ” วาวพลอยถามเสียงแผ่ว

“คงเป็นเพราะร่างกายคุณไม่แข็งแรงด้วย อีกอย่างตะขาบตัวนั้นก็พิษร้ายแรงมาก ว่าแต่ตอนนี้ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” แววห่วงใยอาทรฉายอยู่บนใบหน้าและดวงตาคู่สีเทาอมฟ้าของเขาอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เห็นวาวพลอยก็อบอุ่นใจนัก

“ปวดแสบปวดร้อนที่แผลนิดหน่อย แต่ก็ยังชาๆ อยู่ค่ะ” หญิงสาวตอบออกไป

“คงเป็นเพราะพิษของตะขาบหินนั่นแหล่ะ แต่ตัวคุณไม่ร้อนแล้วนี่” เขาพูดพลางเอื้อมมือมาแตะหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณมากนะคะที่พยายามช่วยชีวิตฉัน” หญิงสาวเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจกับสิ่งที่เขาทำให้เธอทุกอย่าง

แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงหน้าที่ที่เขาต้องทำ แต่ก็สร้างความประทับใจให้กับวาวพลอยมากมายนัก ภาพตอนที่หัสตะพยายามช่วยดูดพิษออกจากแผลให้เธอยังติดอยู่ในความรู้สึก และมันก็สั่นคลอนหัวใจดวงน้อยอยู่ไม่หาย

“วาวพลอย ผมไม่มีวันปล่อยให้คุณเป็นอะไรง่ายๆ หรอก” ชายหนุ่มพูดพลางมองดวงหน้าหวานซึ้งที่เต็มไปด้วยคำถามนั้น

“คุณจำครั้งที่คุณคิดว่าผมถูกโจรสลัดฆ่าตายได้ไหม” ก่อนเอ่ยต่อ

“เอ่อ... ค่ะ” ทำไมเธอจะจำไม่ได้ เพราะตอนนั้นเธอทั้งเสียใจและรู้สึกผิดที่คิดว่าตนเป็นสาเหตุทำให้เขาต้องตาย

“ความรู้สึกของผมตอนที่คุณหมดสติไปก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ที่ต่างกันก็คือ... มันมากกว่าที่คุณรู้สึกตอนนั้นหลายเท่า” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

นาทีที่เขารู้ว่าอาจจะต้องสูญเสียหญิงสาวไป มันทำให้หัสตะแทบควบคุมสติไม่อยู่ แต่พอเห็นหนทางที่เธอจะฟื้นคืนมาเขาก็ไม่รีรอที่กระโจนเข้าใส่

ชายหนุ่มได้แต่บอกตัวเองว่า ต่อให้ต้องพยายามและทำมากกว่านี้ เขาก็พร้อมจะทำ และตอนนี้ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่าการได้เห็นหญิงสาวลืมตาขึ้นมา และพูดคุยกับเขาเช่นนี้อีกแล้ว

“ไม่ว่าทางไหนที่จะทำให้คุณปลอดภัย ต่อให้ต้องเสียอะไรไปผมก็จะทำ ผมสัญญา” และความรู้สึกที่อัดแน่นในใจก็ทำให้เขาเอ่ยคำสัญญาออกมา

พลางมองสบตาคู่หวานซึ้งราวกับยืนยันถึงสิ่งที่พูด และมากกว่านั้นคือความรู้สึกบางอย่างในใจ ที่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ หัสตะรู้เพียงแต่ว่าไม่อยากเห็นเจ้าของดวงหน้างามนี้เจ็บปวดไม่ว่าทางกายหรือใจ

เขาปรารถนาจะแบกรับสิ่งเหล่านั้นเอาไว้เอง หากมันจะแลกได้กับรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขของคนตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออาจจะเป็นตอนที่เกือบจะสูญเสียเธอไปในครั้งนี้

“คุณหัสตะ... ” วาวพลอยรำพึงเรียกเขาเสียงแผ่ว ขณะมองสบตาคู่คมนั้น

ดวงตาที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน และนั่นก็ทำให้หัวใจที่อบอุ่นอยู่แล้วฟูฟ่องพร้อมกับเต้นผิดจังหวะขึ้นมาเสียดื้อๆ หญิงสาวรู้สึกถึงความร้อนจะลามเลียอยู่บนใบหน้าอย่างไม่อาจห้ามได้

พอดีมีเสียงฝีเท้าดังอยู่หน้าประตูหัสตะจึงปล่อยมือจากหญิงสาว ก่อนที่ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในห้อง ในมือถือชามกระเบื้องเก่าๆ ใส่อาหารมาให้ โดยมีเด็กๆ สอง-สามคนเกาะประตูแอบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น พร้อมหัวเราะกันคิกคัก

“ฉันเอาซุปมาให้ ทานร้อนๆ นะ จะได้คล่องคอ” ผู้หญิงคนนั้นบอกเป็นภาษาของนาง

ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณเป็นภาษาเดียวกัน แล้วหญิงชาวเกาะก็ถามไถ่อาการของหญิงสาวอีกสอง-สามคำ ด้วยท่าทางเป็นมิตร วาวพลอยทำหน้างงงันเพราะฟังภาษาชาวเกาะเหล่านี้ไม่ออก จนกระทั่งหญิงคนนั้นออกไปจากห้อง หัสตะจึงแปลให้เธอฟัง

“คุณพูดได้กี่ภาษากันคะเนี่ย” หญิงสาวถามอย่างทึ่งๆ แต่เขากลับยิ้มให้แทนคำตอบ ก่อนว่า

“มันเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคุณจะไปทำงานบ้านคนอื่น คุณก็ต้องรู้และเข้าใจภาษา วัฒนธรรมของพวกเขาด้วย ไม่อย่างนั้นจะสื่อสารกันยังไง แต่ภาษานี้ผมได้จากเพื่อนที่ศึกษาเรื่องภาษาถิ่นชาวเกาะโดยตรง อาจเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้จริงๆ เลยพูดได้ไม่คล่องนัก”

“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ คอยซัพพอร์ตอยู่ตลอดน่ะสิคะ” หญิงสาวเปรยขึ้น ด้วยความรู้สึกทึ่งไม่หาย

“จะเรียกให้ดูดีอย่างนั้นก็ได้ แต่ไม่ใช่ทีมของผมหรอก เป็นต้นสังกัดเก่าของผมน่ะ ผมว่าคุณทานซุปก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” หัสตะช่วยประคองให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะนำชามซุปมา และทำท่าจะป้อนให้เธอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทานเองได้” วาวพลอยรีบจับมือเขาเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มจึงยอมให้เธอทานเองตามความต้องการ

“เป็นยังไงบ้างล่ะ คงดีขึ้นมากแล้วนะ” ผู้เฒ่าอังวะเข้ามาในห้องระหว่างที่วาวพลอยยังทานซุปอยู่ พร้อมถามขึ้นด้วยรอยยิ้มใจดี หญิงสาวมองหน้าเขากับชายชราสลับกัน หัสตะจึงแปลให้เธอฟัง

“ท่านผู้เฒ่าอังวะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เรียกว่าเป็นผู้นำของเกาะนียาก็ได้ และเมื่อคืนท่านก็เป็นคนช่วยคุณเอาไว้” เขาบอกต่อ

“ขอบคุณมากนะคะ” วาวพลอยยกมือไหว้ในแบบคนไทยที่เธอเคยใช้มาตลอดชีวิต หัสตะจึงแปลให้ผู้เฒ่าคนนั้นฟัง ซึ่งก็ได้แต่โบกมือและบอกว่าไม่เป็นไร

จากนั้นจึงได้พูดคุยกับคนทั้งคู่ โดยมีหัสตะเป็นล่ามแปลให้ตลอดการสนทนานั้น ท่านผู้เฒ่าบอกว่าอาการของวาวพลอยจะดีขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนี้ต้องคอยพอกแผลด้วยสมุนไพรเพื่อดูดพิษของตะขาบออกให้หมด พร้อมกับบีบนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการไหลเวียนของเลือดต่อไป

ก่อนจะถามถึงที่มาที่ไปของคนทั้งคู่อย่างจริงจัง หัสตะเพียงแต่บอกว่าเขากับหญิงสาวได้ล่องเรือมากับเพื่อนๆ ก่อนจะเจอกับโจรสลัดจึงได้พลัดหลงมายังเกาะนี้เพียงสองคน อีกทั้งชายหนุ่มยังได้ถามถึงวิธีการเดินทางเข้าฝั่ง และขอให้ชายชราช่วย

ซึ่งผู้เฒ่าอังวะก็ได้รับปากจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตอนท้ายในการสนทนาผู้เฒ่าอังวะมองวาวพลอยและหัสตะสลับกันไปมาครู่หนึ่ง แล้วจึงถามอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มรีบสั่นศีรษะปฏิเสธโดยเร็ว

“เอ่อ... ท่านถามว่าเราเป็นผัวเมียกันหรือเปล่า” ก่อนจะหันมาทางวาวพลอยที่จ้องเขม็งด้วยความอยากรู้ และบอกเธอด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน

หญิงสาวจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็วอีกคนเช่นกัน นั่นทำให้ท่านผู้เฒ่ามีสีหน้าแปลกไปจากเดิม

“เห็นทีจะแย่เสียแล้ว” แล้วเปรยออกมา

“อะไรแย่หรือครับ” ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“ก็พวกเจ้าทั้งสองไม่ใช่ผัวเมียกัน แต่ก็ถูกเนื้อต้องตัวกัน พวกเราถือเรื่องนี้มาก ถือเป็นเรื่องอัปมงคลที่จะนำพาหายนะมาสู่ชนเผ่าเรา ถึงจะเป็นเรื่องสุดวิสัยก็ไม่มีข้อยกเว้น” ผู้เฒ่าอังวะว่า ท่าทางติดวิตกกังวล

“แล้วเราควรจะทำยังไงดีครับท่านผู้เฒ่า มีทางแก้ไขบ้างไหมครับ” ส่งผลให้หัสตะรู้สึกผิด ที่เป็นต้นเหตุทำให้ชาวเกาะไม่สบายใจอย่างนี้

“มันก็มี และข้าก็คิดว่าพวกเจ้าคงจะเต็มใจทำอยู่กระมัง” ชายชราเพ่งมองคนทั้งคู่สลับกันไปมาอีกครั้งอย่างพิจารณา

“ครับ บอกมาเถอะครับท่านผู้เฒ่า เรายินดีที่จะทำ” ชายหนุ่มรีบบอก

“พวกเจ้าต้องแต่งงานกันตามประเพณีชาวเกาะของเรา”

“อะไรนะครับ!! ” หัสตะเบิกตาค้างอย่างตกใจกับคำตอบนั้น

“พวกเจ้าก็ดูรักกันดีอยู่แล้วนี่นะ เจ้าเองก็ห่วงนางยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก ก็ถือเสียว่าเป็นโอกาสดีที่พวกเจ้าจะได้เป็นผัวเมียกันเสียที” ผู้เฒ่าตบท้ายตามความเข้าใจของตนอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวออกไปจากห้อง

“ท่านผู้เฒ่าว่าอะไรคะ” หญิงสาวรีบถามขึ้นด้วยความสนใจใคร่รู้ เมื่อคล้อยหลังชายชรา

ยิ่งเห็นหน้าเหมือนโดนผีหลอกของหัสตะแล้ว ต่อมความอยากรู้ของวาวพลอยก็ยิ่งทำงานอย่างหนัก และเขาก็รีบเล่าให้เธอฟัง ตามที่ผู้เฒ่าบอกทุกคำ นั่นทำให้คนอยากรู้ตาโตยิ่งกว่าชายหนุ่มเมื่อครู่เสียอีก

“แล้วเราจะทำอย่างที่พวกเขาบอกเหรอคะ ไม่ทำไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างหวั่นใจ หัสตะส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา

“มันไม่มีทางอื่นแล้วล่ะ มันเป็นความเชื่อของพวกเขา และอีกอย่างถ้าเราไม่ยอมอาจจะเกิดหายนะขึ้นกับพวกเขาจริงๆ ก็ได้”

“ตายจริง เรื่องมันร้ายแรงถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะเนี่ย” วาวพลอยทั้งตระหนกและพยายามเค้นความคิดหาทางออก ชายหนุ่มมองเห็นท่าทางจริงจังนั้นจึงรีบเอ่ยต่อ

“ถ้าเราไม่ทำตามประเพณีของพวกเขา พวกเขาอาจจะไม่ให้เราออกจากเกาะก็ได้นะ” อันนี้คนตัวโตตั้งใจเสริมแต่งเอาเองพลางทำหน้าตาจริงจังสุดชีวิต หญิงสาวที่ยังมีท่าทีครุ่นคิดยิ่งหน้าเสียกว่าเดิม

“ตอนนี้มีอะไรก็ทำตามน้ำไปก่อนเถอะคุณ เพราะยังไงเราก็ต้องพึ่งพวกเขา ตัวคุณเองก็ยังไม่หายดีด้วย” หัสตะพูดต่อ ทำให้วาวพลอยถอนหายใจเฮือกใหญ่

“งั้นก็ได้ค่ะ” ก่อนตอบรับออกมาในที่สุด

เพราะในใจคิดว่าพวกชาวเกาะต่างก็ให้การช่วยเหลือเธอกับหัสตะเป็นอย่างดี ที่ตนรอดตายมาได้ในครั้งนี้ก็เพราะพวกเขา หญิงสาวไม่อยากทำความเดือดร้อนลำบากใจให้กับคนเหล่านี้เลยถ้าทำได้

แต่หารู้ไม่ว่าคนฟังที่ทำท่าลำบากใจในตอนแรก มาตอนนี้แอบซ่อนรอยยิ้มสาสมใจเอาไว้เสียนี่




**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntz
Ojc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyOTE
2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0
%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0
%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2559, 20:33:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2559, 20:33:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 778





<< บทที่ 15   บทที่ 17 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account