ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน

ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน


อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย


พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน


ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร


ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา



เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น



หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย



หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา



และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช


ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์

ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 10



มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑๐

นลินนาอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบ ๆ ไม่เชื่อแก่สายตาว่า สิ่งตรงหน้าหล่อนจักเป็นจริง ด้วยภาพเบื้องหน้าคือ เวิ้งน้ำอันไพศาล มีมวลมัจฉาเวียนว่ายเริงร่า และบางตัวก็มีขนาดมหึมาจนนลินนาแทบอ่อนระทวยหัวใจวาย

แม้สถิตใจกลางเวิ้งน้ำ ทว่าบริเวณของนลินนากลับถูกแยกออกชัดเจนด้วยม่านพลังบางอย่าง ละไอเยียบเย็นอายอวล ชวนให้สดชื่นและสบายใจ ทั้งยังสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งกว่าในวิหารแห่งอีเอ นักบวชสาวทัศนาโดยรอบถ้วนทั่ว จึงประจักษ์ว่า ในนี้ประดับประดามิต่างพระราชวัง มีแท่นบรรทม บัลลังก์ แลเครื่องเรือนครบครันประหนึ่งมีผู้คนอาศัย

“นลินนา...”

เสียงเพรียกนั้น ชวนร่างเพรียวสะดุ้งสะเทิ้นแหงนมอง ก่อนตกตะลึงในร่างอันปรากฏอยู่เบื้องหน้า น่าแปลก...เหตุใดคราแรกเธอไม่แลเห็น

ร่างตรงหน้าคือ บุรุษร่างสูงกำยำ ในบุคลิกปรากฏทั้งความเฉียบขาดแลเยือกเย็น บนศีรษะกลมสวมหมวกมีเขาคดโค้งมาบรรจบกันเบื้องหน้า เรือนกายห่อหุ้มด้วยอาภรณ์เกล็ดปลาวับวาวสีเงินอมฟ้า สวมปาทุกาหนังสัตว์ แลสิ่งอันเพิ่มความตกตะลึงให้นลินนาคือ กระแสธารแลมัจฉาอันหลั่งไหลออกจากร่างกายบุรุษผู้นี้!

สาบานเถิดว่า เธอแค่ฝัน! ทว่าคุ้นเคย...เสียงเขาคุ้นเคยในโสตอย่างประหลาด

“ยินดีที่ได้พบเจ้าอีกครั้งนลินนา...”

หล่อนนิ่งอั้น ความสงกาพลุ่งพล่าน เอ่ยถาม “คุณรู้จักฉันหรือคะ?”

รอยแย้มปรากฏบนริมฝีปากลึกลับคู่นั้น “ใช่ ข้าเคยพบเจ้า นานแล้ว...นานจริงๆ”

วาจานั้นมีเลศนัยชอบกล หล่อนเอียงคอ ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่า เหตุใดจึงมาสถิตอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงมานั่งตรงนี้ บนแท่นบรรทมอันสลักเสลาประณีต มีทิวทัศน์ราวอยู่ในห้วงมหาสมุทร แลสิ่งอันน่าอัศจรรย์ใจ ร่างหล่อนแห้งสนิท ความทรงจำรางเลือนเริ่มกระจ่างชัด

หล่อนจมน้ำ น้ำประหลาดอันท้นทะลักจากห้องบูชาแห่งเทพอีเอ หรือน้ำนั่นจะนำพาหล่อนมาอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่คือที่ใด?

คงเพราะประกายสับสนผุดขึ้นในแววตา บุรุษผู้มีลักษณาการแปลกประหลาดจึงเอื้อนเอ่ย

“อย่าได้สงสัยไปเลยนลินนา ที่นี่คือ อัปซู มหาสมุทรใต้พิภพ แลเจ้าดูนั่น” หัตถ์อันมีขนาดใหญ่อย่างน่าตกใจชี้ไปเบื้องบน นลินนามองตาม สะดุดกับเพดานแผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ทั้งยังดูหนาหนักประหนึ่งปถพี “แลนั่นคือแผ่นดินอันสร้างจากกายเทพีเทียมัต เจ้ากำลังอยู่ใต้นคราบาบิลิม แลสถิตอยู่ในกายแห่งอัปซู”

หล่อนสดับฟัง ไม่เข้าใจในคราแรก ก่อนกะพริบตา งงงวย เริ่มจับความได้

ในมหาสมุทรใต้พิภพ ใต้นครบาบิลิม ในกายแห่งอัปซู

พลันเข้าใจก็นิ่งงัน แสดงว่า หล่อนมิได้อยู่บนพื้นแผ่นดิน ทว่าอยู่ใต้แผ่นดินที่มนุษย์เหยียบยืน

ราวบุรุษผู้นั้นอ่านใจหล่อนออก “ใช่ ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ใต้ผืนแผ่นดิน และนี่คือในกายแห่งอัปซู พระบิดาผู้ถูกข้าสะกดให้หลับใหล”

หล่อนอ้าปากค้าง อากาศเย็นแปลกประหลาดอันหลั่งไหลเข้าสู่ปอดดูแปลกปลอมขึ้นทันที พยายามเข้าใจในเรื่องอันผิดสามัญธรรมดา แลพยายามจดจำเทวตำนานอันร่ำเรียนมาจากวิหารแห่งมหาเทพี และสิ่งหนึ่งที่หล่อนจำได้คือ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับชำระกายก่อนเข้าพิธี นินซาเรียกสระน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นว่า อัปซู! และในเทวตำนานแห่งบาบิโลน ในคราที่โลกไม่มีอะไรนอกจากน้ำ เทพแห่งห้วงมหานทีสองพระองค์ได้ถือกำเนิด เทพองค์แรก เทพแห่งมหาสมุทร เทพีเทียมัต แลเทพองค์ที่สอง เทพแห่งวารี เทพอัปซู บุรุษตรงหน้าเธอแจ้งตนว่า เป็นผู้สะกดเทพอัปซู ครั้งในสงครามระหว่างทวยเทพ ในครามหาเทพมาร์ดุคทรงสังหารเทพีเทียมัต ฉะนั้น บุรุษตรงหน้าจักเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากเทพอีเอ!

คล้ายขาดอากาศไปเสียอย่างนั้น

“บัดนี้เจ้าคงเข้าใจแจ่มแจ้งทุกสิ่งแล้ว”

แม้โสตจักอื้ออึง กระนั้นก็ยังพอจับความ

“เหตุที่ข้าพาเจ้ามาวันนี้ ด้วยมีเรื่องสำคัญจักต้องชี้แจง”

นลินนาพยักหน้าหงึกหงัก สติยังคงหลุดลอย

“ข้าต้องการเล่าให้เจ้าฟัง...นลินนา เล่าเรื่องราวตั้งแต่ครั้งคำทำนายแห่งบาบิลิม”

วาจานั้นดึงความสนใจนลินนาได้ชะงัด สติหวนกลับคืน แหงนมองเทวะผู้ทรงอำนาจแห่งเมโสโปเตเมีย จากนั้นจึงหยัดกายขึ้นยืน ดำเนินตามเทพเจ้าแห่งสายน้ำไปยังม่านวารีอันมีมวลมัจฉาเวียนว่ายเป็นฉากหลัง จากนั้นกระแสน้ำจึงแวบวาบเรืองรอง ฉายเหตุการณ์ต่าง ๆ นับแต่ครั้งคำทำนายแห่งบาบิลิม!



นักบวชสาวยืนสดับหนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดแห่งบาบิลิมด้วยใจจดจ่อยิ่ง พยายามเข้าใจเรื่องอันเหนือธรรมชาติ ทั้งคำทำนายการล่มสลายแห่งบาบิลิมภายใต้การปกครองของชาวคัชดู ทั้งคำวอนขอของนักบวชสูงสุดแห่งมาร์ดุค...มหาเทพ กระทั่งการสร้างเธอขึ้นกองดินแลโลหิตแห่งมหาเทพีอิชทาร์ เหตุแห่งการส่งเธอไปยังอนาคตกาล

นลินนาท้วงถามตัวเอง เหตุใดจึงไม่ถือกำเนิดมาอย่างมนุษย์สามัญ มนุษย์ผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร แลรอวันบรรลุซึ่งโมกษะ เกิดมาเพื่อรอนแรมไปอย่างไม่รู้ว่า หนทางเบื้องหน้าจักสว่างไสวหรือมืดมิด อย่างน้อยก็คงดีกว่าชีวิตอันถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ นลินนาหวนระลึกถึงมารดาจับใจ น้ำเนตรไหลเป็นสาย แม้จักไม่มีความผูกพันแต่ชาติปางก่อน ทว่านลินนามั่นใจ ความผูกพันระหว่างเธอกับมารดามิใช่เรื่องหลอกลวง หากเป็นความรักอันบริสุทธิ์ซื่อและสัตย์จริง สายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเกวลินและลลนาเป็นของแท้ โดยมิต้องพึ่งพาผลบุญแต่อดีตชาติ

มหาเทพอีเอทรงพยายามตรัสเล่าอย่างพระทัยเย็น ทัศนาหน้าเธอด้วยแววเอ็นดู

“ข้ารู้ว่า เป็นเรื่องทำใจยากยิ่งนลินนา ทว่าหากเจ้านับเป็นบุตรีแห่งอิชทาร์ เจ้าก็ย่อมเป็นนัดดาแห่งข้า”

น้ำเนตรหยุดชะงัก นักบวชสาวทูลถามเสียงเครือ “หลานหรือเพคะ?”

รอยแย้มอันเปี่ยมไปด้วยแววอารีคลี่ขึ้นมา “ใช่นลินนา เจ้าเป็นหลานข้า ข้าพร้อมปกปักเจ้าเช่นเดียวกับอิชทาร์ที่รับเจ้าไว้ในอ้อมกอดแห่งนาง แม้นลูกสาวข้าจักร้ายกาจเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับ นางทำได้ดีในหน้าที่ของนาง”

สตรีผู้บัดนี้กลายเป็นนัดดาแห่งมหาเทพอีเอคลี่แย้ม ด้วยทราบว่า เทพีอิชทาร์ทรงกลายมาเป็นเทพีผู้ทรงอำนาจเหนือเทพีทั้งปวงได้อย่างไร ในตำนานจารจารึกชัดว่า เทพีอิชทาร์ทรงมอมเหล้าพระบิดา แล้วทูลขออำนาจอิทธิฤทธิ์แลทรัพย์สมบัติขณะพระบิดากำลังเมามาย กว่าเทพอีเอจักทรงรู้พระองค์แลให้คนสนิทตามไปทวง พระธิดาตัวร้ายก็ทรงขนทรัพย์สมบัติรวมทั้งพระพลังอำนาจคืนสู่วิหารหลักแห่งพระนางอันสถิตอยู่ในนครอูรุคเสียแล้ว จากนั้นพระนางจึงถูกสถาปนาขึ้นเป็นเทพีผู้ทรงอำนาจเหนือเทพีทั้งปวง แลทั้งที่เทพเจ้าหลายพระองค์สูญหายไปตามกาลเวลาด้วยการผลัดเวียนเข้ามาปกครองของชนชาติต่าง ๆ เทพีอิชทาร์กลับทรงได้รับการเคารพบูชามิเสื่อมคลาย

“พระองค์เพคะ จนบัดนี้หม่อมฉันก็ยังไม่แน่ใจว่า ตนเองเป็นอย่างที่พระองค์ตรัสมาจริง?” นลินนายังคงสับสนไม่วางวาย เทพอีเอคือเทพแห่งสายน้ำแลเทพผู้ทรงปัญญา เทพีอิชทาร์คือเทพีแห่งความรักแลการสงคราม หล่อนมิมีอะไรเหมือนทั้งสองพระองค์สักนิดเดียว ทว่ามหาเทพกลับแย้มพระสรวล ในดวงเนตรลุ่มลึกประดุจห้วงนทีปราศแววกังขา

“อย่าได้กังวลนลินนา หากในกายเจ้ามีโลหิตแห่งอิชทาร์ ในโลหิตแห่งอิชทาร์ย่อมมีโลหิตข้าเฉกกัน แม้เจ้าจักไม่รู้ตัว แต่ทราบเถิด ผู้อยู่แวดล้อมเจ้าล้วนรู้สึกดั่งนี้ ผู้ทรงอำนาจและปัญญาย่อมไม่ทราบพลังอันแท้จริงของตนเอง ด้วยผู้ทระนงในความสามารถของตนเองคือผู้เชื้อเชิญหายนะมาสู่ตน”

พระหัตถ์แห่งเทพอีเอประทับลงบนบ่าเธอ นลินนาแหงนเงยมองพระพักตร์อันคมเข้ม นาสิกโด่งเป็นสัน แลมีพระบุคลิกล้ำลึก บนพระพักตร์บัดนี้ปรากฏความอ่อนโยนนุ่มนวลโดยแท้ พระบุคลิกแบบเดียวกับคราทรงประทับในร่างของเจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์ครั้งในโถงชะตากรรมซ้อนทับมา

สตรีผู้กำเนิดจากเทพเจ้ายิ้มพราย เมื่อเปิดอก ดวงใจจึงอุ่นอวลด้วยความรู้สึกเดียวกับการได้คืนสู่เคหา คือความสงบซึ้ง แลปลอดโปร่งใจอย่างแปลกประหลาด พระหัตถ์เย็นเยียบดุจนทีลูบไล้ไปตามเกศาสีน้ำตาลเข้มดุจคลื่นของเธอ น้ำเนตรแห่งความปีติจึงอาบเอิบขึ้นอีกหน

พระสุรเสียงกังวานตรัสเรียกใครบางคน จากนั้นจึงมีบุรุษผู้หนึ่งยาตราเข้ามายังบริเวณ สตรีผู้ถือกำเนิดจากเทพเจ้าแหงนมอง บุรุษผู้นี้แต่งกายคลับคล้ายเทพอีเอ แม้จักมีรัศมีอ่อนกว่า ทว่าก็เปี่ยมความทรงศักดิ์

“อิสิมุด เจ้าเตรียมพานางไปส่ง”

ประกายงุนงงฉาบขึ้นในดวงตาของนลินนา กิริยาพยักพระพักตร์แห่งเทพอีเอพาให้กระทำตามอย่างงงงวย หล่อนติดตามบุรุษนามอิสิมุดผู้หล่อนคาดว่า เป็นคนสนิทแห่งเทพอีเอไป ทว่าพลันบุรุษผู้นั้นหันหลังให้ หล่อนก็ผวาตกใจ ด้วยบุรุษผู้นี้มีถึงสองหน้า!

ดวงหน้าด้านหลังนั้นยิ้มละไมอย่างปลอบประโลม หล่อนจึงสามารถสงบสติอารมณ์ลง เดินตามไปชั่วครู่ จึงเอ่ยถาม

“ทำไม...เอ่อ...เทพอีเอไม่พาฉันไปส่งด้วยตัวเองล่ะคะ?”

อิสิมุด บุรุษเคร่งขรึมผู้มีถึงสองพักตร์รีบเดินจ้ำ “ปรกติ มหาเทพทรงบรรทมตลอดวันตลอดคืน อันเป็นผลจากคราพระองค์สะกดพระบิดา...เทพอัปซูให้หลับใหลพ่ะย่ะค่ะ แลการที่พระองค์สถิตในพระบิดา ก็ทำให้ทรงติดพระอาการของพระบิดามาด้วยจึงจำต้องบรรทมทั้งวัน กระหม่อมจำเป็นต้องนำพระองค์ออกไป ก่อนมหาเทพจักทรงเข้าสู่ห้วงนิทรา”

ชั่วพริบตา แสงวาบวาบปรากฏในหัตถาแห่งบุรุษนามอิสิมุด เพียงปลายนิ้ววางจรดหว่างคิ้ว หล่อนก็บังเกิดอาการวิงเวียน ก่อนสติดับสูญ คล้ายถูกดูดดึงขึ้นสู่ภาคพื้นปฐพี



นักบวชสาวลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเบื้องหน้าแท่นบูชา กวาดสายตาออกรอบด้านจึงประจักษ์ว่า ตนกำลังอยู่ในห้องบูชา เมียงมองเข้าไปภายในแลเห็นเทวรูปอีเอประดิษฐานอยู่บนพระแท่นศิลา นอกจากบริเวณอันเป็นพระแท่นรองรับเทวรูปขุดเจาะเป็นเวิ้งน้ำลึกสุดหยั่ง นลินนาใจหายวาบ ทราบแล้วว่า เหตุใดหล่อนจึงพลัดหายไปในมหาสมุทรใต้พิภพ แลกลับมาอีกครั้งยังที่นี่ กลิ่นเผากำยานอบอวล ดึงสติแฝงลึกเร้นฟื้นคืน แลสุรเสียงเนิบนาบก็ดึงสติได้เร็วยิ่ง

“ฟื้นแล้วหรือ?”

สุรเสียงนั้นเป็นของเจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์ พระพักตร์คมคายละม้ายประดาพระเชษฐา ทว่าสุขุม เยือกเย็นแลอ่อนหวานกว่าอยู่ห่างไปไม่มากนัก ทรงคุกเข่าลงข้างเธอ คล้ายเฝ้าจับตามาเป็นเวลานาน คงเพราะสติยังคืนมามิครบถ้วนนัก จึงใช้อาการพยักหน้าทูลตอบแทน แลเจ้าชายนักบวชก็มิได้เคร่งครัดจนกริ้วกับเรื่องเล็กน้อยนี้

“ถ้าเช่นนั้นรีบกลับเถิด เย็นย่ำแล้ว แจ้งนักบวชสูงสุดแห่งอิชทาร์ว่า ข้าได้รับสาส์นเรียบร้อย ดินห่อหุ้มถูกทุบแตกเบื้องหน้าข้า”

นลินนาพยักหน้ารัวเร็ว รีบลุกขึ้น แล้วออกจากเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างงุนงง เหตุการณ์ทั้งหมดละม้ายภาพฝันเลือนราง เสลี่ยงคานหามเร่งรุดพาเธอคืนสู่อีกฟากของนคราโดยไว ด้วยขามาเร่งรีบ นลินนาจึงไม่ทันสังเกตว่า นคราฟากนี้เป็นเขตนครใหม่ จึงมีโครงการก่อสร้างผุดขึ้นมากมาย แลผู้ก่อสร้างส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นเชลยชาวฮิบรูผู้ถูกกวาดต้อนมาจากเยรูซาเล็มในรัชสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เมื่อมีเวลาได้ครุ่นคิดจึงนึกออกว่า วิหารแห่งเทพอีเอ แท้จริงมีอีกคำขานหนึ่งคือ อี-อัปซู เคหาสน์แห่งวารีใต้พิภพ! เหตุใดหล่อนจึงคาดไม่ถึง

ขากลับรวดเร็วกว่าขามาอย่างน่าตกใจ บรรยากาศยามเย็นย่ำแห่งบาบิลิมราวกับโลกนี้กำลังหลับใหลลง สุริยเทพชามาช เทวะแห่งอาทิตยาแลความสัตย์จริงกำลังเคลื่อนคล้อยลงสู่โลกใต้พิภพแปรสถานะสู่ผู้พิพากษาโลกแห่งวิญญาณ

ครั้นถึงมหาวิหาร นักบวชสาวจึงทำการถ่ายทอดทุกถ้อยวาจาแด่นักบวชผู้เป็นประมุขสูงสุดของตน แลท่านหัวหน้านักบวชก็พยักพักตร์เข้าใจ ความลี้ลับในพักตร์แห่งหัวหน้านักบวชพาให้นลินนารู้สึกชอบกลว่า เหตุใดเบื้องหลังเหตุการณ์ราวบังเอิญ หัวหน้านักบวชจึงคล้ายเป็นผู้ชักจูงทุกที ทว่าก็ทำได้เพียงคิด การสงสัยไปไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากเธอยังต้องพำนักอยู่ที่นี่ไปอีกนาน

พลันพบพักตร์นินซา นักบวชพี่เลี้ยงสาวจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง นลินนาอยากเล่าให้นินซาฟังนัก ทว่าสุดท้ายก็อุบเงียบไว้ อยากขอเวลาครุ่นคิดพอให้ปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้จึงค่อยแจ้ง มื้อเย็น นลินนาดื่มเพียงเบียร์หนึ่งเหยือก แลผลไม้อย่างอินทผลัมสองสามลูกก็ขอตัวนอนก่อน นินซาเห็นว่า หล่อนออกทำธุระแต่เช้าจึงมิว่าอะไร ปล่อยหล่อนคืนสู่ที่พักแต่โดยดี

หญิงสาวผู้บัดนี้เริ่มตระหนักในตำแหน่งแห่งที่ของตนจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว กระแสน้ำอันราดผ่านร่างดึงภาพครั้งอยู่ในมหาสมุทรใต้พิภพกลับคืน คล้ายตอกย้ำเธออยู่ทุกลมหายใจ

หล่อนผลัดผ้าเตรียมตัวนอน ก่อนดับแสงตะเกียงสว่างด้วยเชื้อเพลิงน้ำมันมะกอกจึงรองน้ำใสเย็นลงอ่างสำริด แลหยดน้ำปรุงกลิ่นดอกบัวให้ส่งกลิ่นคลายคิดถึงบ้านเกิด ทว่ารอบนี้หล่อนมองน้ำในอ่างนิ่งนาน แปรเป็นว่า หากเจอน้ำเมื่อใดจักถูกดึงดูดให้จ้องมองไปเสียทุกที

ทว่าครานี้ผิดแผก...ด้วยนลินนามักล้มตัวนอนทันทีหลังหยดน้ำปรุงจึงมิสังเกตเห็น จู่ ๆ กระแสน้ำในอ่างก็พลันกระเพื่อมแวบวาบดุจเดียวกับครามหาเทพอีเอฉายภาพอดีตกาลบนม่านมหานที หล่อนชะงักงงงัน จดจ้องลึกลงไป และแล้วภาพมัวซัวจึงค่อยปรากฏชัดเจน จากนั้นน้ำเนตรนลินนาจึงไหลพรากอีกคำรบหนึ่ง



พุทธศตวรรษที่ ๒๖, ราชอาณาจักรไทย

บัดนี้เคหาสน์แห่งเทวาสถิตมิหลงเหลือแม้เงาแห่งอดีตอันเคยงดงามเปี่ยมมนตร์ขลังดังเช่นบรรดาอาคันตุกะพากันปรารภ ทั่วเคหาสน์โอบคลุมไปด้วยความอึมครึม กระทั่งมวลบุปผชาติอันได้รับการปรนนิบัติอย่างดียังหม่นสลดราวล่วงรู้สภาพจิตใจของสตรีเจ้าของเคหาสน์

ณ ห้องนอนของทายาทแห่งเทวาสถิต เรือนร่างของสตรีเจ้าของเคหาสน์ซบพักตร์ลงบนเตียงของบุตรี ความโศกาอาดูรห่มคลุมไปทั่วบริเวณ ความเจ็บปวดนี้ล้ำลึกยิ่งกว่าคราสูญเสียสามีชาวอิหร่านไป ด้วยแก้วตาดวงใจของนางได้หลุดลอย

ในวันอันฟ้าสดใส จู่ ๆ ห่าฝนกลับเทกระหน่ำ เสียงโทรศัพท์จากเพื่อนของบุตรีพาร่างของอมันดารีเร่งรุดออกจากบริษัทโดยไว ไม่เคยมีครั้งไหนที่อมันดารี เทวาสถิตจักสูญสติหวั่นไหว ทว่าครั้งนี้นางกลับประหวั่นพรั่นพรึง ปราศสติยั้งคิดโดยสิ้นเชิง

พลันถึงที่หมาย อมันดารีจึงวิ่งฝ่าสายฝนออกไปอย่างไม่เกรงกลัว ณ ที่นั้น นางเผชิญกับเด็กสาวชาวไทยเชื้อสายจีนร่างอวบขาวกำลังร่ำไห้ประหนึ่งสิ้นสติ เด็กคนนั้นเล่าเหตุการณ์ด้วยน้ำเสียงปริ่มจะขาดใจ แลเหตุการณ์ที่ว่าก็คือ เหตุการณ์ที่บุตรีของนางและสหายนามเกวลินได้พลัดตกน้ำ ขณะนั่งเรือข้ามฟากกลับมา

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ทว่าสายฝนอันเทกระหน่ำผนวกกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พาให้เจ้าหน้าที่และนักประดาน้ำทำงานยากขึ้น มารดาของเกวลินวิ่งเข้ามา เปี่ยมอาการหวาดประหวั่นมิแพ้กัน เจ้าหน้าที่ยังคงพร่ำบอกให้ทั้งสองใจเย็น พร้อมปลอบว่า บุตรีของทั้งคู่จะปลอดภัย โดยอมันดารีได้เพียงหวัง เฝ้าด่าทอตนเองว่า เหตุใดจึงปล่อยบุตรีมาทั้งที่ลางสังหรณ์ย้ำเตือน หากมีสิ่งใดผิดพลาด นางสาบานว่าจักไม่ให้อภัยตนเอง

นางนั่งรออย่างได้เพียงหวังว่า หัตถ์แห่งมฤตยูจักไม่พรากบุตรีนางไป หวังว่า พระแม่ปารวตี มารดาแห่งพระคเณศและพระขันธกุมารจะเข้าพระทัยในหัวอกของมารดาคนหนึ่ง

กาลผ่านไปเนิ่นนาน กระทั่งกระแสน้ำบ้าคลั่งยุติลง นักประดาน้ำและหน่วยกู้ชีพจึงทำงานได้โดยสะดวก และแล้วคำขอของนางก็ถูกปฏิเสธ ด้วยสิ่งที่นักประดาน้ำพบคือ ศพของบุตรีนาง

ในชั่ววินาทีนั้น ราวโลกได้ถล่มลงตรงหน้า เหตุใดพระแม่ปารวตีมิทรงสดับในคำขอของนาง เหตุใดหัตถ์แห่งพระมฤตยูจึงพรากบุตรีของนางไป

ซาก ศพบุตรีแห่งนางเย็นชืด ปราศร่องรอยแห่งสัญญาณชีวิต มีผู้แสดงความเสียใจ มีผู้ร่ำไห้ร่วมกับนาง ทว่าบุคคลเหล่านั้นกลับมิอาจเข้าถึงความรู้สึกสูญเสียลูกของมารดาคนหนึ่ง

ขณะฟากฟ้าเริ่มสาดแสงสุริยัน ขณะวงรุ้งประกายละเลื่อมสดใส ทว่าจิตใจนางกลับด่ำดิ่งลงเหว จงเกลียดจงชังความงามแห่งธรรมชาติอันเยาะหยันนางในยามนี้

แต่แล้ว ท่ามกลางโลกาอันดับสูญของนาง เสียงของหน่วยกู้ชีพทางน้ำก็ดังขึ้นข้างกรรณ บอกต่อกับสตรีผู้เป็นมารดาของเกวลิน

“ขอโทษด้วยครับ คุณชนิตา เรายังไม่พบร่างของลูกสาวคุณ แต่คุณแม่อย่าเพิ่งถอดใจนะครับ ทางเราจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง”

อมันดารีสาบานว่า ขณะนั้นหล่อนมิไยดีในสิ่งใดอีกต่อไป มิไยดีกระทั่งชีวิตนาง ทว่าก็ยังสะท้อนใจกับสตรีผู้บุตรีสาบสูญ กระนั้นสตรีนางนั้นยังคงมีความหวังแห่งการรอคอย ทว่าอมันดารี...นางปราศจากซึ่งความหวังทั้งปวง!



ยานพาหนะลายเขียวเหลืองแล่นปราดเข้าเทียบหน้าเคหาสน์ขาวสกาวสร้างตามสถาปัตยกรรมอินเดียสมัยราชวงศ์โมกุล ภาพรั้วเหล็กหนาดำสูงเสียดประจักษ์แก่ดวงตาเฉี่ยวคมของหญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีบรูเน็ตยาวสยายเคลียบ่า เรือนร่างโฉบเฉี่ยวในชุดทะมัดทะแมงคือ เสื้อแขนกุดสีแดงเลือดหมู และกางเกงยีนสีซีดก้าวลงจากยานพาหนะ เปิดกระโปรงรถขนกระเป๋าเดินทางลงมา พลางใช้โทรศัพท์ตรวจสอบที่อยู่ให้แน่ชัดอีกครั้ง พร้อมเทียบรูปบ้านซึ่งตรงตามสหายส่งมาไม่ผิดเพี้ยน

หญิงสาวชาวอังกฤษแหงนมอง พึมพำ

“คงเป็นบ้านหลังนี้สินะ นลินนา...”


*******************************************************************************************************************
อัพตอนใหม่แล้วนะคะ ถ้าเขียนดีหรือเเย่ยังไงก็สามารถบอกได้นะคะ จะปรับเเก้ให้ค่ะ ตอนนี้เป็นตอนที่เเต่งแล้วสงสารอมันดารีมากที่สุดตอนหนึ่งเลยค่ะ ส่วนปมของตอนนี้จะมาเฉลยในตอนหน้านะคะ ฝากติดตามด้วยนะคะ



เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2559, 19:37:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2559, 00:49:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1080





<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 9   มัตติกาจารึกแผ่นที่ 11 >>
แว่นใส 13 ก.ค. 2559, 20:44:08 น.
อาจารย์มาหาแม่เหรอ


Zephyr 13 ก.ค. 2559, 22:08:59 น.
อืม เริ่มมีตัวละครเยอะ
ชักงง
อ่านใหม่ดีกว่า


Likewizy 14 ก.ค. 2559, 21:48:21 น.
สงสารคนแม่นะ เพื่อนนลินาจากต่างประเทศมาแล้ววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account