ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน

ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน


อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย


พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน


ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร


ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา



เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น



หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย



หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา



และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช


ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์

ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 11

มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑๑

หลังการพบร่างไร้วิญญาณของนลินนา เทวาสถิต พิธีศพหรืออัคนิสังสการก็ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว อมันดารีชำระล้างร่างของบุตรีพร้อมผลัดอาภรณ์เป็นชุดกระโปรงหลากสีปักลวดลายวิจิตรงดงาม บรรจงสวมกำไลเงินบนข้อมือขาวซีดแข็งทื่อปราศสัญญาณชีวิตทั้งสองข้าง ประดับตกแต่งร่างบุตรีนางให้งดงามที่สุด หวนคิดถึงครั้งสุดท้ายที่นางอาบน้ำให้ร่างน้อย ๆ พร้อมประจงแต่งกายให้อย่างทะนุถนอมนั้นผ่านมาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว แลกาลนี้สวรรค์โปรดให้นางได้กระทำหน้าที่นี้อีกครั้ง กระนั้นพระมฤตยูกลับประทานโอกาสนี้ให้เป็นครั้งสุดท้าย

นายหญิงแห่งเทวาสถิตได้เพียงเหม่อมองร่างบุตรีอันนิทรานิ่งสนิทบนแท่นสีงาช้างกลางเคหาสน์ ศีรษะหันไปทางทักษิณาทิศอันเป็นทิศของผู้มรณะ มีประทีปจุดเหนือศีรษะเป็นเปลวส่องทางแก่ดวงวิญญาณ ผู้ร่วมพิธีต่างก้มมองร่างเด็กสาวอย่างสะท้อนใจ โปรยปุษปะนานาพรรณรอบร่างของผู้จมสู่ห้วงนิทราชั่วนิรันดร์ โดยหนึ่งในนั้นคือ ครอบครัวของลลนาและเกวลิน

ทั้งสองครอบครัวต่างมาแสดงความเสียใจ เด็กสาวนาม‘ลลนา’ยังคงขวัญหนีดีฝ่อไม่หาย จับมองร่างสหายรักตนอย่างอาวรณ์ พร่ำบอกว่า เป็นความผิดของตนเอง ดวงหน้าของชนิตา มารดาของเกวลินบัดนี้เจ็บปวดมิต่างอมันดารี ดวงหน้าของทุกคนในครอบครัวล้วนโศกสลด ด้วยตลอดหลายชั่วโมงที่นักประดาน้ำดำผุดดำว่ายนั้น ร่างของเกวลินกลับปลาสนาการไปอย่างลี้ลับ ทว่าท่ามกลางความโศกเศร้า พวกเขายังมีความหวังแห่งการรอคอย ทว่าอมันดารี...ความหวังของนางถูกกระชากดับไปตลอดกาลอย่างไม่มีวันหวนคืน

เสียงบริกรรมมนตร์จากพราหมณ์อาวุโสดังคลอไปทั่วบรรยากาศเศร้าสร้อย พิธีการดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ สาวใช้หลายนางเก็บกลั้นความเศร้าใจไว้ไม่อยู่ ด้วยไม่คิดว่า คุณหนูของตนจะจากไปรวดเร็วถึงเพียงนี้ มันรวดเร็วเกินไป มันกะทันหันเกินไป ทุกอย่างเกินไปในความรู้สึกด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล

อมันดารีเเม้นางจะเป็นมารดา กระนั้นนางก็เป็นสตรี นางมิมีสิทธิ์ที่จะกระทำพิธีสุดท้ายให้เเก่บุตรีของนาง จึงได้เพียงยืนนิ่งเคว้งคว้างอยู่นอกมณฑลพิธี ทุกสรรพสิ่งราวเงาเเวบวาบผ่านตา เเม้ธารน้ำตาจะเหือดเเห้งหายไป ทว่าภายในกลับกรีดร้องคร่ำครวญอย่างชวนเวทนา กล่าวโทษตนเองว่า เป็นเหตุแห่งการตายของบุตรี นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การณ์ตรงหน้าอาจเป็นเพียงความฝัน กระนั้นภาพเบื้องหน้ากลับสดชัด ตอกย้ำว่า มันคือความจริง! เป็นความจริงอันโหดร้ายปราศจากความปรานีทั้งปวง

คำของท่านมหาตมะ คานธีลอยมาว่า ความตายเป็นเพียงการหลุดพ้นจากความทุกข์โทมนัส มิสมควรให้โศกาอาดูร กระนั้นนางก็ยังมิอาจทำใจ ไม่เข้าใจว่า หากทวยเทพทรงปรารถนาจะพรากบุตรีนางไป เหตุใดจึงทรงประทานบุตรีเเก่นาง หรือทรงมีความสุขบนความทุกข์ทรมานของมารดาคนหนึ่ง

พิธีอัคนิสังสการจบลงภายในวันเดียวตามศาสนพิธี พระอัคนีแผดเผาร่างบุตรีเพียงคนเดียวหลงเหลือเพียงภัสมธุลี หลังเสร็จสิ้นพิธีสามวัน นางจึงกอบเก็บเศษขี้เถ้าอันถือกำเนิดจากความรักของนางกับสามี ทว่าบัดนี้สิ่งอันเคยก่อรูปร่างได้เหลือเพียงสองกำมือนางนี้เอง

อมันดารีเดินทางสู่เมืองวาราณสี นครศักดิ์สิทธิ์แห่งลุ่มเเม่น้ำคงคา โดยมีเพียงคนสนิทไม่กี่คน เเละครอบครัวของลลนาร่วมทาง ส่วนครอบครัวของเกวลินเอ่ยปฏิเสธ ด้วยต้องการอยู่รอฟังความคืบหน้าในการหาร่างของบุตรีคนโต

เศษเสี้ยวสุดท้ายล่องลอยไปตามกระแสคงคา บุตรีนางได้ถูกสายน้ำแห่งสวรรค์ชำระล้างซึ่งบาปทั้งมวล โดยมีพระแม่คงคาชักพาขึ้นสู่เทวโลกอันนิรันดร์

แม้เถ้าธุลีจะลอยผ่านไปเนิ่นนาน ทว่าอมันดารียังคงยืนทอดอาลัย มองภาพชีวิตของชาวเมืองวาราณสีอันแทบไม่แปรไปจากครั้งอดีตกาล มันมัวโขมงไปด้วยหมอกควันแห่งความตาย เศษซากชิ้นเนื้ออันยังเผาไม่เสร็จดีลอยเกยฝั่งคงคา จากนั้นจึงมีผู้นำไปจัดการต่ออย่างไม่รังเกียจ อมันดารีเล็งแลเห็นสัจธรรม ความตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสัจธรรมอันพบเผชิญได้ทุกที่ ทว่าความพลัดพราก...มันไม่เคยธรรมดานับแต่อดีตจวบปัจจุบัน!



หลังเสร็จสิ้นงานศพของบุตรี อมันดารีคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์ ความเงียบเหงาซึมเซาชำแรกเข้ามาทุกอณู ปวดแปลบทรมานปริ่มจะขาดใจ ความเงียบสงัดตอกย้ำว่า การมรณะของบุตรีนางมิใช่ภาพฝัน ทว่าคือสัจธรรมอันไม่เปลี่ยนแปลง ความทุกข์พานางถลำลึก หยาดน้ำใสไหลรินคือน้ำกรดกัดกร่อนจิตใจ นางจึงทุ่มเทผลาญเวลาไปกับการงานอันหนักหน่วง การสวดมนตร์แลทำยัชญพิธีอย่างหนัก กำชับสาวใช้ให้คงสภาพเดิมในห้องบุตรีไว้ ผนึกแน่นสนิทกักเก็บแม้กลิ่นอายไม่ให้เลือนจาง

เสียงเอะอะจากชั้นล่างดึงสติเลื่อนลอยของประมุขแห่งเคหาสน์ สาวใช้รีบวิ่งมารายงาน ร่างของอมันดารีจึงลอยล่องสู่ชั้นล่าง จากนั้นสติจึงค่อยหวนคืนเต็มที่ ครั้นแลเห็นความวุ่นวายที่เลขานำมาให้

“นั่นคืออะไรน่ะเวคิน?”

จักษุคมโตจับจ้องไปยังกล่องขนาดกลางที่คนงานขนเข้ามา สาวใช้ต่างมะรุมมะตุ้มจ้องมอง

“สินค้าที่หลุดเข้ามาครับ ผมไม่ทราบว่า มันหลุดเข้ามาได้ยังไง เลยอยากเอามาให้คุณอมันดูก่อน” เวคินกล่าวรัวเร็ว เกรงในสายตาที่บัดนี้เฉยชาอย่างยิ่งของเจ้านายตน แววอ้างว้างยังสลักแน่นในดวงตาคู่งาม

สิ้นอาการพยักหน้าของอมันดารี กล่องอันถูกผนึกจึงเปิดออก เผยให้เห็นอ่างสำริดขึ้นสนิมสีเขียวเขรอะเป็นบางส่วน รอบอ่างปราศลวดลายวิจิตรพิสดาร เป็นเพียงอ่างธรรมดา กระนั้นความเก่าแก่กลับเป็นส่วนดึงดูดให้น่าสนใจ

“มันติดมากับสินค้าล็อตไหนหรือ?”

เสียงถามเรียบนิ่ง พาให้เวคินกระอึกกระอักตอบ “สินค้าล็อตสุดท้ายจากเลบานอนครับ ติดมากับพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้สนซีดาร์”

คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้กระจ่างชัดขึ้นแต่อย่างใด กระนั้นประกายแวบวาบบางอย่างในแววตากลับผุดขึ้นมาคล้ายเข้าใจอะไรสักอย่างหนึ่ง

เวคินจับจ้องอากัปกิริยานั้นอย่างงุนงง จากนั้นจึงเอ่ยถาม

“เอ่อ...คุณอมันจะเก็บไว้ดูก่อนไหมครับ ผมจะได้ให้คนขนขึ้นไปให้?”

ร่างสูงสง่าราวนางพญานิ่ง ครุ่นคิดขณะพยักหน้า ทว่าหลังคนงานขนของขึ้นไปไม่ทันไร เสียงกริ่งสัญญาณกลับดังเตือน ทุกผู้ในบริเวณเงยหน้าขึ้นทันควัน ด้วยทราบว่า วันนี้ไม่น่ามีผู้มาเยี่ยมเยือน พลันนายหญิงแห่งเทวาสถิตมองหน้า สาวใช้นางหนึ่งจึงรีบไปดูผู้มาเยือน

ชั่วอึดใจ สาวใช้วัยดรุณีนางนั้นก็กลับเข้ามา พาร่างโฉบเฉี่ยวของหญิงสาวชาวต่างชาติผู้หนึ่งตามมาด้วย เด็กสาวคนนั้นมีเส้นผมและดวงตาสีบรูเน็ตเป็นประกาย เนตรเฉี่ยวคมจดมองอมันดารีไม่วางตา การแต่งกายสบาย ๆ บ่งลักษณะนิสัยได้ไม่ยากเย็น

พลันมาถึงสาวใช้ก็รีบรุดมากระซิบบอกนางพญาแห่งเคหาสน์

“นายหญิงคะ ผู้หญิงคนนี้บอกว่า เธอชื่อ โจแอน แมคคาธี เป็นเพื่อนของคุณหนูที่อังกฤษค่ะ เธอมีรูปภาพกับอีเมล์ยืนยันมาด้วยว่า คุณหนูเชิญเธอมาที่บ้าน”

กระซิบพลางยื่นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งให้ดู บนหน้าจอปรากฏภาพของบุตรีนางถ่ายคู่กับเด็กสาวคนนั้น พร้อมจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โต้ตอบสั้นๆ มีรูปเคหาสน์ของนางและแผนที่บอกพิกัดปิดท้ายมาด้วย

นายหญิงแห่งเทวาสถิตจับมองภาพบนจอนิ่งงัน ทัศนาหญิงสาวชาวอังกฤษตรงหน้าชั่วครู่จากนั้นจึงพยักหน้า เชื้อเชิญสหายของบุตรีเข้าสู่ห้องรับรองอาคันตุกะด้านใน



หญิงสาวชาวอังกฤษเดินตามสตรีผู้คาดว่า เป็นมารดาของสหายเข้าสู่เคหาสน์อันโอ่โถงกว้างขวางราวราชสำนักของชาห์แห่งเปอร์เซีย กระนั้นกลับดูวังเวงอึมครึมคล้ายมีม่านสีเทาห่มคลุมไปทั่วบริเวณ สีหน้าของสาวใช้แต่ละนางหม่นหมองโศกสลด โจแอนได้กลิ่นอายของความสูญเสียลอยเจืออยู่ในอากาศ กระทั่งกลิ่นน้ำมันหอมระเหยอวลฟุ้งยังเข้มข้นจวนเจียนจะสำลัก

สตรีเจ้าของเคหาสน์พาโจนแอนเข้าสู่ห้องอันมีชุดรับแขกสไตล์วินเทจงดงาม ก่อนนั่งลง พร้อมเชื้อเชิญเธอมานั่งด้วยกัน กลิ่นชา‘มาซาล่า’ ชาสมุนไพรผสมเครื่องเทศตามตำรับอินเดียโบราณหอมกรุ่นโชยมา พร้อมกับแก้วกระเบื้องเนื้อบางลงลายทองที่ถูกวางเบื้องหน้าตน

สตรีเจ้าของเคหาสน์ยกชาขึ้นจิบ ดวงหน้างดงามราวรานีแห่งท้องทะเลทรายอึมครึมหมองหม่น โจแอนใจไม่ดี ไม่เข้าใจกับบรรยากาศสงัดวังเวง

“หนูคงเป็นโจแอนที่นลินนาเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ใช่ไหม?”

โจแอนนิ่งไปวูบ และคิดว่า นลินนาไม่น่ามีเพื่อนชื่อโจแอนมากนัก “ใช่ค่ะ ดิฉัน โจแอน แมคคาธี เป็นเพื่อนคณะเดียวกัน แต่เรียนอยู่ภาควิชาอัสซีเรียวิทยา”

นักศึกษาสาวชาวอังกฤษแนะนำตัว ในแววตาของสตรีตรงหน้ามีประกายกล้าขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันอมันดารี เทวาสถิต เป็นแม่ของนลินนา”

โจแอนประนมมือทำความเคารพแบบคนส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้อย่างเก้กัง จากนั้นจึงถามถึงเหตุสำคัญที่ชักนำตนมา

“ว่าแต่ วันนี้นลินนาไม่อยู่บ้านเหรอคะ? หนูอีเมล์มาถามเธอหลายรอบแล้วเธอก็ไม่ตอบ เห็นช่วงนี้ไม่ออนเฟซฯ ด้วย”

สิ้นคำ ประกายตาของสตรีตรงหน้าก็พลันเปลี่ยนไป แววตารวดร้าวฉายชัด เห็นหยาดน้ำเอ่อคลอมาวูบหนึ่ง ก่อนเหือดหายไป จากนั้นความลับจึงถูกเปิดเผย

แก้วกระเบื้องในมือโจเเอนเเทบหล่นร่วง หล่อนสะอึกอึ้งอั้น เเทบไม่อยากเชื่อกับความจริงตรงหน้า สตรีผู้สูญเสียลูกสาวไปเล่าเหยียดยาว เผยความรวดร้าวทรมานปริ่มขาดใจ กระนั้นนัยน์ตาคมโตกลับเเห้งผาก บ่งบอกว่า ทนทุกข์กับสิ่งนี้มามากเพียงใดแล้ว

โจเเอนฟังจนครบถ้วนกระบวนความ ในโสตอื้ออึง ความโศกาโอบคลุมไปทั่วหัวใจ เธอสติเลื่อนลอย ขออนุญาตเข้าไปดูในห้องของสหาย ซึ่งสตรีตรงหน้าก็อนุญาตเเต่โดยดี ซ้ำยังกำชับสาวใช้ให้ปรนนิบัติเธอ ส่วนตัวเองจะขอไปทำงานก่อน โจเเอนรู้สึกผิดยิ่งยวด รู้สึกราวไปบีบบังคับสตรีตรงหน้า

หญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีบรูเน็ตเดินไปตามทางบันไดคดโค้ง จับจ้องกระเบื้องหินอ่อนขาวสกาวอันถูกกรุไปทุกอณู รวมทั้งภาพวาดสตรีในราชสำนักสมัยราชวงศ์โมกุลภายใต้จำกัดกรอบทอง

ประตูไม้มะเกลือเข้มขลับถูกเปิดออก ร่างโฉบเฉี่ยวย่างเท้าสู่ภายใน พบว่า ห้องของสหายมีร่องรอยการใช้งาน กระนั้นภายในกลับเหม็นอับราวทุกคนต้องการกักเก็บทุกเสี้ยวส่วนของผู้จากไป แม้จะเพียงกลิ่นอายเจือจาง

ในห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้พะยูงลงเส้นทองเหลืองงดงาม ตามชั้นหนังสือจุแน่นไปด้วยตำราประวัติศาสตร์เมโสโปเตเมียและอารยธรรมโบราณอื่น ๆ บางเล่มเก่าแก่หายาก บางเล่มใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งซื้อใหม่ ขณะบางเล่มก็เป็นเล่มที่เธอไปช่วยเลือกซื้อด้วย บนโต๊ะไม้จำหลักลายประณีตยังมีหนังสือเทวตำนานคั่นค้างอยู่เหมือนอ่านไม่จบ แต่เเล้วสายตาโจเเอนกลับไปสะดุดกับสิ่งอันเเขวนอยู่อีกฟากของผนัง มันคือไม้กระดานแม่เหล็กสำหรับแปะรูปและกระดาษโน้ตเตือนความจำต่าง ๆ

บนแผ่นกระดานมีภาพบอกเล่าเรื่องราวมากมาย หลายรูปเป็นรูปของนักศึกษากลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ รูปของนักศึกษาสาวสามคนถ่ายคู่กัน มีสหายของเธอ...นลินนา ส่วนอีกสองคนเป็นเด็กสาวหน้าตาค่อนไปทางจีนกับอินโด นัยน์ตาของเด็กสาวทั้งสามเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความสุข และความสดใส บริสุทธิ์งดงามควรค่าแก่การพิทักษ์ไว้เหนือห้วงกาลเวลา

แลภาพที่แปะเข้าไปใหม่คือ ภาพที่โจแอนจดจำได้ดี เนื่องด้วยมันเป็นภาพที่เธอกับสหายถ่ายคู่กันในบ้านหินสีน้ำผึ้งหลังน้อยกลางอ้อมโอบของเนินหญ้าเขียวขจี และสะพานหินอันโค้งคร่อมเหนือธารน้ำใสระริน เบื้องหลังสองสาวคือ หญิงชายชาวอังกฤษคู่หนึ่งกำลังโอบกอดกัน พวกเขาคือ พ่อแม่ของโจแอน และบ้านหินสีน้ำผึ้งหลังน้อยนี้คือ บ้านเกิดของโจแอนในเมืองคอทส์โวลส์ เมืองอนุรักษ์อันยุติวันเวลาอยู่ในช่วงการปฏิวัติแห่งภูมิปัญญา เเละยังมีกลิ่นอายในยุคคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ อายอวล

โจแอนนำรูปนั้นมาประทับแนบอก โศกสลดเสียใจ ยังจำสายตาของนลินนายามเธอบอกว่า บ้านเกิดของตนอยู่ที่ใดได้ดี ยังจำความเริงร่าของสหายครั้นมองออกสู่ทุ่งกว้างเขียวขจีมีแกะตัวน้อยใหญ่ขนขาวเหลืองก้มลงเล็มหญ้าอ้อยอิ่ง ยังจดจำความสง่างามราวท่านหญิงผู้ทรงศักดิ์แห่งราชสำนักเปอร์เซียของนักศึกษาสาวชาวเอเชียผู้เยื้องย่างเข้ามาในห้องบรรยายได้อย่างเเม่นยำ น้ำตาหล่อนหลั่งเป็นสาย ทั้งที่เด็กคนนั้นสมควรอยู่นานกว่านี้เพื่อมอบความงดงามให้โลกแท้ ๆ

ฟึ่บ!

จู่ ๆ หนังสือเล่มหนึ่งก็ร่วงลงจากชั้นอย่างปริศนา นักศึกษาสาวรีบปาดน้ำตา ก้มเก็บมันขึ้นมา จำได้ว่า หนังสือเล่มนี้คือ Babylon ของ Joan Oates ที่ตนแนะนำ ทว่าสายตาของนักศึกษาภาควิชาอัสซีเรียวิทยากลับไปสะดุดอยู่ตรงหน้ารายพระนามแห่งกษัตริย์ ในช่วงการปกครองของราชวงศ์คาลเดียน ๖๒๕ – ๕๓๙ ปีก่อนคริสตกาล ด้วยหน้านั้นมีรายพระนามที่ไม่คุ้นเคยผุดขึ้นมา

Chaldean Dynasty

(625 - 539)

......................................... .................................................

......................................... .................................................


Akurduana (กษัตริย์อาเคอร์ดูอานา)

......................................... .................................................

......................................... .................................................

......................................... .................................................

......................................... .................................................

เธอไม่แน่ใจว่า เคยเห็นพระนามนี้ในตำราเรียน!


หลังผละจากสหายต่างแดนของบุตรี อมันดารีจึงเดินมายังห้องทำงานชั้นบน พลันประสบกับความเงียบสงัด หยาดน้ำอันถูกสะกดกลั้นจึงพรั่งพรูออกมา แทบทรุดกายล้มตัว การจากไปอย่างกะทันหันของบุตรีคนเดียว ยังทำให้อมันดารีว่างโหวงประหนึ่งมีหอกทะลวงคว้านดวงใจนางออกมา

นางปาดน้ำตา ลุกยืน หยัดกายขึ้นรวบรวมกำลังใจ ด้วยเบื้องหน้ายังมีกองเอกสารในแฟ้มเล่มโต รวมทั้งอ่างสำริดเก่าแก่มีสนิมจับเขียวเขรอะที่หลุดเข้ามาในล็อตสินค้าอย่างชวนงงงัน นางสูดลมลึก เพ่งจิตกับงาน นึกกังวลว่า ที่คาดการณ์ไว้จักเป็นจริงว่า อ่างสำริดนี้อาจเป็นโบราณวัตถุที่ถูกลักลอบนำออกมาโดยอาศัยเหตุวุ่นวายทางการเมือง

นางพินิจรอบภาชนะโลหะหาลวดลายเอกลักษณ์ ทว่าอ่างสำริดนี้ปราศลวดลาย เป็นเพียงอ่างโลหะเกลี้ยงเกลา ร่องรอยสนิมอันจับเขรอะเป็นบางส่วนบ่งชัดว่า มันเคยทำหน้าที่บรรจุของเหลวมาก่อน นอกจากบริเวณอันถูกของเหลวสัมผัสไม่มีส่วนใดสึกหรอ เเสดงว่า อ่างใบนี้คงเคยอยู่ในที่ที่มีอากาศเเห้งพอสมควร

อมันดารีจับจ้องพินิจไปมา ประเทศเลบานอนตั้งอยู่ในเเถบสภาพอากาศเเบบเมดิเตอร์เรเนียน ตามชายฝั่งฝนจะตกชุกเเละหนาวเย็นในฤดูหนาว ยามหน้าร้อนก็จะร้อนชื้น ตามพื้นที่สูงในฤดูหนาวหิมะจะตกบ่อย ส่วนในหน้าร้อนก็จะร้อนเเห้ง โบราณวัตถุสภาพแบบนี้จึงไม่น่าอยู่ในเเถบเลบานอน เว้นเเต่มันจะอยู่ในเขตสภาพอากาศเเบบทะเลทราย หรือถูกกักเก็บในที่เเห้งพอสมควร

นักธุรกิจสตรีคิดหนัก พิจารณาอ่างโดยถ้วนทั่ว ยกอ่างขึ้นพิศดู จึงเห็นว่า ตรงฐานภาชนะมีลวดลายบางอย่างจารอยู่ เมื่อพินิจดีๆ จึงเเลเห็นว่า มันเป็นลวดลายดาวเเปดเเฉกในผนึกวงกลม นางละม้ายเคยเห็น ทว่ามันกลับรางเลือน จำไม่ได้ว่า เคยเห็นจากที่ใด

ระหว่างนางกำลังเค้นคิด การณ์วิปริตกลับพลันบังเกิด!

ด้วยจู่ๆ ก้นอ่างกลับมีน้ำเอ่อระริน จากนั้นจึงค่อยๆ ไต่มาสู่ระดับเดียวกับรอยสนิม ตอกย้ำสมมติฐานของนาง นางตระหนกงงงัน สตรีชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียจดมองเหนือผิวน้ำอย่างหวาดหวั่น เเละภาพกระเพื่อมรางเลือนจึงเเล่นเข้าสู่สายตา ก่อนเผยภาพอันชวนให้อมันดารีดวงใจหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง!

น้ำตาอมันดารีหล่อริน สาบานเถิดว่า ภาพเบื้องหน้าคือสิ่งลวงตา!
***************************************************************************

สวัสดีค่า ขอโทษนะคะที่หายไปนาน เนื่องจากติดภารกิจหลายอย่าง เเละหลังจากวันนี้ก็มีติดภารกิจที่ต่างจังหวัดอีก ถึงอย่างไรก็ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ จะพยายามอย่างเต็มที่เลย














เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2559, 23:59:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ส.ค. 2559, 18:27:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1028





<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 10   มัตติกาจารึกแผ่นที่ 12 >>
แว่นใส 29 ก.ค. 2559, 08:09:41 น.
อ่านี้เป็นกระจกให้เห็นนลินาแน่เลย


Zephyr 30 ก.ค. 2559, 22:04:46 น.
แม่คงเห็นลินในอีกมิติ
สงสารจังเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account