มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 19

ท่ามกลางจังหวะคึกคักและเพลงประสานเสียง วาวพลอยกระโดดโลดเต้นไปพร้อมกับชาวเกาะโดยมีหัสตะคอยประคอง และคอยระวังไม่ให้ล้ม ตอนนี้หญิงสาวลืมหมดสิ้นทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดให้กังวล มีแต่ความรู้สึกสนุกสนาน

วาวพลอยกระโดดโลดเต้นจนเหนื่อย เหมือนเธอกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ ความสุขมากมายกำลังโอบล้อมร่างบอบบางเอาไว้ ชายหนุ่มรั้งร่างที่ซวนเซเข้าหาตัว และหญิงสาวก็ซบลงกับอกเขาทันที

“คุณ...คุณ วาวพลอย” เขาเรียกริมหูเล็ก เสียงครางรับเบาๆ ทำให้หัสตะรีบพาเธอออกมานอกวงเต้นรำ

“ผมคงต้องพาเธอไปนอนก่อนล่ะครับท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มบอกเมื่อประคองร่างของวาวพลอยมาถึงที่ชายชรานั่งอยู่

“ถ้าอย่างนั้นก็พาเมียเจ้าไปเข้าหอเสียเถอะ เฮ้ย! พวกเจ้าไปส่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอได้แล้ว” ตอนท้ายชายชราตะโกนแข่งกับเสียงเพลงเพื่อบอกกับชาวเกาะ

จากนั้นผู้คนที่กำลังสนุกสนานก็พากันเฮโลมาทางหัสตะกับวาวพลอย ก่อนที่ชายชรากับเด็กชายหญิงห้า-หกคนจะเดินนำไปยังริมชายหาดด้านหนึ่ง ซึ่งมีกระท่อมหลังเล็กปลูกยื่นออกไปในทะเล และได้รับการประดับประดาอย่างสวยงามเพื่อเป็นเรือนหอของบ่าวสาว

โดยมีคนอื่นๆ เดินตามหลัง ดอกไม้ถูกโปรยปรายไปตลอดทาง แต่เจ้าสาวกลับเดินเป๋ไปมา จนเจ้าบ่าวต้องช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้ม กระทั่งก้าวเข้ามาถึงในกระท่อมที่มีกลีบดอกไม้โปรยปรายไปทั่ว

ชาวเกาะจึงได้พากันอวยพรให้ทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะพากันกลับไปดื่มกินสังสรรค์ต่อ ทิ้งให้คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันที่กระท่อมเพียงลำพัง หัสตะวางร่างบอบบางลงบนที่นอน ที่ปูบนพื้นกระท่อม

“คุณ เป็นยังไงบ้าง” เขาถามเมื่อเห็นร่างบางกระสับกระส่าย หญิงสาวปรือตาขึ้นมอง ดวงตาฉ่ำเยิ้ม

“ฉันร้อนไปหมดทั้งตัวเลยค่ะ” วาวพลอยพูดเสียงยานคาง พลางลุกขึ้นผวาเข้ากอดชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย! คุณ” หัสตะร้องลั่น

“วาวพลอย คุณตั้งสติหน่อยสิ” ชายหนุ่มร้องบอกด้วยอารามตกใจ แต่ร่างบางกลับยิ่งกอดรัดเขาแน่นขึ้น ตัวสั่นระริก ลมหายใจหอบสะท้าน

“กอดฉันสิคะ ฉัน... ” หญิงสาวเรียกร้องเสียงพร่าสั่นลมหายใจระอุอุ่น

หัสตะพยายามดึงร่างบางที่พัวพันออกจากตัว เขามองดวงหน้าเนียนที่แดงปลั่ง ดวงตาปรือฉ่ำเยิ้มแล้วก็บอกกับตัวเองได้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ หรือจะเป็นเหล้าหมักสูตรพิเศษนั่น...

ตัวเขาเองก็รู้สึกผิดปกติเหมือนกัน แต่ไม่มาก เพราะเขาไม่ชอบรสชาติเหล้าผู้หญิงแบบนั้นจึงดื่มแค่เป็นพิธี ผิดกับวาวพลอยที่ตั้งหน้าตั้งตาดื่มไปหลายจอก แถมยังคออ่อนเสียด้วย มันต้องใช่แน่ๆ หัสตะคิดอย่างมั่นใจ

“ร้อนจัง ถอดเสื้อผ้าให้ฉันหน่อย” และแล้วหญิงสาวก็พยายามดึงทึ้งเสื้อผ้าที่สวมใส่

หัสตะรีบจับมือบางเอาไว้และดึงเสื้อที่ร่นลงมาขึ้นให้พ้นจากอันตราย อาการของหญิงสาวมากกว่าที่เขาคิด จะขอชาวเกาะช่วยก็คงจะไม่ได้ผล

เพราะจุดประสงค์ของพวกเขาก็คงต้องการช่วยให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีความสุขในคืนแรกของการแต่งงาน ไม่ได้การ... เห็นทีเขาต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว ชายหนุ่มคิด

ก่อนจะตัดสินใจอุ้มร่างบอบบางไปยังระเบียงเล็กๆ ของกระท่อม แล้วกระโดดตูมลงไปในน้ำ วาวพลอยกอดคอชายหนุ่มไว้แน่น พอโผล่ขึ้นจากน้ำที่ลึกจนถึงไหล่ของร่างสูงใหญ่ หญิงสาวสำลักน้ำออกมา เขาโอบร่างของเธอเอาไว้ไม่ให้จม

“ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย” วาวพลอยบ่น แต่ยังคงอ้อแอ้อยู่

“ก็ทำให้คุณหายร้อนไง” หัสตะว่าพลางหัวเราะสนุก

“แล้วก็จะแช่อยู่ในน้ำอย่างนี้จนกว่าคุณจะหายร้อนด้วย”

หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับซบหน้าลงกับไหล่กว้าง ความมึนเมายังคงมีอยู่ แต่ทว่าความเร่าร้อน ทุรนทุรายที่พลุ่งพล่านอยู่ในกายมันไม่มากมายเหมือนเมื่อครู่แล้ว

จะเป็นเพราะความเย็นของน้ำทะเล เพราะไหล่กว้างที่เธอซบอยู่ หรือเพราะหัวใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันก็สุดรู้ เนื่องจากตอนนี้วาวพลอยคิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ได้ นอกจากซบอยู่กับไหล่ของชายหนุ่มนิ่งๆ ต่อไป

ขณะที่คนหนึ่งสงบลง แต่คนที่กำลังโอบประคองร่างบอบบางอยู่กลับรู้สึกถึงหัวใจตัวเองที่สั่นไหวรุนแรงกับความแนบชิด สนิทสนม ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ของเหล้าหอมหวาน ไม่ใช่ด้วยแรงกระตุ้น และไม่ใช่ความรู้สึกพลุ่งพล่านดำกฤษณาใดๆ

แต่หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงด้วยความสุข สุขที่ได้โอบกอดร่างนี้เอาไว้ สุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนี้ หัสตะพยายามโยนความจริงทิ้งไป ความจริงที่ว่าคนที่เขากอดอยู่ในตอนนี้เป็นเจ้าหญิงแห่งริตถาวดี ความจริงที่ว่าเธอกับเขาห่างไกลกันเหลือเกิน

หนำซ้ำยังมีกำแพงแข็งแกร่งบางอย่างที่กั้นกลางความรู้สึกเอาไว้ ชายหนุ่มอยากเก็บจำช่วงเวลาที่ดีงามเหล่านี้ไว้ในหัวใจ เผื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าความทรงจำนี้จะได้หล่อเลี้ยงหัวใจเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

จมูกโด่งกดลงตรงขมับของคนที่ไม่รู้สึกรู้สา สูดเอาความหอมกรุ่นเข้าเต็มปอด ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องกระทบผิวน้ำที่เคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ ดูพราวพรายระยับตา ร่างของทั้งสองอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ราวกับความสุขกำลังโอบแขนล้อมรอบคนทั้งคู่เอาไว้

*-*-*-*-*-*

เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายดังอยู่ริมหู ทำให้วาวพลอยต้องลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เพราะตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะนี้เธอไม่เคยได้พักอยู่ใกล้เสียงคลื่นขนาดนี้

แล้วหญิงสาวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในกระท่อมริมหาด ที่อยู่ด้านหนึ่งของเกาะนั่นเอง เจ้าของร่างบอบบางขยับตัว แต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรติดตัวแม้สักชิ้น

โชคดีที่ยังมีผ้าห่มผืนใหญ่ห่มคลุมเอาไว้ แล้ววาวพลอยก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนคืองานแต่งงานของเธอกับหัสตะ หญิงสาวมองไปยังที่นอนข้างตัว

ท่ามกลางแสงตะเกียงดวงเล็กที่จุดไว้ตรงมุมห้อง วาวพลอยก็พบเจ้าบ่าวหมาดๆ ของตัวเองนอนตะแคงหันหน้ามาทางเธอ พร้อมกับดวงตาสีเทาอมฟ้าทอดมองมาอยู่ก่อนแล้วอย่างอ่อนโยน

แต่ที่ทำให้หญิงสาวตกใจมากกว่าเดิมก็คือเขาห่มผ้าผืนเดียวกันกับเธอ และด้านบนของเขาก็เปลือยเปล่าเช่นกัน

“นี่...นี่... คุณ คุณทำอะไรฉัน” หญิงสาวถามเสียงสั่น ความอับอายแล่นริ้วไปทั่วกาย

“เปล่านะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย คุณลองสำรวจตัวเองดูก่อนสิว่ามีอะไรเสียหายหรือเปล่า” หัสตะว่าพร้อมรอยยิ้มกริ่ม

วาวพลอยสำรวจตัวเองอีกครั้งว่ามีอะไรชำรุดเสียหายหรือไม่ แต่พอเห็นว่าไม่มีสิ่งใดสึกหรอจึงค่อยเบาใจขึ้น หญิงสาวหมายจะขยับตัวออกห่าง แต่ก็ติดฝาผนังเสียนี่ เธอจึงจำใจนอนตัวเกร็งอยู่ที่เดิม

“แล้วทำไมเราถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะคะ” ก่อนจะถามอย่างคับข้องใจอีกครั้ง

“นี่คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าคุณนั่นแหล่ะที่เป็นฝ่ายปลุกปล้ำผมจนต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้” และคนตัวโตก็ยิ่งอยากแกล้ง

“อะไรนะ!! ” ดวงตาหวานซึ้งนั้นเบิกโตเท่าไข่ห่าน

“บอกแล้วว่าอย่าดื่มเยอะก็ไม่เชื่อผม” หัสตะแกล้งทำท่าอ่อนอกอ่อนใจ แต่ดวงตากลับพริบพราย

“ไม่จริง คุณต้องโกหกแน่ๆ คุณตัวเท่าควาย ฉันจะไปทำอะไรคุณได้” วาวพลอยว่าทั้งที่หน้าตาไม่ได้บ่งบอกว่าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมานัก ดวงหน้างามซึ้งมีแววหวั่นวิตกระคนอับอายปะปนกัน จนชายหนุ่มใจอ่อน

“ผมล้อเล่น ความจริงมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก แต่ที่เราต้องอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะเสื้อผ้าเราเปียก ผมตากไว้ที่ระเบียงโน่น” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มอีกตามเคย

แต่เจ้าของดวงหน้างามซึ้งไม่วางใจ ยังคงมองเขาอย่างคาดคั้น หัสตะจึงเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่อยากให้หญิงสาวอับอายมากกว่านี้เขาจึงบอกว่าเธอเมามากจึงพากันตกลงไปในน้ำ

จะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่ได้เพราะเขาห้ามออกจากเรือนหอในคืนแต่งงาน เขากับเธอจึงอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น

“ฉันขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อนไปด้วย” พอได้ฟังเรื่องที่ชายหนุ่มเล่าจบ วาวพลอยก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนอ่อย

“เราแต่งงานกันแล้วนี่นา เรื่องของคุณก็คือเรื่องของผมเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหน” หัสตะพูด พลางมองสบสายตาของหญิงสาวด้วยประกายตาอ่อนหวาน

“แต่เราแต่งกันแค่ในนาม ฉันไม่คิดว่าคุณจะ... ” และประกายตานั้นก็ทำให้คนถูกมองถึงกับพูดตะกุกตะกักอย่างไปไม่เป็น

“เรื่องอย่างอื่นอาจจะแค่ในนาม แต่ถ้าเป็นเรื่องของความรู้สึกแล้วผมอยากให้คุณรู้ว่า มันจะเป็นไปตามที่ผมได้ให้คำมั่นในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของเราเมื่อตอนเย็นทุกอย่าง” น้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของเขาทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงอย่างลิงโลด

“คุณหัสตะ... ” วาวพลอยเรียกเขาเสียงเบาหวิวราวกับคนละเมอ แต่เพียงครู่สติก็กลับคืนมา เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เอ่อ... ฉันว่าจะถามคุณเรื่องแหวนวงนี้ มันเหมือนกับแหวนวงนั้น... ” หญิงสาวยกมือขึ้นมองพลางถาม

“ใช่แล้วล่ะ ผมแอบซื้อตอนที่คุณกับตันเตเดินออกจากร้านไปแล้ว ผมเห็นคุณมองมันไม่วางตา คิดว่าคุณคงชอบมันมาก” ชายหนุ่มจับมือบางเอาไว้ มองแหวนวงนั้นเช่นกัน

“ค่ะ ฉันชอบมาก ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าจริงๆ แล้วมันมีค่ามากแค่ไหน แต่ตอนนี้มันยิ่งมีค่ามากขึ้นหลายเท่าเลยค่ะสำหรับฉัน” วาวพลอยพูดพลางสบตาสีเทาอมฟ้าของเขา รอยยิ้มอ่อนหวานระบายอยู่บนริมฝีปากบาง หัสตะยกมือบางขึ้นมาแนบกับริมฝีปากทีหนึ่ง ก่อนว่า

“ขอบคุณที่คุณมองเห็นคุณค่าของมัน วาวพลอย ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมขอให้คุณเก็บแหวนวงนี้ไว้ตลอดไปได้ไหม” ชายหนุ่มขอคำมั่น ขณะเดียวกันก็เหมือนมีบางอย่างวูบไหวแฝงอยู่ในนั้น

“หมายความว่ายังไงคะ” วาวพลอยถามอย่างแปลกใจ

“เอ่อ... ผมหมายถึงเราอาจจะต้องเจออะไรอีกมากมาย ระหว่างการเดินทางไปสู่ริตถาวดี และบางทีมันอาจเป็นเรื่องที่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเราอย่างแสนสาหัส บางทีอาจจะ... ” ชายหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ วาวพลอยก็รีบเอื้อมมาปิดปากเขาเอาไว้พลางส่ายหน้า

“ไม่นะคะ เราจะต้องไม่เป็นอะไร ฉันสัญญาค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะเก็บแหวนวงนี้เอาไว้ตลอดชีวิตของฉัน คุณเองก็ต้องสัญญาเหมือนกันว่าจะไม่ทอดทิ้งฉัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ก่อนจะขอคำสัญญากลับบ้างในตอนท้าย เพราะความไม่แน่นอนมากมายที่ต้องเผชิญทำให้วาวพลอยหวาดหวั่นในใจนัก

“ผมสัญญา วาวพลอยขอให้คุณจำเอาไว้นะว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่มีวันทิ้งคุณ” หัสตะพูดก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาจูบหน้าผากมน แตะไล้ลงมาตรงปลายจมูกเล็ก และพวงแก้มนุ่ม

ทุกสัมผัสของเขาที่แตะแต้มบนดวงหน้างาม สร้างความอบอุ่นระคนร้อนผ่าวไปทั้งร่าง และก่อนที่หญิงสาวจะทันห้ามปราม เรียวปากอุ่นจัดก็แนบลงกับริมฝีปากบางสีระเรื่อ แล้วแทรกผ่านเข้าไปในความหอมหวานที่เขาพึ่งได้สัมผัสในพิธีแต่งงานเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา

สัมผัสนั้นทั้งอบอุ่น นุ่มนวลอ่อนหวานซ่านใจราวกับตกอยู่ในความฝันแสนหวาน และสัมผัสของเขาก็ประทับลงในหัวใจดวงน้อยนับแต่ถูกแตะต้องสัมผัสครั้งแรกในตอนเย็นที่ผ่านมา แต่ทว่าคราวนี้กลับเจือไปด้วยความวาบหวาม เรียกร้อง และแรงดึงดูดมหาศาล

วาวพลอยถึงกับหัวหมุนคว้างกับรสจุมพิตอันอ่อนหวานซ่านในอก สัญชาติญาณบางอย่างนำพาให้เธอตอบรับสัมผัสของเขาอย่างสะเปะสะปะ นั่นส่งผลให้เจ้าของร่างหนาครางอยู่ในลำคอด้วยความย่ามใจ

ลมหายใจของเขาระอุขึ้น ฝ่ามือหนาแนบกับแผ่นหลังเพื่อรั้งให้ร่างบอบบางแนบสนิท แต่นั่นกลับเรียกสติที่กำลังโบยบินของหญิงสาวให้กลับคืนมา

“ยะ... อย่าค่ะ...” เสียงประท้วงนั้นทั้งสั่นไหวและเบาหวิว หลังจากที่ริมฝีปากเป็นอิสระ

แต่ก็ทำให้คนตัวโตรู้สึกตัวขึ้นมาเช่นกัน หัสตะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ปรารถนาที่กำลังถูกจุดขึ้นอย่างยากลำบาก

“ผมขอโทษ” เขาเอ่ยเสียงอ่อน ดวงตาคู่คมยังเต็มไปด้วยแววพราวพรายอย่างไม่อาจห้ามได้

วาวพลอยไม่ต่อคำ แต่กลับเสหลบสายตาพราวระยับนั่น ดวงหน้างามแดงระเรื่อใต้แสงตะเกียงวาววาม จนคนมองอดใจไม่ไหวจนต้องโน้มใบหน้าไปใกล้ เอาปลายจมูกโด่งปัดป่ายจมูกเล็กของอีกฝ่ายเล่นอย่าหมั่นเขี้ยวแกมเอ็นดู

“คุณ...” วาวพลอยทำท่าจะโวยวาย

แต่ที่สุดก็ได้แต่ทำหน้าง้ำอย่างแสนงอน กลบเกลื่อนอาการสั่นไหวข้างในอกเสียอย่างนั้น แต่ในสายตาชายหนุ่มกลับเห็นว่าท่าทางนั้นน่ารักนัก เขาจึงหัวเราะอารมณ์ดี

“นอนต่อเถอะ ยังไม่สว่างเลย” ก่อนกระซิบบอกพร้อมกับรั้งร่างบางเข้ามาซุกกับอก

จมูกโด่งกดกับผมนุ่มที่เริ่มยาวแล้วในตอนนี้ สูดเอากลิ่นหอมกรุ่นนั้นเอาไว้ในหัวใจ วาวพลอยเองก็หลับตาลงไปอีกครั้งเช่นกัน



**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?
action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyOTE2IjtzO
jc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%8
1%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%
B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2559, 12:35:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2559, 12:35:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 777





<< บทที่ 18   บทที่ 20 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account