คิวปิด...ตัวกวนป่วนรัก
เมื่อเทพคิวปิดถูกลดหน้าที่ให้เป็นแค่ ‘เทพเบ๊’ คิวปิดสาวจึงเร่งปฎิบัติกอบกู้ศักดิ์ศรี แต่ดันแผลงศรพลาด ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวตกหลุมรัก ‘พี่ชาย’ ของสาวคนรัก เรื่องป่วนๆ จึงเริ่มขึ้น !
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 14
ด้วยสภาพร่างกายที่ยังอ่อนแอ รักษิตจึงพาคิวปิดสาวกลับบ้าน ระหว่างทางเขาเห็นคู่รักชายกับชายที่เกิดกระหนุงกระหนิงกันก็ถึงกับขนลุกซู่ ถึงจะรู้ว่าที่ภูมิเป็นเกิดจากฤทธิ์ของปลายศรหาใช่ความรู้สึกจริงๆ หากก็ยังทำใจไม่ได้ และไม่รู้ว่าถ้าต้องพบภูมิอีกเขาควรจะทำตัวอย่างไรดี
รักษิตใช้ความคิดมาตลอดทาง ขณะที่คิวปิดสาวก็หลับมาตลอดทางด้วยความอ่อนเพลียเช่นเดียวกัน จนกระทั่งขับรถมาจอดหน้าบ้าน ชายหนุ่มมองร่างบางที่หลับคอพับคออ่อนอย่างเอ็นดู กำลังจะปลุกหล่อน หากเปลี่ยนใจปล่อยให้นอนต่อดีกว่า เดี๋ยวค่อยอุ้มเข้าไปนอนในบ้าน
ดังนั้นเขาจึงเปิดและปิดประตูรถอย่างเบามือไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนหญิงสาว เดินไปเปิดประตูรั้ว แล้วเจ้าลักกี้ก็เห่ากรรโชกเสียงดังสนั่นด้วยความดีใจเหมือนเช่นทุกครั้งเวลาเขากลับมาถึงบ้าน
“เฮ้ ! นายรักกลับมาแล้ว นายรักขอรับวันนี้มีไปรษณีย์มาส่งจดหมายด้วย เดี๋ยวไปดูในตู้เอานะขอรับ อ่อ แล้วเจ้าขาวเทาแมวข้างบ้านมันปีนกำแพงจะมาฉี่ใส่เสื้อผ้าที่ตากอยู่บนราว แต่กระผมไล่ตูดเปิดไปเลยขอรับ...คิคิ”
ความสุขของลักกี้คือการได้พูดกับเจ้านายทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาฟังมันไม่เข้าใจ ต่างจากหญิงสาวที่นั่งหลับอยู่ในรถต้องรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงของมัน
“บ่นอะไรลักกี้ เสียงดังเอะอะเชียว” เซเลน่าเปิดประตูลงจากรถแล้วตะโกนถามพลางหาวหวอด
“นั่นๆๆ ดู๊ดู เป็นผู้หญิงยิงเรือ หาวอ้าปากกว้างจนแมลงวันบินเข้าปากได้เป็นฝูง ผู้ชายที่ไหนจะมองขอรับ”
“ไม่มองก็ไม่มองสิ ไม่เห็นสนใจเลย”
“แค่นายรักมองคนเดียวก็พอแล้วชิมิๆ” ลักกี้แซว
“เดี๋ยวเถอะ !” เซเลน่าทำตาเขียวใส่เจ้าลายจุดจอมยียวน
“คุณคุยกับใคร” รักษิตถามหลังจากเปิดประตูรั้วเสร็จ
“คุยกับลักกี้ค่ะ”
“คุณคุยกับลักกี้รู้เรื่องด้วยเหรอ !” ชายหนุ่มอึ้ง วันนี้เป็นวันอะไรกัน เขาถึงได้มีเรื่องคาดไม่ถึงมากมาย ไหนจะเรื่องภูมิรักเขา เรื่องเซเลน่าไม่ใช่คนธรรมดา เจอท่านคิวปิดชราโผล่มาบนผิวน้ำอีก และนี่ยังตอบท้ายด้วยเรื่องเซเลน่ากับลักกี้อีก
“ได้ค่ะ ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ ก็มีแต่เจ้าลักกี้เท่านั้นที่รู้ความลับของฉัน ฉันก็เลยเป็นผู้ช่วยมือขวาให้ฉัน ใช่ไหมลักกี้” คิวปิดสาวกระดิกมือเรียก
มันนั่งตัวตรง ยกขาหน้าขึ้นข้างหนึ่งคล้ายทำท่าตะเบะแบบทหาร ตอบรับเสียงหนักแน่น “แม่นแล้วขอรับ !” ก่อนนึกขึ้นได้ “ฮะ ! นายรักรู้เรื่องแล้วหรือขอรับ !” พอคิวปิดสาวพยักหน้ารับ เจ้าสี่ขาก็ถามต่อ “แล้วไหนบอกว่าความลับนี้ห้ามให้มนุษย์คนไหนรู้ไม่ใช่หรือขอรับ”
“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกคุณพี่รักหรอก แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่ะ”
“คุยอะไรกันหรือคุณ” รักษิตถาม หลังจากเห็นคิวปิดสาวตอบโต้กับเสียงเห่าของเจ้าลักกี้อยู่หลายครั้ง
“เจ้าลักกี้มันตกใจที่คุณรู้ความลับของฉันแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วลูบหัวสามเหลี่ยมของมัน “ไง ? จะเปลี่ยนเจ้านายแล้วหรือเรา”
“ไม่นะขอรับ ! กระผมรักนายรักคนเดียว !” เจ้าสี่ขากระโดดเกาะขาผู้เป็นนายใหญ่
“ลักกี้มันรีบบอกไม่ใช่ใหญ่เลยค่ะ โธ่...ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเจ้านายของนายนักหรอกนะ” หญิงสาวค้อนอย่างไม่จริงจัง แล้วเจ้าลักกี้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณคิวปิดขอรับ กระผมฝากบอกอะไรบางอย่างกับนายรักหน่อยได้ไหมขอรับ”
“เอาสิ” แล้วหันไปหาชายหนุ่ม “ลักกี้มีอะไรจะฝากบอกคุณน่ะ”
“บอกมาสิลักกี้ ฉันรอฟังอยู่”
ลักกี้กระโดดยกขาหน้าเกาะที่ลำตัวของผู้เป็นนาย แหงนหน้ามองเขาด้วยแววตาสุดซึ้ง
“นายรักขอรับ กระผมอยากจะบอกนายรักเหลือเกิน...ว่ากระผม...กระผมอยากกินไก่ย่างแทนอาหารเม็ดบ้างได้ไหมขอรับ”
หญิงสาวหัวเราะก๊าก ผู้ที่ฟังลักกี้พูดไม่รู้เรื่องก็เลยแปลกใจ
“ลักกี้มันบอกว่าอะไรเหรอคุณ”
“มันบอกว่ามันอยากเปลี่ยนไปกินพวกไก่ย่างบ้าง เพราะมันเบื่ออาหารเม็ดเต็มทนแล้ว”
“ถูกต้องแล้วขอรับ เพราะถึงแม้ว่ากระผมจะเป็นหมาอินเตอร์ แต่กระผมก็อยากลิ้มรสอาหารธรรมดาอย่างแทะกระดูกเหมือนไอ้พวกหางดาบข้างถนนมันกินกันอยู่ทุกวันบ้าง ขอร้องนะขอรับ อย่าให้กระผมเสียชาติเกิดเลย ขอให้กระผมได้แทะกระดูกบ้าง”
บอกแล้วลักกี้ก็นั่งมองคิวปิดสาวถ่ายทอดทุกคำพูดให้นายรักฟังได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่สะสมมานานหลายปีได้อย่างสมบูรณ์...ขอบคุณสวรรค์หรือใครก็ตามที่ส่งคุณคิวปิดมาที่นี่ หล่อนเปรียบเสมือนเปลวเทียนกลิ่นอโรมาเทอราพี...ให้ทั้งแสงสว่างอบอุ่นและกลิ่นหอมที่ช่วยบำบัดปัญหาของสมาชิกในบ้านหลังนี้ อย่างน้อยก็ปัญหาของลักกี้ล่ะหนึ่งตัว
ดังนั้นมันจึงตอบแทนคิวปิดสาวด้วยการกระโดดเลียหน้านวลแผล็บ เลยได้รับการตอบสนองด้วยเสียงตะโกนกลับมาว่า
“อี๋ ! ไอ้ลักกี้บ้า !
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ค่ำนั้น รักษิยากลับมาถึงบ้านด้วยหัวใจที่บอบช้ำ ทั้งชีวิตเพิ่งเคยได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดจากความรัก ถึงได้เข้าใจว่าเจ็บกายมันไม่เท่าเจ็บใจ เรี่ยวแรงที่เคยมีพลันหายไปหมด จะเดินแต่ละก้าวยังต้องใช้ความพยายาม น้ำตาคอยจะเอ่อไหลตลอดเวลาเมื่อหันไปเห็นตำแหน่งที่เขาเคยอยู่ แม้จะพยายามบอกตัวเองไม่ต้องคิดถึง หากทำไม่ได้เพราะทุกลมหายใจเข้าออกมันมีแต่เขา...ผู้ชายที่เป็นรักแรกและรักเดียว
แต่ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป หญิงสาวพยายามบอกตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าบ้าน อาการบอบช้ำทางใจจึงทำให้ลืมสังเกตไปว่าวันนี้บ้านปิดไฟมืดผิดปกติ แต่เพิ่งจะรู้สึกผิดปกติเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าลักกี้ที่เคยวิ่งมารับหน้าบ้านทุกวันก็หายไป
แล้วคำตอบก็ปรากฏเมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เสียงดนตรีสนุกสนานก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืด เมื่อไฟสว่าง จึงเห็นเจ้าลักกี้สวมแว่นตาดำนั่งยิ้มเผล่เห็นเขี้ยวยาวอยู่กลางบ้าน ที่หลังของมันมีปีกสีขาวสองข้างติดอยู่ด้วย
“ลักกี้ !” รักษิยาแปลกใจระคนขำ
พลันทำนองเพลงมีเสียงร้องที่ดังขึ้น “อะปะติโถๆๆ ปะติโถถังโถ อะปะติ อะปะติ...”
เสียงร้องวนซ้ำไปมานั้นเหมือนเสียงรักษิตตอนเด็กไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งเกิดจากฝีมือของคิวปิดสาวที่ใช้อิทธฤทธิ์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อโชว์นี้โดยเฉพาะ สักพักผู้เป็นพี่ชายและเอแคร์ในชุดเทวนา-นางฟ้าก็วิ่งเข้ามายืนขนาบข้างเจ้าลักกี้ แล้วเต้นท่าง่ายๆ ทั้งเดินหน้าถอยหลัง หมุนตัวพร้อมกันราวกับซักซ้อมกันมาอย่างดี
รักษิยาหัวเราะเป็นครั้งแรกในรอบวัน หลังจากพ่อแม่เสียชีวิต พี่ชายต้องแบกรับผิดชอบภาระของครอบครัว ทำให้เขากลายเป็นคนเคร่งขรึมไม่เคยทำอะไรทะเล้นๆ เหมือนสมัยวัยเยาว์เช่นนี้เลย แม้สีหน้าของเขาตอนนี้ดูประหม่าคล้ายถูกบังคับ และคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหญิงสาวที่กำลังเต้นและยิ้มอย่างสนุกสนานอยู่ข้างๆ หากก็ช่วยทำให้รักษิยารู้สึกดี มีกำลังใจว่าถึงแม้ใครจะไม่รักหล่อน แต่หล่อนก็ยังโชคดีที่มีพี่ชายคนนี้อยู่เคียงข้างเสมอ
เพลงจบลงพร้อมกับท่าโพสต์สุดสวิงของหนึ่งหมากับสองคน รักษิยาปรบมือ
“เก่งมากค่ะ ใช้เวลาฝึกกันนานไหมคะเนี่ย”
“สี่ชั่วโมงค่ะ” เอแคร์ตอบ
“สี่ชั่วโมงสอนลักกี้เต้นได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วค่ะ” พูดพลางลูบหัวลักกี้
“ลักกี้สอนครึ่งชั่วโมงก็เป็นค่ะ แต่ที่ใช้เวลาสี่ชั่วโมง เพราะสอนคนโน้นอยู่ค่ะ” เอแคร์บุ้ยปากไปทางชายหนุ่มที่หน้าแดงเดินไปบนโซฟา
“ก็คนไม่เคยเต้นนี่คุณ” ชายหนุ่มเถียงพลางถอดปีกที่หลังที่คิวปิดสาวเสกมาให้ออก ก่อนหันไปถามน้องสาว “ว่าแต่ยาชอบหรือเปล่า”
รักษิยายิ้มกว้างโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม “ชอบสิคะ ชอบมากๆ เลยด้วย” แล้วเดินเข้าไปนั่งข้างพี่ชาย จับมือหนาขึ้นมากุม “ขอบคุณมากนะคะ”
“จ้ะ” ชายหนุ่มยิ้ม
“เอ๊...น่าจะอัดวีดีโอเก็บเอาไว้ให้พงษ์ดูนะคะ” รักษิยากระเซ้า
“พี่ว่าอย่าเก็บหลักฐานไว้เลยนะ แค่นี้พี่ก็อายจะแย่อยู่แล้ว”
ท่าทางหัวเราะสดใสของรักษิยา พลอยทำให้รักษิตมีความสุขจนอดไม่ได้ต้องดึงตัวน้องสาวมากอดและจูบบนศีรษะ
เซเลน่าชอบมองเวลารักษิตปฏิบัติกับน้องสาว เขาจะอ่อนโยนน่ารักได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งหมดเกิดจากความรักที่เขามีต่อผู้เป็นน้องสาว เซเลน่านึกถึงตัวเอง หล่อนมีพี่น้องร่วมท้องจำนวนมาก แต่เมื่อเกิดแล้วก็แยกย้ายกันไปอยู่ในความดูแลของท่านซีอุส รู้จักกันแค่เพียงเป็นเทพร่วมวิหารเท่านั้น หากไม่เคยรู้จักความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างมนุษย์ ไม่เคยรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของความรักที่เรามอบให้อีกคนโดยไม่หวังผลตอบแทน
นี่ใช่ไหมคือรักแท้...
“คุณคิวปิดขอรับ กระผมถอดแว่นได้หรือยังขอรับ มันมืด” คำถามของลักกี้ขัดความคิดของคิวปิดสาว
“ก็ถอดสิ” บอกแล้วก็ย่อตัวถอดแว่นตากันแดดของรักษิตให้ “แล้วก็ออกไปข้างนอกได้แล้ว หมดหน้าที่ของแกแล้วนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันพาลักกี้ไปข้างนอกก่อนนะคะ” ประโยคหลังเซเลน่าหันไปบอกสองพี่น้องที่ยังนั่งกอดกันอยู่บนโซฟา เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้คุยกันตามลำพัง
“วันหลังเต้นอีกนะขอรับคุณคิวปิด ขอเพลงพี่บี้หรือพี่เบิร์ดก็ได้ ได้ยืดเส้นยืดสายแล้วรู้สึกดีชะมัด”
ลักกี้พูดไม่หยุดขณะเดินตามหญิงสาวออกไปนอกบ้าน พอประตูปิด รักษิตก็ถาม “ยา วันนี้ภูมิโทรมาบ้างหรือเปล่า”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มหุบลง “ไม่ค่ะ พี่รักถามทำไมคะ”
ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ขณะตัดสินใจที่จะโกหกน้องสาวเป็นครั้งแรกในชีวิต
“คือวันนี้พี่คุยกับภูมิ ภูมิมันยืนยันกับพี่ว่ามันไม่ได้มีคนอื่น มันยังรักยาอยู่และอยากแต่งงานกับยาเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันมีปัญหาในชีวิตที่หาทางแก้ไม่ได้”
“ปัญหาอะไรคะ”
“ปัญหาเรื่องงานเรื่องครอบครัวมันน่ะ”
“แต่พี่ภูมิก็ไม่เห็นต้องปิดบังยาเลย คบกันมาตั้งหลายปี พี่ภูมิก็น่าจะรู้ว่าไม่ว่าพี่ภูมิจะมีปัญหาอะไร พี่ภูมิบอกยาได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว”
“ผู้ชายกับผู้หญิงคิดไม่เหมือนกันหรอกยา การที่ผู้ชายจะพาผู้หญิงที่เขารักมาร่วมชีวิตด้วยกัน เขาต้องมีความพร้อม ไม่ใช่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองมีปัญหาอยู่แต่ก็ยังพาผู้หญิงมาร่วมทุกข์ด้วย อย่างนี้มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวมากเกินไป ตอนนี้ภูมิมันก็เลยขออยู่ห่างๆ กับยาสักพัก เพื่อที่มันจะได้ใช้เวลาใช้ความคิดจัดการปัญหาของมันอย่างเต็มที่”
คำบอกกล่าวของรักษิต สร้างความดีใจให้รักษิยาอย่างล้นเหลือ หล่อนเข้าใจคนรักแล้ว เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อจะได้มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขอย่างที่เขาเคยบอกอยู่เสมอ รักษิยารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นคนรักของผู้ชายที่แสนดีอย่างภูมิ
“งั้นเดี๋ยวยาส่งข้อความไปให้กำลังใจพี่ภูมิ พี่ภูมิจะได้รู้ว่ายาเข้าใจเขาแล้ว ดีไหมคะ”
“ไม่ดีจ้ะ !” ชายหนุ่มห้ามทันควัน
“ทำไมคะ” รักษิยาแปลกใจ
“เอ่อ...ก็...” รักษิตอึกอัก...การโกหกนี่มันช่างยากเย็นเสียจริง “ก็ไอ้ภูมิมันสั่งพี่เอาไว้ว่าไม่ให้บอกยา มันกลัวยาจะไม่สบายใจไปด้วย ถ้ามันรู้ว่าพี่มาบอกยา มันต้องโกรธพี่แน่ๆ เลย”
รักษิยาพยักหน้าเข้าใจ “อ๋อ...โอเคค่ะ งั้นยาจะใช้ชีวิตเป็นปกติต่อไป ยาจะไม่ทำให้พี่ภูมิลำบากใจ ยาจะรอวันที่พี่ภูมิพร้อมแล้วกลับมายาเองนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้ม หากเป็นรอยยิ้มที่เฝื่อนเต็มทน ในใจภาวนาขอให้ ‘ผู้ก่อเรื่อง’ หาทางคลายฤทธิ์ในร่างภูมิให้หายโดยไวด้วยเถิด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ร้านรีเวอร์ไซด์’ เป็นร้านอาหารกึ่งผับขนาดเล็กตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย มีขนาดเล็กคนไม่พลุกพล่าน อาหารอร่อยและไม่แพง ประกอบกับมันตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาบรรยากาศจึงดีมาก
เมื่อมาถึงภูมิเดินตรงเข้าไปนั่งโต๊ะด้านในสุดที่ติดกับแม่น้ำอย่างคุ้นเคย แล้วบริกรหนุ่มแต่งตัวสไตล์เพื่อชีวิตที่ภูมิไม่คุ้นหน้าคาดว่าคงจะมาใหม่เดินเข้ามาถามพลางเคี้ยวหมากฝรั่งจับๆ
“รับอะไรดีครับพี่”
“แป๊บซี่ขวด” ภูมิสั่ง
บริกรหรี่ตามองคนสั่ง...มาถึงนี่แต่สั่งแค่เป๊บซี่ เสียเชิงชายชะมัด นึกในใจก่อนเดินกลับเข้าไปที่เคาน์เตอร์
ภูมิเห็นสายตาของบริกรก็คาดเดาความคิดของเขาได้ แต่ไม่สนใจ เขาไม่ได้ต้องการเมา หากเขามาที่นี่เพียงเพื่อหวนนึกถึงความหลังสมัยวัยเรียน เขากับรักษิตจะมานั่งดื่มและปรึกษาปัญหาชีวิตกันที่นี่เสมอ หากด้วยวัยและภาระหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ทั้งสองไม่ได้แวะมาที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ
ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม ทั้งโต๊ะประจำที่เขานั่งอยู่นี้ ตู้เพลงเก่าคร่ำคร่าที่รักษิตเคยยอมเสียเงินสิบบาทหยอดเพลงฟังแค่ครั้งเดียวเมื่อตอนทะเลาะกับรักพงษ์ก็ยังตั้งอยู่ตำแหน่งเดิม หากความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนสนิทได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ภูมิมั่นใจว่ารักษิตคงจะเกลียดเขามาก มันไม่คุ้มกันเลยกับการที่ได้บอกความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้
บริกรหนุ่มเดินกลับมาเสิร์ฟขวดแปบซี่และแก้วน้ำแข็งไว้บนโต๊ะ พร้อมๆ กับที่โทรศัพท์มือถือของภูมิในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เวลานี้เขาอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น
ชายหนุ่มล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ตั้งใจจะกดตัดสายแล้วปิดเครื่องไปแล้ว แต่พอเห็นชื่อ “รัก” ปรากฏอยู่บนหน้าจอ มือของเขาก็สั่นริกอย่างดีใจ ผุดลุกเดินออกห่างจากเสียงเพลงที่ดังคลอไปทางหลังร้าน ก่อนกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“นายอยู่ไหน” น้ำเสียงปลายสายเรียบนิ่ง ยากเกินจะคาดเดาความคิด
“อยู่ร้านของเรา เอ่อ...ร้านรีเวอร์” ภูมิเรียกสั้นๆ “นายมีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“เรื่องอะไร”
ขณะนั้นรักษิตเดินไปเปิดประตูห้องทำงานดูให้แน่ใจว่ารักษิยาจะไม่ลงมาชั้นล่างในเวลานี้ ปิดประตูให้สนิทก่อนตอบปลายสาย “ก็เรื่องที่นายรู้สึกกับฉัน ฉันอยากให้นายใจเย็นแล้วฟังฉันนะ ว่าสิ่งที่นายรู้สึกมันไม่ใช่ความจริง”
“นายจะมารู้ดีกว่าหัวใจของฉันได้ยังไงรัก” ภูมิเถียง
“เออ ฉันรู้แล้วกัน เอาเป็นว่าฉันอยากจะขอร้องนายนะภูมิ นายอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะรัก? ฉันรักนาย ฉันจริงใจกับนาย ทำไมนายอายที่คนอย่างฉันจะรักนายด้วย” ภูมิตัดพ้อ
รักษิตกลอกตา อานุภาพของปลายศรของคิวปิดมันร้ายกาจชะมัด
“ฉันไม่ได้อาย แต่เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ฉันเป็นผู้ชาย นายก็เป็นผู้ชาย และที่สำคัญนายไม่ได้รักฉัน แต่นายรักยา” รักษิตเน้น เผื่อว่ามันจะซึมเข้าไปในหัวของผู้ที่ถูกฤทธิ์ปลายศรบ้าง
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“ไม่จริง ! ฉันรักนาย ได้ยินไหมรักว่าฉันรักนาย !” ภูมิตะโกนสุดเสียง ทำเอาคนในร้านรวมทั้งบริกรหนุ่มหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว
‘อ้าว...ที่แท้ก็เป็นเก้ง อุตส่าห์เกิดมาหน้าตาดี น่าเสียดายชะมัด’ บริกรหนุ่มคิด ก่อนหันไปเช็ดโต๊ะต่อ
“เฮ้ย ! ไอ้ภูมิ จะตะโกนทำไมวะ เดี๋ยวคนอื่นก็ตกใจกันหมดหรอก” คำเตือนของรักษิตช่วยทำให้ ภูมิได้สติ จึงรีบวางเงินค่าน้ำแล้วเดินออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าร้าน
“รัก นายอย่าพูดอีกได้ไหมว่าฉันไม่ได้รักนาย” น้ำเสียงสั่นเครือ
“โอเคๆ ฉันไม่พูดแล้วก็ได้” รักษิตตัดบท “เอาเป็นว่านายจะทำตามที่ฉันขอร้องได้ไหม นายอย่าเพิ่งเที่ยวพูดเรื่องนี้กับใคร และที่สำคัญนายอย่าเพิ่งยกเลิกการแต่งงานของนายกับยาเด็ดขาด”
“ทำไม”
“เพราะฉันสงสารน้องสาวฉัน ฉันไม่อยากเห็นยาเสียใจ นายก็รู้ว่าฉันรักยามากขนาดไหน ถ้ายาเสียใจ ฉันก็จะเสียใจไปด้วย” ไหนๆ ฤทธิ์ปลายศรในหัวใจของภูมิเยอะนักก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็แล้วกัน
“แต่ยาก็ควรจะยอมรับความจริงให้ได้ไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่ฉันขอเวลาให้น้องสาวฉันได้ทำใจก่อน ฉันเชื่อว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
“ตกลงรัก ฉันรักนาย ฉันก็ย่อมไม่อยากเห็นนายเสียใจเหมือนกัน ฉันจะทำทุกอย่างที่นายต้องการ”
รักษิตถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็โล่งใจไปได้เปาะหนึ่งว่าเขาช่วยถ่วงเวลาให้คิวปิดสาวหาทางคลายฤทธิ์จากหัวใจของภูมิได้ ก่อนนึกขึ้นได้ “เออ ฉันขออะไรอีกอย่าง”
“อะไร” น้ำเสียงของภูมิสดใสกว่าตอนแรกมาก
“เลิกพูดสักทีว่านายรักฉัน คำว่ารักพูดบ่อยๆ มันจะไม่มีค่า”
*********************************************
รักษิตใช้ความคิดมาตลอดทาง ขณะที่คิวปิดสาวก็หลับมาตลอดทางด้วยความอ่อนเพลียเช่นเดียวกัน จนกระทั่งขับรถมาจอดหน้าบ้าน ชายหนุ่มมองร่างบางที่หลับคอพับคออ่อนอย่างเอ็นดู กำลังจะปลุกหล่อน หากเปลี่ยนใจปล่อยให้นอนต่อดีกว่า เดี๋ยวค่อยอุ้มเข้าไปนอนในบ้าน
ดังนั้นเขาจึงเปิดและปิดประตูรถอย่างเบามือไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนหญิงสาว เดินไปเปิดประตูรั้ว แล้วเจ้าลักกี้ก็เห่ากรรโชกเสียงดังสนั่นด้วยความดีใจเหมือนเช่นทุกครั้งเวลาเขากลับมาถึงบ้าน
“เฮ้ ! นายรักกลับมาแล้ว นายรักขอรับวันนี้มีไปรษณีย์มาส่งจดหมายด้วย เดี๋ยวไปดูในตู้เอานะขอรับ อ่อ แล้วเจ้าขาวเทาแมวข้างบ้านมันปีนกำแพงจะมาฉี่ใส่เสื้อผ้าที่ตากอยู่บนราว แต่กระผมไล่ตูดเปิดไปเลยขอรับ...คิคิ”
ความสุขของลักกี้คือการได้พูดกับเจ้านายทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาฟังมันไม่เข้าใจ ต่างจากหญิงสาวที่นั่งหลับอยู่ในรถต้องรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงของมัน
“บ่นอะไรลักกี้ เสียงดังเอะอะเชียว” เซเลน่าเปิดประตูลงจากรถแล้วตะโกนถามพลางหาวหวอด
“นั่นๆๆ ดู๊ดู เป็นผู้หญิงยิงเรือ หาวอ้าปากกว้างจนแมลงวันบินเข้าปากได้เป็นฝูง ผู้ชายที่ไหนจะมองขอรับ”
“ไม่มองก็ไม่มองสิ ไม่เห็นสนใจเลย”
“แค่นายรักมองคนเดียวก็พอแล้วชิมิๆ” ลักกี้แซว
“เดี๋ยวเถอะ !” เซเลน่าทำตาเขียวใส่เจ้าลายจุดจอมยียวน
“คุณคุยกับใคร” รักษิตถามหลังจากเปิดประตูรั้วเสร็จ
“คุยกับลักกี้ค่ะ”
“คุณคุยกับลักกี้รู้เรื่องด้วยเหรอ !” ชายหนุ่มอึ้ง วันนี้เป็นวันอะไรกัน เขาถึงได้มีเรื่องคาดไม่ถึงมากมาย ไหนจะเรื่องภูมิรักเขา เรื่องเซเลน่าไม่ใช่คนธรรมดา เจอท่านคิวปิดชราโผล่มาบนผิวน้ำอีก และนี่ยังตอบท้ายด้วยเรื่องเซเลน่ากับลักกี้อีก
“ได้ค่ะ ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ ก็มีแต่เจ้าลักกี้เท่านั้นที่รู้ความลับของฉัน ฉันก็เลยเป็นผู้ช่วยมือขวาให้ฉัน ใช่ไหมลักกี้” คิวปิดสาวกระดิกมือเรียก
มันนั่งตัวตรง ยกขาหน้าขึ้นข้างหนึ่งคล้ายทำท่าตะเบะแบบทหาร ตอบรับเสียงหนักแน่น “แม่นแล้วขอรับ !” ก่อนนึกขึ้นได้ “ฮะ ! นายรักรู้เรื่องแล้วหรือขอรับ !” พอคิวปิดสาวพยักหน้ารับ เจ้าสี่ขาก็ถามต่อ “แล้วไหนบอกว่าความลับนี้ห้ามให้มนุษย์คนไหนรู้ไม่ใช่หรือขอรับ”
“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกคุณพี่รักหรอก แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่ะ”
“คุยอะไรกันหรือคุณ” รักษิตถาม หลังจากเห็นคิวปิดสาวตอบโต้กับเสียงเห่าของเจ้าลักกี้อยู่หลายครั้ง
“เจ้าลักกี้มันตกใจที่คุณรู้ความลับของฉันแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วลูบหัวสามเหลี่ยมของมัน “ไง ? จะเปลี่ยนเจ้านายแล้วหรือเรา”
“ไม่นะขอรับ ! กระผมรักนายรักคนเดียว !” เจ้าสี่ขากระโดดเกาะขาผู้เป็นนายใหญ่
“ลักกี้มันรีบบอกไม่ใช่ใหญ่เลยค่ะ โธ่...ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเจ้านายของนายนักหรอกนะ” หญิงสาวค้อนอย่างไม่จริงจัง แล้วเจ้าลักกี้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณคิวปิดขอรับ กระผมฝากบอกอะไรบางอย่างกับนายรักหน่อยได้ไหมขอรับ”
“เอาสิ” แล้วหันไปหาชายหนุ่ม “ลักกี้มีอะไรจะฝากบอกคุณน่ะ”
“บอกมาสิลักกี้ ฉันรอฟังอยู่”
ลักกี้กระโดดยกขาหน้าเกาะที่ลำตัวของผู้เป็นนาย แหงนหน้ามองเขาด้วยแววตาสุดซึ้ง
“นายรักขอรับ กระผมอยากจะบอกนายรักเหลือเกิน...ว่ากระผม...กระผมอยากกินไก่ย่างแทนอาหารเม็ดบ้างได้ไหมขอรับ”
หญิงสาวหัวเราะก๊าก ผู้ที่ฟังลักกี้พูดไม่รู้เรื่องก็เลยแปลกใจ
“ลักกี้มันบอกว่าอะไรเหรอคุณ”
“มันบอกว่ามันอยากเปลี่ยนไปกินพวกไก่ย่างบ้าง เพราะมันเบื่ออาหารเม็ดเต็มทนแล้ว”
“ถูกต้องแล้วขอรับ เพราะถึงแม้ว่ากระผมจะเป็นหมาอินเตอร์ แต่กระผมก็อยากลิ้มรสอาหารธรรมดาอย่างแทะกระดูกเหมือนไอ้พวกหางดาบข้างถนนมันกินกันอยู่ทุกวันบ้าง ขอร้องนะขอรับ อย่าให้กระผมเสียชาติเกิดเลย ขอให้กระผมได้แทะกระดูกบ้าง”
บอกแล้วลักกี้ก็นั่งมองคิวปิดสาวถ่ายทอดทุกคำพูดให้นายรักฟังได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่สะสมมานานหลายปีได้อย่างสมบูรณ์...ขอบคุณสวรรค์หรือใครก็ตามที่ส่งคุณคิวปิดมาที่นี่ หล่อนเปรียบเสมือนเปลวเทียนกลิ่นอโรมาเทอราพี...ให้ทั้งแสงสว่างอบอุ่นและกลิ่นหอมที่ช่วยบำบัดปัญหาของสมาชิกในบ้านหลังนี้ อย่างน้อยก็ปัญหาของลักกี้ล่ะหนึ่งตัว
ดังนั้นมันจึงตอบแทนคิวปิดสาวด้วยการกระโดดเลียหน้านวลแผล็บ เลยได้รับการตอบสนองด้วยเสียงตะโกนกลับมาว่า
“อี๋ ! ไอ้ลักกี้บ้า !
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ค่ำนั้น รักษิยากลับมาถึงบ้านด้วยหัวใจที่บอบช้ำ ทั้งชีวิตเพิ่งเคยได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดจากความรัก ถึงได้เข้าใจว่าเจ็บกายมันไม่เท่าเจ็บใจ เรี่ยวแรงที่เคยมีพลันหายไปหมด จะเดินแต่ละก้าวยังต้องใช้ความพยายาม น้ำตาคอยจะเอ่อไหลตลอดเวลาเมื่อหันไปเห็นตำแหน่งที่เขาเคยอยู่ แม้จะพยายามบอกตัวเองไม่ต้องคิดถึง หากทำไม่ได้เพราะทุกลมหายใจเข้าออกมันมีแต่เขา...ผู้ชายที่เป็นรักแรกและรักเดียว
แต่ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป หญิงสาวพยายามบอกตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าบ้าน อาการบอบช้ำทางใจจึงทำให้ลืมสังเกตไปว่าวันนี้บ้านปิดไฟมืดผิดปกติ แต่เพิ่งจะรู้สึกผิดปกติเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าลักกี้ที่เคยวิ่งมารับหน้าบ้านทุกวันก็หายไป
แล้วคำตอบก็ปรากฏเมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เสียงดนตรีสนุกสนานก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืด เมื่อไฟสว่าง จึงเห็นเจ้าลักกี้สวมแว่นตาดำนั่งยิ้มเผล่เห็นเขี้ยวยาวอยู่กลางบ้าน ที่หลังของมันมีปีกสีขาวสองข้างติดอยู่ด้วย
“ลักกี้ !” รักษิยาแปลกใจระคนขำ
พลันทำนองเพลงมีเสียงร้องที่ดังขึ้น “อะปะติโถๆๆ ปะติโถถังโถ อะปะติ อะปะติ...”
เสียงร้องวนซ้ำไปมานั้นเหมือนเสียงรักษิตตอนเด็กไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งเกิดจากฝีมือของคิวปิดสาวที่ใช้อิทธฤทธิ์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อโชว์นี้โดยเฉพาะ สักพักผู้เป็นพี่ชายและเอแคร์ในชุดเทวนา-นางฟ้าก็วิ่งเข้ามายืนขนาบข้างเจ้าลักกี้ แล้วเต้นท่าง่ายๆ ทั้งเดินหน้าถอยหลัง หมุนตัวพร้อมกันราวกับซักซ้อมกันมาอย่างดี
รักษิยาหัวเราะเป็นครั้งแรกในรอบวัน หลังจากพ่อแม่เสียชีวิต พี่ชายต้องแบกรับผิดชอบภาระของครอบครัว ทำให้เขากลายเป็นคนเคร่งขรึมไม่เคยทำอะไรทะเล้นๆ เหมือนสมัยวัยเยาว์เช่นนี้เลย แม้สีหน้าของเขาตอนนี้ดูประหม่าคล้ายถูกบังคับ และคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหญิงสาวที่กำลังเต้นและยิ้มอย่างสนุกสนานอยู่ข้างๆ หากก็ช่วยทำให้รักษิยารู้สึกดี มีกำลังใจว่าถึงแม้ใครจะไม่รักหล่อน แต่หล่อนก็ยังโชคดีที่มีพี่ชายคนนี้อยู่เคียงข้างเสมอ
เพลงจบลงพร้อมกับท่าโพสต์สุดสวิงของหนึ่งหมากับสองคน รักษิยาปรบมือ
“เก่งมากค่ะ ใช้เวลาฝึกกันนานไหมคะเนี่ย”
“สี่ชั่วโมงค่ะ” เอแคร์ตอบ
“สี่ชั่วโมงสอนลักกี้เต้นได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วค่ะ” พูดพลางลูบหัวลักกี้
“ลักกี้สอนครึ่งชั่วโมงก็เป็นค่ะ แต่ที่ใช้เวลาสี่ชั่วโมง เพราะสอนคนโน้นอยู่ค่ะ” เอแคร์บุ้ยปากไปทางชายหนุ่มที่หน้าแดงเดินไปบนโซฟา
“ก็คนไม่เคยเต้นนี่คุณ” ชายหนุ่มเถียงพลางถอดปีกที่หลังที่คิวปิดสาวเสกมาให้ออก ก่อนหันไปถามน้องสาว “ว่าแต่ยาชอบหรือเปล่า”
รักษิยายิ้มกว้างโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม “ชอบสิคะ ชอบมากๆ เลยด้วย” แล้วเดินเข้าไปนั่งข้างพี่ชาย จับมือหนาขึ้นมากุม “ขอบคุณมากนะคะ”
“จ้ะ” ชายหนุ่มยิ้ม
“เอ๊...น่าจะอัดวีดีโอเก็บเอาไว้ให้พงษ์ดูนะคะ” รักษิยากระเซ้า
“พี่ว่าอย่าเก็บหลักฐานไว้เลยนะ แค่นี้พี่ก็อายจะแย่อยู่แล้ว”
ท่าทางหัวเราะสดใสของรักษิยา พลอยทำให้รักษิตมีความสุขจนอดไม่ได้ต้องดึงตัวน้องสาวมากอดและจูบบนศีรษะ
เซเลน่าชอบมองเวลารักษิตปฏิบัติกับน้องสาว เขาจะอ่อนโยนน่ารักได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งหมดเกิดจากความรักที่เขามีต่อผู้เป็นน้องสาว เซเลน่านึกถึงตัวเอง หล่อนมีพี่น้องร่วมท้องจำนวนมาก แต่เมื่อเกิดแล้วก็แยกย้ายกันไปอยู่ในความดูแลของท่านซีอุส รู้จักกันแค่เพียงเป็นเทพร่วมวิหารเท่านั้น หากไม่เคยรู้จักความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างมนุษย์ ไม่เคยรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของความรักที่เรามอบให้อีกคนโดยไม่หวังผลตอบแทน
นี่ใช่ไหมคือรักแท้...
“คุณคิวปิดขอรับ กระผมถอดแว่นได้หรือยังขอรับ มันมืด” คำถามของลักกี้ขัดความคิดของคิวปิดสาว
“ก็ถอดสิ” บอกแล้วก็ย่อตัวถอดแว่นตากันแดดของรักษิตให้ “แล้วก็ออกไปข้างนอกได้แล้ว หมดหน้าที่ของแกแล้วนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันพาลักกี้ไปข้างนอกก่อนนะคะ” ประโยคหลังเซเลน่าหันไปบอกสองพี่น้องที่ยังนั่งกอดกันอยู่บนโซฟา เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้คุยกันตามลำพัง
“วันหลังเต้นอีกนะขอรับคุณคิวปิด ขอเพลงพี่บี้หรือพี่เบิร์ดก็ได้ ได้ยืดเส้นยืดสายแล้วรู้สึกดีชะมัด”
ลักกี้พูดไม่หยุดขณะเดินตามหญิงสาวออกไปนอกบ้าน พอประตูปิด รักษิตก็ถาม “ยา วันนี้ภูมิโทรมาบ้างหรือเปล่า”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มหุบลง “ไม่ค่ะ พี่รักถามทำไมคะ”
ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ขณะตัดสินใจที่จะโกหกน้องสาวเป็นครั้งแรกในชีวิต
“คือวันนี้พี่คุยกับภูมิ ภูมิมันยืนยันกับพี่ว่ามันไม่ได้มีคนอื่น มันยังรักยาอยู่และอยากแต่งงานกับยาเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันมีปัญหาในชีวิตที่หาทางแก้ไม่ได้”
“ปัญหาอะไรคะ”
“ปัญหาเรื่องงานเรื่องครอบครัวมันน่ะ”
“แต่พี่ภูมิก็ไม่เห็นต้องปิดบังยาเลย คบกันมาตั้งหลายปี พี่ภูมิก็น่าจะรู้ว่าไม่ว่าพี่ภูมิจะมีปัญหาอะไร พี่ภูมิบอกยาได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว”
“ผู้ชายกับผู้หญิงคิดไม่เหมือนกันหรอกยา การที่ผู้ชายจะพาผู้หญิงที่เขารักมาร่วมชีวิตด้วยกัน เขาต้องมีความพร้อม ไม่ใช่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองมีปัญหาอยู่แต่ก็ยังพาผู้หญิงมาร่วมทุกข์ด้วย อย่างนี้มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวมากเกินไป ตอนนี้ภูมิมันก็เลยขออยู่ห่างๆ กับยาสักพัก เพื่อที่มันจะได้ใช้เวลาใช้ความคิดจัดการปัญหาของมันอย่างเต็มที่”
คำบอกกล่าวของรักษิต สร้างความดีใจให้รักษิยาอย่างล้นเหลือ หล่อนเข้าใจคนรักแล้ว เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อจะได้มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขอย่างที่เขาเคยบอกอยู่เสมอ รักษิยารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นคนรักของผู้ชายที่แสนดีอย่างภูมิ
“งั้นเดี๋ยวยาส่งข้อความไปให้กำลังใจพี่ภูมิ พี่ภูมิจะได้รู้ว่ายาเข้าใจเขาแล้ว ดีไหมคะ”
“ไม่ดีจ้ะ !” ชายหนุ่มห้ามทันควัน
“ทำไมคะ” รักษิยาแปลกใจ
“เอ่อ...ก็...” รักษิตอึกอัก...การโกหกนี่มันช่างยากเย็นเสียจริง “ก็ไอ้ภูมิมันสั่งพี่เอาไว้ว่าไม่ให้บอกยา มันกลัวยาจะไม่สบายใจไปด้วย ถ้ามันรู้ว่าพี่มาบอกยา มันต้องโกรธพี่แน่ๆ เลย”
รักษิยาพยักหน้าเข้าใจ “อ๋อ...โอเคค่ะ งั้นยาจะใช้ชีวิตเป็นปกติต่อไป ยาจะไม่ทำให้พี่ภูมิลำบากใจ ยาจะรอวันที่พี่ภูมิพร้อมแล้วกลับมายาเองนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้ม หากเป็นรอยยิ้มที่เฝื่อนเต็มทน ในใจภาวนาขอให้ ‘ผู้ก่อเรื่อง’ หาทางคลายฤทธิ์ในร่างภูมิให้หายโดยไวด้วยเถิด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ร้านรีเวอร์ไซด์’ เป็นร้านอาหารกึ่งผับขนาดเล็กตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย มีขนาดเล็กคนไม่พลุกพล่าน อาหารอร่อยและไม่แพง ประกอบกับมันตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาบรรยากาศจึงดีมาก
เมื่อมาถึงภูมิเดินตรงเข้าไปนั่งโต๊ะด้านในสุดที่ติดกับแม่น้ำอย่างคุ้นเคย แล้วบริกรหนุ่มแต่งตัวสไตล์เพื่อชีวิตที่ภูมิไม่คุ้นหน้าคาดว่าคงจะมาใหม่เดินเข้ามาถามพลางเคี้ยวหมากฝรั่งจับๆ
“รับอะไรดีครับพี่”
“แป๊บซี่ขวด” ภูมิสั่ง
บริกรหรี่ตามองคนสั่ง...มาถึงนี่แต่สั่งแค่เป๊บซี่ เสียเชิงชายชะมัด นึกในใจก่อนเดินกลับเข้าไปที่เคาน์เตอร์
ภูมิเห็นสายตาของบริกรก็คาดเดาความคิดของเขาได้ แต่ไม่สนใจ เขาไม่ได้ต้องการเมา หากเขามาที่นี่เพียงเพื่อหวนนึกถึงความหลังสมัยวัยเรียน เขากับรักษิตจะมานั่งดื่มและปรึกษาปัญหาชีวิตกันที่นี่เสมอ หากด้วยวัยและภาระหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ทั้งสองไม่ได้แวะมาที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ
ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม ทั้งโต๊ะประจำที่เขานั่งอยู่นี้ ตู้เพลงเก่าคร่ำคร่าที่รักษิตเคยยอมเสียเงินสิบบาทหยอดเพลงฟังแค่ครั้งเดียวเมื่อตอนทะเลาะกับรักพงษ์ก็ยังตั้งอยู่ตำแหน่งเดิม หากความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนสนิทได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ภูมิมั่นใจว่ารักษิตคงจะเกลียดเขามาก มันไม่คุ้มกันเลยกับการที่ได้บอกความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้
บริกรหนุ่มเดินกลับมาเสิร์ฟขวดแปบซี่และแก้วน้ำแข็งไว้บนโต๊ะ พร้อมๆ กับที่โทรศัพท์มือถือของภูมิในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เวลานี้เขาอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น
ชายหนุ่มล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ตั้งใจจะกดตัดสายแล้วปิดเครื่องไปแล้ว แต่พอเห็นชื่อ “รัก” ปรากฏอยู่บนหน้าจอ มือของเขาก็สั่นริกอย่างดีใจ ผุดลุกเดินออกห่างจากเสียงเพลงที่ดังคลอไปทางหลังร้าน ก่อนกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“นายอยู่ไหน” น้ำเสียงปลายสายเรียบนิ่ง ยากเกินจะคาดเดาความคิด
“อยู่ร้านของเรา เอ่อ...ร้านรีเวอร์” ภูมิเรียกสั้นๆ “นายมีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“เรื่องอะไร”
ขณะนั้นรักษิตเดินไปเปิดประตูห้องทำงานดูให้แน่ใจว่ารักษิยาจะไม่ลงมาชั้นล่างในเวลานี้ ปิดประตูให้สนิทก่อนตอบปลายสาย “ก็เรื่องที่นายรู้สึกกับฉัน ฉันอยากให้นายใจเย็นแล้วฟังฉันนะ ว่าสิ่งที่นายรู้สึกมันไม่ใช่ความจริง”
“นายจะมารู้ดีกว่าหัวใจของฉันได้ยังไงรัก” ภูมิเถียง
“เออ ฉันรู้แล้วกัน เอาเป็นว่าฉันอยากจะขอร้องนายนะภูมิ นายอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะรัก? ฉันรักนาย ฉันจริงใจกับนาย ทำไมนายอายที่คนอย่างฉันจะรักนายด้วย” ภูมิตัดพ้อ
รักษิตกลอกตา อานุภาพของปลายศรของคิวปิดมันร้ายกาจชะมัด
“ฉันไม่ได้อาย แต่เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ฉันเป็นผู้ชาย นายก็เป็นผู้ชาย และที่สำคัญนายไม่ได้รักฉัน แต่นายรักยา” รักษิตเน้น เผื่อว่ามันจะซึมเข้าไปในหัวของผู้ที่ถูกฤทธิ์ปลายศรบ้าง
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“ไม่จริง ! ฉันรักนาย ได้ยินไหมรักว่าฉันรักนาย !” ภูมิตะโกนสุดเสียง ทำเอาคนในร้านรวมทั้งบริกรหนุ่มหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว
‘อ้าว...ที่แท้ก็เป็นเก้ง อุตส่าห์เกิดมาหน้าตาดี น่าเสียดายชะมัด’ บริกรหนุ่มคิด ก่อนหันไปเช็ดโต๊ะต่อ
“เฮ้ย ! ไอ้ภูมิ จะตะโกนทำไมวะ เดี๋ยวคนอื่นก็ตกใจกันหมดหรอก” คำเตือนของรักษิตช่วยทำให้ ภูมิได้สติ จึงรีบวางเงินค่าน้ำแล้วเดินออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าร้าน
“รัก นายอย่าพูดอีกได้ไหมว่าฉันไม่ได้รักนาย” น้ำเสียงสั่นเครือ
“โอเคๆ ฉันไม่พูดแล้วก็ได้” รักษิตตัดบท “เอาเป็นว่านายจะทำตามที่ฉันขอร้องได้ไหม นายอย่าเพิ่งเที่ยวพูดเรื่องนี้กับใคร และที่สำคัญนายอย่าเพิ่งยกเลิกการแต่งงานของนายกับยาเด็ดขาด”
“ทำไม”
“เพราะฉันสงสารน้องสาวฉัน ฉันไม่อยากเห็นยาเสียใจ นายก็รู้ว่าฉันรักยามากขนาดไหน ถ้ายาเสียใจ ฉันก็จะเสียใจไปด้วย” ไหนๆ ฤทธิ์ปลายศรในหัวใจของภูมิเยอะนักก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็แล้วกัน
“แต่ยาก็ควรจะยอมรับความจริงให้ได้ไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่ฉันขอเวลาให้น้องสาวฉันได้ทำใจก่อน ฉันเชื่อว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
“ตกลงรัก ฉันรักนาย ฉันก็ย่อมไม่อยากเห็นนายเสียใจเหมือนกัน ฉันจะทำทุกอย่างที่นายต้องการ”
รักษิตถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็โล่งใจไปได้เปาะหนึ่งว่าเขาช่วยถ่วงเวลาให้คิวปิดสาวหาทางคลายฤทธิ์จากหัวใจของภูมิได้ ก่อนนึกขึ้นได้ “เออ ฉันขออะไรอีกอย่าง”
“อะไร” น้ำเสียงของภูมิสดใสกว่าตอนแรกมาก
“เลิกพูดสักทีว่านายรักฉัน คำว่ารักพูดบ่อยๆ มันจะไม่มีค่า”
*********************************************
สาธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2554, 00:30:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2554, 00:31:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 1403
<< ตอน 13 | ตอน 15 >> |
เบญจามินทร์ 6 ส.ค. 2554, 10:34:05 น.
เห็นภูมิบอกรัก พี่รักที่ไรเค้าขนลุกซู่ๆ ฮ่าฮ่า
เห็นภูมิบอกรัก พี่รักที่ไรเค้าขนลุกซู่ๆ ฮ่าฮ่า