มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 22

เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!



ตลอดเวลาที่เดินทางออกจากป่า วาวพลอยได้แต่กุมมือชายหนุ่มที่ไม่ได้สติเอาไว้ พร้อมกับพร่ำภาวนาขอให้เขาปลอดภัย จนกระทั่งถึงค่ายทหารแห่งหนึ่ง แม้ไม่ใหญ่โต แต่กลับมีกองกำลังทหารอยู่เต็มไปหมด หัสตะจึงได้รับการผ่าตัดและรักษาจากแพทย์ทหารในค่าย

ค่ายทหารแห่งนี้มีโรงพยาบาลที่ก่อสร้างจากอิฐและปูนชั้นเดียวอย่างแข็งแรง แม้จะไม่ได้เพรียกพร้อมไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย แต่ก็นับว่ามีเครื่องมือที่จำเป็นในการรักษาครบครัน

“เขาเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” วาวพลอยที่นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินรีบลุกขึ้นทันที ที่หมอออกมาจากห้องผ่าตัด

“เราผ่าตัดเอากระสุนออกจากไหล่เขาแล้ว แม้แผลจะไม่ใหญ่ แต่ระหว่างนำตัวคนไข้มาก็เสียเลือดไปมากจึงต้องเติมเลือดครับ ส่วนศีรษะของเขาที่แตก เบื้องต้นไม่มีเลือดคั่งหรือบาดเจ็บภายในร้ายแรง แต่ก็ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิดอีกที เขาคงจะไม่ได้สติสักสองสามวันครับ” นายแพทย์ประจำค่ายทหารชั่วคราวแห่งนี้บอก

“ฉันขอเข้าไปดูเขาได้ไหมคะ”

“เชิญครับ” หญิงสาวจึงรีบเข้าไปในห้องที่หัสตะรักษาตัวอยู่ พบนายทหารคนนั้นอยู่ในห้องก่อนแล้ว

“หัสตะดวงแข็ง ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ท่าทางสบายใจของชายหนุ่มคนนี้ทำให้วาวพลอยใจชื้นขึ้น

เธอมองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท ดวงหน้าของเขาซีดเซียว ผ้าสีขาวที่ใช้พันแผลตรงไหล่ และศีรษะของหัสตะมีเลือดซึมออกมาให้เห็นเป็นด่างดวง อีกทั้งสายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางไปหมด

วาวพลอยไม่เคยเห็นหัสตะอยู่ในสภาพสิ้นฤทธิ์อย่างนี้มาก่อน เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ และมากกว่านั้นกลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียเขาไป หญิงสาวกุมมือหนาเอาไว้แนบอก

“ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะเรามีหมอคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา ก็อย่างที่ผมบอกเจ้านี่กระดูกแข็ง หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว” นายทหารหนุ่มปลอบด้วยรอยยิ้ม

และวาวพลอยก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่แค่ปลอบให้เธอหายกังวล แต่เธอเห็นความเชื่อมั่นในดวงตาและสีหน้าของนายทหารหนุ่มคนนี้ชัดเจน

“คุณพูดเหมือนรู้จักคุณหัสตะดี” หญิงสาวถามชายหนุ่มตรงหน้า

นั่นเป็นความข้องใจของเธอตั้งแต่แรกที่เจอนายทหารคนนี้ และพึ่งจะมีโอกาสถามก็ตอนที่ทุกอย่างคลี่คลายลงไปบ้างแล้วในตอนนี้

“อ๋อ... ครับ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน เคยฝึกทหารมาด้วยกัน” คำตอบของเขาทำให้วาวพลอยแปลกใจมากขึ้นไปอีก

“ถ้าอย่างนั้น ที่นี่คือริตถาวดีหรือคะ” นายทหารหนุ่มส่ายหน้า

“ไม่ใช่หรอกครับที่นี่คือเขตของภูศิยาน์ ประเทศเพื่อนบ้านของริตถาวดีน่ะครับ ผมชื่อ อินทุ เป็นคนภูศิยาน์ เราเคยเรียนและฝึกทหารร่วมกันที่อเมริกาน่ะครับ แล้วหัสตะก็เป็น *หน่วยซีล อยู่ที่นั่น แต่เราไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้วล่ะครับ ว่าแต่คุณกับเขาทำไมถึงมาอยู่แถวตะเข็บชายแดนได้” เขาถามขึ้นในตอนท้าย ทำให้วาวพลอยนิ่งคิดไตร่ตรองไปนิดหนึ่ง ว่าจะบอกนายทหารคนนี้อย่างไรดี

“เอ่อ... ฉันชื่อวาวพลอยค่ะ เป็นเพื่อนคุณหัสตะ เราล่องเรือมาจากประเทศไทยกับพรรคพวกอีกกลุ่มหนึ่งน่ะค่ะ พอดีเจอโจรสลัด... ”

หญิงสาวตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายทหารหนุ่มที่ชื่ออินทุฟังอย่างคร่าวๆ ทั้งเรื่องการเดินทางจากเมืองไทย เรื่องที่เกาะนียา การเดินทางต่อมายังฝั่งเพื่อไปยังริตถาวดี

จนมาเจอกับกลุ่มคนร้ายครั้งนี้ โดยเก็บงำความจริงเรื่องเจ้าหญิงรัชทายาท และการเดินทางกลับบ้านเกิดของเธอ แม้วาวพลอยจะเชื่อว่าหัสตะกับนายทหารผู้นี้เป็นเพื่อนกัน

แต่เธอก็ไม่อยากเสี่ยงเล่าทุกเรื่องให้เขาฟังโดยปราศจากการรับรู้ของหัสตะ โชคดีที่อินทุแค่รับฟังอย่างเดียว ไม่ได้ถามซอกแซกอย่างที่วาวพลอยนึกกลัว

“แล้วสองคนที่บอกว่าเป็นชาวประมง เป็นคนที่พาคุณกับหัสตะมาส่งชายฝั่งหรือเปล่าครับ” อินทุถามเป็นคำถามแรกหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง

“ค่ะ ไม่ทราบว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง อย่าขังพวกเขาเลยนะคะ พวกเขาเป็นเพื่อนของเราค่ะ อีกอย่างดูเหมือนจะบาดเจ็บด้วย” วาวพลอยรู้สึกเป็นห่วงอุเร กับวานิขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นผมจะให้พวกเขาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจนกว่าจะหาย แล้วค่อยว่ากันอีกทีนะครับ”

“ขอบคุณมากนะคะที่กรุณาพวกเรา” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณจากใจจริงอีกครั้ง

“อย่าได้เกรงใจเลยครับ ผมกับหัสตะเป็นเพื่อนกัน เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนเป็นธรรมดา ผมว่าคุณเองก็ต้องดูแลตัวเองบ้าง ผมจะให้คนเอาเสื้อผ้าอาหารมาให้นะครับ แต่ที่นี่เป็นค่ายทหาร เรามีแต่ผู้ชาย อาจจะขลุกขลักไปบ้าง” อินทุออกตัว แต่วาวพลอยยังมองเขาด้วยสายตาซาบซึ้งใจ

“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วล่ะค่ะ” แล้วอินทุจึงขอตัวออกไปทำงานต่อ

*-*-*-*-*-*

หัสตะไม่รู้สึกตัวเป็นเวลาสองวัน วาวพลอยคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งคืนทั้งวัน แม้อาการโดยรวมของเขาจะดีขึ้น แต่ก็ต้องคอยเฝ้าระวังการติดเชื้อ

ระหว่างนั้นหญิงสาวก็ได้ไปเยี่ยมอุเรกับวานิ ที่พักรักษาตัวอยู่อีกห้อง แม้ทั้งคู่จะไม่มีบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกซ้อม แต่ก็บอบช้ำหนักอยู่เหมือนกัน

วาวพลอยจึงได้แต่มองพวกเขาไม่มีโอกาสได้พูดคุยเพราะอยากให้ทั้งคู่ได้พักผ่อนตามที่หมอสั่ง หญิงสาวรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้คนที่แสนดีกับเธอและหัสตะต้องมาบาดเจ็บเช่นนี้

“เจ้าหญิง... ” เสียงเรียกนั้นทำให้เจ้าของร่างบอบบางหันไปทางประตูห้องพยาบาลที่หัสตะพักรักษาตัวอยู่ อุเรกับวานิเดินเข้ามาช้าๆ

“อุเร วานิ นี่ลุกขึ้นมาทำไม อาการดีขึ้นแล้วเหรอ” หญิงสาวถามเป็นภาษาชาวเกาะกระท่อนกระแท่น

“ดีขึ้นแล้ว เจ้าหญิงปลอดภัยดี เราก็หายห่วง” อุเรพูด แล้วทั้งสองก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า

“ว้าย!... ไม่ต้องนั่ง” วาวพลอยรีบดึงทั้งสองให้ลุกขึ้น

“แต่ท่านเป็นเจ้าหญิง” วานิท้วงด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง เรื่องนี้พวกเขาพึ่งรู้จากกลุ่มคนร้ายในเหตุการณ์ที่ผ่านมานี่เอง

เหตุการณ์หลังจากที่ส่งหัสตะกับวาวพลอยขึ้นฝั่งแล้ว พวกเขากำลังจะออกเรือก็ถูกชายฉกรรจ์สองคนพร้อมอาวุธเข้ามาจับตัว และเค้นถามอะไรบางอย่างที่อุเรและวานิฟังไม่รู้เรื่อง และพวกเขาพยายามสื่อสารด้วยภาษาของตัวเอง

ชายสองคนนั้นจึงเปลี่ยนมาพูดภาษาชาวเกาะของพวกเขา มันทั้งคาดคั้นข่มขู่ถามเรื่องเจ้าหญิง อุเรและวานิจึงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา และผู้หญิงที่พวกเขาพามาส่งพร้อมหัสตะคือเจ้าหญิงแห่งริตถาวดีนั่นเอง

ทั้งสองไม่ยอมปริปากบอกก็เลยถูกซ้อมจนสะบักสะบอม แล้วพวกมันจึงลากตัวอุเรกับวานิเข้ามาในป่าเพื่อตามหาตัวเจ้าหญิง แล้วเจอกับคนร้ายอีกคนที่เป็นหัวหน้าพวกมัน จนตามมาทันหัสตะและวาวพลอยในที่สุด

“ฉันเป็นสหายของชาวเกาะนียาต่างหาก อุเร กับวานิก็เป็นเพื่อนของฉันกับท่านหัสตะ ขอโทษนะที่ทำให้เดือดร้อน เจ้าหญิงหรือไม่ไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้ความเป็นเจ้าหญิงแทบจะช่วยอะไรใครไม่ได้เลย แม้แต่ตัวฉันเอง” หญิงสาวพูดภาษาชาวเกาะช้าๆ สำเนียงแปร่งๆ แต่ชาวเกาะทั้งสองก็เข้าใจดี

“ฉันดีใจที่อุเรกับวานิปลอดภัย” วาวพลอยเอ่ยตบท้ายจากใจจริง อุเรกับวานิจึงยิ้มรับ

“แล้วท่านหัสตะ... ” ก่อนทั้งสองจะมองไปยังเตียงที่มีร่างของหัสตะนอนอยู่อย่างเป็นห่วงไม่น้อย วาวพลอยเองก็หันกลับไปที่เตียงคนเจ็บเช่นกัน

“ฉันหวังว่าเขาจะฟื้นเร็วๆ นี้” หญิงสาวพูดพลางจับมือหนาขึ้นมากุมไว้

“อุเรกับวานิไปพักก่อนเถอะ จะได้หายเร็วๆ แล้วฉันจะขอท่านอินทุช่วยจัดการเรื่องการเดินทางกลับเกาะนียาอีกที” ชาวเกาะทั้งสองรับคำ ก่อนจะกลับไปยังห้องพัก

วาวพลอยจึงหันมามองดวงหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยไรเคราเขียวครึ้ม ตอนนี้มีสีสันขึ้นกว่าวันแรกที่บาดเจ็บมากนัก สายอะไรต่อมิอะไรที่เคยระโยงระยางตามแขนของเขาก็ถูกถอดออก และตรงที่เป็นแผลก็ไม่มีเลือดซึมออกมาแล้ว

“ฟื้นขึ้นมาเร็วๆ นะคะคุณหัสตะ ไหนคุณบอกว่าจะเป็นแสงสว่างให้ฉันยังไงล่ะคะ ไม่มีคุณแล้วฉันจะอยู่ยังไง” หญิงสาวพร่ำบอกเขาพร้อมบีบมือหนาเบาๆ

“เป็นยังไงบ้างครับคุณวาวพลอย” อินทุในชุดทหาร เดินเข้ามาถาม พลางมองเพื่อนที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติงบนเตียง

“ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ คุณอินทุ” วาวพลอยตอบ ดวงตายังคงจับจ้องคนที่นอนบนเตียง แต่พออินทุเข้ามาใกล้หญิงสาวรู้สึกเหมือนแพขนตายาวของหัสตะจะเริ่มขยับ

“คุณหัสตะ คุณหัสตะ” วาวพลอยเรียกอย่างตื่นเต้น

เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นมา น้ำตาของหญิงสาวก็คลอเอ่อด้วยความดีใจ มือบางเกาะกุมมือหนาข้างที่ไม่เจ็บเอาไว้มั่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหลับลงไปอีกกระนั้น

หัสตะปรับการมองเห็นอยู่ครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดบริเวณแผลพร้อมอาการหนักหน่วงตรงศีรษะยังคงตรึงเขาไว้ ดวงหน้างามซึ้งที่ประทับอยู่ในหัวใจเขาลอยอยู่ตรงหน้า ดวงหน้านั้นเต็มไปด้วยความดีใจระคนโล่งอก

“วาวพลอย คุณปลอดภัยดีใช่ไหม” คำแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงแห้งผาก ทำให้น้ำตาแห่งความยินดีที่คลอเอ่ออยู่แล้วไหลลงมาบนแก้มเนียน

“ฉันปลอดภัยดีค่ะ คุณต่างหากที่บาดเจ็บ ฉันดีใจที่คุณฟื้น ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะจากไป” แล้วหญิงสาวก็ปล่อยโฮด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น มือบางเลื่อนมือหนามาแนบแก้ม

“ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก ขอเพียงแค่คุณปลอดภัยเท่านั้น อย่าร้องไห้เลยนะ” เขาอยากจะโอบกอดปลอบโยนเธอเอาไว้เหมือนทุกครั้ง แต่ก็เจ็บเกินกว่าจะขยับตัวได้

“ฉันเพียงแต่ดีใจที่คุณไม่เป็นไร” หญิงสาวยิ้มให้เขาทั้งน้ำตาเหมือนเด็กๆ

“ผมเองก็ดีใจที่ได้ตื่นมาพบคุณอีก” ชายหนุ่มเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากแก้มนวลแผ่วเบา ไม่ว่าหยาดน้ำตานั้นจะมาจากความดีใจหรือเสียใจเขาก็ไม่ปรารถนาจะเห็นมันเปรอะเปื้อนใบหน้าของเธอแม้แต่น้อย

“ที่นี่ไหนกัน” ก่อนจะถามขึ้น เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างสังเกต

“ที่นี่คือค่ายทหาร ที่อยู่ทางใต้ของภูศิยาน์ ในที่สุดนายก็ฟื้นเสียทีนะ” อินทุที่อยู่อีกด้านของเตียง มองดูเพื่อนกับหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เอ่ยออกมาด้วยความดีใจเช่นกัน และนั่นก็ส่งผลให้คนเจ็บถึงกับชะงักค้าง

“อินทุ... นี่นายจริงๆ เหรออินทุ”

“ก็ฉันน่ะสิ หรือว่าไม่เจอกันแค่สี่ซ้าห้าปีจำฉันไม่ได้เสียแล้วหัสตะ” อินทุกระเซ้าด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางขยับเข้ามาชิดข้างเตียงบ้าง

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่มันช่างเหลือเชื่อ ฉันไม่นึกเลยว่าจะได้เจอนายง่ายดายอย่างนี้ แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ทางใต้ของภูศิยาน์ได้ นายไม่ต้องคอยอารักขาองค์น่านฟ้าหรอกเหรอ” หัสตะรีบถามขึ้น ความตื่นเต้นดีใจเต็มเปี่ยมอยู่บนใบหน้าและน้ำเสียง

“ฉันได้รับคำสั่งจากองค์น่านฟ้า ให้พากองกำลังบางส่วนในหน่วยของฉันมาดูแลพื้นที่ตรงตะเข็บชายแดนทางใต้ เพราะได้ข่าวว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาเคลื่อนไหวแถบนี้ ฉันเคยประจำการอยู่แถวนี้และเชี่ยวชาญด้านพื้นที่มาก่อนก็เลยรับหน้าที่นี้น่ะ” อินทุบอกเล่าถึงภารกิจของตนคร่าวๆ

“ใครกันที่มาเคลื่อนไหวแถวนี้ คงไม่ใช่ทหารริตถาวดีหรอกนะ” หัสตะเปรย ท่าทางครุ่นคิด

“มันคงเกี่ยวกับเรื่องของนายนั่นแหล่ะ ฉันจับพวกที่จะฆ่านายกับคุณวาวพลอยได้สองคน บางทีเราอาจจะรีดความจริงกับมันได้ เอาเป็นว่ารอนายดีขึ้นกว่านี้ก่อนแล้วเราค่อยคุยกันอีกที ฉันว่าตอนนี้นายพักรักษาตัวให้หายก่อนเถอะ” อินทุว่า และหัสตะก็รับคำ

*-*-*-*-*-*

ร่างสูงโปร่งในชุดลายพรางของทหารริตถาวดี ก้าวลงจากรถฮัมวี่สีเขียวขี้ม้าทันทีทีรถจอดตรงลานโล่งกลางดงไม้ ที่มีซากกองเพลิงดำเป็นตอตะโกเป็นแนวยาว ตามลักษณะของเพิงพักไม้ที่ถูกเผาทำลาย

มีตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังตรวจพื้นที่ และพิสูจน์หลักฐานอยู่อย่างขะมักเขม้น และพอตำรวจหัวหน้าชุดเห็นกลุ่มทหารที่ลงจากรถก็รีบเข้ามาหาในทันที

“สวัสดีครับท่านแม่ทัพปาระมี มาเร็วดีนะครับ พอดีพวกผมทำงานยังไม่เสร็จเลยครับ” ตำรวจนายนั้นทักทายพร้อมรายงาน ท่าทางพินอบพิเทา

“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องการทราบแค่รายละเอียดบางอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง เป็นต้นว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ยังไง แล้วมีใครเสียชีวิตบ้าง” ปาระมีบอกถึงความประสงค์

“เราตั้งข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากการวางเพลิง ไม่ก็เพลิงอาจจะมาจากการก่อไฟหุงหาอาหารน่ะครับ แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตในกองเพลิง เนื่องจากยังเป็นเวลาที่คนตื่นอยู่ มีแต่พวกคนงานบาดเจ็บจากการหนีตายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นครับ”

“คนงานที่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” แม้จะได้รับรายงานเบื้องต้นมาอย่างคร่าวๆ แล้ว แต่แม่ทัพหนุ่มก็อยากได้รับคำยืนยันอยู่ดี

“เป็นผู้ชายทั้งหมดครับ” คำตอบที่ได้รับทำให้เขาลอบถอนหายใจโล่งอก

“แล้วพอจะรู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของ ถูกกฎหมายหรือเปล่า” ก่อนจะถามต่อ สายตาก็กวาดมองไปทั่วบริเวณ

“เพิงนี้เป็นเพิงพักไม้ที่ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างครับ มีนายทุนในเมืองคนหนึ่งเป็นเจ้าของ เรื่องนี้เราจะสอบสวนกันอีกทีครับ หากท่านต้องการรายละเอียดเราจะรายงานให้ทราบทันทีที่เสร็จครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตรวจดูบริเวณรอบๆ นี้สักหน่อยนะ คุณไปทำงานของคุณต่อเถอะ” ตำรวจนายนั้นรับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ

ปาระมีตรวจตราหาร่องรอยอะไรบางอย่างโดยรอบซึ่งเป็นป่า แม้จะมีร่องรอยของคนปรากฎให้เห็นมากมาย แต่ก็สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก นั่นคงเป็นเพราะเหตุการณ์ไฟไหม้นั่นเอง

ทำให้ในที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็ไม่ได้เบาะแสอะไรอย่างที่ต้องการ ก่อนหน้านี้เขาได้รับรายงานจากคนที่ส่งมาตามหาตัวเจ้าหญิงรัชทายาท แต่ก็ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรนัก

เพราะกว่าเขาจะรู้ว่าเจ้าหญิงรัชทายาทถูกนำตัวมากักขังไว้ที่นี่ ก็ตอนที่เพิงพักไม้แห่งนี้ถูกเผาทำลายวอดวายไปแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบมาดูให้เห็นกับตาตัวเองว่าเจ้าหญิงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

พอทราบว่าไม่มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้แน่นอนแล้วก็โล่งใจ เพราะนั่นแสดงว่าเจ้าหญิงรัชทายาทยังคงมีชีวิตอยู่ และได้มาอยู่ในริตถาวดีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน หรือหนีเตลิดไปทางใด

ปาระมีรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่เขาให้คนติดตามความเคลื่อนไหวของ

อุชเชนกับเสนาฯ ระสังอย่างใกล้ชิด แต่ทุกครั้งเขามักจะช้าไปกว่าอุชเชนก้าวหนึ่งเสมอ

ทั้งที่คนที่ปาระมัตคัดเลือกมาทำงานลับนี้แต่ละคนเก่งๆ ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องผิดปกติที่ปาระมีรู้สึกได้ไม่ยาก และต่อไปเขาคงจะต้องสืบหาที่มาของความผิดปกติอันนี้ให้จงได้

ชายหนุ่มคิดว่าบางทีอาจมีใครสักคนกำลังเล่นตลกกับพวกเขาอยู่ก็เป็นได้ ในขณะเดียวกันการติดตามค้นหาตัวเจ้าหญิงรัชทายาทให้เจอก่อน

อุชเชนก็ต้องดำเนินไปอย่างเร่งด่วนเช่นกัน แม่ทัพหนุ่มคิด



หมายเหตุ*หน่วยซีล (SEAL ย่อมาจาก Sea-Air-Land) เป็นหน่วยรบพิเศษในสังกัดกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยที่ถูกฝึกมาให้ปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ทั้งในทะเล ทางอากาศ และภาคพื้นดิน โดยมีภารกิจพิเศษหลักๆ เช่น การลาดตระเวนพิเศษสงครามนอกแบบการต่อต้านการก่อการ ร้าย และภารกิจคู่ขนาน ฯลฯ





**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToy
OntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEy
OTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8
%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8
%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174



banbanbook

http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ค. 2559, 13:22:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ค. 2559, 13:22:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 879





<< บทที่ 21   บทที่ 23 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account