มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 27

เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!






เจ้าของร่างบอบบางประคองถาดไม้ที่วางจานข้าวและอาหาร เดินตรงไปยังบ้านหลังเล็กซึ่งเป็นบ้านพักส่วนตัวของหัสตะ เธอเห็นหลังของจิญจายะไวๆ แต่ก็เรียกไว้ไม่ทัน

จิญจาญะกับตันเตไม่ได้มีบ้านอยู่ที่นี่ นอกจากบ้านของญาติสนิท ทั้งสองจึงพักอยู่ที่บ้านญาติของตัวเองอีกด้าน ตอนนี้จิญจายะเองก็ตรงไปยังบ้านพักของหัสตะเช่นกัน พอวาวพลอยมาถึงหน้าบ้านของเขา จิญจายะก็เข้าไปด้านในเรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวพยายามถือถาดด้วยมือข้างเดียวเพื่อจะเอื้อมมืออีกข้างไปเคาะประตู แต่ก็ทุลักทุเลเสียเหลือเกิน และระหว่างนั้นเสียงคนที่อยู่ข้างในก็แว่วเข้าหูมา

“อ้าว... จิญ มีอะไรถึงมาหาฉันแต่เช้า”

“ฉันมีเรื่องอยากถามหัวหน้า เรื่องเจ้าหญิงน่ะค่ะ” เสียงที่ชัดเจนของคนทั้งคู่ทำให้วาวพลอยชะงัก เลิกพยายามกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า

“ทำไม” หัสตะถามห้วน สั้น น้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

“หัวหน้ากำลังทำอะไรอยู่คะ ทั้งๆ ที่เราวางแผนกันมาอย่างดี แต่มาตอนนี้หัวหน้าจะชะลอเพื่ออะไร อย่าลืมสิคะว่าจุดมุ่งหมายของเราคืออะไร” ถ้อยคำของจิญจายะเป็นเหตุให้วาวพลอยยอมเสียมารยาทขยับเข้าใกล้ประตู และเอาหูแนบฟังอย่างตั้งใจ

“เรื่องนั้นฉันรู้ดีโดยไม่ต้องให้เธอมาบอกหรอกนะจิญ”

“แล้วทำไมหัวหน้าไม่รีบติดต่อพวกเสนาฯ โสตถีเพื่อแลกตัวเจ้าหญิงรัชทายาทกับท่านนายพล พ่อของฉันและนักโทษคนอื่นๆ เสียทีล่ะคะ เรามีเจ้าหญิงอยู่ในมือแล้ว หัวหน้ายังจะรีรออะไรอีกคะ” เพียงแค่นั้นหัวใจของคนแอบฟังก็หล่นวูบ หญิงสาวนิ่งอึ้ง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว นี่มันอะไรกัน!?

“ฉันบอกแล้วยังไงล่ะ ว่าตอนนี้ฉันอยากให้พวกเราพัก” เสียงของหัสตะยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม

“พักหรือต้องการประวิงเวลากันแน่ หัวหน้าไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน รู้ตัวไหมคะว่าพอเจอกับเจ้าหญิง หัวหน้าก็เปลี่ยนไป” จิญจายะเสียงดังขึ้นอย่างไม่อาจระงับความไม่พอใจเอาไว้ได้ และเป็นครั้งแรกที่วาวพลอยได้ยินจิญจายะแสดงอารมณ์เช่นนี้

“พูดอะไรของเธอ ไม่มีใครทำให้ฉันเปลี่ยนทั้งนั้นแหล่ะ” คราวนี้เป็นทางหัสตะบ้าง ที่มีน้ำเสียงไม่พอใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นสิคะ หัวหน้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าท่านนายพลติงสากำลังทุกข์ทรมานอยู่ในคุก และมาดามมาเรียเองก็กำลังรอคอยท่านนายพลอยู่ เรายื่นข้อเสนอให้เสนาฯ โสตถีได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อพวกเขาเท่านั้น

“อย่าลืมสิคะว่างานนี้เราทุ่มเทมากแค่ไหน และงานนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหญิงตายเสียหน่อย แต่ตรงกันข้ามถ้าเราชักช้าท่านพ่อของหัวหน้านั่นแหล่ะที่จะต้องตายก่อน ฉันอยากจะเตือนสติหัวหน้าแค่นี้แหล่ะค่ะ” จิญจายะพูดทิ้งท้าย

วาวพลอยยังยืนนิ่งเหมือนถูกสาปอยู่หน้าประตู นายพลติงสาอย่างนั้นเหรอ? ในหัวของหญิงสาวอึงอลไปด้วยคำพูดของคนทั้งคู่และคำถามในใจของตน

ก่อนประตูบานนั้นจะถูกเปิดออกมากระแทกถาดอาหารในมือของวาวพลอยร่วงกระทบพื้น ถ้วยชามแตกกระจาย

“จะ...เจ้าหญิง” จิญจายะชะงัก นั่นทำให้หัสตะรีบถลันออกมา

“วาวพลอย” หญิงสาวได้ยินเสียงเรียกราวกับอยู่ไกลแสนไกล เธอหันหลังวิ่งออกไปในทันที

*-*-*-*-*-*

วาวพลอยวิ่งไปอย่างไม่มีจุดหมาย ดวงตาพร่าพรายไปด้วยน้ำตา หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดรวดร้าวเสียจนแทบทนไม่ได้ กระทั่งถึงบริเวณลำธารสายเล็กๆ ที่ผ่านข้างหมู่บ้านแห่งนี้ หญิงสาวจึงผ่อนฝีเท้า และหยุดลงในที่สุด

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอกันแน่ สิ่งที่ได้ยินมันคือความจริงอย่างนั้นหรือ? ราวกับหัวใจถูกบีบเค้นด้วยมือที่มองไม่เห็น และน้ำตาของวาวพลอยก็ไหลออกมาช้าๆ

“วาวพลอย” เสียงเรียกนั้นทำให้หญิงสาวทำท่าจะวิ่งหนีต่อ แต่ก็ไม่ทัน เมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาประชิดและดึงแขนของเธอเอาไว้ได้เสียก่อน

“ปล่อยฉัน!! อย่ามาแตะต้องฉัน” วาวพลอยพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม แต่มือแข็งแรงนั้นกลับไม่ยอมปล่อย

“ได้โปรดเถอะวาวพลอย ฟังผมก่อน... ” หัสตะอ้อนวอน

“ไม่... อย่ามายุ่งกับฉัน ปล่อยนะ! ” คราวนี้หญิงสาวตะเบ็งสุดเสียง พลางออกแรงแข็งขืน

“คุณไม่อยากรู้ความจริงทั้งหมดหรอกเหรอ” คำพูดต่อมาของเขาทำให้ร่างบางหยุดดิ้นรน แต่ไม่ยอมหันกลับไปมองอีกฝ่ายแต่อย่างใด พอเห็นหญิงสาวนิ่งลง หัสตะจึงตัดสินใจเอ่ยต่อ

“ผมเป็นลูกชายของนายพลติงสา คนที่ก่อกบฏในริตถาวดีเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”

แม้จะรู้สึกถึงความสั่นไหวในน้ำเสียงของชายหนุ่ม แต่วาวพลอยก็ยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ความจริงที่ได้ยินจากปากเขาทำให้เธอเหมือนถูกสาปอีกครั้ง

“พ่อของผมเป็นผู้นำในการก่อกบฏครั้งนั้น โดยมีนายทหารคนอื่นๆ เข้าร่วม จับพระราชา พระราชินีและเหล่าขุนนางมาขังเอาไว้ เพื่อกุมอำนาจทั้งหมด และได้สังหารผู้คนที่เป็นปรปักษ์ไปมากมาย”

“รวมทั้งพ่อ แม่ของฉันด้วยใช่ไหม” หัสตะเงียบไป เป็นการยอมรับอยู่ในที

หลังจากอยู่ในอำนาจและความแตกแยกมาได้เพียงสิบกว่าปี นายพลติงสากับพรรคพวกก็ถูกโค่นอำนาจโดยพวกเจ้านายเก่าที่หนีไปอยู่ต่างประเทศ

อีกทั้งผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ซึ่งได้รวบรวมกำลังกันขึ้นมา นายพลติงสากับพรรคพวกจึงถูกจับขังคุกตั้งแต่นั้น จนกระทั่งบัดนี้ที่อายุใกล้เจ็ดสิบปีแล้ว

นายพลติงสาเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เขาได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับการนี้ ซึ่งตระหนักดีว่าอาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยของครอบครัว หัสตะ หรคุณ และมารดาจึงถูกส่งตัวกลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของนางมาเรียที่สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เริ่มทำการปฏิวัติ

ตอนนั้นหัสตะอายุเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น พวกเขาทั้งสามจึงถูกตัดขาดจากริตถาวดีตั้งแต่นั้นมา หัสตะกับหรคุณเองได้ใช้สัญชาติเดียวกันกับมารดาในเวลาต่อมา และเติบโตมาในสังคมอเมริกัน

ระหว่างที่ยังครองอำนาจนายพลติงสาเป็นฝ่ายเดินทางไปเยี่ยมลูกกับภรรยา และไม่ยอมให้ครอบครัวกลับมาที่ริตถาวดี จนกระทั่งถูกโค่นอำนาจลง ตอนนั้นลูกชายทั้งสองของเขาได้เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร

ผ่านมาเกือบสิบกว่าปีแล้วที่นายพลติงสากับพรรคพวกที่รอดชีวิตถูกกักขังอยู่ในคุก สำหรับคนอื่นๆ การพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตนับเป็นโทษเบาเมื่อเทียบกับความผิดของเขา

แต่สำหรับคนในครอบครัวแล้ว สิ่งที่นายพลติงสาได้รับมันดูหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าตายเสียอีก โดยเฉพาะนางมาเรียผู้เป็นภรรยา ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ กลายเป็นคนขี้โรคตั้งแต่นั้นมา

ยิ่งนายพลติงสาเป็นนักโทษคนสำคัญที่ไม่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ อีกทั้งไม่อนุญาตให้เยี่ยมหรือพบปะกับผู้คน มันยิ่งกว่าการถูกประหารชีวิตเสียอีก

นางมาเรียยังคงรักและห่วงสามี ไม่ว่าเขาจะเลวร้ายสักเพียงใดก็ตาม หัสตะเห็นแม่เป็นทุกข์ ในขณะที่ตัวเขาเองก็ห่วงบิดาเช่นกัน ชายหนุ่มจึงลาออกจากราชการมาตั้งบริษัทฝึกบอดี้การ์ดร่วมกับเพื่อน

เพื่อหาโอกาส และเตรียมตัวเดินทางกลับมาที่ริตถาวดี หาทางนำตัวบิดาออกมาจากคุก ซึ่งเขาได้ฝึกจิญจายะกับตันเตเพื่อการนี้โดยเฉพาะด้วย เพราะสองคนนั้นก็มีบิดาและญาติอยู่ในคุกด้วยคดีเดียวกันนี้เช่นกัน

ชายหนุ่มสืบเสาะหาลู่ทางมาโดยตลอด จนกระทั่งทราบข่าวเรื่องเจ้าหญิงรัชทายาทที่รู้กันแต่เพียงวงใน เขาจึงรับงานต่อจากทหารรับจ้างอีกกลุ่ม

เพื่อเอาตัวเจ้าหญิงมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับอิสรภาพของบิดาและพรรคพวก แต่เพราะคนของทางการริตถาวดี และเจ้าชายอุชเชนมีมากเกินไปในภาคพื้นดินทั้งทางเมืองไทยและริตถาวดี เขาจึงต้องพาเธอเดินทางมาทางเรือในที่สุด

“ฉันรู้แล้ว สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดก็เพื่อตัวคุณเท่านั้น” น้ำเสียงของวาวพลอยเจือความปวดร้าว สายตาคู่งามซึ้งที่มองมายังชายหนุ่ม ไม่เหลือแม้ความไว้เนื้อเชื่อใจให้เห็นอย่างที่เคย

“ตอนแรกผมยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น แต่พอมาตอนนี้ผมถึงรู้ว่ามันไม่ใช่” หัสตะบอก

“ฉันไม่เชื่อ! ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งหมด คุณหลอกฉันมาโดยตลอด คุณหักหลังฉัน” ความโกรธเกรี้ยว เสียใจ ผิดหวังรุนแรงทำให้เธอตวาดเสียงดัง ทั้งที่น้ำตายังคลอเอ่อ

“วาวพลอยผมไม่ได้หลอกคุณ ไม่ได้หักหลังคุณอย่างที่เข้าใจนะ สิ่งที่ผมพูด ผมทำทุกอย่างที่ผ่านมา มาจากความจริงใจ ไม่ได้เสแสร้ง แต่ผมก็ต้องทำตามเจตนาเดิมเพราะผมอยากให้พ่อกับแม่มีชีวิตช่วงสุดท้ายร่วมกันอีกสักครั้งเท่านั้น ผมไม่เคยคิดร้ายกับริตถาวดี ไม่เคยคิดร้ายต่อราชวงศ์ และไม่เคยคิดร้ายต่อคุณ”

“เพี๊ยะ!! ” ฝ่ามือบางปะทะกับใบหน้าขาวนั้นจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น

“ถ้าคุณบอกความจริงกับฉันก่อนหน้านี้ ฉันคงเชื่อคุณจนหมดใจ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้วล่ะ” หญิงสาวพูดพลางถอดแหวนออกจากนิ้วและวางลงบนมือของเขา

แม้คำสัญญาเรื่องจะไม่ถอดแหวนวงนี้ยังคงอยู่ในใจของวาวพลอย แต่มันก็ไม่มากพอจะเอาชนะความโกรธ ความเสียใจที่ประเดประดังมากมายนั้นได้เลย

หัสตะได้แต่มองตามร่างบางที่กำลังก้าวจากไป หัวใจที่เคยเข้มแข็งดังหินผา มาตอนนี้ได้ถูกคลื่นของความเจ็บปวดซัดกระหน่ำจนแทบยืนอยู่ไม่ไหว มันรวดร้าวเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเจอในชีวิต





**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToy
OntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyOTE2I
jtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%
B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%
B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ค. 2559, 13:26:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ค. 2559, 13:26:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 859





<< บทที่ 26   บทที่ 28 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account