แหวนปฏิพัทธ์ (ขาย E-book ที่ meb และ ookbee ในชื่อว่า "หนึ่งใจในรอยกาล" แล้วนะคะ)
ปาฏิหาริย์บางอย่างทำให้ธราต้องย้อนเวลากลับไปในอดีต

เพื่อพบกับทินกร ชายผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือเธอจากการโดนทำร้าย

เขาเป็นดาราดังที่ทำตัวแย่ๆ จนในปัจจุบันชีวิตตกอับ ไร้งานละคร

เธอจึงพยายามที่จะช่วยเหลือเขาเป็นการตอบแทน

แม้ความหวังดีของเธอจะสร้างความหงุดหงิดน่ารำคาญสำหรับเขาแค่ไหน

แต่เธอก็ยังพยายามที่จะทำให้สำเร็จ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ หัวใจเธอก็ยิ่งพังมากขึ้นเท่านั้น

จนทุกอย่างมาถึงทางเลือก ระหว่างหัวใจกับเป้าหมาย อะไรสำคัญกว่า....
Tags: รักโรแมนติก,ดารา,นักเขียน

ตอน: ตอนที่ 17...ความรู้สึกดีที่ควรห้ามใจ

ชายหนุ่มวิ่งไปตามทางเรื่อยๆ พลางหันซ้ายแลขวาไปทุกที่ ที่คิดว่ายายเด็กจอมก่อปัญหาจะไป แต่เขาก็ใจหายทุกครั้งที่มองไปแล้วไม่เห็นผมฟูๆ ของเจ้าหล่อน

“โธ่เว้ย! ไปอยู่ที่ไหนนะยายลิง!” ทินกรทรุดตัวลงนั่งข้างฟุตบาทอย่างเหนื่อยหอบ นี่เขาวิ่งออกจากคอนโดมานานแค่ไหนแล้วเขาเองก็ไม่รู้เลย แต่สิ่งที่รู้ตอนนี้คือเขาเป็นห่วงยายตัวแสบนั่นเหลือเกินแล้ว

เป็นห่วงงั้นเหรอ? ไม่สิ เขาจะเป็นห่วงยายนั่นไปทำไมกัน ใช้คำนั้นอาจไม่ถูกนัก เขาเพียงแค่รู้สึกผิดที่ทำรุนแรงเกินไปต่างหาก ใช่! แค่รู้สึกผิด

ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินต่อพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเที่ยงคืนเศษ ดึกขนาดนี้แล้ว เขาดันปล่อยผู้หญิงตัวเล็กๆ ออกมาคนเดียวได้อย่างไรกันนะ การที่เขาทำแบบนั้นก็เท่ากับเขายอมรับกับตัวเองแน่ชัดแล้วว่าเขาเป็นได้เพียงคนขี้แพ้ ขี้ขลาด ที่ไม่สามารถให้ใครรู้เรื่องราวของตนเองได้

แล้วการที่เขาออกมาวิ่งตามหาเธอนี่เล่า ถือว่าเป็นคนกล้าขึ้นบ้างหรือยัง?

ทินกรหยุดความคิดทุกอย่างเมื่อเห็นร่างบางอ้อนแอ้นคุ้นตานั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ไม่ห่างจากเขานัก ทว่าร่างนั้นกลับนั่งหันหน้าเข้าข้างทางราวกับไม่ปรารถนาจะเห็นความเคลื่อนไหวของทุกสิ่งอย่าง ไฟดวงเดียวที่ควรจะมีตรงนั้นกลับมืดสนิท นี่เธอมานั่งในที่เปลี่ยวๆ อย่างนี้เพื่ออะไรกัน

เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นช้าๆ พยายามให้เบาที่สุด ในสมองก็คิดไปว่าจะเริ่มต้นพูดประโยคแรกกับหญิงสาวที่เขาเพิ่งไล่ออกจากห้องและทำให้เขาหงุดหงิดใจจนต้องออกมาตามหาอย่างไรดี

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบเสียงดุที่ข้างหูคนที่กำลังปาดน้ำตาเจ้ากรรมให้ออกไปอย่างลวกๆ “นี่ยายลิง...”

ทินกรพูดได้เพียงเท่านี้ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเธอก็หันกลับมาแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหู จนจมูกของเขาคลอเคลียอยู่ใกล้ดวงหน้าหวานที่เพิ่งหันมา ลมหายใจอุ่นๆ รินรดกัน ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ มือเล็กก็ดันเขาออกด้วยอารมณ์ที่รุนแรงไม่ต่างจากเขาเมื่อครู่

“ตามมาทำไม! ไล่กันแล้วไม่ใช่เหรอ” เสียงโวยวายดุดันจากคนตัวเล็กในยามนี้มันกลับทำให้เขาหลุดขำออกมาแทนที่จะโกรธ

“ไม่ได้ตามซะหน่อย อย่าสำคัญตัวผิด แค่บังเอิญผ่านมาเฉยๆ” คำตอบเฉไฉไปเรื่อย แต่ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นฟังดูอบอุ่นชุ่มชื่นหัวใจเพียงใด

“ผ่านมาไกลจังเลยนะ” หญิงสาวจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับจะค้นหาความจริงจากดวงตาคมดุคู่นั้น เธอเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่ากำมือตัวเองแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีมือหนาของเขาก็มารวบข้อมือเล็กๆ นั้นไว้แถมยังคลายมือเธออัตโนมัติเพื่อที่จะดูบาดแผล

“เจ็บหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยนจนผิดสังเกต มองดูนิ้วเรียวที่แดงช้ำนั้นอย่างรู้สึกผิด ทว่าไม่นานนักคนตัวเล็กก็กระชากมือตัวเองออกไป

“เจ็บสิ ลองมาโดนเองไหมล่ะ” สุ้มเสียงสะบัดทีเดียวเชียวล่ะ ก่อนจะกอดอกอย่างคนแสนงอน “ฉันว่าคุณผ่านมาอยู่ตรงนี้นานแล้ว กลับไปซะเถอะ เดี๋ยวเจ้าตูบมันจะเป็นห่วงเจ้านายมัน”

ชายหนุ่มร่างสูงกลั้นขำเล็กน้อย “ผมว่าเจ้าตูบมันจะเป็นห่วงเจ้านายอีกคนของมันมากกว่านะ อย่าลืมสิว่ามันมีเจ้านายสองคน”

ดูเหมือนว่าถ้อยคำล้อเลียนอย่างขบขันจากทินกรนั้นจะเป็นการก่อกองไฟในใจของธรา เธอผลักร่างนั้นให้ออกห่าง

“ไม่ต้องมาเสียเวลาคุยหรอก ไปให้พ้น ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน! เกลียดฉันไม่ใช่เหรอ ก็ไปสิ หรือว่าที่ตามมานี่เพราะอยากจะมาฆ่าฉันให้ตายแค่เพราะฉันแอบอ่านบันทึกคุณ ไล่ฉันออกมามันยังทรมานฉันไม่พอใช่ไหม คุณยังจะ...” หญิงสาวยังพูดสิ่งที่ติดค้างในใจไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นขัด เสียงเข้มจนธราสะดุ้ง

“พูดจบหรือยัง” เขากอดอกมองเธอสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าพูดจบแล้วก็กลับห้อง ผมเสียเวลานอนเพราะคุณมานานแล้ว นี่คือคำสั่ง”

“คุณคิดว่าจะสั่งฉันได้ทุกอย่างเหรอ ชีวิตฉันไม่ใช่ของคุณนะ”

“แต่คุณติดหนี้ผมอยู่ แพงมากด้วย จะเบี้ยวหรือไง”

หญิงสาวสบดวงตาคมดุที่ในยามนี้แพรวพราวเจ้าเล่ห์นั้นได้ไม่นานนัก ก่อนจะก้มหน้าลงพื้นและเอ่ยสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาอย่างจริงจัง “คุณจะเกลียดฉันก็ได้นะ แต่ฉันอยากบอกอีกครั้งว่าฉันไม่คิดที่จะตอกย้ำซ้ำเติมคุณเลย ฉันเองก็กำพร้า ไม่มีพ่อแม่ แต่ฉันโชคดีกว่าคุณเพราะมีญาติๆ คอยดูแล ชีวิตคุณผ่านอะไรมามาก ฉันชื่นชมคุณด้วยซ้ำที่มาถึงจุดนี้ได้ เพราะงั้นฉัน...”

“ผมขอโทษ” เสียงทุ้มเอ่ยขัดก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ ดวงหน้าหวานเงยขึ้นสานสบกับเขาเพราะมันเป็นประโยคที่เธอตั้งใจจะกล่าวออกไปพอดี ร่างสูงนั้นเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าจริงจังไม่ต่างกัน “คุณไม่ได้ผิดขนาดที่ผมจะต้องทำรุนแรงแบบนั้น ผมขอโทษละกัน”

“ฉันก็ขอโทษที่ไปแอบอ่านของคุณ” ธราเอ่ยเสียงอ่อยพลางก้มหน้าอย่างหงุดหงิดตัวเอง ทั้งที่ตอนโดนไล่ออกมานั้นตั้งใจจะโกรธเกลียดชิงชังเขาให้ได้อย่างที่ลั่นวาจาไว้ แต่ใจเจ้ากรรมกลับให้อภัยเขาได้ง่ายๆ อาจเป็นเพราะทั้งเขาและเธอต่างก็เจอเรื่องราวที่ไม่ดีในชีวิตมาเหมือนกัน ในเวลานี้สิ่งที่เธออยากทำคือปลุกปลอบหัวใจทรหดของเขา ไม่ใช่การมาตวาดเสียงดังใส่กันอย่างเมื่อครู่เป็นแน่

“งั้น...จะกลับได้หรือยัง ปล่อยให้เป็นห่วงนานแล้ว” เขาถือวิสาสะจับข้อมือเล็กและออกแรงดึงให้เดินตามเขา ทว่าร่างบางด้านหลังยังยืนนิ่งฝืนตัวไว้ เขาหันไปมองดวงหน้าหวานนั้น ก่อนเอ่ยต่ออย่างเร็วรี่ “เอ่อ ผมหมายถึงเจ้าตูบน่ะ มันเป็นห่วงคุณ”

หญิงสาวกลั้นยิ้ม แต่ก็ยอมเดินไปกับเขา “ขอบคุณนะคะที่ออกมาตาม คุณดิน”

ชายหนุ่มหันขวับมามาจ้องใบหน้ายิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์นั้นอย่างขัดใจ “ผมไม่อนุญาตให้คุณเรียกชื่อนั้น มันเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ เพราะฉะนั้นผมให้เรียกได้แค่คนในครอบครัว”

“แล้วคุณเปลี่ยนชื่อเล่นทำไมล่ะคะ” เสียงใสที่เอ่ยถามนั้นยังไม่ทันจะได้คำตอบ หยาดน้ำที่ไม่พึงประสงค์ก็สาดเทลงมาจากฟากฟ้า หญิงสาวหันมองรอบข้างเลิ่กลั่ก “คุณเพลิง ฝนตก หาที่หลบก่อนดีกว่าค่ะ”

ชายหนุ่มยืนหยุดนิ่ง ไม่มีทีท่าจะหวาดกลัวสิ่งใด “ผมอยากเล่นน้ำฝน”

“ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวคุณจะไม่สบาย คุณต้องเล่นละครนะคะคุณเพลิง” มือเล็กพยายามจะจูงจนกึ่งลากเพื่อให้เขาเข้าไปหลบในตู้โทรศัพท์บริเวณนั้น ชายหนุ่มยังออกแรงฝืนตัวเองไว้ราวกับจะแกล้งกัน

ธราพยายามจะยัดให้ผู้ชายตัวใหญ่กำยำเข้าไปในตู้โทรศัพท์แคบๆ นั้นให้ได้ และกว่าความพยายามจะเป็นผลก็ทำเอาชายหนุ่มไปกระแทกกับกระจกตู้ โดยดึงรั้งเอวเธอให้เข้าไปแนบชิดอย่างหลวมๆ หญิงสาวเงยหน้าสบตาเขา ดวงตาคู่คมเวลานี้กลับดูอ่อนโยนเป็นที่สุด พินิจริมฝีปากบางเฉียบ จมูกโด่งสวย แลเห็นรอยช้ำแดงที่ข้างแก้มด้านซ้ายนั้นก็ทำเอารู้สึกผิด เขาเป็นดาราหากมีรอยใดๆ บนใบหน้า อาจทำให้เกิดปัญหาได้ และถ้าหากเธอยังคงมองต่อไปก็คงยากที่จะดึงสติตัวเองให้กลับมาได้เช่นกัน

เปรี้ยง!

เสียงดังสนั่นเปรียบดั่งการลงทัณฑ์จากฟากฟ้านั้นไม่ได้ทำให้สติของหญิงสาวกลับมา แต่กลับทำเอาเธอถลาเข้ากอดคอคนตรงหน้าไว้แน่น ก่อนหลับตาลงสนิทปิดการรับรู้ทุกอย่าง เจ้าหล่อนจึงไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่เธอกกกอดไว้ขณะนี้มีรอยยิ้มพราวประดับใบหน้าคมเข้มนั้นมากกว่าทุกครั้งที่เคยมอง อ้อมแขนที่โอบรอบเอวเธอไว้หลวมๆ เกิดอยากจะดื้อรั้นรัดแน่นกว่านี้

แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนั้นได้ ภาพหญิงสาวผมสีน้ำตาลยาวไปถึงกลางหลัง ดวงหน้างดงามดั่งนางในวรรณคดีก็ผุดพรายขึ้นมาในห้วงคำนึงของทินกร คำสัญญาต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาให้นึกถึง ทำให้เขาผลักร่างในอ้อมแขนออกไปโดยอัตโนมัติ

“กอดเข้ามาได้ น้ำท่าก็ยังไม่อาบ สกปรกน่า” ชายหนุ่มยืนกอดอกมองคนตรงหน้ายิ้มๆ พลางบอกหัวใจตัวเองให้ฟังตามที่สมองสั่ง แม้มันจะยากเพียงใดก็ตาม

เขาเข้าใกล้ผู้หญิงคนไหนไม่ได้ทั้งนั้น คนเดียวที่เขาควรจะนึกถึงตอนนี้คืออัจฉรา ไม่ใช่ยายตัวป่วนที่ไหน ระหว่างที่เธอยังไม่บอกว่าเลิกกัน เขาก็ผิดสัญญากับเจ้าหญิงของเขาไม่ได้เด็ดขาด!

ธรามุ่ยหน้าใส่เขาอย่างหมั่นไส้ “จ้า พ่อคนสะอาด อุตส่าห์วิ่งออกจากคอนโดมาไกลถึงนี่ รถก็มี ไม่รู้จักขับมา ตอนนี้คุณก็สกปรกไม่ต่างจากฉันหรอก”

“ถ้าเวลาใจร้อน ผมไม่อยากขับรถ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ” ธราเพ่งมองใบหน้าเขาตอนที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่อย่างถนัดตา ถ้าเธอไม่เข้าใจผิดก็รู้สึกเหมือนว่าเขามีอะไรบางอย่างในใจกับประโยคนี้

หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องทันทีที่เห็นดวงตาคมคู่นั้นหม่นลง “คุณยังไม่บอกฉันเลยนะว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยนชื่อเล่นล่ะคะ”
“ทำไมผมต้องบอกคุณด้วยไม่ทราบ แค่ผมมาตามนี่ดูชักจะได้ใจจังเลยนะ”

“ก็แปลว่าคุณยอมรับแล้วสิ ว่าตั้งใจมาตามฉัน” เสียงนั้นกลับมาหวานเจื้อยแจ้วตามที่ทินกรคาดหวังไว้ แต่ประโยคที่เธอพูดนั้นกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่ปรารถนาจะตอบเลยแม้แต่น้อย เขาจึงคิดว่าการตอบคำถามแรกของเธอนั้นอาจจะง่ายกว่าคำถามเมื่อครู่นี้เสียอีก

“แม่ผมตั้งชื่อเล่นให้เพราะอยากให้ผมเป็นคนหนักแน่นจริงจัง เหมือนดินที่เป็นปึกแผ่น และพ่อก็ตั้งชื่อทินกรให้ผมเพราะอยากให้ผมเมตตาต่อคนอื่น ส่องแสงให้ผู้คนเหมือนพระอาทิตย์ แต่ผมว่าดินน่ะ...ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน มันก็เป็นก้อนกรวดให้คนอื่นเหยียบย่ำมันได้อยู่ดี ผมเลยไม่ชอบ แต่ชอบชื่อทินกรมากกว่า เพราะมันได้อยู่สูงกว่าคนอื่น และไม่มีใครมาเหยียบเราได้ มีแต่คนอยากตะกายขึ้นมาหา แต่ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมขอคุณอย่างหนึ่ง อย่าไปบอกใครนะเรื่องที่อ่านเจอในสมุด มันไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก”

ธราพยักหน้ารัวๆ นี่คงเป็นประโยคดีๆ ที่ยาวที่สุดแล้วของทินกร เพราะตั้งแต่ที่เธอรู้จักเขามาก็มีแต่คำพูดก่นด่าเท่านั้นที่เขาจะพูดยาวใส่เธอได้

หญิงสาวก้มหน้างุดอยู่สักพัก ก่อนเงยขึ้นสานสบกับดวงตาคมที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว “ฉันชื่อธรา แปลว่าแผ่นดินค่ะ แต่ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเลยนะ แม่ฉันบอกว่าโลกนี้ถ้าไม่มีดิน มันก็ไม่มีที่ให้คนอื่นยืนหรอก มันเป็นส่วนสำคัญของโลกนะคะ”

ทินกรจ้องหน้าเธอนิ่ง รอฟังแม่คนพูดมากเล่าต่อ “แล้วชล ก็แปลว่าน้ำ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาชนะไฟเสมอไปนะคะคุณเพลิง น้ำกับไฟน่ะมันเกื้อกูลกันได้ บางอย่างก็ต้องใช้ไฟแก้ปัญหา แต่บางอย่างใช้น้ำก็จะดีกว่า ฉันแค่จะสื่อว่าถ้าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าแสงจากตัวเองมันร้อนเกินกว่าที่คุณต้องการ เมื่อนั้นน้ำอย่างฉันก็คงพอจะช่วยคุณได้บ้าง ถ้าหากว่าคุณต้องการ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง มองคนตัวเล็กที่เม้มปากแน่น ก่อนเธอจะเอ่ยต่อด้วยถ้อยคำที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็น
“เอาเป็นว่า ไม่ว่าคุณจะชื่ออะไร จะเป็นดินหรือเพลิง แต่คุณก็มีค่าไม่น้อยไปกว่าใครทั้งนั้นค่ะ”

หญิงสาวจ้องหน้าเขา พูดประโยคที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยคุยกันมา นั่นเพราะเธอเชื่อในหัวใจตัวเอง เชื่อความรู้สึกที่บอกว่าชายตรงหน้าไม่ใช่คนไม่ดีเลยสักนิด เขาเป็นเพียงคนอ่อนไหวที่สร้างเกราะกำบังตัวเองหนาแน่นเกินไป เพราะสิ่งที่เขาเจอมา ทำให้เขาไม่อาจเปิดใจดีกับใครได้เลย

ชายหนุ่มสบตาคู่นั้นอย่างไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี คำพูดนั้นดังสนั่นในใจซ้ำไปซ้ำมา เป็นประโยคคล้ายๆ กับที่เขาเคยบอกผู้หญิงคนหนึ่ง

‘เราไม่ได้ไร้ค่าเลยนะ ไม่ว่าเราจะเคยผ่านอะไรมาก็ยังมีค่า เรื่องแบบนั้นมันใช้วัดค่าของคนไม่ได้หรอก ชีวิตเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ ถ้าเราผ่านวันนี้ไปแล้ว เราจะรู้เลยว่าโชคดีมากแค่ไหนที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่าทำร้ายตัวเองอีกนะ พี่จะอยู่ข้างๆ ตลอด ไม่ไปไหนแน่นอน จนกว่าเราจะบอกเองว่าไม่ต้องการพี่แล้ว’

ทินกรจ้องหน้าหญิงสาว ราวกับจะให้ทะลุไปถึงใบหน้าของหญิงคนนั้นที่เขาเคยพูดประโยคนี้ด้วย ความปวดร้าวแล่นขึ้นไปเกาะที่หัวใจอย่างแน่นหนึบเมื่อนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ไม่มีผู้หญิงอ่อนแอที่อยากทำร้ายตัวเองคนนั้นอีกแล้ว แต่มันก็ยังเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง ในตอนนั้นเขาช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยนอกจากพูดประโยคดูดีพวกนี้ และนั่นมันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจตลอดมา ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมาฟังประโยคคล้ายกันจากผู้หญิงอีกคนที่เขานึกรำคาญใจ แต่มันก็ทำให้รู้สึกดีและอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด

แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนจะไม่ได้สนใจรอฟังคำตอบรับจากเขาสักนิด เธอเปิดประตูตู้โทรศัพท์ออกไปสำรวจด้านนอก

“ว้า เสียดายจังนะคะคุณเพลิง ฝนหยุดแล้ว คุณอดเล่นน้ำฝนเลย” หญิงสาวเอ่ยขันๆ ถ้อยคำแลดูไม่จริงใจเอาเสียเลย

“มาทำเป็นพูด ก็คุณนั่นแหละที่ห้ามไม่ให้ผมเล่น” ทินกรเอ่ยอย่างขัดใจนัก นานๆ ทีเขาถึงจะมีอารมณ์อยากเล่นเป็นเด็กกับเขาบ้าง แต่ดันโดนขัดขวางเสียนี่

“ถ้าฉันไม่ห้าม แล้วเกิดคุณไม่สบายขึ้นมา ถ่ายละครไม่ได้ หนี้ฉันไม่บานตะไทหรือคะ ก็คุณมาตามฉันและดันตากฝนไม่สบาย”

“เป็นห่วงจังเลยนะหนี้น่ะ ไปบอกคุณผู้กำกับสิ เขามีเงินเป็นร้อยล้าน” คำพูดประชดประชันจากชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวเบิกตาโตอย่างคนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก

“เออใช่ วันนี้พี่ปุ่นบอกว่าจะโทรมานี่นา ลืมไปซะสนิทเลย ดูสิ สายที่ไม่ได้รับเพียบเลย” ธราหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายขึ้นมาเช็คแล้วบุ้ยใบ้ให้เขามองที่หน้าจอนั้น

เขาไม่ตอบแถมยังเบือนหน้าหนี จนหญิงสาวหันมาถาม “ว่าแต่คุณเถอะ ออกมานี่ไม่ต้องรายงานคุณฟ้าหรือไงคะ”

“ฟ้าเขามีเหตุผลพอ ไม่ต้องรายงานกันทุกเรื่องหรอก”

คำถามของธรานั่นแหละ...ที่ทำให้ชายหนุ่มตั้งสติกลับมาอยู่กับความเป็นจริง อัจฉราต่างหากคือผู้หญิงคนเดียวที่เขาควรจะนึกถึงและเป็นห่วง ทั้งชีวิตเขามีเพียงอัจฉรามาตลอด และเขาก็ไม่ควรจะเผลอใจไปกับถ้อยคำกระเซ้าเย้าแหย่จากผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น โดยเฉพาะคนตัวเล็กข้างๆ เขาคนนี้ ยิ่งไม่ควรเข้าไปใหญ่

ทินกรคงไม่รู้สักนิดว่าธราก็บอกตัวเองด้วยถ้อยคำที่ไม่ต่างกัน ชายคนนี้เธอเห็นเขาเป็นเพียงผู้มีพระคุณ หรืออย่างมากหากมีความรู้สึกดีใดๆ เกิดขึ้น เขาควรจะอยู่ในหน้าหนังสือนิยายที่เธอกำลังจะเขียนเท่านั้น ไม่ใช่คนที่เธอจะเอามาเคียงคู่

พระอาทิตย์...อยู่สูง และคอยส่องแสงสว่างให้ผู้คนทั้งโลก ไม่สามารถส่องแสงให้ใครเพียงคนเดียวได้ โดยเฉพาะคนที่เขาคงมองว่าเป็นเพียงกรวดดินไร้ค่าหรือราคาใดๆ






เอวาลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ค. 2559, 19:24:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ค. 2559, 19:24:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 913





<< ตอนที่ 16 ...ความลับพระเอก   ตอนที่ 18 ...กองถ่ายต้องการทะเล >>
Zephyr 30 ก.ค. 2559, 09:56:35 น.
ต่างคนต่างปฏิเสธความรู้สึกนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account