จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7

--- แวะคุยกันก่อนนะคะ ---

บทนี้จัดเพลง แค่คืบให้ก่อนนะคะ http://www.youtube.com/watch?v=60qc45h15aI
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ และคอมเม้นนะคะ
บทนี้จะเห็นได้ว่าตาภาคจัดเต็มอีกแล้วคะ555 และพอจะมีอะไรกุ๊กกิ๊กนิดหน่อยก่อนดราม่า
ซึ่งเท่านี้ก็คงจะพอไขได้ว่าทำไมภาควัฒน์ถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไป

--------------------------------------
บทที่ 7

ศศิวิมลนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพรมนุ่มในห้องรับแขกโอ่อ่า ทุกอย่างดูหรูหราแปลกตาทำให้คนที่เคยเห็นเครื่องเรือนรวมถึงการตบแต่งบ้านเช่นนี้เฉพาะในนิตยสารมานานอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองโดยรอบ ปล่อยให้ภาควัฒน์สนทนากับมลธิกาถึงเรื่องการแต่งงานสายฟ้าแลบที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรู้ว่า เมื่อเรื่องถึงผู้ใหญ่สิทธิ์ใดที่เคยตัดสินใจมีอันยุติลง

“ เอาเถอะเมื่อตัดสินใจกันอย่างนี้ แม่ของภาคก็โทรมาทาบทามกับป้าแล้ว ก็คงต้องยอมให้เป็นไปตามนั้น แต่ป้าคิดว่าจัดงานในวันสองวันมันเร็วไป ภาคมั่นใจหรือจ๊ะว่าจะจัดการงานแต่งถูกต้องเรียบร้อยตามประเพณี ” เจ้าของบ้านเอ่ยถาม พยายามเตือนให้คิดทบทวนอีกครา

“ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมติดต่อกับทางร้านเวดดิ้งที่รู้จักกันให้เตรียมชุดมาให้เล็กเลือกที่นี่พรุ่งนี้ พวกข้าวของในงานหมั้น การยกขบวนขันหมาก ลำดับพิธีทุกอย่าง ผมโทรไปปรึกษากับคนรู้จักให้เขาช่วยจัดการเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็มีแค่เรื่องสินสอดเท่านั้นเอง ”

มลธิกาเหลือบมองคนตัวใหญ่ที่นั่งบนพื้นข้างหลานสาว สะดุดใจที่ชายหนุ่มซึ่งไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกนานเป็นสิบปีและเพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงเดือนเหตุใดจึงมีคนรู้จักในประเทศไทยมากนัก

“ ป้าไม่รู้ว่าภาคไปรู้จักคนที่จะมาช่วยจัดงานได้ยังไง แต่ป้าอยากบอกภาคว่า อย่าไว้ใจคนรู้จักมากเกินไป เดี๋ยวนี้ที่งานใหญ่ๆมันล้มครืนก็เพราะไว้ใจคนรู้จักให้ทำงานนี้แหละ ”

“ ผมสนิทกับพวกเขามาหลายปี ร่วมมือกันทำงานมาก็หลายอย่าง เขาไม่มาพลาดกับงานนี้หรอกครับ ” เขาแย้มริมฝีปากเล็กน้อยคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ แล้วจึงพูดต่อ “ คุยกันเรื่องสินสอดดีกว่าครับ ผมไม่ค่อยรู้ว่าแต่งงานสักทีต้องใช้จ่ายเท่าไหร่ ยังไงป้ามลเรียกมาดีไหมครับ ผมจะได้เตรียมถูก ”

พอถูกถามเข้า คนที่ไม่มีเวลาได้ทันตั้งตัวมากนักก็ถึงกับย่นหน้าผาก สบสายตาหลานสาวที่ได้แต่นั่งเงียบอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปริปากเลยสักคำคล้ายไม่มีความเห็น

“ ผมคิดไว้คร่าวๆว่า จะให้สินสอดเป็นเงินสดสิบล้านบาท ทองอีกยี่สิบบาท เครื่องเพชรอีกสองชุด ดีไหมครับ ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยไร้อารมณ์อาวรณ์กับเงินจำนวนมากที่ต้องสูญเสีย ยังไม่ทันสิ้นคำเขาดีสตรีต่างวัยสองนางในห้องก็อุทานทักท้วง

“ พี่ภาคไม่ต้องให้สินสอดเยอะขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ให้เป็นพิธีก็พอ ” ศศิวิมลทัดทานเต็มกำลัง แม้จะตัดสินใจส่งสินสอดคืนเขาทั้งหมดในวันหย่า แต่ข้าวของมูลค่ามหาศาลเกินกว่าทั้งชีวิตจะหาได้ทำให้เกรงว่าหากมีการสูญหายเกิดขึ้นจะทำให้ตนเองลำบาก

“ ป้าว่ามันมากไป ถึงเงินนั้นป้าจะให้เล็กเขาเก็บไว้เองก็เถอะ แต่เล็กก็ไม่ใช่คนใช้เงินมือเติบ ป้าเองก็สนิทกับแม่ภาคมานาน ถ้าใครรู้เข้า เขาจะหาว่าป้างกกับเพื่อนกับฝูง กะขายหลานสาวกินนะสิ” นายหญิงแห่งอังคพิมานที่กอดอก ถอนหายใจพลางส่ายหน้า...นางมิได้ตายอดตายอยากมาจากไหน เป็นระดับมหาเศรษฐีคนหนึ่งในประเทศ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนเรียกสินสอดจำนวนนี้ แต่หากมีใครรู้เข้าคงหาว่านางเค็มยิ่งกว่าทะเล

คนฟังเพียงหัวเราะแล้วหันมองดวงหน้านวลขาวของหญิงสาวใกล้ตัว

“ ก็...ไม่ได้มากกับสิ่งที่ป้าต้องเสียหรอกครับ ”

ประโยคนั้นลอดออกมาจงใจให้มลธิกาได้ยิน แต่หญิงสูงวัยกว่าก็ไม่ได้นึกเฉลียว เพียงแค่คิดว่า ลูกชายเพื่อนคงเห็นหลานสาวของนางมีคุณค่าเหนือกว่าทรัพย์สินอื่นใดในโลกนี้ก็แย้มยิ้มพอใจ

“ แหม ดูเหมือนภาคจะรักหลานสาวป้าเหลือเกินนะ พอได้ยินภาคพูดแบบนี้ป้าค่อยสบายใจหน่อย นึกว่าที่เร่งแต่งงานแค่อยากทำตามความต้องการของพิณเขาเสียอีก ”
ภาควัฒน์มิได้ตอบคำถามของหญิงมากวัยกว่า เพียงแต่เอื้อมมือสัมผัสปลายผมนุ่มสลวยนุ่มนวลราวกับจะซับเอากลิ่นหอมให้ติดปลายนิ้ว...ฝ่ายเจ้าของเรือนผมหรือก็ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ กระทั่งเขาปล่อยมือและขอตัวลากลับหล่อนถึงเป็นปกติได้

“ เดี๋ยวเล็กไปส่งพี่ที่ประตูหน่อยได้ไหมคะ ” ก่อนลุกจากพื้นเขาก็หันมาเรียกขานวาจาอ่อนหวาน โอบประคองร่างบางไว้อย่างทะนุถนอมเข้าถึงบทบาทเสียจนคนที่รู้ดีแก่ใจว่า เขาแสร้งทำให้ผู้ใหญ่เชื่อเท่านั้นแต่ก็อดใจสั่นไม่ได้

“ ไปเถอะจ๊ะ...ถ้าขาดเหลืออะไรยังไง ก็บอกป้าได้เลย ไม่ต้องเกรงใจนะภาค ”

“ ครับ ” เขาว่ายกมือไหว้ลาเจ้าของบ้าน กุมมือหญิงสาวพาเดินไปด้วยกันตลอดทาง
ศิระหุนหันก้าวเข้ามาในโถงใหญ่ถึงกับชะงักงันทันทีที่เหลือบเห็นศัตรูคู่แค้นแต่วัยเยาว์ประสานมือน้องสาวมาด้วยกัน...หน้าขาวแดงเถือกปานสีเลือด อารมณ์เดือดดาลพุ่งพล่านเกินกว่าจะควบคุมได้

“ เอามือสกปรกของมึงออกจากน้องกูเดี๋ยวนี้ ” เสียงตวาดสั่งการณ์เกรี้ยวกราดสนั่นลั่นทั้งโถง...ผู้เป็นพี่ไม่พูดเปล่าปราดเข้าไปจะดึงน้องให้ถอยห่าง แต่เพียงเคลื่อนเข้าใกล้กลับถูกชายหนุ่มอีกคนคว้าข้อมือหมับ ใช้กำลังกายบีบแล้วผลักสุดแรงจนอีกฝ่ายกระแทกหลังกับผนัง

“ ไอ้ภาค ” ศิระสบถ หมดสิ้นความยับยั้งชั่งใจปรี่เข้ามาหาเรื่อง

ภาควัฒน์ดึงศศิวิมลให้หลบเบื้องหลังตน ดวงตาดุจหมาป่าเด็ดเดี่ยวจับนิ่งยังร่างสูงโปร่งที่เคลื่อนขยับใกล้ ทันทีที่อีกฝ่ายกระโจนใส่ก็อาศัยความเชี่ยวชาญกว่า ชิงจังหวะสวนหมัดเสยคางเต็มข้อ มืออีกข้างคว้าขย้ำลำคอพร้อมกดปลายนิ้วแข็งกดตรงคอหอยส่วนกล่องเสียง ออกแรงดันให้คู่ต่อสู้ถอยหลังติดกำแพง
ทุกขณะที่ปลายนิ้วจิกลึกกักลมหายใจอีกฝ่ายไว้ ไร้ความปราณีใดปรากฏบนดวงตา...เขามองภาพข้างหน้าเหี้ยมเย็นเฉกเช่นนักฆ่ามืออาชีพ

ศิระอึดอัดทรมาน พยายามดิ้นรนจากพันธนาการ แต่ลักษณะทางกายภาพเสียปรียบอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเคยผ่านการต่อสู้ระยะประชิดโชกโชน แต่ไม่อาจนำมาใช้ในกรณีนี้ได้เลย

“ ปล่อยกูนะไอ้ภาค ” เขาบริภาษใส่ศัตรูที่เหยียดมุมปากเหมือนความทรมานที่เห็นเป็นเรื่องสนุก

“ ไม่เจอกันนาน แทนที่จะทักทายกันดีๆกลับไม่ทำ แล้วยังเสือกเผยจุดอ่อนตัวเองอีก ” วาจานั้นเนิบช้าน่าขนลุก

“ จุดอ่อนอะไรของมึง ปล่อยกู ” ตะโกนโหวกเหวก เสียงเอะอะโวยวายนั้นทำให้คนรับใช้รีบวิ่งมาดู ศศิวิมลเองเห็นท่าไม่ดีจะเข้าไปห้ามกลับถูกคนใช้รั้งแขนไว้ด้วยกลัวจะถูกลูกหลง จึงจำใจต้องหยุดยืนมองได้แต่บอกให้คนใช้รีบไปตามมลธิกามาห้ามศึก

คนตัวใหญ่กว่าแนบหน้าผากกับผนัง กระซิบข้างหูของชายหนุ่มอีกคนเบาหวิวเพียงต้องการให้ได้ยินกันสองคน

“ มึงไม่รู้จริงเหรอไอ้ใหญ่ ว่าจุดอ่อนของมึงคืออะไร ” หยุดหัวเราะเบาเสียดถึงแก่นกระดูก “อย่าให้กูต้องพูดถึงความวิปริตของมึงเลยไอ้ใหญ่...มันเสนียดปากกู ”

นัยยะแอบแฝงในประโยคนั้น สะกิดหัวใจของศิระให้หยุดดิ้นรนเพราะตื่นตระหนกกับสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมาราวกับล่วงรู้ทุกความคิดน่าอดสูที่ซ่อนเร้นไว้เพียงลำพังเนิ่นนาน...เกิดความกลัวระคนคาดไม่ถึงที่คนเลือดร้อนหยาบคายในอดีตกลับอ่านเขาได้ทะลุปรุโปร่งเพียงนี้

มลธิกาเพิ่งวิ่งออกมา ฝ่ากลุ่มคนที่มุงดูการวิวาทระหว่างสองทายาทตระกูลใหญ่ พอได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ภาพวันวานก็ซ้อนมาเด่นชัด กาลเปลี่ยนเวียนผันจากเคยเป็นฝ่ายเพรี่ยงพร้ำเสียท่า กลายเป็นฝ่ายทำร้ายหลานชายนางจนหมดทางสู้

“ ภาคใจเย็นก่อน ปล่อยใหญ่เขาเถอะลูก ” นางร้องเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น พยายามให้ลูกชายเพื่อนปล่อยมือ

ศิระทรุดฮวบลงพื้นพลางไอโขลกแล้วหอบหายใจ ลำคอขาวปรากฏรูปรอยนิ้วแดง เหลือบยังริมฝีปากบางที่แย้มกว้างชื่นชมผลงานของภาควัฒน์เขม็งตึง...ผู้เป็นน้องเห็นสถานการณ์ดีขึ้นก็จะเข้าไปดูอาการพี่ชายเช่นกัน แต่มือเรียวใหญ่กลับคว้าไว้ให้หล่อนอยู่ข้างตัวแทน ปล่อยให้มลธิกาเข้าไปดูอาการ ร้องเรียกคนใช้ให้ตามแพทย์ประจำตระกูลคนเดียว

“ ทำไมภาคต้องรุนแรงกับใหญ่ขนาดนี้ มีอะไรก็พูดจากันดีๆก่อนไม่ได้เหรอ ” พอเห็นหลานชายไม่เป็นอะไรมากก็หันมาถามเอาเรื่องแต่ผู้มาเยือนกลับไม่กลัวแต่อย่างใด

“ ผมคิดว่าป้ามลฉลาดพอจะดูออกว่าใครที่หาเรื่องก่อน และผมก็คิดว่าป้ามลต้องรู้แน่ว่าเพราะอะไรไอ้ใหญ่มันถึงสติแตกทุกครั้งที่ผมอยู่กับเล็ก ” ทายาทวิสุทธิ์สุนทรเอ่ยจ้องตอบสายตาอาฆาตไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน

มลธิกาฟังถ้อยความของชายหนุ่มข้างบ้านแล้วมีอันตัวสั่น รู้สึกกลัวอดีตเด็กหนุ่มขึ้นมาสุดขั้วหัวใจ...อะไรสอนให้เขามองคนลึกล้ำถึงแก่นและควบคุมทุกสถานการณ์ไว้ใต้ฝ่ามือตนได้ถึงเพียงนี้

“ แต่มันรุนแรงเกินไปนะคะพี่ภาค ” เสียงหวานใกล้ตัวสำทับความผิด มองเขาอย่างตำหนิและหวาดระแวง

“ รุนแรงหรือ ความจริงเล็กควรจะขอบคุณพี่ด้วยซ้ำที่ช่วยเตือนสติพี่ชายผู้แสนดีของเล็กให้รู้จักสำเหนียกตัวเองบ้าง ไม่ใช่เอะอะไม่พอใจที่ใครเข้าใกล้เล็กก็ฟิวส์ขาด นี่ยังโชคดีที่เป็นพี่ ถ้าทะเล่อทะล่าหาเรื่องแล้วได้กินลูกปืนเข้า ก็อย่าโทษใครแล้วกัน ”

กลุ่มคนทั้งโถงเงียบกริบทันทีที่สิ้นคำเตือน ภาควัฒน์ปล่อยแขนว่าที่เจ้าสาวแล้วย่างผ่านประตูคฤหาสน์กลืนหายไปในราตรีกาลด้านนอกโดยไม่รอรับทราบความผิดที่ใครอื่นคิดประณามอีกเลย

ศศิวิมลมองแผ่นหลังที่ลับตาไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปหาพี่ชาย ช่วยพยุงให้ลุกจากพื้น

“ พี่ใหญ่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ” ผู้เป็นน้องร้องถาม ลูบหลังมือของพี่ชายไว้อย่างเป็นกังวล

ศิระผวาคว้ามือเล็กของน้องสาวมากอบกุม แนบหลังมืออุ่นตรงแก้มด้วยหวงแหนเหนือกว่าสิ่งใดในโลกหล้า

“ เล็กบอกพี่ที...บอกพี่ว่าเล็กไม่ได้จะแต่งงานกับมัน ” เสียงนุ่มของเขาสั่นเครือ นัยน์ตาเหลือบแลดวงหน้าหวานละมุนที่เคยคุ้นอย่างเว้าวอนขอความเห็นใจ ทว่าเมื่อเห็นน้องพยักหน้ารับแทนคำตอบ หัวใจทั้งดวงพลันแหลกลาญรวดร้าว ไร้เรี่ยวแรงจะก้าวต่อได้ ร่างสูงโปร่งทรุดลงกับพื้นเหมือนคนหมดสิ้นทุกสิ่งในชีวิต

“ ถ้าพี่ใหญ่เดินไม่ไหวเล็กจะไปตาม คนสวนให้มาช่วยนะคะ ” หล่อนว่า รีบออกไปตามตัวคนสวน ผู้เป็นป้าจึงขยับเข้ามาแทนที่ จับมือหลานชายไว้แน่น

“ ใหญ่...แม่รู้ว่าใหญ่รักและเป็นห่วงน้องมาก แต่ใหญ่ต้องเข้าใจนะว่าตัวเองเป็นพี่ไม่ใช่เจ้าชีวิต ถึงจะให้น้องทำอะไรตามใจใหญ่ได้ตลอด การแต่งงานครั้งนี้ เล็กเขาเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง แม่ก็อยากให้ใหญ่เคารพการตัดสินใจของน้องเขาด้วย ” นางตบบ่าพลางปลอบใจหลานชายตนเอง...หนทางนี้เป็นทางเดียวที่จะแยกสองพี่น้องออกจากกันได้

ชายหนุ่มปลดมือมลธิกาออกจากกายช้าๆ เพ่งมองคนตรงหน้าเต็มตาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหลือแสน

“ ผมไม่มีวันยอมรับการแต่งงานครั้งนี้...ไม่มีวัน ” เขากัดฟันแข็งใจกลั่นความในใจเป็นคำพูด แล้วลุกจากพื้นเดินไปข้างหน้า ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทรมานเหลือจะแบก น้ำตาเอ่อใกล้ท้นจากขอบตา เป็นน้ำตาจากลูกผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะสูญเสียผู้หญิงที่เป็นรักเดียวในหัวใจไปให้กับคนอื่น...ชายหนุ่มผู้ที่เขาตระหนักกลัวมาโดยตลอดว่าจะพรากเอาจิตวิญญาณแห่งชีวิตเขาไป

ขอสาบานเลยว่า หากแผลฉกรรจ์นี้แนบสนิทลงเมื่อไหร่ เขาจะไปเอาคืนคนที่ทิ้งรอยแผลเป็นนี้ไว้อย่างสาสม
****************************

เสียงโห่ร้องรัวกลองยาวเริ่มดังเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ขบวนขันหมากเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวคฤหาสน์อังคพิมาน โดยมีที่ปรึกษาด้านกฎหมายอาวุโสของบริษัทโชเนนฟาวซึ่งบิดาของเจ้าบ่าวนับถือเป็นเถ้าแก่นำขบวน ตามมาด้วยเจ้าบ่าวสวมชุดพระราชทานสีครีมจากไหมอิตาลีพาดผ้ายกไทยสีทองเข็นรถพาร่างมารดาที่ถือพานธูปเทียนแพ กรรมการบริหารที่หาเวลามาร่วมงานแต่งกะทันหันครั้งนี้ก็ได้รับเกียรติให้ถือพานขันหมั้นกับพานขั้นหมาก ส่วนพานสินสอด ขันวางผ้าไหว้และเครื่องขันหมากคนรับใช้เก่าแก่ของวิสุทธิ์สุนทรเป็นฝ่ายรับหน้าที่ถือ

ศศิวิมลใช้ปลายนิ้วเรียวแหวกผ้าม่านมองดูขบวนขันหมากที่ทยอยผ่านคนกั้นประตูเงินประตูทองแล้วถอนใจ ภายในอกมีหลายสิ่งหน่วงไม่ให้รู้สึกเป็นสุขทั้งที่พิธีมงคลสมรสนั้นใกล้เข้ามาทุกที

ไหนจะเรื่องพี่ชายที่หายหน้าหายตาขลุกอยู่ที่ทำงานไม่กลับบ้านกลับช่อง เพื่อประท้วงการแต่งงานครั้งนี้...ไหนจะเรื่องความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจของตัวเองครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

ประตูไม้สลักเสลาสวยงามแง้มออกทีละน้อยก่อนที่หญิงสาวสวมชุดกระโปรงบานสีฟ้ายาวถึงเข่า ปล่อยผมประบ่าเคลียไหล่จะก้าวเข้ามาเรียกเพื่อนให้เตรียมตัว

ว่าที่เจ้าสาวละสายตาจากหน้าต่างหันมา...เพื่อนเจ้าสาวกอดอกไล้สายตามองเสื้อชุดไทยจักรีที่ตัดเป็นเสื้อเปิดไหล่เข้ารูปอยู่ชั้นพันรอบด้วยสไบผ้าลูกไม้ลายกุหลาบปักเลื่อมห่มเฉียงทิ้งชายไว้ด้านหลัง ช่วงล่างใช้ผ้าซิ่นไหมจีบหน้านางมีชายพกตัดด้วยผ้าดิ้นยกทองยกดอก สีครีมขับผิวนวลของผู้สวม เครื่องประดับและเข็มขัดใช้ชุดทองลวดลายไทยฝังพลอยครบชุดสวยงามอร่ามตา เรือนผมสวยเกล้าเก็บเรียบร้อยเผยให้เห็นลำคอระหงและไหล่ขาวเนียน ดวงหน้าหวานแต้มสีเครื่องสำอางอ่อนบางตามธรรมชาติ

ยิ่งพิจยิ่งหลงรัก...รสาต้องยอมรับเลยว่า ศศิวิมลเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเท่าที่หล่อนเคยเห็นมา

“ ถ้าเราเป็นคุณภาค เห็นเจ้าสาวตัวเองสวยขนาดนี้ ถึงจะแต่งงานแบบกำมะลอ แต่เราคงไม่โง่ปล่อยเล็กให้รอดเงื้อมือหรอก ” เจ้าหล่อนแกล้งแซวพลางหัวเราะเสียงใส แต่เพื่อนกลับไม่รู้สึกสนุกด้วยใจนึกกังวลถึงเรื่องอื่น

“ สาออกไปข้างนอกเห็นพี่ใหญ่มาที่นี่บ้างหรือเปล่า ” เอ่ยถามถึงพี่ชาย ไม่ได้ยินคำของเพื่อนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

“ ทำใจเถอะเล็ก คุณศิระเขาไม่มางานนี้หรอก ”

“ เล็กคิดว่าพี่ใหญ่คงโกรธเล็กมาก เลยไม่ยอมกลับบ้าน ไม่ยอมมาร่วมงานแต่งของเล็ก ” น้ำเสียงเศร้าหดหู่ ดวงตาเหม่อลอยหวนคิดถึงใบหน้าเศร้าระทมของพี่ชายทันทีที่ทราบเรื่องการแต่งงาน

สายสัมพันธ์ความเป็นพี่น้องท้องเดียวกันยากจะตัดให้ขาดได้โดยสิ้นเชิงกลายเป็นปัญหาวนเวียนให้คิดกลุ้ม

“ อย่างคุณศิระนะเหรอจะโกรธเล็กลง ไอ้คนที่เขาโกรธเกลียดนะน่าจะเป็นว่าที่เจ้าบ่าวเล็กมากกว่า เล็กอย่าไปคิดมากเลย ปล่อยให้คุณศิระมีเวลายอมรับความจริงเถอะ ”

“ เล็กอดคิดไม่นะสิสา มันมีหลายเรื่องให้เล็กคิด พอไม่ใช่เรื่องพี่ใหญ่ ก็เป็นเรื่องตัวเอง เล็กไม่แน่ใจเลยว่า ตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่ตกลงแต่งงานหลอกๆกับพี่ภาค ” พร่ำรำพันแบ่งปันความในใจให้เพื่อนรับรู้

ฝ่ายรสามีหรือจะไม่ล่วงถึงความทุกข์กังวลของเพื่อน ขนาดตัวหล่อนเองยังอดเป็นห่วงกับการแต่งงานแค่ในนามครั้งนี้ไม่ได้ แต่ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นจากการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของเพื่อนแล้วก็ได้แต่บีบแขนให้กำลังใจ

“ สาคิดว่า การที่เล็กได้มีสิทธิ์เลือกทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้ผลจากการตัดสินใจจะดีหรือร้าย อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเราได้ใช้สิทธิ์ความเป็นมนุษย์เลือกหนทางของตัวเอง ถ้ายอมให้คนอื่นมาคอยกะเกณฑ์ชีวิตตัวเองอยู่เรื่อย แล้วเราจะเกิดมาทำไมกัน ” หล่อนปลอบขวัญ ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาจึงชวนเพื่อนออกจากห้องเก็บตัวไปเข้าพิธีสำคัญหนึ่งในชีวิตเสียที

การหมั้นและแต่งงานในครั้งนี้ใช้พื้นที่ในห้องโถงใหญ่จัดงาน พอได้ฤกษ์เวลางานก็ดำเนินไปตามขนบธรรมเนียมของพิธีแบบไทย มีสักขีพยานในครั้งนี้หลายสิบคน ทันทีที่การหมั้นหมายในตอนเช้าสิ้นสุด ก็เริ่มพิธีสวดพระพุทธมนต์และหลั่งน้ำสังข์ให้ผู้ร่วมงานได้โอกาสอวยพรเป็นศิริมงคลแก่คู่บ่าวสาวจนครบทุกคน ก็มีจัดเลี้ยงอย่างเรียบง่ายในสวนด้วยอาหารจากภัตตาคารในโรงแรมอังคพิมาน โฮเต็ล

หลังงานจัดเลี้ยง เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ต้องย้ายไปบ้านวิสุทธิ์สุนทรเพื่อทำพิธีปูที่นอน พอมาถึงช่วงปะพรมน้ำมนต์ ให้ศีลให้พรพร้อมโปรยข้าวตอกดอกมะลิลงบนเตียง มลธิกาก็จูงมือหลานสาวเข้ามาในห้อง ให้เจ้าสาวไหว้เจ้าบ่าวก่อนจะนิ้วเรียวเล็กจะถูกแหวนเพชรหลายกะรัตสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้าย

“ แม่ขอให้เราสองคนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีอะไรผิดนิดผิดหน่อยก็ให้อภัยกันและกันนะ ” อรพิณให้พร ดึงมือของทั้งสองมากุมไว้อย่างรักใคร่ วันนี้ถือเป็นวันที่นางมีความสุขที่สุดวันหนึ่งในชีวิต

เมื่อรับพรจากผู้ใหญ่หลายฝ่ายเสร็จสิ้น ทุกคนก็ปล่อยให้คู่บ่าวสาวอยู่กันตามลำพังในห้องหอ พอคล้อยหลังบรรดาผู้ร่วมงาน ภาควัฒน์ก็เดินไปเลื่อนบานเลื่อนกระจกแกะลายเถ้าดอกกุหลาบอย่างวิจิตรที่ใช้กั้นระหว่างส่วนพักผ่อนกับห้องแต่งตัวและห้องให้น้ำให้แยกจากกัน

เจ้าสาวกำมะลอกวาดสายตาสำรวจเครื่องเรือนและของตกแต่งภายในห้องที่ล้วนแล้วแต่เป็นของโบราณเก่าเก็บหากก็ยังคงความสมบูรณ์สวยงาม เตียงสี่เสาโบราณทำจากทองเหลืองคลุมด้วยมุ้งโปร่งสีขาวใหญ่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ ส่วนผ้าม่านกันแดดนั้นเป็นผ้าทอลายอย่างดีปักดิ้นทองเน้นลายให้โดดเด่นอย่างประณีตก่อนจะค่อยๆลากหีบหวายใบใหญ่ใส่สมบัติส่วนตัวเข้าไปไว้ในห้องแต่งตัว

ตู้เสื้อผ้าไม้สูงติดเพดานตั้งเรียงรายยาวติดกันมีเอกลักษณ์เฉพาะตรงการแกะสลักขอบบานประตูตู้ทำให้รู้ว่าเป็นของสั่งทำพิเศษ กระจกเงาเต็มตัวบานใหญ่ติดอยู่ตรงข้ามตู้ตรงผนังเปล่าหน้าห้องน้ำ ถัดเข้ามาตรงมุมห้องด้านในสุดมีชุดโต๊ะทำงานกับโต๊ะเครื่องแป้งใหม่เอี่ยมที่คงเพิ่งซื้อมาไว้ให้เจ้าสาวใช้เป็นการส่วนตัววางอยู่ด้วย

ศศิวิมลทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเปิดหีบหยิบข้าวของทั้งหมดออกมาแยกประเภทให้ง่ายต่อการจัดเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าใบสุดท้ายที่ชายหนุ่มแปะกระดาษบอกไว้ว่าแบ่งให้หล่อนใช้ เสียงสายน้ำไหลแรงคลออยู่ตลอดเวลาที่เรียงของ และมาสิ้นสุดลงตอนที่หล่อนวางจักรเย็บผ้ารวมทั้งอุปกรณ์การฝีมือทั้งหลายบนโต๊ะทำงานเสร็จพอดี

เจ้าของร่างสูงกำยำนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวตามความเคยชินก้าวเท้าเหยียบบนพรมนุ่มเพื่อเช็ดเท้าปล่อยให้ผู้ร่วมห้องที่เห็นเข้าพอดีถึงกับตกใจรีบหันกลับไปตามเดิมทันที

“ เก็บของเสร็จแล้วเหรอ ” เขาถามขณะหยิบผ้าเช็ดผมผืนเล็กจากในตู้มาเช็ดผมเปียกชื้นของตนเอง

“ ค่ะ ” หล่อนตอบรับสั้น ยังหันหลังให้เจ้าบ่าวในนามอยู่เช่นนั้น

ฝ่ายคนเช็ดผมจนหมาดพอเหลือบเห็นเจ้าสาวยืนตัวแข็งจึงเดินเข้าไปใกล้ ชำเลืองดูก็เห็นหญิงสาวหลับตาพนมมือไหว้ปลกพลางท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ เวียนซ้ำไปมาหลายรอบ

“ เมื่อกี้เห็นผีหรือไง ถึงต้องสวดมนต์ขนาดนั้น ” เสียงทุ้มเข้มใกล้หู คนไม่ทันตั้งตัวเหล่เห็นเข้าเลยสะดุ้งกระโดดผลุงชนเอาขอบโต๊ะเต็มแรง ท่าทางตื่นกลัวมองกันเหมือนภูตผีปีศาจทำเอาเขานิ่วหน้า

“ เธอจะกลัวอะไรฉันหนักหนา พอเข้าใกล้ไม่ตัวแข็งก็วิ่งหนี ทำเหมือนฉันเป็นผีอย่างนั้นแหละ ” พูดคล้ายตำหนิกลายๆ หญิงสาวยิ้มเจื่อนก้มหน้างุดไม่กล้ามอง อีกฝ่ายพอไม่ได้รับคำตอบก็เหมือนถูกยั่วอารมณ์ เลยยิ่งเข้าประชิด

“ ตอบฉันมาสิ จะกลัวอะไรฉันหนักหนา กลัวฉันฆ่าหรือไง ” เขาถามเซ้าซี้ไม่หยุดเสียงเรียบเหมือนจะดุ สุดท้ายเจ้าหล่อนก็เผลอโพล่งออกไปเสียงดัง

“ พี่ภาคจะคุยก็ช่วยแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนได้ไหมคะ ” เท่านั้นเป็นอันรู้ที่ไม่ยอมเจรจาพาทีด้วยเพราะเหตุใด คนต้นเหตุกอดอกส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนจะลุกไปคว้าบ็อกเซอร์กับกางเกงขายาวมาสวมแทนผ้าขนหนู แต่ลืมสวมเสื้อแสงก็กลับมาคุยอีกรอบ พออีกฝ่ายชำเลืองเห็นเขายังโป๊ก็เบือนหน้าหนีอีก

“ ถ้าจะอายกับแค่ฉันไม่ใส่เสื้อ เดี๋ยวคนอื่นเขาก็รู้ว่าเราแค่แกล้งแต่งงานกัน...เธออยากให้เป็นอย่างนั้นหรือไง ” ว่ายังไงหญิงสาวก็ไม่ยอมมองหน้า คนพูดเลยไล่ให้ไปอาบน้ำ แม่คุณก็ลนลาน เปิดตู้คว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนได้ก็รีบหายเข้าห้องไปในทันที

คนตัวใหญ่ถอนหายใจเผลอยิ้มขันกับท่าทางของเจ้าสาว กว่าจะรู้ตัวว่าแสดงอารมณ์ใดออกก็เม้มริมฝีปากแน่น

คุณปู่เคี่ยวเข็ญหนักเรื่องควบคุมอารมณ์และจิตใจตนเองให้สงบนิ่ง สลัดจุดอ่อนที่มีทั้งมวลเพื่อความแข็งแกร่งและมิให้บุคคลใดสามารถต่อกรได้โดยง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ตัวเองดีว่าตนเองยังมีจุดอ่อนสำคัญเรื่องหนึ่ง และการทำลาย

จุดอ่อนนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในงานที่ได้รับมอบหมายครั้งนี้

…ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาในฐานะตัวตายตัวแทน ต้องกำจัดทุกสิ่งในอดีตให้หมดสิ้น...

กว่าศศิวิมลจะยอมออกจากห้องน้ำก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ความที่ไม่เคยใช้สเปรย์แต่งผมกับเครื่องสำอางทำให้ไม่ทราบว่าจะสระล้างอย่างไรให้สารเคมีเหล่านั้นหมดจดเลยขัดถูอยู่เป็นนานกว่าจะแน่ใจว่าสะอาดดีแล้ว

ภาควัฒน์เงยหน้าจากหนังสือที่นั่งพิงอ่านอยู่ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู แลหญิงสาวบอบบางสวมชุดนอนเป็นเสื้อกับกางเกงขาสั้นสีฟ้าลายแมวสีขาวที่เดินซับผมยาวเลี้ยวหายไปในห้องแต่งตัว ครู่ใหญ่ก็ปรากฏตัวใหม่ คราวนี้นอกจากผมจะแห้งแล้วยังถูกหวีเรียบร้อย ในอ้อมแขนหอบเอาเสื่อ ผ้านวมกับหมอนมานั่งพับเพียบบนพื้นห่างจากข้างเตียงไกลเป็นวา เฝ้ามองเจ้าบ่าวตัวเองที่สวมเสื้อคลุมอ่านหนังสือเล่มหนาอย่างสนอกสนใจ

“ พี่ภาคอ่านอะไรอยู่หรือคะ” เอ่ยถามไปทั้งที่ใจยังกล้าๆกลัวๆ

“ เวชสำอางเขตร้อน ” ตอบห้วน แทบไม่มองกันเลย....ตัวคนถามเลยได้แต่เม้มริมฝีปากคิดเอาเองว่าเขาคงรำคาญที่ไปยุ่มย่าม เลยตัดสินใจเตรียมที่นอนแล้วจะแวะออกไปหายายช้อยกับอรพิณพอสักสองทุ่มได้เวลานอนค่อยกลับเข้ามา เลยคลานเข่าขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อย ค่อยๆปูเสื่อรองแล้ววางหมอน คว้าผ้านวมอุ่นมาสะบัดคลุมเสื่อไว้จากนั้นจึงขออนุญาตเขาออกไปทำอะไรตามใจคิด

“ เข้าหอแล้วลองออกไปดูสิ ใครเห็นคงคิดว่าฉันไม่มีน้ำยารั้งเจ้าสาวไว้ในห้อง ” เขาเปรย ดวงตาคมยังไล้อ่านบทความภาษาอังกฤษในหนังสืออย่างจดจ่อ ทั้งห้องตกอยู่ในบรรยากาศเงียบน่าอึดอัดจนหญิงสาวได้แต่ลอบถอนหายใจ เปลี่ยนจากออกไปข้างนอกเป็นนอนพักแทนจึงสอดเท้าเข้าไปใต้ผ้าห่ม มือทั้งสองตบหมอนให้ฟูนุ่มจะได้นอนสบาย พอจะล้มตัวหัวยังไม่ถึงหมอนก็ถูกผู้ร่วมห้องสั่งให้หยุด

“ จะทำอะไร ” คราวนี้เขาทิ้งหนังสือทั้งเล่ม หันมาสนใจถามเจ้าสาวอย่างจริงจังได้เสียที

“ เล็กก็จะนอนไงคะ ถ้าพี่ภาคจะอ่านหนังสือก็ไม่ต้องปิดไฟนะคะ เล็กเป็นคนนอนง่าย สว่างแบบนี้ก็นอนได้ค่ะ ”

“ นอน” เขากอดอกเลิกคิ้วสูง “ ใครบอกให้เธอไปนอนตรงนั้น ”

“ อ้าว เล็กนอนตรงนี้เกะกะเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเล็กย้ายไปนอนในห้องแต่งตัวก็ได้คะ พอดีเลยตรงนั้นไม่โดนแอร์ เล็กจะได้ใช้ผ้าห่มบางหน่อยได้ ” เสนอทางเลือกใหม่ รู้สึกดีใจที่ไม่ต้องทนนอนหนาวบนพื้น คราวนี้เลยได้เห็นคนบนเตียงลงมาหาถึงที่ ฉุดแขนเรียวเล็กให้ลุกลากมาจนถึงเตียง

“ ถ้าจะนอนก็นอนบนเตียง ” เขาออกคำสั่งเสียงเข้ม

ศศิวิมลตาโตมองเตียงสลับกับใบหน้าเฉยเมยของภาควัฒน์ อึ้งอยู่พักใหญ่ก็ส่ายหน้าไปมาพลางยกมือทั้งสองโบกมือปัดปฏิเสธการนอนร่วมเตียงกับเขาอย่างแข็งขัน

“ ไม่ได้หรอกค่ะ พี่ภาคลืมไปแล้วเหรอคะว่าเราแต่งงานกันแค่ในนาม ไม่ได้เป็นสามีภรรยาจริงๆสักหน่อย แล้วพี่ภาคเองก็เป็นผู้ชายจะให้เล็กนอนบนเตียงกับพี่ได้ยังไง ” หล่อนโวยวายยืนยันจะกลับไปนอนพื้นท่าเดียว

“ คิดจะสวมบทบาทคู่รักต้องให้แนบเนียน ถ้าเธอลงไปนอนพื้นแล้ววันไหนมีใครมาเคาะประตูหรือแอบมาดูเราสองคนแล้วเห็นเธอกับฉันนอนแยกกัน ทุกอย่างที่ฉันทำไปทั้งหมดก็จะสูญเปล่า ฉันจะไม่ยอมให้มีอะไรผิดพลาดกับสิ่งที่ฉันลงทุนไปแล้วเด็ดขาด ถ้าอยากนอนพื้นมาก ก็นอนมันด้วยกันนี่แหละ ”

ดวงตาคมกล้าดุดัน น้ำเสียงในประโยคนั้นเย็นชาทว่ามีอำนาจเหลือล้น แต่คนตัวเล็กยังอิดออด ก่อนจะมีอันสะดุ้งโหย่งทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงยายช้อยร้องถามอย่างเป็นกังวล

“ เมื่อกี้ยายได้ยินเสียงเหมือนใครโวยวาย...คุณเล็กกับคุณภาคทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าคะ ”

“ ไม่มีอะไรครับ เราแค่คุยกันว่าจะย้ายเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นเลยเสียงดังเท่านั้นเองครับ ”

ภาควัฒน์ตะโกนกลับไป ยกแขนกอดอกหลวมๆเลิกคิ้วมองศศิวิมลที่ยังตะลึงกับฤทธิ์วาจาสิทธิ์ที่ไม่ว่าจะล่วงไปกี่ปี ทุกคำพูดที่หลุดจากปากพี่ภาคเป็นต้องเกิดขึ้นจริงตามนั้น

“ ทีนี้จะทำตามที่บอกได้หรือยัง ” ถามย้ำ จ้องแม่ตัวเล็กที่พยักหน้ายอมจำนนในสถานการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้

ชายหนุ่มคว้าหนังสือจากนั้นจึงกลับขึ้นเตียงอ่านหนังสือในบทที่ค้างไว้ต่อให้จบ ทิ้งให้เจ้าสาวตัวเองกลัดกลุ้มใจกับการต้องนอนร่วมเตียงกับผู้ชาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ภาคที่หล่อนเฝ้ารอเฝ้าคอย แต่เขาก็แสดงออกชัดแจ้งว่าไม่สนใจอะไรเลยสักนิด ออกจะไม่ชอบน้ำหน้า แทนที่อยู่กันตามลำพังจะแยกกันนอนยังต้องมาอยู่ใกล้ขนาดนี้อีก

ศศิวิมลถอนใจอีกรอบได้แต่ปลง เดินไปหยิบหมอนกับผ้านวมจากเสื่อมากอดแนบอก ลังเลอยู่นานสุดท้ายก็นั่งลงบนขอบเตียงเป็นการหยั่งเชิงพร้อมกับวางหมอนกั้นอาณาเขตระหว่างกัน

“ เล็กนอนบนเตียงก็ได้ แต่เอาหมอนกั้นไว้แล้วกันนะคะ ” พูดด้วยแต่เหมือนเขาไม่สนใจฟัง คนพูดเลยได้แต่อ่อนใจแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม หยิบผ้านวมของตัวเองมาห่มปิดถึงคอป้องกันไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เพียงหัวถึงหมอนความอ่อนเพลียตลอดวันก็ทำให้หลับลงได้อย่างรวดเร็ว

ภาควัฒน์หยิบที่คั่นหนังสือเสียบหน้าที่อ่านค้างแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างเตียง แลแผ่นหลังบางที่เลือกนอนเสียริมเตียงจวนเจียนจะตกลงไปกองข้างล่างเลยดึงหมอนกั้นระหว่างกันออกเสีย สอดแขนเข้าไปอุ้มร่างนั้นให้ขยับใกล้เข้ามา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมปล่อยแผงอกแข็งแรงให้ได้รับอากาศอีกครั้ง เท้าศอกลงกับหมอนนอนมองดวงหน้านวลขาวที่หลับตาพริ้มเหนื่อยล้านั้นไว้ ปลายนิ้วแข็งละล้าละลังลังเลว่าจะไล้ปัดไรผมตามหน้าผากนวลนั้นดีหรือไม่...ชั่วเวลานาทีนั้นนัยน์ตาคมที่ทอดมองมาอย่างห่างเหินเสมอกลับฉายแววห่วงอาทรอ่อนโยน

...การสร้างตัวตนใหม่เพื่อใช้ในการลวงผู้คนให้หลงตายใจนั้นเป็นเรื่องง่ายดายปานพลิกฝ่ามือสำหรับเขามาโดยตลอด แต่มาถึงคราวนี้เมื่อจำเป็นต้องสวมบทบาทหลอกตัวเองอีกครั้งกลับยากเย็นเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

สุดท้ายเขาก็หักใจหดมือล้มตัวลงนอนหันหลังไปอีกทาง ดูเหมือนว่าการทำลายต้นตอแห่งความอ่อนแอในใจ หาใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว...

******************************

แสงระยิบระยับจากโคมไฟระย้าคริสตัลส่องกระทบทำมุมกับแก้วหกเหลี่ยมในมือเรียวยาวของชายในชุดสูทสีเทา...น้ำสีอำพันเหลือติดก้นแก้วถูกเติมใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าผู้ดื่มก็ยังรู้สึกเหมือนฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ยังไม่มากพอจะทำให้สติพร่าเลือนอย่างที่ตั้งใจไว้เสียที

ศิระเอนหลังหนุนคอบนโซฟาหนังแหงนหน้ามองเพดานในเลานจ์ของโรงแรมเนิ่นนาน ภาพดวงหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏรูปร่างขึ้นทีละน้อยจนต้องหลับตาไว้ ถึงอย่างนั้นมโนภาพที่ฝังลึกล้ำในจิตใจก็ก่อสร้างร่างนั้นขึ้นมาให้เขาเห็นได้ชัดเจนอยู่ดี

บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มถามตัวเองว่าทำไมถึงปักใจอยู่กับคนที่ตนเองรู้ดีว่าไม่มีแม้แต่ความหวังจะได้ครอบครอง...กลัดกลัดกลุ้มกับความรู้สึกวิปริตจนต้องวิ่งโร่ขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์ แต่คำแนะนำใดก็ไร้ความหมายเมื่อสุดท้ายใครคนนั้นยังคงสถิตแนบแน่นในหัวใจ

สู้อุตส่าห์พยายามเก็บรักษาของรักไว้ใกล้ตัว ทะนุถนอมวางบนหิ้งราวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา เพราะรู้ดีว่าตลอดชีวิตนี้ไม่อาจครอบครองเป็นเจ้าของจึงขอเพียงได้อยู่ใกล้กันสักเพียงนิดไปตลอดชีวิตก็ยังดี หากก็มีมารผจญฉกชิงไปอีก

คนที่ครั้งหนึ่งเคยพ่ายแพ้เขาโดยสิ้นเชิง เหตุไฉนมาบัดนี้มันกลับกลายเป็นมารร้ายสมบูรณ์แบบได้ถึงเพียงนั้น

ยามหวนคิดชายหนุ่มก็เผลอยกมือลูบไปตามลำคอขาวจดจำถึงแรงมหาศาลรวมถึงดวงตาเลือดเย็นคาดเดายากแต่อ่านคนได้ลึกล้ำคนนี้หรือคือคนเดียวกันกับศัตรูคู่แค้นเมื่อสิบปีที่แล้ว

ระหว่างรำพึงรำพันกับตนเอง ฝ่ามือเรียวสวยก็ตบเบาลงบนบ่าเอ่ยกระซิบคำทักทายข้างหู...ศิระหลุดจากภวังค์ความคิด กลิ่นน้ำหอมโชยชวนให้เหลียวหาก็พบใบหน้าของวิกานดาที่ยื่นมาใกล้จนปลายจมูกแทบชนแก้มเขา

“ คุณวิ ” เขาร้องผงะถอยห่างออกมา

“ ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณใหญ่ แหม ทำตัวเป็นเด็กไร้เดียงสาไปได้ ” เจ้าหล่อนว่าพลางหัวเราะขบขัน ขยับตัวทรุดลงนั่งไขว่ห้างบนโซฟาตรงข้ามกับชายหนุ่ม เดรสแขนกุดสั้นสีดำขับผิวเน้นทรวดทรงองค์เอวได้เป็นอย่างดี

“ คุณวิมาทำอะไรที่นี่ครับ ”

“ ก็มาหาอะไรดื่มกับเพื่อนนะค่ะ พอดีนึกขึ้นได้ว่าที่อังคพิมาน โฮเต็ลก็มีเลานจ์ ก็เลยชวนกันมาที่นี่...ว่าแต่คุณใหญ่เถอะ มานั่งดื่มอะไรที่นี่คนเดียวคะ ”

“ ผมมีเรื่องให้คิดเยอะ ก็เลยมาหาอะไรดื่มเท่านั้นเอง ”

“ คิดเรื่องอะไรอยู่คะ ” ถามขณะไล้สายตามองแก้วหลายใบบนโต๊ะ “ ท่าทางเรื่องที่คุณใหญ่คิดคงเครียดน่าดู ถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้ มีอะไรไม่สบายใจก็คุยกับวิได้นะคะ วิพร้อมให้คำปรึกษากับคุณใหญ่ทุกเรื่อง ”

ศิระขมวดคิ้วจ้องรอยยิ้มแย้มกว้างของวิกานดาที่เสนอตัวเป็นคนคลายความเครียดเต็มที่ก็ได้แต่ถอนใจ

“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ...เดี๋ยวสักพักผมก็กลับห้องแล้ว เชิญคุณวิสนุกกับเพื่อนเถอะครับ ” เขาบอกปัดอย่างสุภาพ ลุกจากที่นั่งแล้วก้มศีรษะให้เล็กน้อยแทนคำอำลา แทรกตัวผ่านโต๊ะกระจกที่กั้นทั้งสองไว้เพื่อจะกลับขึ้นห้องแต่หญิงสาวกลับจับแขนรั้งเขาเอาไว้

“ ไม่ต้องห่วงเพื่อนของวิหรอกคะ เรื่องคุณสำคัญกับวิมากกว่า ” ตวัดสายตาประสานสบกับชายที่ค้ำศีรษะอย่างห่วงใยในความผิดปกติของเขา “ อีกไม่นานเราสองคนก็จะหมั้นกันอยู่แล้ว คุณใหญ่อย่าทำเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลกับวิเลยนะคะ ”

น้ำเสียงที่หล่อนเอื้อนเอ่ยมีความหมายว่าเขาพิเศษจริงตามคำพูด หากนั้นมิใช่สิ่งที่ทำให้ศิระประหลาดใจได้เท่ากับประโยคที่เกี่ยวโยงถึงเรื่องหมั้นหมายระหว่างกัน

“ คุณวิหมายความว่ายังไงครับที่ว่าอีกไม่นานเราสองคนจะหมั้นกัน ” เลิกคิ้วสูงพร้อมร้องถามบ้าง

“ แหม...คุณป้าไม่ได้บอกคุณใหญ่หรือคะ ว่าท่านมาทาบทามวิให้หมั้นกับคุณใหญ่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่หาฤกษ์หมั้นเท่านั้นเอง ” หล่อนเต็มใจไขความกระจ่างแจ้ง

และทันทีที่ได้ยินคำตอบกระจ่างแจ้งจากปากของวิกานดา ศิระเบิกตากว้างนิ่งอึ้งไปนานกว่าสติจะกลับคืน

“ หมั้น...แม่ใหญ่ส่งคนไปขอคุณวิให้หมั้นกับผมหรือครับ ” ทวนซ้ำคล้ายยังไม่เชื่อกับเรื่องราวที่ได้ยิน

“ ค่ะ...ท่านยังบอกคุณพ่อคุณแม่ของวิเลยค่ะว่า ในบรรดาผู้หญิงที่เคยพามาให้คุณใหญ่ดูตัว ยังไม่มีใครถูกใจท่านได้เท่ากับวิมาก่อนเลย ” บอกเล่าอย่างภูมิใจ แลใบหน้าหล่อเหลาของเขาครู่เดียวก็ถูกเพื่อนที่มาด้วยกันกวักมือเรียกให้มารวมกลุ่มกัน

“ เดี๋ยววิไปบอกเพื่อนก่อนนะคะว่าจะอยู่คุยกับคุณใหญ่ก่อน ” หล่อนผละลุกจากโซฟาตรงดิ่งไปหาเพื่อน ปล่อยให้ศิระเผชิญหน้ากับข่าวการหมั้นหมายโดยไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนที่เขาจะขบกรามแน่น มือทั้งสองกำหมัดแข็งแกร่งกับการกระทำของผู้เป็นป้าที่ตัดสินใจทำอะไรพละการ

การแต่งงานของน้องมาจนถึงการหมั้นหมายของเขาช่างดูลงตัวประจวบเหมาะ ราวกับมีใครจงใจวางแผนให้ดำเนินไปเช่นนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม หรือนี้จะเป็นวิธีที่มลธิกาใช้ในการแยกเขากับน้องออกจากกันตลอดกาล

ศิระอยากจะเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งที่กำลังคิดมิได้เป็นจริงเช่นนั้น อยากจะเชื่อว่าป้าของตนเองมิได้มีเจตนาแอบแฝงในการไปทาบทามวิกานดาให้มาหมั้นหมายกับเขา แต่ภายใต้จิตสำนึกกลับไม่อาจห้ามความรู้สึกที่คิดกล่าวหาว่ามลธิกาออกจากใจได้เลย




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2554, 14:41:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2554, 14:41:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2058





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
ling 4 ส.ค. 2554, 16:27:41 น.
อ่านไปก็ลุ้นไป


anOO 4 ส.ค. 2554, 19:25:05 น.
ไม่อยากให้นายภาคทำตัวร้ายๆ กับเล็กเลยอ่ะ


ปูสีน้ำเงิน 4 ส.ค. 2554, 22:19:42 น.
ผู้ชายวิปริต


violette 4 ส.ค. 2554, 22:32:29 น.
หนูเล็กเป็นนกน้อยในกรงทองจริงๆด้วย
นายภาคคิดจะทำอะไรรุนแรงกับเล็กเปล่าเนี่ย น่าปวดหัวดีแท้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account