จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 8

--- แวะคุยกันก่อน ---

บทนี้ไม่เอาเพลงลูกกรุงมาฝาก แต่เอาเพลงรักไม่ได้ เพลงประจำตัวของศิระมาให้ฟัง
(http://www.youtube.com/watch?v=OQaOZmaAbc0)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ติดตามความบ้าของผู้ชายชอบทำร้ายตัวเอง กับคนเขียนซาดิมส์กันต่อไปนะคะ ^_^
------------------------------

บทที่ 8

ดวงตะวันปรากฏพ้นแนวเส้นขอบฟ้าเพียงครึ่งดวงสาดแสงส้มทองอร่ามตาทอทาบทดแทนสีม่วงมืดในยามค่ำคืน หมู่นกโผผินบินจากรังออกหากินเฉกเดียวกับไก่ที่โก่งคอขันบ่งสัญญาณแห่งเวลาย่ำรุ่งใกล้มาเยือน

ทุกวันในเวลาเดียวกันนี้ศศิวิมลเป็นต้องตื่นขึ้นมาทำกับข้าวกับปลาเตรียมใส่บาตรโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก เหมือนเป็นสัญชาตญาณความเคยชินที่ทำให้ลุกจากเตียงในเวลาเดิมได้ทุกที และเช่นเดียวกับวันนี้ที่หญิงสาวขยับเปลือกตาเปิดขึ้นทีละน้อยทันทีที่ฟ้าสาง ป่ายมือไปด้านข้างหมายจะหยิบเอาเสื้อคลุมที่มักพับวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงมาสวมอย่างที่เคยทำทุกวันกลับพบคว้าได้เพียงอากาศเปล่า

หญิงสาวใช้เวลาอีกสองสามนาทีเพื่อพักสายตาสลัดความงัวเงียจนคิดว่ามีสติพอจึงลืมตาอีกครั้ง ทว่าสิ่งแรกที่มองเห็นหาใช่หมอนข้างอย่างเคยหากแต่เป็นมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงคร้ามแดดของใครคนหนึ่งในระยะประชิดชนิดที่จมูกแทบจะแนบติดไปด้วย

วินาทีนั้นหล่อนกระเด้งตัวขึ้นมา อารามตกใจทำให้เกือบกรีดร้องเสียงดังเพราะลืมไปสนิทเลยว่า บัดนี้ตัวเองกลายเป็นภรรยาหลอกๆของภาควัฒน์แล้วตั้งแต่เมื่อวาน และยังดีที่มือทั้งสองข้างยกมาปิดปากตัวเองได้มิเช่นนั้นคงสร้างความวุ่นวายทั่วทั้งคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทรแน่

ดวงตาหวานอมโศกแลเห็นผู้เป็นสามีเปลือยอกนอนตะแคงข้างพาดแขนกำยำบนหมอนรองศีรษะหญิงสาวตลอดคืนจนเป็นรอยแดง หมอนใบใหญ่ที่กั้นอาณาเขตระหว่างกันตกไปอยู่บนพื้น และเมื่อได้เรียบเรียงเหตุการณ์ดูแล้วคิดว่าตนน่าจะเป็นฝ่ายข้ามฝั่งไปหาเขาเอง หล่อนก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือรู้สึกทั้งอายทั้งกลัวที่ควบคุมการนอนของตัวเอง

ทั้งที่เมื่อวานเป็นยืนกรานไม่ยอมร่วมเตียงกับเขา แต่ตอนเช้ากลับไปนอนกับเขาเสียใกล้ หล่อนจะโดนข้อหาว่าใจง่ายไหมจากเขาไม่ หากฝ่ายที่ตื่นก่อนเป็นภาควัฒน์

“ ขอโทษนะคะ ” เอ่ยปากพลางยกมือไหว้คนที่ยังนอนนิ่งสงบ ก่อนจะลนลานลุกจากเตียงพับเก็บผ้าห่มและหยิบหมอนวางไว้บนเสื่อแล้วม้วนเป็นเนื้อเดียวหอบไปเก็บเข้าตู้ จากนั้นจึงคว้าเสื้อคลุมตัวหนึ่งมาสวมรีบลงไปข้างล่างรวดเร็ว

ด้านล่างของคฤหาสน์ก่อนหกโมงเช้ายังเงียบเชียบ ศศิวิมลพยายามลงฝ่าเท้าเบาเสียงที่สุดตั้งใจจะกลับไปที่เรือนเล็กในเขตรั้วอังคพิมานเพื่อจะทำอาหารสำหรับใส่บาตรในครัวเก่า...ยายช้อยเดินออกมาจากเรือนคนใช้ที่ปลูกสร้างเป็นห้องแถวยาว เหลือบเห็นร่างบอบบางค่อยๆย่องไปก็สงสัยเลยรีบเข้าไปหา

“ นั่น คุณเล็กจะไปไหนแต่เช้าคะ ” นางเอ่ยถามจากเบื้องหลัง คนได้ยินก็สะดุ้งโหย่งเหมือนกับคนมีความผิดหันหลังกลับมาหาพลางยิ้มอ่อน

“ อรุณสวัสดิ์ค่ะ ยายช้อย ” มือไม้โบกทักทายไปมา

“ อรุณสวัสดิ์ค่ะ แล้วนี่คุณเล็กจะออกไปข้างนอกหรือคะ ฟ้ายังไม่สางดีเลยจะไปไหนหรือคะ ” หญิงชรายิ้มตอบ ถามย้ำความสงสัยในพฤติกรรมของหญิงสาว

“ อ้อ...เล็กจะกลับไปทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรที่เรือนเล็กนะคะ ”

“ ทำกับข้าวใส่บาตร แล้วจะกลับไปทำที่บ้านอังคพิมานทำไมล่ะคะ ครัวที่นี่ก็มีทำไมคุณเล็กไม่ใช้ล่ะคะ ”

“ ก็...เล็กคิดว่าไม่ได้ช่วยจ่ายค่ากับข้าวให้ที่นี่ เล็กรู้สึกเกรงใจนะคะ เลยคิดว่ากลับไปเอาของในตู้เย็นที่เรือนเล็กทำใส่บาตรดีกว่านะคะ ” ตอบกลับเสียงอ่อย ความเกรงใจยังคงมีอยู่ด้วยตระหนักรู้สถานะแท้จริงในการแต่งงานครั้งนี้ ส่วนคนไม่รู้เรื่องอย่างยายช้อยได้แต่ขมวดคิ้วกับคำตอบแปร่งแปลกของนายหญิงคนใหม่

“ คุณเล็กจะเกรงใจอะไรคะ ในเมื่อตอนนี้คุณเล็กเป็นภรรยาคุณภาค ก็เท่ากับมีสิทธิ์ในบ้านวิสุทธิ์สุนทรเหมือนกัน อยากจะทำอะไร จะใช้อะไรที่บ้านนี้ก็ใช้สิคะ ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก...มาค่ะจะทำกับข้าวใส่บาตรใช่ไหมคะ เดี๋ยวยายไปช่วยคุณเล็กทำอีกแรง ” นางคว้าแขนออกแรงพาคนตัวเล็กให้เดินตามไปจนถึงในครัว จัดแจงหยิบทั้งของสดของแห้งออกมาวางเรียงบนโต๊ะคิดเมนูให้เสร็จสรรพพร้อมลงมือ

“ เดี๋ยวทำอาหารใส่บาตรพระแล้ว ยายว่าเราทำข้าวต้มกุ้งไว้เป็นมื้อเช้าด้วยเลยดีไหมคะคุณเล็ก ”

ศศิวิมลแย้มริมฝีปากพยักหน้าคล้อยตามความคิดเห็นของหญิงสูงวัย ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิดเลยต้องยอมเลยตามเลยทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรไปพร้อมกับการทำมื้อเช้าเลี้ยงทั้งนายทั้งบ่าวที่อาศัยในบ้านวิสุทธิ์สุนทรเสียให้หมด

การทำอาหารสำหรับคนจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด โชคดีที่มียายช้อยช่วยทำให้อาหารทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยได้ในเวลาไม่นานนัก หญิงสาวตักแกงจืดเต้าหู้หมูสับกับคั่วกลิ้งไก่ใส่ถุงไว้หลายใบ ส่วนยายช้อยคดข้าวใส่โถเตรียมให้ช่วยยกไปร่วมใส่บาตร

พระสงฆ์เดินเท้าเปล่าออกบิณฑบาตเป็นขบวนยาว มีชาวบ้านในละแวกนั้นออกมายืนรอใส่บาตรกันด้วยจิตศรัทธา หญิงต่างวัยทั้งสองตักข้าวสลับกับแกงถุงใส่ลงก้นบาตรพนมมือรับศีลจากพระองค์สุดท้ายในแถวเรียบร้อยก็ไหว้รับ ลูบมือไปตามศีรษะราวกับจะให้พรประเสริฐติดกาย

กลับเข้ามาบ้านมาอีกรอบคราวนี้คนรับใช้สูงอายุหลายคนก็เริ่มออกจากห้อง ฝ่ายคนรับใช้อายุน้อยก็ทยอยเดินเข้ามาทำงานกันตามปกติ หลายคนพอเห็นหญิงสาวเข้าก็ก้มศีรษะเคารพนายใหม่ คนไม่เคยมีใครมานอบน้อมใส่ทำตัวไม่ถูกได้แต่ยิ้มแย้มตอบรับไปทั่วกลัวจะถูกหาว่าหยิ่งถ้ารีบชิ่งหนีเข้ามา

“ คุณเล็กคงไม่ชินที่มีคนมาล้อมหน้าล้อมหลังใช่ไหมคะ ” ยายช้อยร้องถามเมื่อเห็นคนข้างตัวถอนหายใจเหมือนจะรู้ความเป็นอยู่ในรั้วอังคพิมานมาบ้าง

“ เล็กไม่ค่อยคุ้นกับการอยู่กับคนเยอะๆ นะคะ วันหลังยายช้อยบอกพวกยายคนอื่นกับคนใช้ที่จ้างจากข้างนอกว่าไม่ต้องทำท่าเกรงใจหรือเคารพอะไรเล็กนะคะ ทำตัวสบายเหมือนเดิมจะดีกว่า ”

“ แหม ก็ตอนนี้คุณเล็กเป็นเจ้านายของพวกเราจริงๆแล้วนี้คะ จะให้ทำตัวสนิทสนมมากเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ดี ยายเองก็ควรจะเว้นระยะห่างจากคุณเล็กบ้างเหมือนกัน ” นางว่าเท่านั้นก็ถูกอ้อมแขนเรียวเล็กสวมกอด ดวงหน้าขาวแนบลงบนอกอวบ

“ ไม่เอานะคะ...เล็กอยากให้ยายช้อยกับยายคนอื่นเป็นเหมือนเดิม ถ้าเล็กต้องกลายเป็นเจ้านายแล้วถูกห่างเหินใส่ งั้นเล็กมาเป็นคนใช้ด้วยยังจะดีกว่า ” เจ้าหล่อนอ้อนกอดรัดเอวใหญ่ไว้แน่น หญิงชราลูบผมนุ่มสลวยนั้นอย่างเอ็นดูพลางแย้มริมฝีปากอ่อนโยน

“ โถ คุณเล็กของยายช้อย ทำแบบนี้ใครที่ไหนไม่รักก็แย่แล้ว ” นางร้อง โอบตอบหญิงสาวถ่ายทอดไออุ่นให้

ทั้งสองโอบกอดกันเช่นนั้นอยู่นาน มาปล่อยมือออกจากกันได้ก็เมื่อเห็นชายหนุ่มตัวใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสีกรมท่าเดินผูกเนคไทสีเดียวกับสูทลงบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้า

ภาควัฒน์มองภรรยาที่ยังอยู่ในชุดนอนแบบเด็กเล็กสวมเสื้อแขนสีขาวคลุมไว้อีกชั้นสลับกับแม่นมสูงวัย ก่อนจะคว้าแขนเรียวเล็กดึงให้เข้ามาหา

“ ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกพี่คะ ” เขาเอ่ยนุ่มนวล ปลายนิ้วแข็งปัดเรือนผมที่ปรกหน้านวลไปทัดหูให้อ่อนโยน…ใครได้เห็นก็ชื่นใจในความรักความห่วงใยระหว่างกัน

“ เล็กไม่ทราบว่าพี่ภาคจะไปทำงานกี่โมงนะคะ...พอดีเห็นยังเช้าคิดว่าจะมาใส่บาตรก่อนเลยยังไม่ได้ไปปลุก ” ตอบกลับเขาตะกุกตะกักเสียงสั่นเครือ ยังจำเรื่องตอนเช้าที่หล่อนข้ามไปนอนใกล้เขามากเหลือเกินได้ดี

“ จะว่าไปพี่ก็ไม่ได้ใส่บาตรมานานแล้ว วันหลังเล็กจะตื่นมาใส่บาตรก็ปลุกพี่ด้วยนะคะ ” เขายกแขนโอบร่างบางไว้อย่างเป็นธรรมชาติไม่เคอะเขิน...สมจริงเสียยิ่งกว่านักแสดงมืออาชีพ

“ วันนี้มื้อเช้ามีอะไรให้ทานครับ ” หันไปถามแม่นมของตนเองเพื่อเหความสนใจมิให้ใครได้ทันสังเกตเห็นอาการตัวแข็งเกร็งเป็นท่อนไม้ของผู้เป็นภรรยา

“ มีข้าวต้มกุ้งคะ...คุณเล็กตื่นมาทำให้พร้อมกับของใส่บาตร คุณภาคจะรับเลยหรือเปล่าคะ ยายจะได้บอกเด็กให้ตั้งโต๊ะ ”

ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ ยายช้อยก็รับคำสั่งเดินไปหาเด็กรับใช้ให้มาช่วยกันจัดโต๊ะในห้องอาหาร พอคล้อยหลังเขาก็เอาแขนใหญ่ลงข้างลำตัวเลิกการแสแสร้งรักใคร่ในทันที

“ หัดทำตัวให้ชินกับบทบาทสมมุติของตัวเองหน่อย เดี๋ยวใครสังเกตแล้วไม่เชื่อจะเดือดร้อนกันหมด ” เขากระซิบข้างหูพ่นลมหายใจอุ่นร้อนจนหูหล่อนแดงก่ำ

“ เล็กไม่ได้เป็นดาราหนังนะคะ ถึงจะได้แสดงบทบาทสมจริงตลอดเวลา ”

“ ก็ถึงบอกให้หัดอยู่นี้ไง เอาแค่เวลาใกล้กันแล้วไม่ตัวแข็ง ฉันก็ดีใจแย่แล้ว ” ทีนี้น้ำเสียงเขากลับกลายจากอ่อนหวานเหลือแสนเป็นเย็นชาแข็งกระด้างดังเดิม

หญิงสาวกระพริบตาปริบขณะมองใบหน้าคมคายเฉยเมยของเขาแล้วสูดลมหายใจ ถ้าการใกล้ชิดกันมันง่ายเหมือนสมัยก่อนคงไม่ต้องมาอึดอัดใจอยู่เช่นนี้หรอก

“ ตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว คุณเล็กจะทานพร้อมคุณภาคหรือเปล่าคะ ” แม่นมสูงวัยบอกกับทั้งคู่ ตอนแรกคนตัวเล็กก็ตั้งใจจะบอกปัดว่าจะทานพร้อมอรพิณ แต่คนตัวใหญ่ไม่ยอมยกแขนโอบเอวพาไปห้องอาหารพร้อมกันทั้งอย่างนั้น

ภาควัฒน์เลื่อนเก้าอี้ให้ภรรยาสาวทำหน้าที่สามีจอมปลอมได้เป็นอย่างดี คนรับใช้ที่มองดูก็ได้แต่ยิ้มเขินมีความสุขผิดกับคนนั่งที่รู้สึกทุกข์อย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจอย่างซังกะตายกับชีวิตหลอกลวงเช่นนี้

ข้าวต้มร้อนหอมกรุ่นตักเสิร์ฟใส่ชามให้สองสามีภรรยาได้รับประทาน ศศิวิมลใช้ช้อนคนข้าวต้มฝีมือตัวเองไปมาคล้ายไม่อยากอาหาร จ้องมองคนตรงข้ามที่ตักอาหารเข้าปากทีละคำไปเรื่อยอย่างไร้อารมณ์จนดูไม่ออกว่ารสชาติดีหรือแย่ปานใดกันแน่

“ อร่อยไหมคะคุณภาค ข้าวต้มฝีมือคุณเล็ก ” ยายช้อยร้องถาม ดวงตาเปล่งประกายสดใส

“ ฝีมือเมียตัวเองถึงไม่อร่อย ผมก็จะบอกว่าอร่อย ” ประโยคเดียวเรียกเสียงฮือฮาจากสาวใช้รอบตัวได้ชะงัดนัก พอเห็นเขาเรียกเสียงจากสาวได้คนทำก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“ ถ้าไม่อร่อยก็พูดกันตามจริงเถอะคะ เล็กจะได้ปรับปรุงฝีมือ ” พูดใส่เขาอย่างไม่พอใจ ไม่รู้ความกลัวหายไปไหน

“ พี่ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าไม่อร่อย...สำหรับพี่แล้ว เล็กทำอะไรให้กินก็อร่อยทั้งนั้นแหละคะ ” เขายังไม่หยุดหยอดคำหวาน รอยยิ้มพราวอวดฟันเขี้ยวมหาเสน่ห์ยิ่งทำให้สาวใช้ทั้งหลายหน้าแดง ปลาบปลื้มนายผู้ชายกันเข้าไปใหญ่ แม้แต่ยายช้อยยังอดเขินแทนไม่ได้

...อย่างนี้มันต้องรายงานให้คุณพิณฟังเสียให้หมด...

ภรรยาสาวก้มงุดทำหน้าตูม รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงแหนหรือโกรธเคือง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบอารมณ์ ปล่อยให้เขากินข้าวไปเสียให้หมดชามจะได้ขอตัวกลับขึ้นห้องไปอาบน้ำอาบท่าดูแลอรพิณข้างบนไม่ต้องทนเห็นหน้าคนที่ต่อหน้ายิ้มแย้ม ลับหลังเย็นชาต่อไป

“ เดี๋ยวเล็กขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ ” หล่อนบอก ลุกจากเก้าอี้ทั้งที่ข้าวต้มยังเหลือเต็มชาม ตั้งท่าจะออกไปจากห้องอาหารโดยเร็ว ทว่าผู้เป็นสามีกลับลุกพรวดจากเก้าอี้ไปดักหน้าไว้ก่อน

“ เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปทำงานแล้วนะคะ วันนี้อาจจะกลับมืดหน่อยเพราะพี่จะประชุมกับฝ่ายผลิต...ยังไงพี่ฝากดูแลคุณแม่ด้วยนะคะ ” ชายหนุ่มรายงาน

“ ค่ะ ” หล่อนรับคำสั้น คิดว่าหมดเรื่องกันแล้วเลยรอส่งสามีอยู่ตรงนั้น แต่ก่อนที่จะออกไปเขากลับยื่นจมูกโด่งมาชิดแก้มนุ่ม ดอมดมกลิ่นหอมดอกมะลิจากเรือนกายของหญิงสาวไว้

“ พี่ไปทำงานแล้วนะคะ ” เขาทิ้งท้ายด้วยประโยคนั้น แล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปจากห้องอาหาร ท่ามกลางสายตาคนในห้องแอบร้องกรี๊ดกร๊าดไปกับความหวานของคู่ข้าวใหม่ปลามัน

หญิงสาวยืนตัวแข็งยกมือประกบแก้มข้างที่ถูกหอม...เพราะเข้าถึงบทบาทขนาดนี้ ถ้ายังมีใครสงสัยการแต่งงานครั้งนี้อีก หากไม่เป็นพวกวิตกจริตก็ต้องเป็นคนที่อ่านเกมครั้งนี้ได้ตั้งแต่ต้น

ดูเหมือนว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังการแต่งงานจอมปลอมหลอกลวงช่างเป็นเรื่องไม่น่ารื่นรมย์สำหรับศศิวิมลเลยสักนิด

******************************

ร้านอาหารสีส้มแดงกรุกระเบื้องโมเสกชิ้นเล็กบนผนังเป็นลวดลาย บานกระจกรอบร้านใช้สเตนกลาสสีสันสวยงามในสไตล์โมร็อกโกแห่งนั้นเป็นที่รู้จักกันเฉพาะในกลุ่มนักธุรกิจชาวตะวันออกกลาง

แขกของร้านในช่วงเที่ยงวันบางตา ทว่าหนึ่งในโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ในมุมดีที่สุดของร้านถูกจองไว้ในนามของ อูเซน บิน ฮัดซาน ผู้เป็นประธานกรรมกาบริหารบริษัทมิลเลนเนียม ชาร์จาห์ บริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่เจ้าหนึ่งในดูไบกำลังเฝ้ารอการมาถึงของใครคนหนึ่งอยู่ และทันทีที่ประตูถูกผลักพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ฝ่ายที่นั่งรออยู่ก็ลุกเดินไปสวมกอดพลางตบบ่าตบไหล่กว้างนั้นไว้อย่างสนิทสนม

“ ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม พอล ” อูเซนทักทายเป็นภาษาอาหรับ ผายมือเชิญผู้มาใหม่ไปนั่งร่วมโต๊ะพร้อมกระดิกนิ้วส่งสัญญาณเรียกบริกรในร้านให้มารับออเดอร์อาหาร

“ อยากทานอะไรก็สั่งเลยนะ วันนี้ผมขอเป็นเจ้ามื้อเลี้ยงหลานชายสุดที่รักของผู้เฒ่าคอยด์หน่อยแล้วกัน ” คำเชิญชวนอย่างเป็นกันเองแสดงถึงความใกล้ชิดระหว่างกัน หากแต่อีกฝ่ายกลับโบกมือเบา

“ ผมมีเวลาพักไม่มาก เลยอยากคุยธุระของปู่กับคุณก่อน ” ให้เหตุผลในการปฏิเสธ

“ ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องมีธุระไม่อย่างนั้นคงไม่นัดผมกะทันหันขนาดนี้หรอก แต่กองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง ถ้ารีบก็ทาน ฟาตู๊ซแล้วกัน ” เขาสั่งอาหารให้โดยไม่ต้องถาม บริกรรับรายการก็หายเข้าหลังร้านไปในทันที

“ ตอนนี้ปู่ของคุณเป็นยังไงบ้าง ” ถามพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หวายสีเข้ม

“ ก็ยังมีแรงรบรากับคู่แข่งในวงการธุรกิจได้อีกนาน...อยากให้ท่านมาแย่งตำแหน่งประธานบริหารในบริษัทคุณดูไหมล่ะ ”

อูเซนหัวเราะชอบใส่เสียงดัง ยังจำผู้มีพระคุณอย่างคอยด์ ครอมเวลได้เป็นอย่างดี แม้ทุกวันนี้จะได้นั่งตำแหน่งสูงแล้วแต่นายใหญ่แห่งครอมเวลก็ยังมีคุณูปการเขาอยู่

“ ท่านเป็นคนน่าสนใจเสมอ ” จากชายวัยกลางคนรวยอารมณ์ขันฉับพลันความเคร่งขรึมก็เข้าแทนที่ “ ความจริงท่านเองก็มีหุ้นในโรงแรมใหญ่ของเมืองไทยหลายแห่ง ถึงจะถือครองแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า อยู่ๆทำไมถึงสนใจอยากถือสิทธิ์เป็นเจ้าของอังคพิมาน โฮเต็ลนัก ลำพังแค่บริหารงานในองค์กรทั้งหมดที่มีก็เหนื่อยแล้วไม่ใช่หรือ ”

พอล ครอมเวลเหยียดมุมปากให้กับคำถามของคนตรงข้าม ประสานมือวางบนโต๊ะ นัยน์ตาโดดเดี่ยว

“ คุณคิดว่า โรงแรมนี้มีอะไรน่าดึงดูดถึงทำให้บริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่จากดูไบและบริษัทการลงทุน
ของโคเซ่ยอมเสียเงินถือครองหุ้นของที่นี่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ” ชายหนุ่มถามกลับอย่างมีชั้นเชิง นัยน์ตาโดดเดี่ยวเวิ้งว้างเสมือนผืนทะเลทรายกว้างใหญ่ไร้ความรู้สึกเกินกว่าใครจะเข้าถึง

นอกจากผลประกอบการที่สร้างผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าที่เสียไปและองค์กรเองก็เติบโตขยายตัวรวดเร็วไปพร้อมกับการรักษาชื่อเสียงการบริการในระดับดีเยี่ยม ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ก็ไม่มีปัจจัยอะไรที่นักลงทุนต่างชาติต้องตริตรองในการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้

“ พูดก็พูดเถอะนะ การขายหุ้นให้คุณสำหรับตัวผมมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหรอก แต่คุณต้องอย่าลืมว่าการลงทุนครั้งนี้สิทธิ์การตัดสินใจขายไม่ขายไม่ใช่ตัวผมคนเดียว แล้วการต้องวิ่งโร่ล็อบบี้พวกคณะกรรมการเขี้ยวลากดินนั้นก็ไม่ใช่งานง่าย ” เขาเปรยถึงความลำบากในการขายหุ้นที่ถือครองอยู่ แม้ว่าครอมเวลจะมีพระคุณส่วนตัวมากมายเพียงใด แต่สุดท้ายในแวดวงธุรกิจการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ย่อมต้องเกิดขึ้นอยู่ดี

สัจจะธรรมความจริงข้อนี้เป็นสิ่งที่นักธุรกิจรวมถึงทายาทแห่งครอมเวลตระหนักดี และในสถานการณ์นี้ เรื่องการซื้อขายด้วยเงินคงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่อีกฝ่ายต้องการ

“ ผมรู้ว่าคุณต้องการอะไรแลกเปลี่ยน แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่าใครผลักดันคุณให้ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น เก้าอี้ตัวที่มีคนมากมายอยากเลื่อยขาให้คุณตกลงมา ลำพังแค่ความสามารถคุณคิดหรือว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้และทางเราเองก็ไม่มีโนโยบายช่วยใครในทางลับแล้วไม่เก็บหลักฐานไว้ลำเลิกบุญคุณด้วยสิ ” พอลเหยียดยิ้มกว้างราวกับปีศาจเจ้าเล่ห์ที่กำลังทวงถามชีวิตจากมนุษย์ผู้ยอมขายวิญญาณแลกความยิ่งใหญ่

อูเซนฟังแล้วถึงกับหน้าถอดสี เคยได้ยินกิตติศัพท์ความเหี้ยมของพอล ครอมเวลมาบ้าง หากก็ไม่เคยเก็บเอามาเป็นสาระ แถมยังเยาะเย้ยไม่เชื่อด้วยซ้ำ พอถึงคราวประสบเข้ากับตัวเองนอกจากจะหัวเราะไม่ออก ลำคอยังตีบตัน

...หลานชายคนโปรดแผลงฤทธิ์เจ็บแสบดุจเดียวกับผู้เป็นปู่…

“ นี่คุณขู่ผมใช่ไหม...พอล ” ประธานบริษัทใหญ่หยั่งเชิง มองคนตรงข้ามที่ยักไหล่

“ คุณรู้จักกับปู่ผมมานาน เคยเห็นครอมเวลแค่ขู่ใครบ้างล่ะ ” คนเหนือกว่าว่า ขยับให้บริกรเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะ “ คุณก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะขายให้ผมหรือจะยอมเป็นเลขานุการผู้บริหารตลอดชีวิต ”

“ พอล ผมเองก็ลำบากใจนะที่ต้องมาต่อรองกับผู้มีพระคุณ คุณเองก็คงรู้ว่า เราลงทุนเพื่อผลในระยะยาว การขายหุ้นที่ให้ผลกำไรต่อปีคุ้มกว่าการลงทุนที่เสียไปก็เหมือนกับเราเสียแรงเปล่า แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นแลกกับหุ้นในเครือครอมเวล ขอแค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผมรับรองได้ว่า หุ้นอังคพิมานทั้งหมดจะเป็นของคุณ ”

ชายหนุ่มเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้นุ่มพร้อมยกแขนกอดอกใช้เวลาไตร่ตรองข้อเสนอที่อีกฝ่ายยื่นให้

“ เอาเถอะ ผมก็เห็นใจคุณอยู่นะ ถ้าอย่างนั้นผมจะยกหุ้นในกลุ่มบริษัทยาและเวชภัณฑ์ของครอมเวลที่ผมถืออยู่ให้อย่างที่คุณต้องการ ” เขาหยุดยิ้มพราวสดใส “ แต่มีข้อแม้ว่า คุณต้องเป็นตัวแทนในนามของคุณเจรจาเรื่องการซื้อขายหุ้นอังคพิมานที่โคเซ่ถืออยู่ทั้งหมด รวมถึงหุ้นอีกสี่เปอร์เซ็นต์ที่กรรมการอีกสองคนถืออยู่ให้กับผม ”

ชายมากวัยกว่าลูบคางพิเคราะห์ถึงผลประโยชน์ทั้งหลาย หุ้นในเครือบริษัทครอมเวลทุกตัวถือเป็นกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนมากมายแย่งชิงกันเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้มาครอบครองซึ่งอย่างมากก็เพียงรายละหนึ่งหรือสองเปอร์เซ็นต์ หากต้องแลกกับหุ้นโรงแรมในไทยเพียงแห่งเดียวถือว่าคุ้มค่า ทว่าการเป็นตัวแทนเจรจาซื้อขายหุ้นอื่นอีกถือเป็นปัญหาให้ต้องขบคิดถึงการลงแรง

“ ไม่ต้องห่วงว่าต้องเหนื่อยเปล่าหรอก...ถ้าคุณทำสำเร็จผมยินดีจะมอบหุ้นในกลุ่มพลังงานของครอมเวลให้ตัวคุณคนเดียวอีกสามเปอร์เซ็นต์เป็นโบนัส เท่านี้ก็ถือว่าผมให้เกียรติคุณมากแล้วนะ นอกจากจะไม่บีบบังคับยังให้รางวัลอย่างงามกับคุณอีก แต่ถ้าคุณไม่เอา ผมก็คงต้องใช้วิธีแบบที่ผมถนัด ” มือเรียวใหญ่หยิบส้อมจิ้มลงไปบนผักกาดในจาน

ดวงตาคมของทั้งสองฝ่ายจ้องประสานกันนิ่งท่ามกลางแสงไฟจากตะเกียงโบราณที่ประดับประดาภายในร้าน ก่อนชายจากตะวันออกกลางจะแย้มริมฝีปากกว้าง ยื่นมือออกมาให้อีกฝ่ายจับพลางเขย่าเบา ถือเป็นอันสิ้นสุดข้อตกลงระหว่างกัน

*******************************

ภายในห้องนอนกว้างขวางอันเป็นที่พักผ่อนของคนป่วย อรพิณเฝ้ามองการสีซออู้ของลูกสะใภ้สาวอย่างชื่นชมเอ็นดู ก่อนจะยกมือลูบผมนุ่มเหยียดยาวถึงกลางหลังนั้นไว้ราวกับจะส่งต่อความรักยิ่งในหัวใจให้
ศศิวิมลวางซอไว้บนผ้า ยกชามแกงจืดปลารวมมิตรที่เหลือเพียงน้ำขลุกขลิกใส่ในถาดไม้ สังเกตใบหน้าอิ่มเอิบมีความสุขของคนบนเตียงแล้วก็ได้แต่ใจหาย เมื่อหวนคิดว่า ในเวลาไม่ช้าไม่นานทั้งสองอาจต้องพรากจากกัน

“ พี่ภาคเขาดีกับเล็กหรือเปล่าลูก ” นางเอ่ยถามทำลายความเงียบในห้องหลังสิ้นเสียงบรรเลงเพลงซอได้สักครู่ ห่วงใยความเป็นอยู่ของลูกสะใภ้ที่มาร่วมชายคาได้หลายวัน...หญิงสาวก้มหน้ามองพื้นรู้สึกลำบากใจในการโกหกคนที่รัก แต่แล้วก็สูดลมหายใจตอบกลับไปมิให้คนป่วยกังวล

“ ป้าพิณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคะ พี่ภาคเขาดีกับเล็กมาก ”

“ เล็กอย่าเรียกแม่ว่าป้าสิจ๊ะ ตอนนี้หนูเป็นลูกสาวแม่อีกคนแล้วนะ ” เตือนลูกสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม “ พอได้ยินว่าภาคเขาดีกับเล็ก แม่ก็สบายใจ อีกไม่นานคงมีหลาน เสียดายที่แม่คงไม่ได้อยู่เห็นหน้าหลาน ”
อรพิณผินหน้าไปทางหน้าต่างกว้าง ใคร่ครวญถึงคืนวันแห่งความตายที่ใกล้มาถึง ยังคงแย้มริมฝีปากพราวทั่วใบหน้า เพียงแค่ได้เห็นลูกชายแต่งงานกับคนที่หมายตาก็นับว่ามีความสุขเกินพอแล้ว

เสียงเคาะประตูรัวเร็วพร้อมร้องขออนุญาตเข้าไปข้างในทำให้คนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียว...เจ้าของห้องอนุญาตให้เข้ามาได้ก็เป็นคนสมพรพี่เลี้ยงของศศิวิมลเองที่มาเรียก

“ มีอะไรหรือคะพี่สม ทำไมถึงมาที่นี่ได้ ” หล่อนร้องถาม เห็นพี่เลี้ยงเหนื่อยอ่อนหอบหายใจคลานเข้ามาหา

“ เกิดเรื่องใหญ่ที่ตึกใหญ่นะคะ คุณใหญ่เธอไม่พอใจที่คุณผู้หญิงจัดการไปขอหมั้นหมายกับคุณวิกานดา พี่สมได้ยินเสียงปึงปังจากในห้องทำงานของคุณผู้หญิง แต่ไม่มีใครกล้าไปดู คุณเล็กช่วยไปห้ามหน่อยเถอะคะ ”

รายงานความเคลื่อนไหวในอังคพิมานให้ทราบจนจบก็คว้าแขนให้วิ่งตามออกไปด้วยกัน...ศศิวิมลที่ไม่ได้พบพี่ชายมาหลายวันรู้สึกใจคอไม่ดีกับพฤติกรรมเลือดร้อนซึ่งผิดวิสัยของพี่ไปมาก
คนรับใช้ในคฤหาสน์อังพิมานแหงนหน้ามองไปยังบานประตูห้องทำงานบนชั้นสองอย่างตื่นกลัว พอเห็นหลานสาวของตระกูลเข้ามาพร้อมกับพี่เลี้ยงก็รีบชี้นิ้วบอกเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหลายรวมทั้งเสียงดังสนั่นที่เกิดขึ้นเป็นพักนับสิบนาทีได้ให้ฟัง

หญิงสาวถือวิสาสะกระโดดพรวดพราดขึ้นบันได เคาะประตูส่งสัญญาณโดยไม่รอได้รับคำตอบก็เปิดเข้าไป กวาดสายตามองผู้เป็นป้าที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ส่วนพี่ชายของตนนั้นกลับยืนกอดอกนิ่งอยู่อีกมุมหนึ่ง ภายในไม่มีข้าวของตกหล่นหรือพังเสียหายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

“ เล็กมาทำอะไรที่นี่ลูก ” มลธิการ้องถาม ใบหน้าเซียวซีดอิดโรยเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนแรมปี

“ มีคนได้ยินเสียงดังจากในห้องทำงาน เขานึกว่าแม่ใหญ่กับพี่ใหญ่ทะเลาะกันก็เลยไปตามเล็กมา ” หล่อนว่าหันไปสบสายตาโกรธขึ้งระคนเจ็บปวดในคราวเดียวกันไว้ “ มีเรื่องอะไรกันหรือคะ ทำไมต้องเสียงดังกันด้วย ”

ศิระจับจ้องทุกอิริยาบถของน้องแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ในหัวผุดพรายด้วยภาพการร่วมรักในคืนเข้าหอของน้องกับศัตรู แรงแค้นทำให้เผลอกัดริมฝีปากแรงจนเลือดซิบอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ พี่ใหญ่ตอบเล็กได้ไหมคะว่ามีเรื่องอะไรกัน ” น้องก้าวเข้ามาจับแขนผู้เป็นพี่พลางถาม เพียงเท่านั้นทิฐิที่มีก็ทลายแลดวงหน้าของน้องนิ่งนานอย่างทุกข์เศร้าแล้วดึงร่างบางมากอดแน่น รอยรักรอยอาลัยสลักไว้ในหัวใจยากที่ใครจะลบเลือนให้จางหาย

“ พี่กำลังจะหมั้น ” ริมฝีปากของเขาสั่นระริกทำให้น้ำเสียงสั่นเครือตามไปด้วย

“ หมั้น...หมั้นกับใครคะ กับผู้หญิงคนที่เล็กเห็นในงานศพหรือเปล่าคะ ”

ชายหนุ่มพยักหน้าแทนการตอบรับด้วยคำพูด ผู้เป็นน้องฟังก็ได้แต่ถอนหายใจ มือนุ่มลูบแผ่นหลังของพี่ชายปรอยปลอบใจพี่ดังที่เคยทำในสมัยยังเยาว์นัก

เจ้าของบ้านมองสองพี่น้องกอดปลอบขวัญกันก็เม้มริมฝีปาก อยากเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกันใจแทบขาด แต่เกรงว่าหากทำเช่นนั้นความลับที่เฝ้าปกปิดไว้จะตกเป็นประเด็นให้หลานชายสงสัยมากขึ้นไปอีก

“ ทำไมหรือคะ ผู้หญิงที่แม่ใหญ่จะให้หมั้นด้วยไม่ดีตรงไหนหรือคะ พี่ใหญ่ถึงไม่อยากหมั้นขนาดนี้ ”

“ คุณวิกานดาเธอก็ดี เธอเป็นผู้หญิงสวยและฉลาด ถ้าใครได้แต่งงานด้วยก็ถือว่าโชคดี แต่หัวใจพี่มันมีเจ้าของอยู่แล้ว จะให้พี่ทำใจสลัดคนที่พี่รักออกไปแล้วเอาคนที่คู่ควรกว่ามาแทนที่ได้ยังไง ” เขาพร่ำรำพันความในใจ

“ ในเมื่อพี่ใหญ่มีคนที่รักมากขนาดนั้น ทำไมไม่บอกแม่ใหญ่ไปตามความจริงล่ะคะ จะอมพะนำไว้ทำไม เล็กเชื่อนะคะว่าถ้าแม่ใหญ่ได้เห็นผู้หญิงที่พี่ใหญ่รัก แม่ใหญ่ต้องล้มเลิกการหมั้นครั้งนี้แน่ ”
เหตุผลของหล่อนฟังดูมีหลักการ ทว่าชายหนุ่มผู้เป็นฝ่ายถูกบังคับขืนใจในครานี้กลับเพียงหลุดยิ้มเศร้าๆ ซบหน้าลงบนไหล่นุ่มหอมของน้องคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง

“ พี่พาเขามาไม่ได้หรอกเล็ก... เขาเป็นคนที่พี่ไม่สมควรรักแต่ก็อดที่จะรักไม่ได้ พี่บอกใครหรือแม้แต่ตัวเขาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพี่รักเขามากขนาดไหน รักอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อนในชีวิต ” ถ้อยความสารภาพนั้นลึกซึ้งแฝงนัยยะที่หอมหวานเคล้าไปกับความรวดร้าว

“ เล็กไม่รู้หรอกนะคะว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงรักเธอคนนั้นไม่ได้ แต่เล็กคิดว่า ถ้ารู้อยู่แล้วว่ารักไม่ได้ก็ต้องตัดใจ...การหมั้นหมายของพี่กับคุณวิกานดาอาจจะช่วยทำให้พี่ตัดใจจากเธอคนนั้นง่ายขึ้นก็ได้นะคะ ”
คนที่ไม่เคยล่วงถึงเบื้องลึกที่ผู้เป็นพี่แอบเร้นไว้ ไม่รู้ตัวเลยว่าคำแนะนำด้วยความหวังดีอย่างสุดซึ้งนั้นทิ่มแทงหัวใจทั้งดวงให้แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี

“ เล็กอยากให้พี่หมั้นหรือจ๊ะ ” เขากระซิบถาม ลมหายใจขาดห้วง ความขมขื่นกัดกร่อนให้ร่างกลายเป็นซากไร้จิตวิญญาณ

“ พี่ใหญ่คิดว่าเล็กพูดถูกไหมล่ะคะ ” หล่อนถามกลับ แววตาเต็มตื้นความรักในฐานะน้องสาวเท่านั้น
ศิระหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อตริตรองถึงความเป็นจริงที่ควรดำเนินต่อไปอย่างถูกครรลองครองธรรม...สายสัมพันธ์ของพี่น้องท้องเดียวกัน การเลือกหักดิบคงดีกว่าต้องทรมานหรือถูกตัดขาดจากกันจนวันตายและการหมั้นกับวิกานดาจะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยหยุดยั้งความคิดอันผิดบาปที่ดำเนินไปในทุกวันให้สิ้นสุดลง

...อาจมีแค่ทางนี้ที่เขาจะมีชีวิตได้โดยที่หัวใจจะไม่บอบช้ำมากไปกว่านี้...





ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ส.ค. 2554, 16:22:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ส.ค. 2554, 16:22:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2123





<< บทที่ 7   บทที่ 9 >>
anOO 5 ส.ค. 2554, 17:57:43 น.
อยากรู้เหตุผลจัง
ว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงรักเล็กไปได้ หรือมีอะไรมากกว่าที่เรายังไม่รู้


violette 5 ส.ค. 2554, 22:39:35 น.
หรือว่าจริงๆพี่ใหญ่กับเล็กไม่ใช่พี่น้องแท้ๆนะเนี่ย
ทำไมนายภาคต้องคิดจะฮุบอังคพิมานด้วยหนอ


คุณแม่ลูกสอง 6 ส.ค. 2554, 11:48:48 น.
จะรอตอนต่อไปนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account