ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 12
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑๒
ราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรบาบิโลเนีย
น้ำเนตรนลินนาไหลพราก ถามตนเองว่า เบื้องหน้าคือ ภาพมายาหรือไม่ ด้วยสิ่งอันประจักษ์คือ ภาพของสตรีผู้คุ้นเคยกำลังมองมา ดวงตาคมโตดำสนิทคู่นั้นมองหล่อนด้วยความตระหนก มีน้ำเนตรคลอคลองอยู่ในหน่วยตา ลำคอนลินนาตีบตัน ไม่อาจแม้เค้นเสียงออกมาสักคำหนึ่ง ไม่กล้าแม้หายใจแรงกระทบผิวน้ำ ด้วยกลัวภาพเบื้องหน้าจะกระเพื่อมเลือนหายไป
ภาพอันฉายอยู่เบื้องหน้าคือ ภาพมารดาของเธอ...อมันดารี ประมุขแห่งเทวาสถิต ทว่าบัดนี้ความสง่างามประดุจนางพญากลับเลือนหายไป คงเหลือเพียงสตรีนางหนึ่งผู้เรือนร่างทรุดโทรม ขอบตาดำช้ำ จักษุอันงดงามคมโตอย่างยิ่งบัดนี้แดงก่ำ หล่อนสดับได้เพียงเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญอย่างชวนเวทนา จากนั้นเรียวนิ้วขาวซีดสั่นเทาจากอีกฟากจึงเอื้อมมาสัมผัสผิวน้ำแผ่ออกเป็นวงกระเพื่อม ราวต้องการตรวจสอบว่า ภาพเบื้องหน้าคือความจริงหรือไม่
นลินนาเอ่ยถามตนเองว่า ภาพตรงหน้าคือสิ่งใด และเหตุใดภาพมารดาของเธอจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ อมันดารี เทวาสถิตผู้น่ากริ่งเกรงหายไปไหน และแล้วสุ้มเสียงสะอึกสะอื้นก็แว่วขึ้นมาอีกระลอก ทว่ารอบนี้เป็นคำ กระชากสตินลินนาให้หวนคืน
เสียงถามนั้นรวดร้าวคร่ำครวญปริ่มขาดใจ “ลิน...นลินนา นั่นลินใช่ไหมลูก?”
ถ้อยถามพานลินนาสะท้านเยือก น้ำตาไหลพราก เจ็บปวดราวมีผู้ขว้างหอกเสียบทะลุอก หล่อนงงงัน เหตุใดมารดาจึงทุกข์ระทมถึงเพียงนี้ มันเกิดเหตุอะไรขึ้น หล่อนพยายาม...พยายามอย่างยิ่งที่จะเค้นเสียงออกไป
“ชะ...ใช่ค่ะแม่ นี่หนูเอง นลินนา”
หล่อนตอบไป จับจ้องภาพเบื้องหน้าไม่วางตา ยังคงถามตนเองว่า ภาพเบื้องหน้าคือมายาลวงหลอนหรือไม่ บางทีหล่อนอาจคิดถึงบ้านมากเกินไปจนสร้างภาพขึ้นมาเอง บางทีนี่อาจเป็นเพียงนิทราตื่นหนึ่ง หล่อนอาจล้มตัวลงนอนไปพร้อมกับตะเกียงอันดับลง กระนั้นภาพตรงหน้ายังคงตราตรึง ตอกสลักมิให้หล่อนคลาดสายตาสักวินาที
“นี่คือ หนูใช่ไหมลิน คือหนูจริงๆ ใช่ไหมลูก?”
สตรีผู้เธอมิทราบว่า เป็นภาพมายาหรือไม่ยังคงพร่ำถาม สับสนงงงันว่า เหตุใดภาพมารดาจึงแปรเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ เธอไม่ทราบว่า ตนหายไปนานเพียงใด และในยุคปัจจุบันมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง เธอรู้เพียงว่า ตนถูกส่งข้ามห้วงกาลกลับมา นอกนั้นอีเอ...เทวะผู้มีศักดิ์เป็นอัยกามิปริปากเอื้อยเอ่ยวจีใด คงเพียงแววเนตรลึกล้ำดุจห้วงลึกแห่งอัปซูเท่านั้น
นลินนาพิจารณาภาพสตรีตรงหน้า เริ่มเชื่อว่า ภาพอันสะท้อนจากอีกฟากฝั่งคือมารดาของตน
ไม่บ่อยนักที่อมันดารี เทวาสถิตจักสำแดงความอ่อนแอ ในวงการธุรกิจ หญิงแกร่งแห่งเทวาสถิตคือนางพญาผู้น่าเกรงขาม ดวงตาคมโตดำสนิทเรียบนิ่งราวตาสิงโต อิริยาบถสง่าผ่าเผยราวมยุเรศลำแพนหาง ท่วงท่าย่างเยื้องสง่างามประหนึ่งราชสีห์แห่งพงไพร ทว่าบัดนี้นลินนาแลเห็นเพียงสตรีนางหนึ่งผู้เปราะบางอย่างยิ่งเท่านั้น ไร้ซึ่งท่วงท่าวางสง่า ความทรงอำนาจ แลกิริยาอันทรงศักดิ์ คล้ายสิ่งค้ำจุนทั้งมวลได้พังภินท์ ทิ้งไว้เพียงสตรีนางหนึ่งผู้ตกอยู่ในทุกข์เวทนา
นลินนาสดับฟังกายาสั่นสะเทิ้ม ได้เพียงอ้ำอึ้ง มือทั้งสองข้างยกปาดน้ำมูกน้ำตาอันเปรอะเปื้อน จากนั้นจึงเอื้อนตอบ
“ใช่ค่ะ หนูคือนลินนา คือลูกของแม่ยังไงคะ”
หล่อนตอบไป ทุกข์ใจอย่างยิ่งกับสภาพของมารดาในยามนี้ แม้คำพูดทั้งมวลได้ถูกกลืนหายลงลำคอ ทว่าแววตาของทั้งคู่กินความลึกซึ้ง ต่างฝ่ายต่างดีใจกับการพบเผชิญ ความกังขาในคราแรกหลอมละลายหายไป แลเนตรคมโตรวดร้าวบัดนี้ก็ช่างแลดูปลื้มใจนักกับการพบบุตรีในยามนี้
“ดีเหลือเกิน อย่างน้อย....แม่ก็ได้เห็นว่า ลูกมีความสุขในโลกหน้า”
กระแสธารแห่งความปลาบปลื้มหยุดชะงัก ดุจฟ้าฟาดผ่ากลางกบาล นลินนาแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง น้ำเนตรพลอยหยุดลง เอ่ยถามตะกุกตะกัก
“แม่....แม่ว่าไงนะคะ?” สมองหล่อนพยายามประมวลผล
สตรีตรงหน้าร่ำไห้ พยายามเอื้อนเอ่ยอย่างยิ่ง “ฮึก แม่ดีใจที่เห็นว่า ลูกมีความสุขในโลกหน้า พระแม่คงคาคงชำระล้างบาปทั้งมวลให้ลูกแล้ว”
ทายาทแห่งเทวาสถิตอื้ออึง ไม่เข้าใจสิ่งอันกำลังได้ยิน ก้มลงมองเรือนร่างของตนเอง มองสองแขนอันเปี่ยมเนื้อหนังมังสา ทาบฟังเสียงหัวใจอันยังคงเต้นรัว ความนุ่มอุ่น และเลือดเนื้อของมนุษย์ยังไหลเวียน หล่อนยังไม่ตาย หล่อนยังมีชีวิต!
มิมีทางที่จักเดินสู่มรณะ
เรื่องทั้งหมดมันคืออะไรกัน!
หล่อนส่ายหน้า ปฏิเสธในสิ่งที่มารดาเอื้อนเอ่ย “แม่คะ ฟังนะคะ หนูยังไม่ตาย หนูยังมีชีวิต” หล่อนชะงักไปครู่หนึ่ง คล้ายทบทวนความจริง “และที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์!”
นลินนาพยายาม เธอพยายามอธิบาย แม้จะยังสับสนงุนงง จากนั้นจึงนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ลังเลว่า ควรบอกมารดาหรือไม่ว่า หล่อนไม่ได้อยู่ในปัจจุบันกาล ทว่าเป็นยุคบาบิโลนใหม่ ในช่วงเวลาราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล มารดาจะเชื่อหล่อนหรือไม่ จะฟังคำพูดอันเกินสามัญนี้หรือเปล่า
ทว่ามารดาเธอยังคงนิ่งงัน พักตร์งามสำแดงความตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้!” เสียงปฏิเสธกร้าวฟังชัด “แม่จับศพลูกเองกับมือ ลูกจำได้ไหมว่า ลูกตกน้ำ เราพยายามงมลูกขึ้นมา แต่ก็ไม่ทัน” มารดาเธอนิ่งสะอื้น หอบหายใจถี่ระรัว “ส่วนเกวลิน เพื่อนของลูกที่ตกไปด้วยกันก็หายไป เราหาร่างเขาไม่เจอ แต่งานศพของลูกแม่เป็นคนจัดด้วยตัวเอง แม่...แม่นี่แหละที่พาลูกเข้าสู่อ้อมอกของพระแม่คงคา”
นลินนารับฟังด้วยความตกตะลึง มองมารดาร่ำไห้คร่ำครวญอย่างสงสารจับใจ เพิ่งรับรู้ว่า เกวลินก็ตกน้ำลงพร้อมกัน แต่...เกวลินไม่ได้อยู่ที่นี่ เกวหายไปไหน ทว่าที่น่าอัศจรรย์ใจ เหตุใดแม่จึงพบร่างเธอ!
เธอพยายามจับต้นชนปลาย ภายใต้สภาวการณ์อันประหลาดเช่นนี้ ผู้กระทำย่อมเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเทพอีเอ...อัยกาผู้ชักนำเธอมา สำหรับทวยเทพการกระทำเหล่านี้คงไม่ยากเย็นเกินไป หากพระองค์สามารถสร้างมนุษยชาติได้ มีหรือที่จักสร้างร่างปลอม ๆ ขึ้นมาไม่ได้
เหตุแห่งการกระทำคงไม่แคล้วปรารถนาลบตัวตนเธอในยุคปัจจุบันให้สมบูรณ์ นลินนาตระหนักชัดแต่ครั้งสดับฟังกระแสรับสั่งแห่งนทีเทพผู้ทรงอำนาจ หล่อนสิ้นความหวังจะกลับคืนสู่ยุคปัจจุบัน แลต้องใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้อย่างยอมจำนน แลเหตุอัศจรรย์ในครั้งนี้คงคือความเมตตาแห่งทวยเทพ
นลินนาพยายามแจงความจริงให้มารดาฟัง “แม่คะ ฟังหนูนะคะ” เธอชะงักไปพัก จากนั้นจึงรวบรวมกำลังใจ เธอจำเป็นต้องบอกกล่าวเรื่องนี้กับมารดา “ทุกอย่าง...ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง แต่คือมนตราของเทพเจ้า หนูยังมีชีวิต หนูไม่ได้ตาย และตอนนี้หนูไม่ได้อยู่ในไทยค่ะแม่ และไม่ได้อยู่ในยุคปัจจุบันด้วย แต่เป็นยุคบาบิโลนใหม่ ๒,๕๐๐ ปีก่อนยุคเรา ตอนนี้หนูอยู่ในเมืองบาบิโลน อยู่ในยุคของลูกาล...เอ่อ...กษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ที่หนูมาที่นี่ก็เพราะ...”
สตรีผู้ถือกำเนิดจากพรแห่งสรวงสวรรค์นิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจักบอกเล่าแก่มารดาผู้ในยุคปัจจุบัน เฉกเดียวกับคราเทพอีเอมีกระแสรับสั่งแก่เธอในพระวรกายแห่งอัปซู
อมันดารีผู้อยู่อีกฟากของห้วงกาลพยายามเข้าใจเรื่องราวที่บุตรีถ่ายทอดให้ฟัง แม้บางคราผิวน้ำจักพร่ากระเพื่อม กระนั้นเสนาะสำเนียงยังคงแจ่มชัด แม้บางช่วงจักสับสน แม้บางช่วงจักกังขา กระนั้นนางก็ยังคงฟัง สดับสำเนียงอันคิดว่า ชาตินี้คงไม่ได้ยินอีกตลอดกาล แต่ทวยเทพกลับประทานพรแก่นางอีกครั้ง เป็นพระมหากรุณา...ความว่างโหวงถูกเติมเต็ม ปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่งหลังทราบว่า บุตรีของยังมีชีวิต ขณะเดียวกันก็หนาหนักใจกับภาระอันบุตรีต้องแบกเผชิญ กระนั้นนางกลับเห็นความเข้มแข็งในตัวบุตรี แลจากที่ได้สดับฟัง นางเชื่อว่า คนทางโน้นพร้อมจักช่วยเหลือบุตรีนาง ภารกิจใหญ่หลวงครานี้ นลินนาไม่ได้กระทำโดยลำพัง
“...ถึงหนูอาจจะทำได้ไม่ดี แต่หนูก็จะช่วยพวกเขาค่ะแม่ ต้องขอโทษแม่จริงๆ ที่หนูไม่ได้อยู่ทดแทนบุญคุณ แต่หนูเชื่อว่า ตราบใดที่ความหวังของชาวคาลเดียนยังไม่ดับมอด ทวยเทพก็จะไม่ละทิ้งบาบิโลน”
คล้ายภาพอดีตซ้อนมา นางนึกถึงคราบุตรีประกาศเจตจำนงว่า จะศึกษาต่อในคณะโบราณคดี เอกมานุษยวิทยา แทน คณะบริหารธุรกิจตามหลายผู้ออกความเห็น ทีแรกนางเฉยเมย ทว่าพลันแลเห็นประกายกล้าจึงจำยอม ด้วยมันเป็นประกายเดียวกับที่ทำให้นางหลงรักนักศึกษาหนุ่มชาวอิหร่านผู้หนึ่ง นางเคยจำนนต่อความแน่วแน่ของบุตรี แลครานี้ก็เช่นกัน...
“ความจริงแม่มีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกลูก”
ถ้อยวจีของมารดา พาให้นลินนาสะกดกลั้นหยาดน้ำตา เอ่ยถาม “อะไรหรือคะ?”
“เพื่อนของลูกที่ชื่อ โจแอน แมคคาธี เธอมาที่บ้าน ตอนนี้เธอเข้าใจว่า ลูกตายแล้ว ตอนนี้เธอกำลังพักอยู่บ้านเรา ลูกอยากแม่ทำอะไรไหม?”
หญิงสาวผู้อยู่ในยุค ๒,๕๐๐ ปีก่อนนิ่งอั้นรับฟัง จากนั้นจึงครุ่นคิด ก่อนคลี่ยิ้มอ่อนจาง
สาวใช้แห่งเทวาสถิตก้าวสู่เขตพำนักของอาคันตุกะ เพื่อเรียนเชิญอาคันตุกะต่างแดนไปพบประมุขแห่งเคหาสน์ในห้องอันแทบถูกปิดตาย
โจแอนล่วงสู่ห้องอันสลัวด้วยแสงโคม ในมุมอันเป็นที่ตั้งของโคมฉลุลายประดับอัญมณี...บนโซฟาบุนวมนุ่มนิ่มปรากฏร่างของมารดาสหาย นักศึกษาสาวแห่งภาควิชาอัสซีเรียวิทยาแลเห็นว่า ดวงตาคู่นั้นบอบช้ำ กระนั้นสตรีตรงหน้ายังคงสง่างามดุจนางพญา
“เรียกฉันมามีอะไรเหรอคะ?”
สิ้นคำ ทั่วห้องจึงสว่างโร่ขึ้นทันตา เผยให้เห็นตำราจุแน่นเต็มชั้นหนังสือไม้เข้มขลังรายเรียงต่อกันราวป้อมกำแพง ทุกเล่มล้วนดูเลอค่า ได้รับการเก็บรักษาอย่างดี หนำซ้ำบางเล่มยังหายากยิ่งกว่าในห้องของนลินนา
“เอ่อ...นี่คือ?” นักศึกษาสาวแห่งภาควิชาอัสซีเรียตาพร่าพราย ครั้นแลเห็นหนังสือละลานตา สตรีเบื้องหน้าจึงเอื้อนเอ่ยวาจา
“หนังสือพวกนี้เป็นของสามีฉัน ปกติลูกสาวฉันจะเป็นคนอ่าน แต่ตอนนี้เด็กคนนั้นไม่อยู่แล้ว ฉันเลยคิดจะมอบมันให้เธอ”
โจแอนตะลึงอึ้งอั้น รู้ว่า พ่อของนลินนาจากไปแล้ว และศึกษาสาขาเดียวกับเธอในมหาวิทยาลัยข้างเคียง ดูจากปริมาณของหนังสือตรงหน้า โจแอนไม่คิดว่า ชาตินี้เธอจะอ่านมันหมด ทว่าหนังสือส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่บันทึกเรื่องราวของดินแดนตะวันออกใกล้โบราณไว้ทั้งสิ้น
“คือ...นี่มัน...”
“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอก เชิญเลือกได้ตามสบาย อยากจะได้เล่มไหน หรืออยากได้ทั้งหมดฉันก็ยินดี”
กล่าวจบ ประมุขแห่งเคหาสน์ก็ยุรยาตรออกจากห้องทันควัน ทิ้งหญิงสาวชาวอังกฤษตกอยู่ใจกลางวงล้อมเงียบเชียบของตำรา
อมันดารียืนนิ่งชะงักอยู่หน้าห้องหนังสือของสามี หวนนึกถึงคำของบุตรี ก่อนภาพฉายบนน้ำจักพร่าเลือน
“หนูอยากมอบหนังสือของคุณพ่อให้เธอค่ะ ถึงหนูจะสานฝันของคุณพ่อไม่ได้ แต่โจแอน หนูเชื่อว่า เธอสามารถทำได้ เธอจะต้องเป็นนักอัสซีเรียวิทยาที่เก่งกาจเหมือนคุณพ่อแน่นอน หนูเชื่อเธอ”
อมันดารีถอนปัสสาสะระรวยริน น้ำเนตรรินไหล กระนั้นก็มีความสุขใจอายอวลอยู่จาง ๆ
รุ่งอรุโณทัย สุริยเทพชามาชทรงพระแสงกริชกรีดเปิดช่องเขาเพื่อเสด็จขึ้นสู่นภาเทพอานูอีกครา พระรัศมีบนพระอังสาฉายฉานไปทั่วนคร ปลุกสรรพชีวิตให้หลุดพ้นจากห้วงนิทรา
ณ วิหารของเทพีแห่งสิเน่หา และการยุทธนา เสียงนักร้องประจำวิหารขับขานสอดประสานกับเสียงสังวัธยายมนตราของนักบวชสตรีแห่งมหาเทพี บุตรีแห่งอิชทาร์ลืมตาขึ้นรับวันใหม่ รู้สึกนัยน์ตาแห้งและบอบช้ำจากการร่ำไห้อย่างหนักเมื่อคืน กระนั้นตรงมุมปากกลับคลี่ยิ้มจาง บังเกิดความสุขใจอายอวล
บัดนี้ผิวน้ำเหนืออ่างเรียบสนิทราวแผ่นกระจก มิเหลือเค้าว่า เมื่อคืนได้สร้างสิ่งอัศจรรย์ใดไว้ หล่อนมองผิวน้ำเหนืออ่างอย่างอาวรณ์ มิทราบว่า จะได้พบมารดาอีกเมื่อใด แลกลัวเกรงว่า ความอัศจรรย์ทั้งหมดอาจเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง
ทาสสาวประจำวิหารตามเธอไปกินสำรับร่วมกับนักบวชแลเจ้าหน้าที่ประจำวิหาร นลินนารับฟังอย่างตกใจ ด้วยทราบว่า ตนได้พลาดการทำพิธีช่วงเช้าไปเสียแล้ว แล้วเหตุใดนินซาไม่ตามเธอ
นลินนาดุ่มเดินไปห้องอาหารทันควัน แลเห็นสหายนักบวชนั่งรับสำรับคลาคล่ำ บางนางโอบอุ้มลูกน้อยไว้ด้วย เนื่องจากนักบวชสตรีในสมัยโบราณสามารถมีครอบครัวได้ แลเด็กน้อยบางคนอาจเป็นลูกของขุนนางใหญ่ แม้กระทั่งกษัตริย์ กวาดสายตาครู่หนึ่งจึงแลเห็นนินซานั่งคอย พลันเอ่ยถามจึงได้ความว่า
“ข้าเห็นเจ้าทำธุระมาทั้งวันคงเหนื่อย อีกอย่างเจ้ามิใช่ผู้ทำพิธีหลัก ปล่อยให้ผู้อื่นทำไปก็ได้”
นลินนารับฟังปากอ้าตาค้าง ขณะกำลังรับอาหารเช้า เบียร์เหยือกโตพร่องลงเกินครึ่ง แสดงว่า สตรีจากอนาคตกาลเริ่มคุ้นชินกับเครื่องดื่มโบราณของชาวเมโสโปเตเมีย ซึ่งพวกเขาคิดว่า เบียร์นี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นผู้มีวัฒนธรรม
“แต่ฉันก็...”
นลินนาพยายามแย้ง ทว่านินซาดูไม่สนใจ ก่อนเอื้อนเอ่ยว่า “เรื่องนั้นช่างมันเถิด เจ้าเตรียมตัวสำหรับนัดของข้ากับเจ้าราตรีนี้ดีกว่า”
พลันสดับก็หน้าง้ำ เมื่อตระหนักว่า ตนต้องเริ่มศึกษาดาราศาสตร์เสียแล้ว ด้วยเป็นดำริของหัวหน้านักบวช สำหรับชาวคัชดู ดาราศาสตร์คือความภาคภูมิใจ คือเกียรติยศแลศักดิ์ศรีอันไม่มีวันทำลาย นักบวชผู้ใดไม่รู้ดาราศาสตร์จักโดนเหยียดหยามอย่างยิ่ง เพราะขนาดเด็กชายตัวน้อยที่ติดตามบิดาไปทำงานนางานไร่ยังรู้วิธีดูดาวง่าย ๆ
ครั้นเห็นดวงหน้าเธององ้ำ แม้แต่นินซายังหัวเราะ “ฮะๆๆ เจ้าอย่าขุ่นเคืองเลยนลินนา อีกอย่างวันนี้เจ้าได้รับอนุญาตให้ลาเรียนได้หนึ่งวัน”
ความไม่พึงพอใจถูกระงับ ความสงสัยผุดพราย “ทำไมเหรอ?”
หล่อนงงงัน ด้วยไม่อยากหยุดบ่อยนัก คิดสภาพแค่ต้องไปเรียนตามให้ทันก็แย่แล้ว
“พระราชินีแทปปูมีพระเสาวนีย์ให้เจ้าเข้าเฝ้าพระนางที่พระราชวังใต้ พระนางโปรดให้เจ้าไปเป็นพระสหายของเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนา ข้าแจ้งเรื่องนี้แก่หัวหน้านักบวชแล้ว เจ้ามิต้องกังวล”
นักบวชสาวรับฟัง ประหวัดถึงเจ้าหญิงวัยดรุณีผู้แสนร่าเริง เมื่อเทียบกับประดาพระเชษฐา ด้วยเหตุนี้นักบวชสาวจึงจำต้องเตรียมตัวเข้าเฝ้า ด้วยอีกมินานทางวังจักจัดขบวนมารับ
หล่อนมุ่งสู่ที่พัก ทว่าระหว่างทางกลับมีสุ้มเสียงสนทนาลอดสู่กรรณ
“ดูสิ ทั้งที่นางเพิ่งเป็นนักบวชใหม่แท้ ๆ แต่ประเดี๋ยวท่านหัวหน้านักบวชก็เรียกเข้าพบ พระราชินีก็เรียกเข้าหา ขนาดข้าอยู่มานานแท้ ๆ หัวหน้านักบวชยังไม่เคยเรียกข้าเข้าพบสักครั้ง แค่เป็นบุตรีแห่งอิชทาร์ มันจะยิ่งใหญ่อะไรกันนักกันหนา”
เสียงนั้นดังเข้าเสียดแทงจิตใจ นลินนาชะงักงัน ได้ยินเสียงสนทนาซุบซิบอีกครู่ใหญ่ ก่อนเงียบหายไปพร้อมเสียงฝีเท้าอันกรายห่าง
หล่อนยังคงชะงักอยู่ตรงหัวมุม รอจนทำใจได้จึงรีบมุ่งสู่ห้องพักเตรียมตัวรวดเร็ว พยายามไม่คิดมากกับถ้อยวาจาอันเผอิญได้ยิน
ขบวนเสลี่ยงจากพระราชวังใต้ยาตรามารับหน้าวิหาร มีทหารและขันทีนำขบวน นอกนั้นคือทาสหามเสลี่ยง ขันทีผู้อัญเชิญพระเสาวนีย์เชิญเธอขึ้นสู่เสลี่ยงทองคำฉลุลายเป็นสองสิงหราชเผ่นผยองวิจิตรงดงาม จากนั้นขบวนจึงยาตราสู่เขตพระราชฐานชั้นใน
ถ้อยคำยังคงอึงอลในช่องกรรณ แม้นลินนาพยายามระงับใจ และปัดความว้าวุ่นทิ้ง ทว่าเหตุการณ์คล้ายคลึงกันทาบซ้อนมา นึกถึงคำของเพื่อนร่วมคณะที่ตนเคยบังเอิญได้ยิน
“กะอีแค่ฉลาดหน่อย ทำเป็นอวดเก่งไปได้”
วาจานั้นเสียดแทงใจอีกครั้ง หล่อนสูดลมลึก พยายามปั้นหน้ายิ้ม ทำราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พยายามคิดเสียว่า วาจาเหล่านั้นเป็นเพียงท่วงทำนองแห่งเทพเอนลิลลอยผ่านหูเท่านั้น
ขบวนเสลี่ยงยาตราเข้าสู่พระราชวังจากลานทางทิศตะวันออก ภาพพระราชอุทยาน หรือ สวนลอยบาบิโลน แผ่กว้างสู่สายตา ก่อนชั่วพริบตา ความตระการแห่งเขตพระราชฐานชั้นใจจักเปิดเปลือยสู่สายตาสตรีผู้มาจากอนาคตกาล
***********************************************************************************************************************
สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะที่หายไปนาน รู้สึกหลัง ๆ จะกลายเป็นอัพสองอาทิตย์ตอน ความจริงแล้วเซธ-เวเรทไม่คิดว่า จะเขียนฉากปัจจุบันเยอะขนาดนี้ค่ะ แต่กลายเป็นว่า ลากยาวมาก เพราะต้องรำพันเยอะ ถ้ายืดเกินไปก็สามารถบอกได้นะคะ จริงๆ แล้วตอนนี้ต้องเขียนฉากในวังไปแล้วด้วย แต่เนื่องจากอมันดารีกับนลินนาสื่อสารกันเยอะมาก เลยยินดียกตอนนี้ให้แม่ลูกไปค่ะ
ถึงอย่างไรก็แต่งมาถึงตอนที่ ๑๒ แล้ว อ่านแล้วรู้สึกยังไง อยากให้แก้ตรงไหนก็บอกได้นะคะ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ชื่อตัวละครยาวมาก เกร็ดประวัติศาสตร์เยอะไป หรือบางทีบ้านนลินนาก็เว่อร์ไป ก็ขอน้อมรับด้วยประการทั้งปวง และยังคงยืนยันว่า เป็นความตั้งใจของเราจริงๆ เนื่องจากทุกชื่อเป็นชื่อโบราณจริงๆ และมีบุคคลในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับพันธสัญญาเก่านั่นก็คือ ขุนนางเบลเทซัสซาร์ หรือดาเนียล ส่วนบ้านของนลินนาเป็นความตั้งใจของผู้แต่ง เพราะคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า นลินนาคือหญิงสาวผู้เกิดท่ามกลางศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งทีแรกเราเขียนนลินนาไว้อีกแบบหนึ่งคือเป็นหญิงสาวธรรมดาค่ะ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถเขียนนลินนาคนนั้นให้ออกมาโลดแล่นได้ แต่พอเป็นนลินนาคนนี้ กลายเป็นว่า ทุกอย่างสามารถไหลไปพร้อมกับตัวตนของเธอ และเธอเป็นนางเอกที่เซธ-เวเรทสามารถเขียนด้วยความหลงใหลได้
ถึงอย่างไรก็ขอให้ทุกท่านรักนวนิยายเรื่องนี้ และพร้อมจะติชมเซธ-เวเรทด้วยนะคะ
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2559, 01:00:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2559, 01:00:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 1085
<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 11 | Happy Mother’s day : Amandari’s Story >> |
แว่นใส 10 ส.ค. 2559, 07:51:53 น.
ไม่มีปัญหาเรื่องนั้นจ้า มาต่อเรื่องเร็ว ๆ ก็แล้วกันนะ
ไม่มีปัญหาเรื่องนั้นจ้า มาต่อเรื่องเร็ว ๆ ก็แล้วกันนะ
Zephyr 13 ส.ค. 2559, 12:08:27 น.
ชื่อยาวจำยากก็จริงค่ะ
แต่อ่านบ่อยๆมันก็คุ้นเองค่ะ
ได้ความรู้นะ
แต่เรื่องมันเนิบๆเรื่อยๆไปหน่อยค่ะ
เอ รึยังไม่ถึงตอนตื่นเต้น ต้องรอดูต่อไปสินะ
ชื่อยาวจำยากก็จริงค่ะ
แต่อ่านบ่อยๆมันก็คุ้นเองค่ะ
ได้ความรู้นะ
แต่เรื่องมันเนิบๆเรื่อยๆไปหน่อยค่ะ
เอ รึยังไม่ถึงตอนตื่นเต้น ต้องรอดูต่อไปสินะ