ม่านนทีปรารถนา
เมื่อโพไซดอนเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ก่อเรื่องวิวาทกับอพอลโลจนถูกอัปเปหิลงมาอยู่ในร่างมนุษย์ในดินแดนที่เขาแสนเกลียดชัง พร้อมกับโดนริบพลังไปเสียกว่าครึ่ง ทางเดียวที่จะกลับคืนสู่โอลิมปัสและได้พลังทั้งหมดกลับมา เขาจะต้องร่วมมือกับอพอลโลทำภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ

เรื่องคงไม่ยากนักถ้ารู้ว่าภารกิจนั้นคืออะไร แต่นี่เขาไม่รู้อะไรสักอย่างต้องคำตอบด้วยตัวเอง เปรียบไปก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร ซ้ำอพอลโลยังไม่ตั้งใจคิดจะช่วยเสียอีก งานนี้ราชันแห่งท้องทะเลจะทำสำเร็จหรือไม่ เพราะจู่ๆ ก็มีตัวแปรหน้าใสผู้มีลมหายใจแห่งท้องทะเลติดกาย มาปรากฏในภารกิจครั้งนี้ด้วย

มาร่วมติดตามลุ้นกันได้ใน "ม่านนทีปรารถนา" ค่ะ
Tags: โพไซดอน เทพเจ้ากรีก รักหวาน ฟิน

ตอน: 10 ท้าทาย

ที่โรงเรือนเลี้ยงม้าของโอดิสซีฟาร์ม แอนด์ รีสอร์ต คีรีลทำงานด้วยความขยันขันแข็ง พอทำงานไปได้ครู่ใหญ่จนเหงื่อเริ่มที่ไหลซึมออกมาเปียกเสื้อ ก็มีเสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อเขาดังขึ้น

“คีรีล”

เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย เจ้าของผมสีดำยาวที่เจ้าตัวรวบรัดไว้เป็นหางม้า ดวงตาโตสีน้ำตาลแลจะเล็กลงเมื่อเธอยิ้มจนเต็มใบหน้าเช่นนี้ เธอคือแอนนิส ลูกสาวเจ้าของฟาร์มและรีสอร์ตแห่งนี้

“มีอะไรให้ผมทำหรือครับคุณแอนนิส ให้เด็กที่รีสอร์ตมาตามผมก็ได้ครับ คุณไม่น่าจะต้องลำบากมาถึงที่นี่”

“ลำบากที่ไหนกันฉันขับรถกอล์ฟมาใกล้นิดเดียวเอง” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเทพแห่งท้องทะเลมองไปในมือของเธอก็เห็นว่าหญิงสาวหิ้วตะกร้าสานมาด้วย “วันนี้ที่รีสอร์ตมีคอร์สสอนทำพาสทิตสิโอ (Pastitsio) ฉันเลยทำมาเผื่อคีรีลด้วย รับไปสิยังร้อนๆ อยู่เลย” แล้วแอนนิสก็ยื่นตะกร้าสานที่มีผ้าลายสก็อตปิดทับด้านบน ส่งมาให้เขา

“ขอบคุณครับคุณแอนนิส”

“เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ไปรับกลุ่มของคุณเจนนิเฟอร์ เหนื่อยมากไหมเดินทางหลายชั่วโมงเลยนี่” หญิงสาวเอ่ยชวนคุยในขณะที่เขาแขวนตะกร้าอาหารเอาไว้ที่เสาโรงเรือนเลี้ยงม้า

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ แค่นั่งอยู่ในเรือนานหน่อยเท่านั้นเอง” เอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมลงมาตามไรผม

“เอาไปเช็ดหน้าสิ” แอนนิสยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีสวยหวานและมีกลิ่นหอมส่งมาให้เขา แต่เขายังไม่กล้ารับไว้ “รับไปเถอะ ฉันมีอยู่หลายผืน ใช้แล้วไม่ต้องคืนนะเก็บเอาไว้ใช้ต่อได้เลย” หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“ขอบคุณครับ” เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ เขาก็ยินดีรับไมตรีที่แอนนิสมอบให้ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังมีสายตาเกลียดชังของใครบางคนมองอยู่

“คีรีลอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม พรุ่งนี้ฉันต้องสอนนักท่องเที่ยวที่มาพักกับเราทำอาหารอีกวัน ยังนึกเมนูไม่ออกเลยว่าจะสอนทำอะไรดี จะสอนทำซูฟลากิ (Souvlaki) ก็กลัวจะยากเกิน หญิงสาวหมายถึงอาหารจานเด่นของกรีซที่ทำจากเนื้อสัตว์ โดยการนำเนื้อสัตว์มาหมักกับเครื่องเทศจนเข้าเนื้อแล้วนำไปย่าง ทานคู่กับขนมปัง

“ตามสะดวกคุณแอนนิสเถอะครับ จริงๆ ผมกินอะไรก็ได้ อีกอย่างอาหารของที่นี่สำหรับคนงานในฟาร์มก็อร่อยมากอยู่แล้ว”

“แน่นอนสิก็อาหารพวกนี้ฉันเป็นคนควบคุมการผลิตกับมือนี่นา” แอนนิสยืดอกด้วยความภูมิใจเพราะนอกจากเธอจะดูแลในส่วนของรีสอร์ตแล้ว เรื่องอาหารการกินของทุกคนในฟาร์มเธอก็เป็นคนไปควบคุมดูแลให้แม่ครัวทำตามเมนูที่เธอเลือก “อืม ฉันนึกออกแล้ว ฉันทำไจรอส (Gyros) ดีกว่า จำได้ว่าคราวก่อนที่ทำมาให้ คีรีลชอบกินจนหมดจานเลยนี่ ไจรอสที่แอนนิสพูดถึงเป็นอาหารยอดนิยมของกรีซ เป็นการเอาแป้งพิต้ามาสอดไส้ด้วยเนื้อสัตว์ย่าง ผักสด ชีส ราดด้วยน้ำซอสดีซาซิกิ

นอกจากเรื่องอาหารที่เธอจะเลือกมาสอนนักท่องเที่ยวทำในวันรุ่งขึ้นแล้ว หญิงสาวยังหาเรื่องมาชวนชายหนุ่มพูดคุยอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะลากลับไปพร้อมรอยยิ้มหวาน เมื่อคล้อยหลังที่แอนนิสไปแล้ว คีรีลก็นั่งทำงานของตนเองต่อไปอีกจนเสร็จเรียบร้อย แล้วก็พาเจ้าไนท์วินด์รวมถึงม้าตัวอื่นๆ เข้าคอก จากนั้นจึงเดินมาล้างไม้ล้างมือเพื่อจะกินอาหารที่หญิงสาวนำมาฝาก
ทว่าพอเขาปลดตะกร้าลงจากที่แขวนไว้ แมกซิมอสก็เดินมาหาแล้วเอ่ยขอดูของในตะกร้าที่เขาถือ

“นั่นนายถืออะไรน่ะคีรีล” ผู้จัดการมาดเข้มเอ่ยถามพลางยื่นมือมาตรงหน้าเป็นการบอกว่าให้ส่งตะกร้าไปให้เขาดู คีรีลไม่อยากมีเรื่องให้ปวดหัวอีกจึงส่งไปให้

“หน้าตาน่ากินดีนี่ ไหนลองชิมดูหน่อยสิ” แมกซิมอสพูดพลางเปิดผ้าลายสก็อตสะอาดสะอ้านที่ปิดจานอาหารเอาไว้ จากนั้นก็ล้วงมือไปหยิบอาหารขึ้นมากินหน้าตาเฉย “อืม อร่อยใช้ได้” จากนั้นก็วางอาหารที่เหลือลงในจานเหมือนเดิม ก่อนจะส่งยิ้มกวนๆ ให้พร้อมกับคำพูดชวนให้โมโห “นายคงไม่ว่านะถ้าจะกินของเหลือจากฉัน”

“ตามสบายครับ” คีรีลตอบเรียบๆ พยายามบอกตัวเองไม่ให้โมโหจนเล่นงานคนตรงหน้า ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาทำเอาเขาเกือบเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ เพราะจู่ๆ แมกซิมอสก็ทำเป็นมือไม้อ่อน ทำตะกร้าอาหารร่วงลงพื้น จานอาหารพลิกคว่ำทำให้ซูฟลากิหกเต็มพื้น

“อะ โทษที วันนี้มือฉันล้าไปหน่อย นายคงไม่ได้ชิมฝีมือของคุณแอนนิสเสียแล้ว เดินไปกินที่โรงอาหารของคนงานแทนก็แล้วกันนะ” พูดจบเจ้าตัวก็หันหลังแล้วเดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้เทพแห่งท้องทะเลผู้ไม่เคยอ่อนข้อให้กับผู้ใด ยืนกัดฟันกรอดอยู่ตรงนั้น สองมือกำแน่นปรากฏแสงสีฟ้าเรืองๆ ออกมา แต่ชายหนุ่มก็พยายามที่จะสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตัวเอง ครู่หนึ่งแสงสีฟ้าในมือนั้นก็หายไป แล้วเขาก็เดินไปที่โรงอาหารของคนงานทันที

หลังกินอาหารเสร็จและเข้าไปในห้องพัก คีรีลก็เดินมาล้มตัวแผ่หลาลงไปบนเตียงนึกสบถก่นด่าอยู่ในใจเพียงลำพังที่จะต้องมาอดทนอดกลั้นยอมให้มนุษย์จอมยโสอย่างแมกซิมอสกลั่นแกล้ง ครั้งหนึ่งเขาเคยทนไม่ไหวซัดพลังใส่แมกซิมอสจนหมอนั้นล้มแผ่หลา เบิกตาตะลึงลานเมื่อมองเห็นว่าดวงตาสีฟ้าของเขามีแสงเรืองรองเช่นเดียวกับในมือ แต่ก่อนที่เขาจะจัดการเจ้านั่นให้สมใจ ก็มีเสียงดังก้องขึ้นมาในหัว

“ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่บนโลกจนสิ้นอายุขัยมนุษย์ ก็จงหยุดการกระทำของเจ้าเสีย โพไซดอน”

ในวันนั้นเขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของซูส น้องชายตัวแสบที่ส่งเขามาอยู่ที่เกาะครีตในร่างมนุษย์เดินดิน ราวกับว่าอีกฝ่ายจงใจเลือกให้เขาลงมาที่นี่

“ไอ้มนุษย์หน้าโง่นี่มันหมิ่นเกียรติของข้า ข้าไม่จำเป็นต้องทนเห็นความยโสโอหังของมันอีก” เขาตวาดตอบกลับไปแบบนั้น
“ข้าเตือนท่านอีกครั้งนะโพไซดอน ถ้าหากท่านทำร้ายมนุษย์คนใด ท่านจะต้องอยู่บนโลกนี้นานขึ้นไปอีก”

เขาไม่ฟังคำเตือนขององค์มหาเทพ ยกมือขึ้นแล้วเส้นแสงสีฟ้าก็พุ่งทะยานไปรัดร่างของแมกซิมอสจนทำให้อีกฝ่ายร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่เป็นอย่างนั้น เพราะเวลาต่อมากลับเป็นเขาเสียเองที่ต้องกระเด็นออกมาจากแมกซิมอส แล้วต้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน เมื่อตรงหน้าปรากฏร่างของมหาเทพซูสในร่างของมนุษย์ชายคนหนึ่ง ซึ่งแต่งกายเหมือนคนบนโลกในสมัยนี้ไม่มีผิด ไม่ได้สวมใส่อาภรณ์เฉกเช่นตอนที่อยู่บนโอลิมปัส

“ข้าเตือนท่านแล้วโพไซดอน แต่ท่านก็ยังมุทะลุอารมณ์ร้อนไม่เลิก ถ้าอย่างนั้นข้าขอยึดเอาพลังของท่านมาอีกสักหน่อยก็แล้วกัน” ในขณะที่ซูสพูดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่รุมเร้าอยู่ทั่วร่างกาย และแสงสีฟ้าถูกดูดออกจากร่างไปสู่หัตถ์ของซูส

“หยุดเดี๋ยวนี้นะซูส เจ้าทำเกินไปแล้ว” เขาร้องตวาด ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเรียบเฉย

“นี่เป็นแค่การตักเตือน ถ้าหากท่านยังฝืนใช้พลังที่มีทำร้ายมนุษย์อีก ข้าจะมายึดพลังของท่านคืนไปทั้งหมด และท่านก็จะต้องอยู่บนโลกนี้ตราบจนสิ้นอายุขัยเช่นมนุษย์บนโลกทั่วไป” กล่าวจบก็ปรากฏแสงสีขาวล้อมรอบวรกายขององค์มหาเทพ แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆ จางลง

“กลับมาคืนพลังให้ข้าเดี๋ยวนี้นะซูส” ไม่ว่าเขาจะร้องตะโกนเท่าใด ร่างของซูสก็ยังคงเลือนรางลงไปเท่านั้น จนกระทั่งพื้นที่ตรงหน้าว่างเปล่าไม่ปรากฏร่างกายของผู้ใดอีก

เขาได้แต่ยืนโกรธแทบบ้าอยู่ตรงนั้น นึกอยากจะลงมือทำร้ายแมกซิมอสเสียให้หายแค้นหายเจ็บใจ แต่ก็ไม่อยากอยู่บนโลกนานจนหมดอายุขัยตามคำขู่ของมหาเทพ เพราะตอนนี้เขาเองไม่ต่างไปจากพวกมนุษย์หน้าโง่ที่ต้องคอยสวดมนต์วิงวอนขอให้เทพเมตตา ฤทธาบารมีที่เคยมีก็โดนยึดไปเกือบหมด หากยังแข็งขืนคิดต่อกรกับซูส หรือคิดจะฝ่าฝืนข้อห้ามที่ฝ่ายนั้นกำหนดไว้ เขาก็คงไม่พ้นแก่ตายอยู่บนโลกมนุษย์ที่เขาแสนชิงชังนี้ สุดท้ายจึงต้องพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะสงบสติอารมณ์ข่มความโกรธของตนเองให้หมด แล้วยอมเดินหันหลังกลับที่พัก เพราะแน่ใจว่าซูสคงจัดการกับความทรงจำของแมกซิมอสเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็เป็นจริงดั่งคาดเพราะวันต่อมาดวงตาของแมกซิมอส ไม่มีแววหวาดหวั่นเขาเหมือนตอนเกิดเรื่อง คงมีแต่เพียงแววตารังเกียจและดูถูกเหมือนเคย





namon
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2559, 19:47:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2559, 19:47:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1368





<< 9 ครอบครัวใหม่   11 เทพบริวารผู้รู้ใจ >>
Zephyr 8 ส.ค. 2559, 23:25:35 น.
ต้องทนอีกนานไหมเนี่ย


namon 8 ส.ค. 2559, 23:48:04 น.
ทนกันต่อปายยยยยนายคีรีลอิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account