มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น
ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น
ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้
Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล
ตอน: บทที่ 31
เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!
แม่ทัพใหญ่แห่งริตถาวดีคิดไปถึง ช่วงที่ต้องช่วยชีวิตเจ้าหญิงจากเงื้อมมือคนร้าย ตอนนั้นคนของเขายังไม่สามารถเข้าถึงตัวคนร้ายได้ แต่หัสตะกลับจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย และพาเจ้าหญิงรัชทายาทมาส่งให้เขาด้วยตัวเอง
เพราะความที่เป็นคนรู้จักกันมาก่อนตอนอยู่ต่างประเทศ ทำให้ปาระมีตกใจเป็นอย่างมากที่ทหารรับจ้างเป็นหัสตะ ลึกๆ ชายหนุ่มคิดว่าหัสตะอาจจะกำลังทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับบิดาของเขาที่อยู่ในคุก
แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัสตะเพียงแต่นำร่างไร้สติของเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตามาส่งให้กับเขาเท่านั้น แม้ว่าทั้งคู่จะรู้จักกันตอนที่ปาระมีเรียนอยู่ต่างประเทศ และเคยฝึกหน่วยซีลร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมาก
เท่าที่ปาระมีรู้ หัสตะไม่มีเพื่อนสนิทชาวริตถาวดีเลย เหตุผลก็คงเป็นเพราะเรื่องบิดาของเขานั่นเอง แต่ทั้งคู่ต่างมีเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันคือกลุ่มของอินทุและองค์ราชาแห่งภูศิยาน์ แต่ที่ผ่านมาหัสตะไม่ได้สนใจเรื่องในริตถาวดีเลย จึงทำให้ชายหนุ่มวางใจมาโดยตลอด
แต่ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าในครั้งนี้ ทำให้ปาระมีเริ่มไม่ไว้ใจ และยังงุนงงสงสัยกับเรื่องราวต่างๆ เนื่องจากตอนนั้นเขาไม่สามารถจัดการเรื่องเจ้าหญิงด้วยตัวเองได้อย่างโจ่งแจ้ง
เพราะรู้ว่าอุชเชนเองก็จับตามองความเคลื่อนไหวของทางฝ่ายเขาอยู่ตลอดเวลา ปาระมีจึงว่าจ้างคนนอกไปรับตัวเจ้าหญิง ซึ่งเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่รู้จักกับเขาดี แต่มาตอนนี้กลับเป็นกลุ่มของหัสตะที่นำตัวเจ้าหญิงมาส่ง
เพราะปาระมีรู้ดีว่าหัสตะเป็นคนเก่ง เฉลียวฉลาด และกล้าหาญ ชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่งในหน่วยซีลตอนนั้น หากหัสตะคิดจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าครั่นคร้ามไม่น้อยทีเดียว
นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องคุยกับหัสตะเพียงลำพัง ระหว่างที่ให้
ปาระมัตนำตัวเจ้าหญิงกลับวังหลวง และหัสตะก็เป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะพูดคุยกับปาระมีอย่างเปิดอก และยอมรับในความผิดที่เขาคิดจะนำตัวเจ้าหญิงมาแลกเปลี่ยนกับนักโทษอุจฉกรรจ์
ส่วนตัวปาระมีเองก็ยอมรับฟังทุกอย่างอย่างมีสติ รับรู้ถึงเหตุผลที่หัสตะและพรรคพวกทำ ที่สุดชายหนุ่มก็ไม่ได้เอาผิดกับพวกของหัสตะ เพราะสุดท้ายแล้วหัสตะก็เลิกล้มความตั้งใจที่มีตั้งแต่แรก อีกทั้งเจ้าหญิง
รัชทายาทก็กลับมาสู่ริตถาวดีได้อย่างปลอดภัย
ทั้งที่ปาระมีคิดว่า หากเป็นคนที่เขาว่าจ้างตัวจริงคงไม่สามารถนำพาเจ้าหญิงกลับมาสู่ริตถาวดีได้ เพราะตอนนี้ถูกสังหารไปจนหมดสิ้นแล้ว บางทีตัวเจ้าหญิงเองอาจจะสิ้นชื่อตั้งแต่ยังไม่ออกจากเมืองไทยก็เป็นได้
“พี่เข้าใจในสิ่งที่หัสตะทำ แล้วก็ขอให้เลิกแล้วต่อกันเสีย” ปาระมีสรุปหลังเล่าจบ
“แล้ว... คุณจิญล่ะคะ ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มน่ะค่ะ” หญิงสาวคิดไปถึงจิญจายะ และเธอก็เห็นจิญจายะถูกยิงล้มลงไปต่อหน้าต่อตา
“ผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว” ปาระมัตตอบสั้นๆ
“โธ่... คุณจิญ” วาวพลอยร้องออกมาได้เพียงแค่นั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจิญจายะดูแลเธอเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แม้จะมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงแต่เธอก็ยังคงซาบซึ้งใจ อีกทั้งรู้สึกเศร้าใจกับการจากไปของจิญจายะไม่น้อย
“แต่ลุงมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องถามเจ้าหญิง เกี่ยวกับแม่ที่เลี้ยงเจ้าหญิงมา นางชื่ออัมพรใช่ไหม” ท่านโสตถีถามขึ้น
“ค่ะท่านลุง และหลานกำลังเป็นห่วงแม่อยู่พอดี ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” สีหน้าท่าทางของหญิงสาวยังเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“พี่ก็แปลกใจ เห็นหัสตะบอกว่าท่านหญิงอัมพรหลอกล่อพวกคนร้ายมาทางบก ทางเราก็ตามติดมาตลอด แต่ว่าเท่าที่รู้มาคนที่เดินทางมาริตถาวดีมีสองคนไม่ใช่คนเดียว และก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง มันหมายความว่ายังไงกัน เจ้าหญิงพอจะรู้เรื่องนี้บ้างไหม” ปาระมีตั้งคำถามอย่างแปลกใจ เพราะข้อมูลที่เขาได้รับมา กับที่ได้ฟังจากหัสตะไม่เหมือนกันเลย ราวกับหนังคนละม้วน
“สองคน แล้วก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่งหรือคะ หรือว่าจะเป็น... พี่พราว” ทุกคนที่อยู่ในห้องหันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียวกัน
วาวพลอยจึงเล่าเรื่องนางอัมพรกับตะวันพราวให้ฟังคร่าวๆ และข้อสงสัยที่ว่าผู้หญิงสองคนนั้นอาจจะเป็นนางอัมพรกับตะวันพราว คนที่เป็นเหมือนแม่และพี่สาวแท้ๆ ของเธอก็เป็นได้
ปาระมีเองก็ได้เล่าเรื่องการติดตามเจ้าหญิงรัชทายาทที่ปรากฏตัวอยู่ในริตถาวดี ก่อนที่ทีมทหารรับจ้างของหัสตะจะส่งข่าวมาให้ไปรับเจ้าหญิงตัวจริงอย่างเธอในครั้งนี้ นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวมั่นใจ
“ท่านลุง ท่านพี่ทั้งสองคะ โปรดช่วยออกตามหาแม่กับพี่สาวให้น้องด้วยเถอะนะคะ น้องกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับพวกเขา” วาวพลอยขอร้อง ดวงหน้างามเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“เรื่องนั้นวางใจเถอะ ตอนนี้เจ้าหญิงกลับมาแล้วอย่างนี้ อีกฝ่ายคงไม่สนใจแม่กับพี่สาวของเจ้าหญิงมากเท่าไหร่แล้วล่ะ พี่จะให้คนออกตามหาเดี๋ยวนี้เลย” ปาระมีรับปากจริงจัง ก่อนหันไปพูดคุยกับปาระมัต
สอง-สามคำ ปาระมัตจึงขอตัวออกไป
“ลุงว่าเราคงมีเรื่องคุยกันอีกมาก เจ้าหญิงรับประทานอาหารก่อนจะดีกว่า แล้วเราจะได้คุยกัน” ท่านโสตถีบอก แต่ทว่าเสียงเอะอะโวยวายดังอยู่หน้าห้องทำให้ทุกคนชะงัก
“ทำไมต้องรายงานไอ้ปาระมีมันด้วย ข้าเป็นเจ้าชายนะโว้ย! ” เจ้าของเสียงบ่นอย่างหัวเสีย
ก่อนจะโผล่เข้ามาในห้อง พร้อมทหารติดตามสองนาย ร่างสันทัดที่อยู่ในชุดแต่งกายหรูหราตามสมัยนิยมนั้นชะงักค้าง เมื่อมองมาทางวาวพลอย
“นี่เหรอ เจ้าหญิงรัชทายาท” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจเต็มที่
วาวพลอยนึกรู้ว่าคนที่กำลังก้าวเข้ามาหาเธอนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าชายอุชเชน พี่ชายต่างมารดาของเธอนั่นเอง แม้ว่าหน้าตาท่าทางของอุชเชนจะแตกต่างกับตัวเธอมากก็ตาม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่คือเจ้าหญิงชลันตา รัชทายาทอันดับหนึ่ง ผู้มีศักดิ์และสิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมในราชบัลลังก์ของริตถาวดีตอนนี้” ท่านโสตถีตอบ นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่เข้ามาใหม่ยิ่งขึ้น
“ท่านแน่ใจได้ยังไงท่านโสตถี มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเจ้าหญิงรัชทายาทตัวจริง” อุชเชนถามน้ำเสียงเยาะๆ
“เจ้าหญิงตัวจริงต้องมีเพชรยอดมงกุฎ ที่เป็นของสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของเราพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโสตถีตอบอย่างใจเย็น
“นั่นใครก็ทำปลอมกันได้ ไม่ก็อาจจะชิงมาจากเจ้าหญิงตัวจริงก็ได้นี่” เจ้าชายรัชทายาทอันดับสองค้านขึ้น พลางปรายตามองมาทางเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตา หรือวาวพลอยที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมอย่างหมิ่นแคลน
“ทางเราได้มีการสืบมาอย่างดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่เจ้าหญิงตัวจริง จะโดนตามฆ่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ” ปาระมีอดไม่ได้จึงแทรกขึ้น
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีการพิสูจน์ต่อหน้าเหล่าเสนาฯ ข้าราชการทุกคน” เจ้าชายอุชเชนรับสั่งออกมาในที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นจะรีรออะไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ ปาระมีให้คนไปเรียกเหล่าเสนาฯ ทั้งหลายเข้าประชุมกันเสียเดี๋ยวนี้เลย” ท่านโสตถีหันไปทางบุตรชายคนโตในตอนท้าย ซึ่งก็รีบรับคำแล้วออกไป
วาวพลอยได้แต่มองตามร่างของเจ้าชายอุชเชนผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา ที่ก้าวออกไปจากห้องด้วยอาการไม่พอใจไม่หาย เธอถึงกับพูดไม่ออก
“เจ้าชายอุชเชนมักมีนิสัยเช่นนี้ เจ้าหญิงอย่าได้หวั่น พวกลุงจะดูแลสนับสนุนเจ้าหญิงอย่างเต็มที่” ท่านโสตถีเห็นท่าทางของเจ้าหญิงรัชทายาทจึงรีบปลอบ
“ขอบคุณท่านลุงมากนะคะ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะคะ” วาวพลอยเปรยอย่างหนักใจในตอนท้าย
“ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องมีการพิสูจน์กันอยู่ดี อย่ากังวลไปเลยเจ้าหญิง” ท่านโสตถีปลอบ ขณะที่ท่านหญิงนิมานกับปาณาที่นั่งอยู่อีกด้านก็รีบเข้ามาหา
“ความจริงถ้าเป็นคนที่รู้จักพระราชา กับพระราชินี พอเห็นเจ้าหญิงก็คงไม่มีใครติดใจสงสัย เพราะเจ้าหญิงเหมือนทั้งสองพระองค์มาก โดยเฉพาะพระมารดา” ท่านหญิงนิมานพูดขึ้น พลางมองเจ้าหญิงรัชทายาทอย่างชื่นชมระคนเอ็นดู
“เหรอคะ หลานไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะหลานไม่เคยเห็นแม้กระทั่งรูปของเสด็จพ่อ เสด็จแม่”
“ไว้รอเสร็จเรื่องนี้ก่อนเถอะ แล้วลุงจะพาเจ้าหญิงไปดูรูปของพระราชากับพระราชินีเอง” หญิงสาวเอ่ยของคุณเบาๆ
ก่อนที่ท่านโสตถีจะให้เจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาเตรียมตัว เพื่อเข้าประชุมร่วมกับเหล่าเสนาบดี ข้าราชการต่อ
*-*-*-*-*-*
พระราชวังหลวงเนวะ... ภายในท้องพระโรงสีขาวนวล อันกว้างขวางโอ่โถง เสาหินอ่อนยืนตระหง่านเรียงรายค้ำเพดานสูงที่เป็นชั้นลดหลั่น
แต่ละชั้นของเพดานสูงล้วนตกแต่งด้วยลวดลายอันวิจิตรอ่อนช้อยในแบบริตถาวดี มีโคมไฟขนาดใหญ่ห้อยระย้าอยู่บนเพดาน ตรงผนังมีรูปภาพของอดีตพระราชา-ราชินีที่จากไปในหลายอิริยาบถ สลับด้วยธงประจำชาติ ตราสัญญาลักษณ์ เรียงรายทั้งสองด้าน
บนพื้นปูด้วยพรมสีทองทั้งห้อง เก้าอี้บุนวมสีแดงอย่างดีจัดเตรียมไว้สำหรับเหล่าเสนาบดี ข้าราชการชั้นสูงในการประชุมครั้งนี้ เรียงรายอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งที่ยกระดับสูงสำหรับประมุขของแผ่นดิน หรือราชบัลลังก์ที่ยังไร้ผู้ครอบครอง
มีเพียงที่ประทับของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ราชนิกุลผู้มีหน้าที่ในการร่วมบริหารบ้านเมือง ที่กระจายอยู่ด้านข้างราชบัลลังก์เท่านั้น ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ครอบครองบัลลังก์แห่งริตถาวดี จนกว่าจะมีพระราชพิธีราชาภิเษกเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
เนื่องจากเป็นวันสำคัญยิ่งของริตถาวดี วันนี้ที่นั่งด้านหน้ามีเหล่าเสนาบดี ข้าราชการระดับสูงหลายสิบคนนั่งอยู่เต็ม เพื่อรอคอยการปรากฏตัวของเจ้าหญิงรัชทายาท ต่างก็ตื่นเต้นยินดีที่จะได้ยลโฉม แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่เชื่ออย่างเต็มร้อย แน่นอนว่านั่นเป็นส่วนที่เข้าข้างเจ้าชายอุชเชน
การเมืองของริตถาวดีมีความระส่ำระสายอยู่ภายในมาตลอด ระหว่างอำนาจสองขั้ว คือเจ้าชายอุชเชนที่มีเสนาฯ ระสังคอยสนับสนุนอยู่ กับฝ่ายเสนาฯ โสตถี และลูกชายทั้งสอง ต่างก็คอยคานอำนาจของกันและกันเสมอมา
บางครั้งทางฝ่ายท่านโสตถีรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำอะไร แต่ก็ไม่อาจจัดการได้เพราะความเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่สองของเจ้าชายอุชเชน และบรรดาเสียงของเสนาฯ ข้าราชการที่เข้าข้างเกือบครึ่ง
ทางด้านเจ้าชายอุชเชนเองก็เช่นกัน แม้จะรู้ดีว่าพ่อลูกสามคนนี้เป็นก้างที่คอยทิ่มตำคออยู่ แต่ก็ติดที่เหล่าเสนาฯ จำนวนหนึ่งยังคอยถือหางท่านโสตถีกับลูกชายอยู่เช่นกัน
เพราะเหตุนี้เจ้าชายอุชเชนจึงพยายามหาเรื่องให้พ่อลูกบ้านนี้ต้องตกอยู่ภายใต้การตัดสินของเหล่าเสนาฯ เสมอ เพื่อหาพวกให้กับตัวเองยามที่ฝ่ายตรงข้ามพลั้งพลาด เพราะรู้ดีว่าการเป็นพระราชาจะต้องมีคนพวกนี้หนุนหลังเกินครึ่ง
อีกทั้งก็ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์หน้าล่าสุดของริตถาวดีว่า แม้แต่นายพลติงสากับพรรคพวกที่ว่าเก่งกล้าสามารถ และฉลาดปราดเปรื่อง ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับคนกลุ่มนี้และเจ้านายเชื้อพระวงศ์อย่างฝ่ายท่านโสตถีภายในระยะเวลาไม่กี่ปี นั่นเป็นสิ่งที่อุชเชนตระหนักดี
เมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง เหล่าบรรดาเสนาฯ ข้าราชการต่างพากันลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางค้อมหัวลงต่ำเพื่อทำความเคารพ เมื่อเจ้าชายอุชเชนเสด็จเข้ามาทางประตูหลัง
เขาแต่งกายด้วยชุดกางเกงและเสื้อตัวยาวสีขาว คอตั้ง มีผ้าสีทองคาดเอว สวมหมวกสีทองประดับตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์เนวะ อุชเชนนั่งอยู่ตรงที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ด้านขวา มีเสนาฯ ระสังคนสนิท ที่อยู่ในชุดประจำตำแหน่งของเสนาบดีสีน้ำเงินเหมือนท่านโสตถีนั่งอยู่ข้างๆ
ทางฝ่ายท่านโสตถีเองก็ก้าวเข้ามา โดยมีเจ้าหญิงรัชทายาท และแม่ทัพใหญ่ปาระมีก้าวตาม ซึ่งมาตอนนี้วาวพลอยได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อแขนยาวสีแดงเข้ารูป ยาวปิดสะโพก กับผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าลวดลายสดใส มีผ้ายาวๆ คล้องคอ
อีกทั้งประดับด้วยเข็มกลัดตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ตรงหน้าอก ซึ่งวาวพลอยพึ่งรู้ว่าชุดที่สวมใส่เป็นชุดประจำชาติของริตถาวดีนั่นเอง
เจ้าหญิงรัชทายาทชลันตานั่งอยู่ด้านซ้าย ท่านโสตถีกับปาระมีนั่งอยู่ด้านข้างเธอเช่นกัน
“ขอเจ้าชายอุชเชน หญิงชลันตาทรงพระเจริญ / ขอองค์รัชทายาททั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังขึ้นต้อนรับองค์รัชทายาททั้งสอง
เจ้าชายอุชเชนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงตามปกติ เหมือนคนคุ้นเคยกับพิธีรีตองแบบนี้เป็นอย่างดี
“ก็อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้เจ้าหญิงชลันตา องค์รัชทายาทอันดับหนึ่งของริตถาวดีได้เสด็จประทับอยู่ ณ.ที่นี้แล้ว เชิญเจ้าหญิงตรัสอะไรสักนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโสตถีหันมาทางเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาด้วยราชาศัพท์ยามอยู่ต่อหน้าธารกำนัล ซึ่งเธอก็ลุกขึ้นยืน พร้อมค้อมหัวน้อยๆ
“ฉันมีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้กลับมายังริตถาวดี ที่เป็นบ้านเกิดของฉันอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ และจากนี้ต่อไปคงมีอะไรมากมายที่ฉันต้องพึ่งพาและต้องการแรงสนับสนุนจากพวกท่าน ฉันหวังว่าทุกคนคงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขอบคุณอีกครั้ง” หญิงสาวพูดจบก็นั่งลง เหล่าเสนาฯ ข้าราชการแสดงความเคารพอีกครั้ง
“แต่ก็อย่างที่เรารู้ มีใครหลายคนในที่นี้ที่ยังติดใจสงสัยในตัวเจ้าหญิง เราจึงจะมีการพิสูจน์ให้หายแคลงใจ” ท่านโสตถีกล่าวต่อกับเหล่าเสนาฯ ข้าราชการที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
พลางหันไปทางข้ารับใช้นายหนึ่งที่ประคองพานคลุมด้วยผ้าไหมสีทองเข้ามา และส่งพานนั้นให้แก่ท่านโสตถี เมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก
“มงกุฎแห่งราชา!! ” สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้ทุกคนร้องขึ้นเกือบพร้อมกัน
**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่
MEB
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=Y
ToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiN
zEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30
ookbee
http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83
ebooks.in.th
http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%B8%87
%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B
8%AA%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/
Hytexts
http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883
นายอินทร์ปัณณ์
https://www.naiin.com/product/detail/184068/
ซีเอ็ด
https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174
banbanbook
http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!
แม่ทัพใหญ่แห่งริตถาวดีคิดไปถึง ช่วงที่ต้องช่วยชีวิตเจ้าหญิงจากเงื้อมมือคนร้าย ตอนนั้นคนของเขายังไม่สามารถเข้าถึงตัวคนร้ายได้ แต่หัสตะกลับจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย และพาเจ้าหญิงรัชทายาทมาส่งให้เขาด้วยตัวเอง
เพราะความที่เป็นคนรู้จักกันมาก่อนตอนอยู่ต่างประเทศ ทำให้ปาระมีตกใจเป็นอย่างมากที่ทหารรับจ้างเป็นหัสตะ ลึกๆ ชายหนุ่มคิดว่าหัสตะอาจจะกำลังทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับบิดาของเขาที่อยู่ในคุก
แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัสตะเพียงแต่นำร่างไร้สติของเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตามาส่งให้กับเขาเท่านั้น แม้ว่าทั้งคู่จะรู้จักกันตอนที่ปาระมีเรียนอยู่ต่างประเทศ และเคยฝึกหน่วยซีลร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมาก
เท่าที่ปาระมีรู้ หัสตะไม่มีเพื่อนสนิทชาวริตถาวดีเลย เหตุผลก็คงเป็นเพราะเรื่องบิดาของเขานั่นเอง แต่ทั้งคู่ต่างมีเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันคือกลุ่มของอินทุและองค์ราชาแห่งภูศิยาน์ แต่ที่ผ่านมาหัสตะไม่ได้สนใจเรื่องในริตถาวดีเลย จึงทำให้ชายหนุ่มวางใจมาโดยตลอด
แต่ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าในครั้งนี้ ทำให้ปาระมีเริ่มไม่ไว้ใจ และยังงุนงงสงสัยกับเรื่องราวต่างๆ เนื่องจากตอนนั้นเขาไม่สามารถจัดการเรื่องเจ้าหญิงด้วยตัวเองได้อย่างโจ่งแจ้ง
เพราะรู้ว่าอุชเชนเองก็จับตามองความเคลื่อนไหวของทางฝ่ายเขาอยู่ตลอดเวลา ปาระมีจึงว่าจ้างคนนอกไปรับตัวเจ้าหญิง ซึ่งเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่รู้จักกับเขาดี แต่มาตอนนี้กลับเป็นกลุ่มของหัสตะที่นำตัวเจ้าหญิงมาส่ง
เพราะปาระมีรู้ดีว่าหัสตะเป็นคนเก่ง เฉลียวฉลาด และกล้าหาญ ชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่งในหน่วยซีลตอนนั้น หากหัสตะคิดจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าครั่นคร้ามไม่น้อยทีเดียว
นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องคุยกับหัสตะเพียงลำพัง ระหว่างที่ให้
ปาระมัตนำตัวเจ้าหญิงกลับวังหลวง และหัสตะก็เป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะพูดคุยกับปาระมีอย่างเปิดอก และยอมรับในความผิดที่เขาคิดจะนำตัวเจ้าหญิงมาแลกเปลี่ยนกับนักโทษอุจฉกรรจ์
ส่วนตัวปาระมีเองก็ยอมรับฟังทุกอย่างอย่างมีสติ รับรู้ถึงเหตุผลที่หัสตะและพรรคพวกทำ ที่สุดชายหนุ่มก็ไม่ได้เอาผิดกับพวกของหัสตะ เพราะสุดท้ายแล้วหัสตะก็เลิกล้มความตั้งใจที่มีตั้งแต่แรก อีกทั้งเจ้าหญิง
รัชทายาทก็กลับมาสู่ริตถาวดีได้อย่างปลอดภัย
ทั้งที่ปาระมีคิดว่า หากเป็นคนที่เขาว่าจ้างตัวจริงคงไม่สามารถนำพาเจ้าหญิงกลับมาสู่ริตถาวดีได้ เพราะตอนนี้ถูกสังหารไปจนหมดสิ้นแล้ว บางทีตัวเจ้าหญิงเองอาจจะสิ้นชื่อตั้งแต่ยังไม่ออกจากเมืองไทยก็เป็นได้
“พี่เข้าใจในสิ่งที่หัสตะทำ แล้วก็ขอให้เลิกแล้วต่อกันเสีย” ปาระมีสรุปหลังเล่าจบ
“แล้ว... คุณจิญล่ะคะ ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มน่ะค่ะ” หญิงสาวคิดไปถึงจิญจายะ และเธอก็เห็นจิญจายะถูกยิงล้มลงไปต่อหน้าต่อตา
“ผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว” ปาระมัตตอบสั้นๆ
“โธ่... คุณจิญ” วาวพลอยร้องออกมาได้เพียงแค่นั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจิญจายะดูแลเธอเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แม้จะมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงแต่เธอก็ยังคงซาบซึ้งใจ อีกทั้งรู้สึกเศร้าใจกับการจากไปของจิญจายะไม่น้อย
“แต่ลุงมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องถามเจ้าหญิง เกี่ยวกับแม่ที่เลี้ยงเจ้าหญิงมา นางชื่ออัมพรใช่ไหม” ท่านโสตถีถามขึ้น
“ค่ะท่านลุง และหลานกำลังเป็นห่วงแม่อยู่พอดี ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” สีหน้าท่าทางของหญิงสาวยังเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“พี่ก็แปลกใจ เห็นหัสตะบอกว่าท่านหญิงอัมพรหลอกล่อพวกคนร้ายมาทางบก ทางเราก็ตามติดมาตลอด แต่ว่าเท่าที่รู้มาคนที่เดินทางมาริตถาวดีมีสองคนไม่ใช่คนเดียว และก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง มันหมายความว่ายังไงกัน เจ้าหญิงพอจะรู้เรื่องนี้บ้างไหม” ปาระมีตั้งคำถามอย่างแปลกใจ เพราะข้อมูลที่เขาได้รับมา กับที่ได้ฟังจากหัสตะไม่เหมือนกันเลย ราวกับหนังคนละม้วน
“สองคน แล้วก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่งหรือคะ หรือว่าจะเป็น... พี่พราว” ทุกคนที่อยู่ในห้องหันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียวกัน
วาวพลอยจึงเล่าเรื่องนางอัมพรกับตะวันพราวให้ฟังคร่าวๆ และข้อสงสัยที่ว่าผู้หญิงสองคนนั้นอาจจะเป็นนางอัมพรกับตะวันพราว คนที่เป็นเหมือนแม่และพี่สาวแท้ๆ ของเธอก็เป็นได้
ปาระมีเองก็ได้เล่าเรื่องการติดตามเจ้าหญิงรัชทายาทที่ปรากฏตัวอยู่ในริตถาวดี ก่อนที่ทีมทหารรับจ้างของหัสตะจะส่งข่าวมาให้ไปรับเจ้าหญิงตัวจริงอย่างเธอในครั้งนี้ นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวมั่นใจ
“ท่านลุง ท่านพี่ทั้งสองคะ โปรดช่วยออกตามหาแม่กับพี่สาวให้น้องด้วยเถอะนะคะ น้องกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับพวกเขา” วาวพลอยขอร้อง ดวงหน้างามเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“เรื่องนั้นวางใจเถอะ ตอนนี้เจ้าหญิงกลับมาแล้วอย่างนี้ อีกฝ่ายคงไม่สนใจแม่กับพี่สาวของเจ้าหญิงมากเท่าไหร่แล้วล่ะ พี่จะให้คนออกตามหาเดี๋ยวนี้เลย” ปาระมีรับปากจริงจัง ก่อนหันไปพูดคุยกับปาระมัต
สอง-สามคำ ปาระมัตจึงขอตัวออกไป
“ลุงว่าเราคงมีเรื่องคุยกันอีกมาก เจ้าหญิงรับประทานอาหารก่อนจะดีกว่า แล้วเราจะได้คุยกัน” ท่านโสตถีบอก แต่ทว่าเสียงเอะอะโวยวายดังอยู่หน้าห้องทำให้ทุกคนชะงัก
“ทำไมต้องรายงานไอ้ปาระมีมันด้วย ข้าเป็นเจ้าชายนะโว้ย! ” เจ้าของเสียงบ่นอย่างหัวเสีย
ก่อนจะโผล่เข้ามาในห้อง พร้อมทหารติดตามสองนาย ร่างสันทัดที่อยู่ในชุดแต่งกายหรูหราตามสมัยนิยมนั้นชะงักค้าง เมื่อมองมาทางวาวพลอย
“นี่เหรอ เจ้าหญิงรัชทายาท” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจเต็มที่
วาวพลอยนึกรู้ว่าคนที่กำลังก้าวเข้ามาหาเธอนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าชายอุชเชน พี่ชายต่างมารดาของเธอนั่นเอง แม้ว่าหน้าตาท่าทางของอุชเชนจะแตกต่างกับตัวเธอมากก็ตาม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่คือเจ้าหญิงชลันตา รัชทายาทอันดับหนึ่ง ผู้มีศักดิ์และสิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมในราชบัลลังก์ของริตถาวดีตอนนี้” ท่านโสตถีตอบ นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่เข้ามาใหม่ยิ่งขึ้น
“ท่านแน่ใจได้ยังไงท่านโสตถี มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเจ้าหญิงรัชทายาทตัวจริง” อุชเชนถามน้ำเสียงเยาะๆ
“เจ้าหญิงตัวจริงต้องมีเพชรยอดมงกุฎ ที่เป็นของสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของเราพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโสตถีตอบอย่างใจเย็น
“นั่นใครก็ทำปลอมกันได้ ไม่ก็อาจจะชิงมาจากเจ้าหญิงตัวจริงก็ได้นี่” เจ้าชายรัชทายาทอันดับสองค้านขึ้น พลางปรายตามองมาทางเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตา หรือวาวพลอยที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมอย่างหมิ่นแคลน
“ทางเราได้มีการสืบมาอย่างดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่เจ้าหญิงตัวจริง จะโดนตามฆ่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ” ปาระมีอดไม่ได้จึงแทรกขึ้น
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีการพิสูจน์ต่อหน้าเหล่าเสนาฯ ข้าราชการทุกคน” เจ้าชายอุชเชนรับสั่งออกมาในที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นจะรีรออะไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ ปาระมีให้คนไปเรียกเหล่าเสนาฯ ทั้งหลายเข้าประชุมกันเสียเดี๋ยวนี้เลย” ท่านโสตถีหันไปทางบุตรชายคนโตในตอนท้าย ซึ่งก็รีบรับคำแล้วออกไป
วาวพลอยได้แต่มองตามร่างของเจ้าชายอุชเชนผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา ที่ก้าวออกไปจากห้องด้วยอาการไม่พอใจไม่หาย เธอถึงกับพูดไม่ออก
“เจ้าชายอุชเชนมักมีนิสัยเช่นนี้ เจ้าหญิงอย่าได้หวั่น พวกลุงจะดูแลสนับสนุนเจ้าหญิงอย่างเต็มที่” ท่านโสตถีเห็นท่าทางของเจ้าหญิงรัชทายาทจึงรีบปลอบ
“ขอบคุณท่านลุงมากนะคะ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะคะ” วาวพลอยเปรยอย่างหนักใจในตอนท้าย
“ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องมีการพิสูจน์กันอยู่ดี อย่ากังวลไปเลยเจ้าหญิง” ท่านโสตถีปลอบ ขณะที่ท่านหญิงนิมานกับปาณาที่นั่งอยู่อีกด้านก็รีบเข้ามาหา
“ความจริงถ้าเป็นคนที่รู้จักพระราชา กับพระราชินี พอเห็นเจ้าหญิงก็คงไม่มีใครติดใจสงสัย เพราะเจ้าหญิงเหมือนทั้งสองพระองค์มาก โดยเฉพาะพระมารดา” ท่านหญิงนิมานพูดขึ้น พลางมองเจ้าหญิงรัชทายาทอย่างชื่นชมระคนเอ็นดู
“เหรอคะ หลานไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะหลานไม่เคยเห็นแม้กระทั่งรูปของเสด็จพ่อ เสด็จแม่”
“ไว้รอเสร็จเรื่องนี้ก่อนเถอะ แล้วลุงจะพาเจ้าหญิงไปดูรูปของพระราชากับพระราชินีเอง” หญิงสาวเอ่ยของคุณเบาๆ
ก่อนที่ท่านโสตถีจะให้เจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาเตรียมตัว เพื่อเข้าประชุมร่วมกับเหล่าเสนาบดี ข้าราชการต่อ
*-*-*-*-*-*
พระราชวังหลวงเนวะ... ภายในท้องพระโรงสีขาวนวล อันกว้างขวางโอ่โถง เสาหินอ่อนยืนตระหง่านเรียงรายค้ำเพดานสูงที่เป็นชั้นลดหลั่น
แต่ละชั้นของเพดานสูงล้วนตกแต่งด้วยลวดลายอันวิจิตรอ่อนช้อยในแบบริตถาวดี มีโคมไฟขนาดใหญ่ห้อยระย้าอยู่บนเพดาน ตรงผนังมีรูปภาพของอดีตพระราชา-ราชินีที่จากไปในหลายอิริยาบถ สลับด้วยธงประจำชาติ ตราสัญญาลักษณ์ เรียงรายทั้งสองด้าน
บนพื้นปูด้วยพรมสีทองทั้งห้อง เก้าอี้บุนวมสีแดงอย่างดีจัดเตรียมไว้สำหรับเหล่าเสนาบดี ข้าราชการชั้นสูงในการประชุมครั้งนี้ เรียงรายอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งที่ยกระดับสูงสำหรับประมุขของแผ่นดิน หรือราชบัลลังก์ที่ยังไร้ผู้ครอบครอง
มีเพียงที่ประทับของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ราชนิกุลผู้มีหน้าที่ในการร่วมบริหารบ้านเมือง ที่กระจายอยู่ด้านข้างราชบัลลังก์เท่านั้น ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ครอบครองบัลลังก์แห่งริตถาวดี จนกว่าจะมีพระราชพิธีราชาภิเษกเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
เนื่องจากเป็นวันสำคัญยิ่งของริตถาวดี วันนี้ที่นั่งด้านหน้ามีเหล่าเสนาบดี ข้าราชการระดับสูงหลายสิบคนนั่งอยู่เต็ม เพื่อรอคอยการปรากฏตัวของเจ้าหญิงรัชทายาท ต่างก็ตื่นเต้นยินดีที่จะได้ยลโฉม แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่เชื่ออย่างเต็มร้อย แน่นอนว่านั่นเป็นส่วนที่เข้าข้างเจ้าชายอุชเชน
การเมืองของริตถาวดีมีความระส่ำระสายอยู่ภายในมาตลอด ระหว่างอำนาจสองขั้ว คือเจ้าชายอุชเชนที่มีเสนาฯ ระสังคอยสนับสนุนอยู่ กับฝ่ายเสนาฯ โสตถี และลูกชายทั้งสอง ต่างก็คอยคานอำนาจของกันและกันเสมอมา
บางครั้งทางฝ่ายท่านโสตถีรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำอะไร แต่ก็ไม่อาจจัดการได้เพราะความเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่สองของเจ้าชายอุชเชน และบรรดาเสียงของเสนาฯ ข้าราชการที่เข้าข้างเกือบครึ่ง
ทางด้านเจ้าชายอุชเชนเองก็เช่นกัน แม้จะรู้ดีว่าพ่อลูกสามคนนี้เป็นก้างที่คอยทิ่มตำคออยู่ แต่ก็ติดที่เหล่าเสนาฯ จำนวนหนึ่งยังคอยถือหางท่านโสตถีกับลูกชายอยู่เช่นกัน
เพราะเหตุนี้เจ้าชายอุชเชนจึงพยายามหาเรื่องให้พ่อลูกบ้านนี้ต้องตกอยู่ภายใต้การตัดสินของเหล่าเสนาฯ เสมอ เพื่อหาพวกให้กับตัวเองยามที่ฝ่ายตรงข้ามพลั้งพลาด เพราะรู้ดีว่าการเป็นพระราชาจะต้องมีคนพวกนี้หนุนหลังเกินครึ่ง
อีกทั้งก็ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์หน้าล่าสุดของริตถาวดีว่า แม้แต่นายพลติงสากับพรรคพวกที่ว่าเก่งกล้าสามารถ และฉลาดปราดเปรื่อง ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับคนกลุ่มนี้และเจ้านายเชื้อพระวงศ์อย่างฝ่ายท่านโสตถีภายในระยะเวลาไม่กี่ปี นั่นเป็นสิ่งที่อุชเชนตระหนักดี
เมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง เหล่าบรรดาเสนาฯ ข้าราชการต่างพากันลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางค้อมหัวลงต่ำเพื่อทำความเคารพ เมื่อเจ้าชายอุชเชนเสด็จเข้ามาทางประตูหลัง
เขาแต่งกายด้วยชุดกางเกงและเสื้อตัวยาวสีขาว คอตั้ง มีผ้าสีทองคาดเอว สวมหมวกสีทองประดับตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์เนวะ อุชเชนนั่งอยู่ตรงที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ด้านขวา มีเสนาฯ ระสังคนสนิท ที่อยู่ในชุดประจำตำแหน่งของเสนาบดีสีน้ำเงินเหมือนท่านโสตถีนั่งอยู่ข้างๆ
ทางฝ่ายท่านโสตถีเองก็ก้าวเข้ามา โดยมีเจ้าหญิงรัชทายาท และแม่ทัพใหญ่ปาระมีก้าวตาม ซึ่งมาตอนนี้วาวพลอยได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อแขนยาวสีแดงเข้ารูป ยาวปิดสะโพก กับผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าลวดลายสดใส มีผ้ายาวๆ คล้องคอ
อีกทั้งประดับด้วยเข็มกลัดตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ตรงหน้าอก ซึ่งวาวพลอยพึ่งรู้ว่าชุดที่สวมใส่เป็นชุดประจำชาติของริตถาวดีนั่นเอง
เจ้าหญิงรัชทายาทชลันตานั่งอยู่ด้านซ้าย ท่านโสตถีกับปาระมีนั่งอยู่ด้านข้างเธอเช่นกัน
“ขอเจ้าชายอุชเชน หญิงชลันตาทรงพระเจริญ / ขอองค์รัชทายาททั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังขึ้นต้อนรับองค์รัชทายาททั้งสอง
เจ้าชายอุชเชนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงตามปกติ เหมือนคนคุ้นเคยกับพิธีรีตองแบบนี้เป็นอย่างดี
“ก็อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้เจ้าหญิงชลันตา องค์รัชทายาทอันดับหนึ่งของริตถาวดีได้เสด็จประทับอยู่ ณ.ที่นี้แล้ว เชิญเจ้าหญิงตรัสอะไรสักนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโสตถีหันมาทางเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาด้วยราชาศัพท์ยามอยู่ต่อหน้าธารกำนัล ซึ่งเธอก็ลุกขึ้นยืน พร้อมค้อมหัวน้อยๆ
“ฉันมีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้กลับมายังริตถาวดี ที่เป็นบ้านเกิดของฉันอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ และจากนี้ต่อไปคงมีอะไรมากมายที่ฉันต้องพึ่งพาและต้องการแรงสนับสนุนจากพวกท่าน ฉันหวังว่าทุกคนคงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขอบคุณอีกครั้ง” หญิงสาวพูดจบก็นั่งลง เหล่าเสนาฯ ข้าราชการแสดงความเคารพอีกครั้ง
“แต่ก็อย่างที่เรารู้ มีใครหลายคนในที่นี้ที่ยังติดใจสงสัยในตัวเจ้าหญิง เราจึงจะมีการพิสูจน์ให้หายแคลงใจ” ท่านโสตถีกล่าวต่อกับเหล่าเสนาฯ ข้าราชการที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
พลางหันไปทางข้ารับใช้นายหนึ่งที่ประคองพานคลุมด้วยผ้าไหมสีทองเข้ามา และส่งพานนั้นให้แก่ท่านโสตถี เมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก
“มงกุฎแห่งราชา!! ” สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้ทุกคนร้องขึ้นเกือบพร้อมกัน
**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่
MEB
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=Y
ToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiN
zEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30
ookbee
http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83
ebooks.in.th
http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%B8%87
%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B
8%AA%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/
Hytexts
http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883
นายอินทร์ปัณณ์
https://www.naiin.com/product/detail/184068/
ซีเอ็ด
https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174
banbanbook
http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110
กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2559, 13:45:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2559, 13:45:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 941
<< บทที่ 30 | บทที่ 32 >> |