มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 32







เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!




บทที่ 32


มงกุฎทองคำฉลุที่ตัวเรือนประดับด้วยเพชรเม็ดเล็ก รายล้อมด้วยโกเมนสีแดง ตรงยอดโกเมนประดับด้วยเพชรเม็ดขนาดกลางสามเม็ด ต่างส่องแสงเป็นประกายแวววาว นับว่าเป็นมงกุฎที่งดงามยิ่งนัก

แต่ทว่าส่วนบนสุดของด้านหน้าซึ่งเป็นที่ประดับของเพชรยอดมงกุฎยังคงมีช่องว่าง เหมือนรอการเติมเต็มกระนั้น มันทำให้มงกุฎล้ำค่านี้ยังดูไม่สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็น

“ใช่ นี่คือมงกุฎที่องค์รัชทายาทจะได้รับการสวมในพิธีราชาภิเษก และมันได้ถูกเก็บไว้มานานแล้ว ก่อนที่เจ้าหญิงซึ่งตอนนั้นยังเป็นเด็กทารกจะถูกนำตัวไปลี้ภัยยังประเทศไทย พระราชาได้มอบเพชรยอดมงกุฎให้ติดตัวไป

“เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อพระราชธิดาเติบโตจะได้กลับมาครองบัลลังก์แห่งริตถาวดีได้อย่างสมพระเกียรติ และตอนนี้เจ้าหญิงก็กลับมาแล้วพร้อมกับส่วนสำคัญที่สุดของมงกุฎ” ท่านโสตถีบอก และค้อมศีรษะให้วาวพลอย

เธอรีบถอดสร้อยที่ห้อยจี้เป็นรูปคล้ายดาวห้าแฉกให้กับท่านโสตถี พอแกะเอาจี้ออกจากสร้อยเสร็จท่านโสตถีก็นำมันมาประกอบเข้ากับส่วนบนสุดของมงกุฎอันนั้น

และแฉกของมันก็คือตัวล็อกที่พอประกบเข้าด้วยกันแล้ว มันก็ล็อกติดอย่างแน่นหนา เหมือนของที่ถูกออกแบบมาคู่กันนั่นเอง มงกุฎที่สมบูรณ์แบบนั้นดูสวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก

“มงกุฎอันนี้จะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี จนกว่าจะถึงพระราชพิธีราชาภิเษก หวังว่าพวกท่านคงคลายความสงสัยกันแล้วนะ” ท่านโสตถีที่มีตำแหน่งหัวหน้าของเสนาฯ ข้าราชการกล่าวสรุป

“แค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วหรือว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเจ้าหญิงรัชทายาท บางทีเจ้าหญิงรัชทายาทตัวจริงอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ผู้หญิงคนนี้อาจจะฆ่าเจ้าหญิงแล้วเอาเพชรยอดมงกุฎมาก็ได้” เจ้าชายอุชเชนเห็นดังนั้นจึงรีบโพล่งขึ้นขัดอีกครั้ง

“แล้วเจ้าชายต้องการให้พิสูจน์อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ ไหนใครช่วยออกความคิดเห็นหน่อยซิ” ตอนท้ายท่านโสตถีหันไปพูดกับเหล่าเสนาฯ ข้าราชการที่ร่วมประชุมกันอยู่พร้อมหน้า

“ตรวจดีเอ็นเอก็ได้นี่ท่านโสตถี พวกเราไม่ได้สงสัยในตัวเจ้าหญิงรัชทายาทมากเท่าไหร่หรอก แต่ความโปร่งใสก็สำคัญสำหรับชาวประชา” เสนาบดีคนหนึ่งเสนอ

“ได้ ฉันยินดีที่จะตรวจในทันที” วาวพลอย หรือเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

“แล้วเจ้าชายอุชเชนเล่าพ่ะย่ะค่ะ พระองค์พร้อมแน่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโสตถีหันไปทางเจ้าชายอุชเชนที่ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อขึ้นมาทันที พอเห็นดังนั้นท่านโสตถีจึงรีบเสริมต่อ

“ความจริงตรวจก็ดีนะพ่ะย่ะค่ะ เราจะได้รู้กันเสียทีว่าองค์รัชทายาทเป็นตัวจริงหรือแค่แอบอ้าง”

ถ้อยคำต่อมาของท่านโสตถีส่งผลให้อุชเชนชะงักไป ก่อนจะหันไปสบตากับเสนาฯ ระสังซึ่งนั่งข้างๆ แว่บหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ

“เอ่อ... เดี๋ยวนะ ช้าก่อน... ความจริงแล้วข้าก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในตัวน้องหญิงหรอก ก็แค่กลัวว่าพวกท่านจะไม่เชื่อเท่านั้น พวกท่านก็ดูสิว่าหน้าตาน้องหญิงเหมือนเสด็จพ่อ และองค์ราชินีแค่ไหน

“เรื่องตรวจอะไรนั่นอย่าไปสนใจเลยนะ เราเอาเวลามาช่วยกันดูแลบ้านเมืองจะดีกว่า น้องหญิง พี่ดีใจที่น้องกลับมา พี่ว่าเราควรจะจัดงานเฉลิมฉลองกันสักหน่อยนะ” ตอนท้ายเขาหันมาทางเจ้าหญิงรัชทายาทหวังจะเอาใจเต็มที่ หญิงสาวจึงคลี่ยิ้มบางให้

“ขอบพระทัยเสด็จพี่อุชเชนมากนะเพคะ ที่เชื่อในตัวน้อง เรื่องจัดงานฉลองน้องว่าอย่าดีกว่าเพคะ เพราะตัวน้องเองอยู่ต่างเมืองตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่ได้ทำประโยชน์อันใดให้กับริตถาวดีแม้สักนิด น้องละอายใจเกินกว่าจะเอาเงินทอง ทรัพย์สมบัติของวังหลวงมาใช้จ่ายในงานแบบนั้น ขออภัยเพคะ” คำปฏิเสธนั้นทำให้อุชเชนถึงกับหน้าแดงด้วยความเสียหน้า

“ถ้าอย่างนั้นตามใจน้องก็แล้วกัน” แต่ก็พยายามระงับไว้ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

*-*-*-*-*-*

หลังจากทุกคนออกไปแล้ว วาวพลอยที่สะดุดตากับรูปภาพที่แขวนเรียงรายอยู่บนฝาผนัง ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในท้องพระโรงอันโอ่โถงนี้ ก็ก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ โดยมีท่านโสตถีอยู่ด้วย ส่วนปาระมีขอตัวกลับไปทำงานต่อ

รูปภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีเพียงสีเท่านั้นที่ซีดจาง การแต่งกายของทั้งคู่บ่งบอกถึงฐานะได้เป็นอย่างดี และยิ่งมงกุฎที่ผู้ชายคนนั้นสวมใส่ด้วยแล้ว เหมือนมงกุฎแห่งราชาที่วาวพลอยเห็นในที่ประชุมเมื่อครู่ยิ่งนัก

“นั่นคือ พระราชาเนวะสัญ พระราชินีตุสิตา พระบิดาและพระมารดาของเจ้าหญิง” ท่านโสตถีบอก

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” หญิงสาวรำพึงเสียงแผ่ว

ความเมตตาที่ฉายอยู่ในแววตาของคนทั้งคู่ ทำให้น้ำตาของหญิงสาวคลอเอ่อ เสียดายนักที่ต้องจากกันทั้งที่เธอไม่สามารถจดจำอะไรได้เลยอย่างนี้ วาวพลอยมองดูภาพอีกหลายอิริยาบถของบิดา มารดา ด้วยหัวใจโหยหา

“ตอนเกิดกบฏ นายพลติงสาได้เผาทำลายข้าวของที่เกี่ยวกับกษัตริย์ทุกพระองค์ โชคดีที่เราแอบซ่อนรูปภาพพวกนี้ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ของทั้งสองพระองค์เอาไว้ได้บางส่วน หากเจ้าหญิงต้องการดูข้าวของที่เหลือ ลุงจะพาไปดู”

“ค่ะ ท่านลุง หลานอยากรู้ว่าเมื่อก่อนนี้เสด็จพ่อ เสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านโสตถีจึงพาวาวพลอยมายังห้องหนังสือด้านหลังที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา

ภายในห้องหนังสือมีข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับ เสื้อคลุมสีทองตัวยาว ถูกเก็บไว้ในตู้เซฟอย่างดี พร้อมกับรูปภาพเก่าๆ ของพระราชาเนวะสัญ พระราชินีตุสิตาหลายอิริยาบถ บ้างก็ซีดเก่าและมีรอยฉีกขาด รอยไหม้บางจุด

หญิงสาวหยิบจับภาพเหล่านั้นขึ้นมาดูเรื่อยๆ ก่อนหันมาทางเครื่องประดับหลายชิ้นที่ล้วนแล้วแต่ทำมาจากทองคำ อัญมณีมีค่า ท่านโสตถีได้บอกเล่าเกี่ยวกับที่มาที่ไปของข้าวของเหล่านั้นให้หญิงสาวฟังเรื่อยๆ เช่นกัน

จนกระทั่งถึงเสื้อคลุมสีทองตัวยาวสวยงาม ซึ่งเป็นชุดฉลองพระองค์ในพิธีราชาภิเษกขององค์ราชาเนวะสัญ พระบิดาของเธอนั่นเอง

“หากเจ้าหญิงต้องการเก็บชิ้นไหนไว้ก็เชิญได้เลยนะ หรือว่าจะเก็บทั้งหมดไว้ในความดูแลก็ย่อมได้ เพราะมันเป็นสมบัติของเจ้าหญิง” ท่านโสตถีกล่าวในตอนท้าย

“แล้วเสด็จพี่... ”

“เจ้าชายอุชเชนไม่ได้สนใจเรื่องนี้หรอก อีกอย่างเราเองก็ไม่ได้ให้เจ้าชายรู้เรื่องนี้ด้วย และคิดว่าเจ้าชายคงไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าราชบัลลังก์ของริตถาวดี”

“ถ้าอย่างนั้นหลานขอแค่รูปสอง-สามใบนี้เก็บไว้ดูต่างหน้าเสด็จพ่อเสด็จแม่ก็พอค่ะ ส่วนของพวกนี้เก็บไว้ที่นี่คงจะดีกว่า เพราะมันมีค่าเกินกว่าที่หลานจะสามารถเก็บเอาไว้ได้” เจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาบอก

พลางเลือกรูปสอง-สามใบเอาไว้ หนึ่งในนั้นมีรูปบิดา มารดา และตัวเธอเองที่ยังแบเบาะถ่ายด้วยกัน หญิงสาวอยากเก็บมันไว้เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้ให้กำเนิดทั้งสองว่าเป็นความจริง

“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหลานจะเป็นคนริตถาวดีจริงๆ ทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย” วาวพลอยเปรย

“แต่เจ้าหญิงก็พูดจาสื่อสารด้วยภาษาริตถาวดีได้ดีพอสมควร ช่างน่าชื่นชมกับความพยายามนัก”

คำพูดของท่านโสตถีสะกิดใจหญิงสาวให้คิดไปถึงคนที่พยายามสอนภาษาริตถาวดีให้เธอมาโดยตลอด แต่ทว่าความเจ็บแปลบในใจทำให้วาวพลอยปัดมันออกไปจากความคิดโดยเร็ว

“ขอบคุณค่ะท่านลุง แต่นอกจากการพูดจาสื่อสารแล้ว อย่างอื่นหลานยังไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยนะคะ” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล

“อย่าได้วิตกไปเลยเจ้าหญิง เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา คนเราสามารถเรียนรู้กันได้ ขอเพียงแต่มีความตั้งใจจริงเท่านั้น ว่าแต่เจ้าหญิงพร้อมไหมที่จะเริ่มเรียนรู้ทุกเรื่องที่จำเป็น”

“ค่ะ ท่านลุง หลานพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับริตถาวดีค่ะ” วาวพลอยตอบทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด

“ถ้าอย่างนั้นอย่างแรกคงต้องเรียนรู้เรื่องภาษาเพิ่มเติม เพื่อจะได้สื่อสารกับคนริตถาวดีได้ทุกระดับ เอาอย่างนี้ ลุงจะให้ปาณาเป็นคนสอนภาษาให้เจ้าหญิงดีกว่า” ท่านโสตถีเสนอครูคนแรกให้กับเจ้าหญิงรัชทายาท

“แต่ปาณาเป็นหมอไม่ใช่เหรอคะ จะมีเวลาเหรอคะ” วาวพลอยถามอย่างแปลกใจ

“ตอนนี้ปาณาเองไม่ได้ทำงานประจำหรอก พอมีอะไรสำคัญก็ไปดูแลกันทีเท่านั้น ลุงจะให้ปาณามาช่วยสอนภาษาให้เจ้าหญิง ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นลุงจะจัดคนที่มีความรู้ ไว้ใจได้ให้มาสอนเจ้าหญิงอีกที”

“อย่างนั้นก็ดีสิคะ ขอบคุณท่านลุงมากนะคะ” หญิงสาวรีบตอบรับด้วยความยินดี

หลังจากแยกกับท่านโสตถีแล้ว วาวพลอยก็ให้นางกำนัลพาเธอไปหาโก๋ ที่พึ่งฟื้นขึ้นมาจากความเหนื่อยล้า เนื่องจากการต่อสู้ร่วมกับพวกของหัสตะ

“โก๋ว่าจะไปหาเจ๊เมื่อกี้ แต่เขาบอกว่าเจ๊อยู่ที่ท้องพระโรง เป็นยังไงมั่งเจ๊” โก๋ถามขึ้นทันทีที่เห็นหน้าวาวพลอย

“ก็ไม่ยังไงหรอก แค่แนะนำตัวเท่านั้นเอง” หญิงสาวรีบปัดไป ด้วยไม่อยากพูดถึงเรื่องที่พึ่งเผชิญมา เพราะมันไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีอะไรเลยสำหรับเธอ

“ว่าแต่เราเถอะโก๋ ดีขึ้นหรือยัง” ก่อนมองสำรวจไปทั่วตัวน้องชาย แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นอกจากรอยช้ำ และรอยขีดข่วน

“ได้พักยาวแบบนี้ดีขึ้นแล้วล่ะเจ๊ แล้วนั่นอะไรอะเจ๊” โก๋จ้องสิ่งที่อยู่ในมือของวาวพลอยเขม็ง หญิงสาวจึงส่งให้น้องชายดู

“ว้าว! อย่าบอกนะว่านี่คือพ่อกับแม่ที่แท้จริงของเจ๊ เอ่อ... ต้องเรียกว่าพระราชา พระราชินีสินะ พระราชินีสวยมากเลย เหมือนเจ๊อย่างกะแกะ ไม่สิ ต้องบอกว่าเจ๊เหมือนพระราชินีราวกับแกะมากกว่า” โก๋มองรูปภาพเหล่านั้นพลางพร่ำอย่างชื่นชม

“น่าเสียดายที่ทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์ไปก่อน แต่ก็อย่างว่า

แหล่ะเจ๊ ถ้าเรื่องไม่เป็นอย่างนี้เจ๊ก็คงไม่ได้เจอพวกเรา ไม่ได้ไปอยู่ที่เมืองไทย” โก๋พูดซื่อๆ ตามความคิดเห็นของตัวเอง แต่วาวพลอยก็เห็นด้วยอย่างเต็มความรู้สึก

“นั่นสิ... ทุกเรื่องมีเหตุและผลที่สมควรเสมอ ว่าแต่หลังจากที่พี่หมดสติไป เรื่องราวเป็นยังไงอีก พวกเขากลับไปได้ยังไง” หญิงสาวอดถามโก๋ถึงเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะโก๋เป็นคนเดียวที่อยู่กับพวกของหัสตะตลอดเวลาที่เกิดเรื่อง

“ก็ไม่มีอะไรมากนี่เจ๊ คุณหัสตะเขาพาเจ๊มาส่งให้ท่านปาระมี แล้วก็กลับไป ก็เท่านั้น แต่คุณจิญน่ะสิที่หักหลังพวกเขา ติดต่อกับพวกคนร้าย จนตัวเองต้องมาตาย แล้วยังจะพ่อของเธออีก” โก๋เล่าพลางถอนหายใจ

“โทษคุณจิญไม่ได้หรอกโก๋ ที่เธอทำไปทั้งหมดก็เพราะพ่อ พี่ไม่โทษเธอหรอก ถ้าเป็นพี่อาจจะทำแบบนี้เหมือนกันก็ได้” วาวพลอยคิดแบบนั้นจริงๆ ที่สำคัญตอนนี้เธอก็ยังปลอดภัยดีอยู่ จิญจายะต่างหากที่ต้องเสียชีวิตลงไป

“นั่นสินะ ว่าแต่เจ๊จะเอาไงกับเรื่องคุณหัสตะล่ะ” คำถามตอนท้ายของน้องชาย ทำให้คนฟังชะงัก ดวงตาคู่หวานซึ้งหม่นเศร้าลงในทันใด

“พี่ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากปล่อยให้มันเป็นไป” วาวพลอยพูดเสียงเบา พลางมองแหวนในนิ้วนางข้างซ้าย ซ่อนความปวดร้าวไว้ภายใน

“แต่ที่สำคัญตอนนี้พี่เป็นห่วงแม่กับพี่พราวจัง ขอให้คนของท่านพี่ปาระมีสามารถตามหาแม่กับพี่พราวเจอในเร็ววันนี้ด้วยเถอะ” ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูด ส่งผลให้โก๋มองเธอด้วยท่าทางครุ่นคิดสงสัย

“เจ๊ว่าอะไรนะ ป้าพรกับเจ๊พราวเหรอ ไอ้ที่ป้าพรล่อไอ้พวกนั้นไปทางอื่นโก๋เข้าใจนะ แต่ทำไมถึงมีเจ๊พราวด้วยล่ะ” แล้วถามขึ้น

หญิงสาวจึงได้เล่าเรื่องที่ปาระมีเล่าให้ตนฟังเกี่ยวกับคนที่เธอคาดว่าเป็นนางอัมพรกับตะวันพราวให้น้องชายฟังอีกต่อ พอฟังจบโก๋ถึงกับตบเข่าฉาดพลางร้องขึ้น

“แน่นอนเลยเจ๊ ระเบิดภูเขาเผากระท่อมเป็นนางเอกหนังบู๊แบบนั้น จะเป็นใครไปได้ นอกจากเจ๊พราวจอมบู๊ของเรา” พร้อมสรุปอย่างขำๆ นั่นทำให้วาวพลอยอดยิ้มตามไม่ได้

“เออ... เจ๊ โก๋ขอออกไปตามหาป้าพร เจ๊พราวกับคนของท่านปาระมีจะได้หรือเปล่า” แต่จู่ๆ โก๋ก็เอ่ยขึ้นท่าทางจริงจัง หญิงสาวจึงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

“ก็ดีนะ แต่ต้องไปขออนุญาตท่านพี่ปาระมีอีกที” และบอกออกไปในที่สุด




**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&da
ta=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiN
zEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%B8%87%
E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B8%A
A%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2559, 13:35:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2559, 13:41:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 862





<< บทที่ 31   บทที่ 33 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account