^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา
ตอน: ในความสัมพันธ์ 3 (ใครเจ็บกว่า)
อติยะเดินกลับมาที่โต๊ะ ใบหน้าคมขมวดคิ้วบาง ๆ ทำให้พิมพ์ตะวันเอียงคอมองอย่างสนใจ เขาถอนใจหนัก ๆ แล้วบอก
"สงสัยผมจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้าน" เขาเงียบไปครู่ ก่อนบอก "ยืมโทรศัพท์คุณปิ่นโทรเข้าไปให้เด็กเก็บไว้ให้หน่อยนะครับ"
พิมพ์ตะวันหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาส่งให้เขากดหมายเลขโทรศัพท์ลงไป ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง
"คุณไปป์..." พิมพ์ตะวันขึงตาดุ ขณะที่เขาหัวเราะ
"ก็คุณไม่สนใจนามบัตรผมเลย จะแลกนามบัตรคืนก็ไม่มี"
"ปิ่นไม่ค่อยชอบพกกระดาษค่ะ" เธอเอ่ยเสียงอ่อย รู้สึกผิดที่ลืมนามบัตรเขา แต่เธอไม่ชอบพกนามบัตร มันดูเป็นทางการเกินไป
"ผมแอดไลน์เลยแล้วกันนะครับ" เขากดเปิดโปรแกรมสนทนา เพิ่มเพื่อนให้เธอหน้าตาเฉย เมื่อเงยหน้ามาเห็นพิมพ์ตะวันนั่งนิ่งมองอย่างไม่ชอบใจ ชายหนุ่มก็ยิ้มบาง ๆ "คุณไม่ได้ขัดข้องที่เราจะเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ"
หญิงสาวถอนใจหนัก ๆ เธอมักจะเถียงชนะใครต่อใครด้วยเหตุผลและการคิดเชื่อมโยงที่หลายคนต้องยอมรับ แต่อติยะเป็นหนึ่งในผู้ชายไม่กี่คนที่ทำให้เธอต้องเงียบและฟัง
เขาส่งโทรศัพท์คืนเธอด้วยรอยยิ้ม "ยินดีที่ได้รู้จักกัน...อีกครั้งครับ"
"ไม่ต้องจับมือเชคแฮนด์ใช่ไหมคะ" เธอกลอกตาบอกด้วยท่าทางที่บอกชัดว่าไม่ชอบใจนัก
"ถ้าคุณต้องการก็ได้นะ" ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ร้อนใจ
พิมพ์ตะวันพลาดที่ยอมให้เขามาส่งเธอถึงบ้าน เขาจึงได้รู้ถึงทุกช่องทางการสื่อสารของเธออย่างง่ายดาย ชายหนุ่มจอดรถรอจนเธอเดินเข้าบ้านและหันไปมองเขาจึงขับรถจากไป ทิ้งไว้แค่คำเอ่ยเรียบ ๆ ที่ยังดังอยู่ในหัวเธอ
"แล้วเจอกันนะครับ"
อติยะนับว่าเป็นผู้ชายที่รู้จักเวลา เขาไม่ได้รีบร้อนติดต่อหญิงสาวให้เธอต้องลำบากใจ ชายหนุ่มใจเย็นพอจะเว้นช่วงเวลาถึงอาทิตย์หนึ่งจึงโทรศัพท์หาเธอ
"วันนี้ไม่มาเรียนเหรอครับ" เขาเอ่ยถามเมื่อเธอกดรับสาย
"ครูไม่ว่างค่ะ"
"นึกว่าคุณกลัวจนไม่กล้ามาที่ร้าน" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากพิมพ์ตะวันเช่นกัน
"ทำไมปิ่นต้องกลัวล่ะคะ...รู้ไหมคะว่าการสบประมาทให้ผู้หญิงหงุดหงิดน่ะใช้ได้เฉพาะในนิยายเท่านั้นล่ะค่ะ" พิมพ์ตะวันตอบอย่างใจเย็น เมื่อเธอขีดเส้นความสัมพันธ์ไปแล้วก็ไม่มีความจะเป็นต้องกังวลหรือระแวงอะไรอีก
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนหัวเราะตอบ "อยู่บ้านเหรอครับ"
"อยู่เวรค่ะ..." เธอหัวเราะ
"ยุ่งไหม"
"เรื่อย ๆ ค่ะ"
"พอมีเวลาออกมากินข้าวกันไหมครับ"
พิมพ์ตะวันนิ่งไปครู่ ก่อนตอบเสียงเรียบ "มีเวลาค่ะ แต่ปิ่นยังไม่อยากกินข้าวกับคุณ"
"ใจร้าย..." เขาถอนใจเบา ๆ ขณะที่พิมพ์ตะวันอมยิ้ม กรอกเสียงบอก
"อาทิตย์หน้าเจอกันนะคะ"
เธอตัดสัญญาณการติดต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบ รู้ดีว่าเสียมารยาท แต่พิมพ์ตะวันต้องการเป็นฝ่ายควบคุมความสัมพันธ์ เมื่อเขาประกาศว่าจะรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง เธอก็ต้องรับผิดชอบความสัมพันธ์ในขอบเขตของเธอให้ดีที่สุดเช่นกัน
พิมพ์ตะวันเหนื่อยแล้วกับการยึดติดกับใคร เธอจะยืนอยู่ในที่ของเธอเท่านั้น ใครอยากพบก็จงเดินเข้ามา หากอยากใช้สิทธิ์จะยืนข้าง ๆ เธอก็จะไม่หลบหนีไปไหนเช่นกัน
คุณเคยรักใครสักคนไหม ???
มีคนเคยบอกว่า ความรักเป็นชื่อเล่นของการเป็นเจ้าของ ความหวงแหน และความคาดหวังถึงการตอบสนองทางอารมณ์
เพราะรัก เราจึงปรารถนาความรักตอบ
แต่โลกไม่ได้ใจดีพอจะบอกให้เรารู้ว่าควรรักใคร เราไม่เคยเห็น...ว่าเฒ่าจันทราผู้ขี้เล่นนำปลายด้ายแดงที่นิ้วเราไปผูกไว้ที่ใด
หรือปล่อยให้ใครเผลอตัดไปเสียแล้ว
พิมพ์ตะวันถอนใจหนัก ๆ กับภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องใหญ่เท่าฝ่ามือ รอยยิ้มบาง ๆ เหยียดออกที่มุมปาก กึ่งหยัน กึ่งเศร้า
เธอกด unfriend เขาได้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ความผูกพันรวมกับความใจอ่อนแบบผู้หญิงทำให้มือยังเผลอกดเข้าไปดูหน้าเพจเขา โดยเฉพาะในวันฝนตกที่ไอเย็นชื้นโอบร่างชวนให้หนาวไปถึงห้องหัวใจ เธอก็เผลอไล่นิ้วกดชื่อเพจของเขา เพื่อจะพบกับหน้าจอที่ว่างเปล่า
เธอขบริมฝีปากเบา ๆ เก็บซ่อนความเจ็บปวดบางอย่างที่แล่นปลาบเข้ามาราวจะบีบหัวใจ
เขาบล็อกเธอ...ง่ายดายอย่างคนที่ไม่ต้องการติดต่อกันอีก
หญิงสาวเงยหน้าซ่อนหยดน้ำตาที่ใกล้รินไหล ก่อนจะก้มหน้าแล้วยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบา ๆ
"ไม่เป็นไรนะ หนูปิ่น...ไม่เป็นไร"
เธอวางโทรศัพท์ในมือ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระจก มองลึกเข้าไปในดวงตาที่เริ่มมีสีแดงจาง ๆ และหยาดน้ำคลอ หญิงสาวคลี่ยิ้มหวาน
"เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งและเจ๋งออกขนาดนี้...เธอเดินมาไกลแล้วนะพิมพ์ตะวัน" เธอเน้นคำกับเงาในกระจก "เธอมีค่า...โดยไม่ต้องฟูมฟายให้ใครมาเห็นค่าเธอ"
พิมพ์ตะวันยืนนิ่ง ยิ้มให้เงาในกระจกอยู่นานจนหัวใจเริ่มเสถียร
เสียงโทรศัพท์สั่นเบา ๆ ทำให้หญิงสาวเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มากดดู ข้อความสติ๊กเกอร์จากอติยะทำให้เธอเผลอยิ้มบาง ๆ
'นอนหรือยังครับ'
'ยังค่ะ...เพิ่งถึงบ้าน' เธอไล่นิ้วพิมพ์ข้อความตอบ
'วันนี้ไม่อยู่เวรเหรอ'
'ค่ะ'
หลายวันมานี้เธอส่งข้อความคุยกับเขาจนเกือบเป็นความคุ้นชิน พิมพ์ตะวันจึงตอบข้อความเขาอย่างสบาย ๆ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่เริ่มคุ้นเคยกัน
'ดีจัง ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จ'
'วันนี้เหนื่อยชะมัด ลูกค้าเรื่องมากสุด ๆ'
อติยะคงพอเดาได้จากการพูดคุยที่ผ่านมา พิมพ์ตะวันไม่ใช่คนช่างเจรจา ชีวิตประจำวันของเธอคลุกคลีอยู่แต่ในโรงพยาบาล มีแต่เรื่องทางการแพทย์และชีวิตของผู้ป่วยที่ไม่ควรเป็นหัวข้อสนทนากับใครที่ไม่เกี่ยวข้อง เธอจึงมักจะเงียบและรับฟังเป็นส่วนใหญ่
หากเขาไม่เป็นฝ่ายสรรหาเรื่องมาเล่า มาพูดคุย เธอก็เพียงตอบคำถามคำ
พิมพ์ตะวันอมยิ้ม เผลอคิดถึงการสนทนากับคนที่เพิ่งบล็อกการติดต่อกับเธอ ทั้งที่เขาเป็นแพทย์คนหนึ่ง แต่ด้วยเนื้องานในสาขาที่ต่างกัน หลายครั้งเรื่องเล่าของเธอจึงไม่น่าสนใจสำหรับเขา นานวันเข้าเธอก็กลายเป็นคนฟังที่นั่งยิ้มบาง ๆ กับผู้ชายขี้บ่นที่เธอรัก
'ปิ่นลองเขียนแบบดูบ้างไหม โจทย์คือหัวไม้เท้ารูปสัตว์ศักดิ์สิทธิ์' แสงไฟวาบพร้อมข้อความบนหน้าจอเรียกสติเธอให้คืนมาอีกครั้ง
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ มองอย่างงุนงง ไล่นิ้วพิมพ์ตอบ 'สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหรอคะ'
'เสือขาว เต่าดำ หงส์เพลิง มังกรน้ำเงิน อะไรเทือกนั้น'
'เล่นเอาอยากเห็นหน้าคนสั่งเลยค่ะ'
'คนสั่งเป็นหลานชายครับ จะใช้เป็นของขวัญวันเกิดคุณปู่'
'ปู่ลูกค้าเป็นเจ้าสัวใหญ่ที่นานกิง'
พิมพ์ตะวันพิมพ์ข้อความตอบ 'ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นคนจีน ไม่ก็มีเชื้อจีน'
'ครับ'
'คุณไปป์ส่งอะไรไปคะ' เมื่อเขาเริ่มหัวข้อที่มีความสนใจร่วมกัน พิมพ์ตะวันก็สานต่อบทสนทนาได้อย่างไม่ลำบาก
'ครบทั้งสี่ตัวแล้วครับ วนไปตัวละสองรอบด้วย'
'อ้าว'
'ไม่ถูกใจเลย ตินั่น ให้ปรับโน่น ผมล่ะปวดหัว'
พิมพ์ตะวันอดหัวเราะไม่ได้ 'ทำไมล่ะคะ'
'ไม่รู้สิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน'
เขาส่งภาพร่างสามมิติมาให้เธอดู ความอ่อนช้อยสวยงามแฝงด้วยความเข้มแข็งน่าเกรงขามของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชวนให้ผู้พบเห็นอดชื่นชมไม่ได้ แสงระยับของอัญมณีที่ลงสีอย่างสวยงามราวกับภาพของจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
'สวยจังค่ะ...'
'คุณก็เห็นอย่างนั้นใช่ไหม ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาไม่ชอบมัน'
พิมพ์ตะวันนิ่งไปนาน ก่อนแตะนิ้วลงพิมพ์ข้อความอีกครั้ง 'เขาเป็นคนยังไงเหรอคะ'
อติยะส่งสติ๊กเกอร์รูปตัวการ์ตูนที่เอียงคอมอง มีเครื่องหมายปรัศนีตัวโตลอยอยู่ข้าง ๆ มาให้แทนคำถาม
'ลูกค้าของคุณ กับคุณปู่ของเขาน่ะค่ะ'
หน้าจอนิ่งไปนาน ราวอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดหาคำตอบอยู่เช่นกัน ก่อนที่ข้อความจะถูกส่งกลับมาในที่สุด
'แล้วผมจะเล่าให้ฟังตอนที่เราเจอกันนะ' เขาฉลาดพอจะมัดมือชก สร้างการนัดหมายที่ไม่กำหนดวัน คงเพราะอติยะรู้ว่าเธอเรียนออกแบบจิวเวอรี่ที่สตูดิโอจบแล้ว เขาไม่สามารถพบเธอทุกอาทิตย์อีกแล้ว
'ผมขับรถกลับบ้านก่อนนะครับ' เขาพิมพ์ตัดบทอย่างรวดเร็ว
'ดึกมากแล้ว ส่งปิ่นเข้านอนเลยแล้วกัน...ฝันดีครับ...'
พิมพ์ตะวันนิ่งงันไปนาน อติยะไม่เคยรู้ว่าสิ่งหนึ่งที่เธอถือเป็นจริงจังและเรียกร้องจากคนรักเก่าคือการบอกราตรีสวัสดิ์ในทุกคืน เขาเป็นคนแรกที่ทำเช่นนั้นสม่ำเสมอโดยที่เธอไม่ได้เอ่ยคำขอร้อง
'ขอบคุณค่ะ...'
เธอพิมพ์ตอบไปด้วยท่าทางเหม่อลอย ขอบคุณกับความใส่ใจที่เขามอบให้โดยไม่ร้องขอการตอบแทน
หญิงสาวเปิดโปรแกรมเล่นเพลง ตั้งเวลาปิดเพลงอัตโนมัต ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้เสียงเพลงดังเบา ๆ ราวจะร้องแทนหัวใจที่เจ็บร้าว
...คำว่าลาที่ให้เธอ ก็เป็นฉันที่พูดมัน แต่ทำไมคิดถึงเธอ อย่างนี้...
ฉันไม่รู้ว่ายังรักเธออยู่ไหม รู้แค่หัวใจ ไม่เคยจะลืม...
---------
สรุปว่า...พี่ไปป์ได้ไปต่อนะคะ คิดว่าน่าจะมีต่ออีกสักตอนสองตอนนะคะ
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ : พี่ไปป์เป็นเจ้าชายค่ะ
คุณsunflower : พี่ไปป์ได้ไปต่ออีกสักพักเลยค่ะ
คุณkraten : ไม่ทันค่ะ ไม่ทันนะคะ เพราะไอซ์คว้าไปแล้ว
คุณคิมหันตุ์ : ผู้ชายแสนดี น่ารักใช่ไหมคะ
คุณkonhin : นั่นสิคะ น่าสงสารนาง
โปรดติดตามตอนต่อไป กับเพลง...ขอโทษจริง ๆ...ค่ะ บอกเลยว่าพี่ไปป์เกือบไม่ได้ไปต่อ ถ้าไม่มีเพลงนี้ของ Basketband คลอดออกมาเป็นแรงบันดาลใจให้ไอซ์หิ้วหนูปิ่นออกมาจากไหดอง
ใครจะขอโทษใคร ทำไมต้องขอโทษ ตอนหน้าพบกันค่ะ
"สงสัยผมจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้าน" เขาเงียบไปครู่ ก่อนบอก "ยืมโทรศัพท์คุณปิ่นโทรเข้าไปให้เด็กเก็บไว้ให้หน่อยนะครับ"
พิมพ์ตะวันหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาส่งให้เขากดหมายเลขโทรศัพท์ลงไป ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง
"คุณไปป์..." พิมพ์ตะวันขึงตาดุ ขณะที่เขาหัวเราะ
"ก็คุณไม่สนใจนามบัตรผมเลย จะแลกนามบัตรคืนก็ไม่มี"
"ปิ่นไม่ค่อยชอบพกกระดาษค่ะ" เธอเอ่ยเสียงอ่อย รู้สึกผิดที่ลืมนามบัตรเขา แต่เธอไม่ชอบพกนามบัตร มันดูเป็นทางการเกินไป
"ผมแอดไลน์เลยแล้วกันนะครับ" เขากดเปิดโปรแกรมสนทนา เพิ่มเพื่อนให้เธอหน้าตาเฉย เมื่อเงยหน้ามาเห็นพิมพ์ตะวันนั่งนิ่งมองอย่างไม่ชอบใจ ชายหนุ่มก็ยิ้มบาง ๆ "คุณไม่ได้ขัดข้องที่เราจะเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ"
หญิงสาวถอนใจหนัก ๆ เธอมักจะเถียงชนะใครต่อใครด้วยเหตุผลและการคิดเชื่อมโยงที่หลายคนต้องยอมรับ แต่อติยะเป็นหนึ่งในผู้ชายไม่กี่คนที่ทำให้เธอต้องเงียบและฟัง
เขาส่งโทรศัพท์คืนเธอด้วยรอยยิ้ม "ยินดีที่ได้รู้จักกัน...อีกครั้งครับ"
"ไม่ต้องจับมือเชคแฮนด์ใช่ไหมคะ" เธอกลอกตาบอกด้วยท่าทางที่บอกชัดว่าไม่ชอบใจนัก
"ถ้าคุณต้องการก็ได้นะ" ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ร้อนใจ
พิมพ์ตะวันพลาดที่ยอมให้เขามาส่งเธอถึงบ้าน เขาจึงได้รู้ถึงทุกช่องทางการสื่อสารของเธออย่างง่ายดาย ชายหนุ่มจอดรถรอจนเธอเดินเข้าบ้านและหันไปมองเขาจึงขับรถจากไป ทิ้งไว้แค่คำเอ่ยเรียบ ๆ ที่ยังดังอยู่ในหัวเธอ
"แล้วเจอกันนะครับ"
อติยะนับว่าเป็นผู้ชายที่รู้จักเวลา เขาไม่ได้รีบร้อนติดต่อหญิงสาวให้เธอต้องลำบากใจ ชายหนุ่มใจเย็นพอจะเว้นช่วงเวลาถึงอาทิตย์หนึ่งจึงโทรศัพท์หาเธอ
"วันนี้ไม่มาเรียนเหรอครับ" เขาเอ่ยถามเมื่อเธอกดรับสาย
"ครูไม่ว่างค่ะ"
"นึกว่าคุณกลัวจนไม่กล้ามาที่ร้าน" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากพิมพ์ตะวันเช่นกัน
"ทำไมปิ่นต้องกลัวล่ะคะ...รู้ไหมคะว่าการสบประมาทให้ผู้หญิงหงุดหงิดน่ะใช้ได้เฉพาะในนิยายเท่านั้นล่ะค่ะ" พิมพ์ตะวันตอบอย่างใจเย็น เมื่อเธอขีดเส้นความสัมพันธ์ไปแล้วก็ไม่มีความจะเป็นต้องกังวลหรือระแวงอะไรอีก
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนหัวเราะตอบ "อยู่บ้านเหรอครับ"
"อยู่เวรค่ะ..." เธอหัวเราะ
"ยุ่งไหม"
"เรื่อย ๆ ค่ะ"
"พอมีเวลาออกมากินข้าวกันไหมครับ"
พิมพ์ตะวันนิ่งไปครู่ ก่อนตอบเสียงเรียบ "มีเวลาค่ะ แต่ปิ่นยังไม่อยากกินข้าวกับคุณ"
"ใจร้าย..." เขาถอนใจเบา ๆ ขณะที่พิมพ์ตะวันอมยิ้ม กรอกเสียงบอก
"อาทิตย์หน้าเจอกันนะคะ"
เธอตัดสัญญาณการติดต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบ รู้ดีว่าเสียมารยาท แต่พิมพ์ตะวันต้องการเป็นฝ่ายควบคุมความสัมพันธ์ เมื่อเขาประกาศว่าจะรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง เธอก็ต้องรับผิดชอบความสัมพันธ์ในขอบเขตของเธอให้ดีที่สุดเช่นกัน
พิมพ์ตะวันเหนื่อยแล้วกับการยึดติดกับใคร เธอจะยืนอยู่ในที่ของเธอเท่านั้น ใครอยากพบก็จงเดินเข้ามา หากอยากใช้สิทธิ์จะยืนข้าง ๆ เธอก็จะไม่หลบหนีไปไหนเช่นกัน
คุณเคยรักใครสักคนไหม ???
มีคนเคยบอกว่า ความรักเป็นชื่อเล่นของการเป็นเจ้าของ ความหวงแหน และความคาดหวังถึงการตอบสนองทางอารมณ์
เพราะรัก เราจึงปรารถนาความรักตอบ
แต่โลกไม่ได้ใจดีพอจะบอกให้เรารู้ว่าควรรักใคร เราไม่เคยเห็น...ว่าเฒ่าจันทราผู้ขี้เล่นนำปลายด้ายแดงที่นิ้วเราไปผูกไว้ที่ใด
หรือปล่อยให้ใครเผลอตัดไปเสียแล้ว
พิมพ์ตะวันถอนใจหนัก ๆ กับภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องใหญ่เท่าฝ่ามือ รอยยิ้มบาง ๆ เหยียดออกที่มุมปาก กึ่งหยัน กึ่งเศร้า
เธอกด unfriend เขาได้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ความผูกพันรวมกับความใจอ่อนแบบผู้หญิงทำให้มือยังเผลอกดเข้าไปดูหน้าเพจเขา โดยเฉพาะในวันฝนตกที่ไอเย็นชื้นโอบร่างชวนให้หนาวไปถึงห้องหัวใจ เธอก็เผลอไล่นิ้วกดชื่อเพจของเขา เพื่อจะพบกับหน้าจอที่ว่างเปล่า
เธอขบริมฝีปากเบา ๆ เก็บซ่อนความเจ็บปวดบางอย่างที่แล่นปลาบเข้ามาราวจะบีบหัวใจ
เขาบล็อกเธอ...ง่ายดายอย่างคนที่ไม่ต้องการติดต่อกันอีก
หญิงสาวเงยหน้าซ่อนหยดน้ำตาที่ใกล้รินไหล ก่อนจะก้มหน้าแล้วยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบา ๆ
"ไม่เป็นไรนะ หนูปิ่น...ไม่เป็นไร"
เธอวางโทรศัพท์ในมือ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระจก มองลึกเข้าไปในดวงตาที่เริ่มมีสีแดงจาง ๆ และหยาดน้ำคลอ หญิงสาวคลี่ยิ้มหวาน
"เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งและเจ๋งออกขนาดนี้...เธอเดินมาไกลแล้วนะพิมพ์ตะวัน" เธอเน้นคำกับเงาในกระจก "เธอมีค่า...โดยไม่ต้องฟูมฟายให้ใครมาเห็นค่าเธอ"
พิมพ์ตะวันยืนนิ่ง ยิ้มให้เงาในกระจกอยู่นานจนหัวใจเริ่มเสถียร
เสียงโทรศัพท์สั่นเบา ๆ ทำให้หญิงสาวเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มากดดู ข้อความสติ๊กเกอร์จากอติยะทำให้เธอเผลอยิ้มบาง ๆ
'นอนหรือยังครับ'
'ยังค่ะ...เพิ่งถึงบ้าน' เธอไล่นิ้วพิมพ์ข้อความตอบ
'วันนี้ไม่อยู่เวรเหรอ'
'ค่ะ'
หลายวันมานี้เธอส่งข้อความคุยกับเขาจนเกือบเป็นความคุ้นชิน พิมพ์ตะวันจึงตอบข้อความเขาอย่างสบาย ๆ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่เริ่มคุ้นเคยกัน
'ดีจัง ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จ'
'วันนี้เหนื่อยชะมัด ลูกค้าเรื่องมากสุด ๆ'
อติยะคงพอเดาได้จากการพูดคุยที่ผ่านมา พิมพ์ตะวันไม่ใช่คนช่างเจรจา ชีวิตประจำวันของเธอคลุกคลีอยู่แต่ในโรงพยาบาล มีแต่เรื่องทางการแพทย์และชีวิตของผู้ป่วยที่ไม่ควรเป็นหัวข้อสนทนากับใครที่ไม่เกี่ยวข้อง เธอจึงมักจะเงียบและรับฟังเป็นส่วนใหญ่
หากเขาไม่เป็นฝ่ายสรรหาเรื่องมาเล่า มาพูดคุย เธอก็เพียงตอบคำถามคำ
พิมพ์ตะวันอมยิ้ม เผลอคิดถึงการสนทนากับคนที่เพิ่งบล็อกการติดต่อกับเธอ ทั้งที่เขาเป็นแพทย์คนหนึ่ง แต่ด้วยเนื้องานในสาขาที่ต่างกัน หลายครั้งเรื่องเล่าของเธอจึงไม่น่าสนใจสำหรับเขา นานวันเข้าเธอก็กลายเป็นคนฟังที่นั่งยิ้มบาง ๆ กับผู้ชายขี้บ่นที่เธอรัก
'ปิ่นลองเขียนแบบดูบ้างไหม โจทย์คือหัวไม้เท้ารูปสัตว์ศักดิ์สิทธิ์' แสงไฟวาบพร้อมข้อความบนหน้าจอเรียกสติเธอให้คืนมาอีกครั้ง
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ มองอย่างงุนงง ไล่นิ้วพิมพ์ตอบ 'สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหรอคะ'
'เสือขาว เต่าดำ หงส์เพลิง มังกรน้ำเงิน อะไรเทือกนั้น'
'เล่นเอาอยากเห็นหน้าคนสั่งเลยค่ะ'
'คนสั่งเป็นหลานชายครับ จะใช้เป็นของขวัญวันเกิดคุณปู่'
'ปู่ลูกค้าเป็นเจ้าสัวใหญ่ที่นานกิง'
พิมพ์ตะวันพิมพ์ข้อความตอบ 'ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นคนจีน ไม่ก็มีเชื้อจีน'
'ครับ'
'คุณไปป์ส่งอะไรไปคะ' เมื่อเขาเริ่มหัวข้อที่มีความสนใจร่วมกัน พิมพ์ตะวันก็สานต่อบทสนทนาได้อย่างไม่ลำบาก
'ครบทั้งสี่ตัวแล้วครับ วนไปตัวละสองรอบด้วย'
'อ้าว'
'ไม่ถูกใจเลย ตินั่น ให้ปรับโน่น ผมล่ะปวดหัว'
พิมพ์ตะวันอดหัวเราะไม่ได้ 'ทำไมล่ะคะ'
'ไม่รู้สิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน'
เขาส่งภาพร่างสามมิติมาให้เธอดู ความอ่อนช้อยสวยงามแฝงด้วยความเข้มแข็งน่าเกรงขามของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชวนให้ผู้พบเห็นอดชื่นชมไม่ได้ แสงระยับของอัญมณีที่ลงสีอย่างสวยงามราวกับภาพของจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
'สวยจังค่ะ...'
'คุณก็เห็นอย่างนั้นใช่ไหม ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาไม่ชอบมัน'
พิมพ์ตะวันนิ่งไปนาน ก่อนแตะนิ้วลงพิมพ์ข้อความอีกครั้ง 'เขาเป็นคนยังไงเหรอคะ'
อติยะส่งสติ๊กเกอร์รูปตัวการ์ตูนที่เอียงคอมอง มีเครื่องหมายปรัศนีตัวโตลอยอยู่ข้าง ๆ มาให้แทนคำถาม
'ลูกค้าของคุณ กับคุณปู่ของเขาน่ะค่ะ'
หน้าจอนิ่งไปนาน ราวอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดหาคำตอบอยู่เช่นกัน ก่อนที่ข้อความจะถูกส่งกลับมาในที่สุด
'แล้วผมจะเล่าให้ฟังตอนที่เราเจอกันนะ' เขาฉลาดพอจะมัดมือชก สร้างการนัดหมายที่ไม่กำหนดวัน คงเพราะอติยะรู้ว่าเธอเรียนออกแบบจิวเวอรี่ที่สตูดิโอจบแล้ว เขาไม่สามารถพบเธอทุกอาทิตย์อีกแล้ว
'ผมขับรถกลับบ้านก่อนนะครับ' เขาพิมพ์ตัดบทอย่างรวดเร็ว
'ดึกมากแล้ว ส่งปิ่นเข้านอนเลยแล้วกัน...ฝันดีครับ...'
พิมพ์ตะวันนิ่งงันไปนาน อติยะไม่เคยรู้ว่าสิ่งหนึ่งที่เธอถือเป็นจริงจังและเรียกร้องจากคนรักเก่าคือการบอกราตรีสวัสดิ์ในทุกคืน เขาเป็นคนแรกที่ทำเช่นนั้นสม่ำเสมอโดยที่เธอไม่ได้เอ่ยคำขอร้อง
'ขอบคุณค่ะ...'
เธอพิมพ์ตอบไปด้วยท่าทางเหม่อลอย ขอบคุณกับความใส่ใจที่เขามอบให้โดยไม่ร้องขอการตอบแทน
หญิงสาวเปิดโปรแกรมเล่นเพลง ตั้งเวลาปิดเพลงอัตโนมัต ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้เสียงเพลงดังเบา ๆ ราวจะร้องแทนหัวใจที่เจ็บร้าว
...คำว่าลาที่ให้เธอ ก็เป็นฉันที่พูดมัน แต่ทำไมคิดถึงเธอ อย่างนี้...
ฉันไม่รู้ว่ายังรักเธออยู่ไหม รู้แค่หัวใจ ไม่เคยจะลืม...
---------
สรุปว่า...พี่ไปป์ได้ไปต่อนะคะ คิดว่าน่าจะมีต่ออีกสักตอนสองตอนนะคะ
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ : พี่ไปป์เป็นเจ้าชายค่ะ
คุณsunflower : พี่ไปป์ได้ไปต่ออีกสักพักเลยค่ะ
คุณkraten : ไม่ทันค่ะ ไม่ทันนะคะ เพราะไอซ์คว้าไปแล้ว
คุณคิมหันตุ์ : ผู้ชายแสนดี น่ารักใช่ไหมคะ
คุณkonhin : นั่นสิคะ น่าสงสารนาง
โปรดติดตามตอนต่อไป กับเพลง...ขอโทษจริง ๆ...ค่ะ บอกเลยว่าพี่ไปป์เกือบไม่ได้ไปต่อ ถ้าไม่มีเพลงนี้ของ Basketband คลอดออกมาเป็นแรงบันดาลใจให้ไอซ์หิ้วหนูปิ่นออกมาจากไหดอง
ใครจะขอโทษใคร ทำไมต้องขอโทษ ตอนหน้าพบกันค่ะ
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2559, 11:24:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2559, 11:26:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 1138
<< ในความสัมพันธ์ 2 | ในความสัมพันธ์ 4 (ขอโทษจริง ๆ) >> |
konhin 1 ส.ค. 2559, 12:06:14 น.
คนเศร้าเพราะเราทำตัวเองให้ย้ำคิดย้ำทำด้วยหรือเปล่า นางเอกอาจจะต้องเข้าวัดหัดปล่อยวาง ฮ่าๆๆ พูดเหมือนเคยทำได้เล้ยยยยยย
คนเศร้าเพราะเราทำตัวเองให้ย้ำคิดย้ำทำด้วยหรือเปล่า นางเอกอาจจะต้องเข้าวัดหัดปล่อยวาง ฮ่าๆๆ พูดเหมือนเคยทำได้เล้ยยยยยย
ปรางขวัญ 1 ส.ค. 2559, 13:04:10 น.
อยากเจอคนแบบคุณไปป์บ้างจัง
อยากเจอคนแบบคุณไปป์บ้างจัง
คิมหันตุ์ 1 ส.ค. 2559, 19:29:39 น.
ตอนหน้าคลอดไวไวนะคะขุ่นไอซ์. รอดูความน่ารักของคุณไปป์ว่าจะละลายหนูปิ่นได้ไหม
ตอนหน้าคลอดไวไวนะคะขุ่นไอซ์. รอดูความน่ารักของคุณไปป์ว่าจะละลายหนูปิ่นได้ไหม
kraten 2 ส.ค. 2559, 01:30:34 น.
คนอ่านเสียใจกว่า ถ้าให้รอนานๆ มันทรมานใจ
คนอ่านเสียใจกว่า ถ้าให้รอนานๆ มันทรมานใจ
นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ส.ค. 2559, 15:44:18 น.
หืมมม เจ้าชายเกิดช้าไปนิดนะคะ เฒ่าจันทราช่างแกล้งเอาเจ้าขายไปหลบหลังเสาก่อนเฉยเลย
หืมมม เจ้าชายเกิดช้าไปนิดนะคะ เฒ่าจันทราช่างแกล้งเอาเจ้าขายไปหลบหลังเสาก่อนเฉยเลย