^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา

ตอน: ในความสัมพันธ์ 4 (ขอโทษจริง ๆ)

ร่างบอบบางค่อยหมุนตัวอยู่บนเกลียวผ้า มือจับผ้าที่อยู่สูงขึ้นไป เหนี่ยวตัวพาร่างบางให้ม้วนตัวตีลังกาขึ้นไปโดยมีผ้าผืนยาวเนื้อบางประคองร่าง ดูคล้ายเหินบินอยู่บนผืนผ้า เสียงดนตรีดังคลอให้จังหวะยามที่เธอพลิ้วกายร่ายรำจนเมื่อเพลงหยุดลง ร่างบางก็หมุนกายทิ้งตัวลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง

เสียงปรบมือดังเบา ๆ ทำให้เธอหันไปมองอย่างประหลาดใจ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยคำถาม
"มาได้ยังไงคะ"

"ปิ่นบอกว่าจะมาเล่นโยคะฟลายที่ห้างนี่ ก็มีแต่ที่สตูดิโอนี้นี่ครับ" เขาบอกหน้าตาเฉย ราวกับว่าการเข้ามารบกวนการเรียนในสตูดิโอของเธอเป็นเรื่องธรรมดา

"คุณเก่งมาก"

"ขอบคุณค่ะ" เธอเอ่ยรับ ก่อนเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า "คุณรอข้างหน้าเถอะ เดี๋ยวปิ่นออกไปค่ะ"

ชายหนุ่มใช้เวลารอหน้าล็อบบี้ของสตูดิโอเพียงไม่นาน พิมพ์ตะวันก็เดินออกมาในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน รัดเอวด้วยเข็มขัดสีขาว สะพายเป้สีชมพูดูหวานแหววราวสาวน้อยลูกกวาด

อติยะหรี่ตามอง คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ "คุณหนูปิ่น...นี่คุณไม่ได้หลุดออกมาจากวันเดอร์แลนด์ใช่ไหม"

“อลิสใส่กระโปรงสีฟ้า และเธอก็คงไม่ชอบสีชมพูแหววแบบนี้หรอกค่ะ" เธอเอ่ยอย่างรู้ทัน เขาเปรียบเทียบเธอกับสาวน้อยอลิสในแดนมหัศจรรย์ “ที่สำคัญ อลิสเป็นสาวแบ๊วจริง ๆ ไม่ใช่พวกแอ๊บอย่างปิ่นหรอกค่ะ"

พิมพ์ตะวันคลี่ยิ้ม เดินไปคืนกุญแจแล้วบอกลากับพนักงานของสตูดิโออย่างคุ้นเคย เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวาน ไม่ใช่สาวน้อยโลกสวยที่มีชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งแสงตะวัน เพียงแค่ชอบที่จะแต่งตัวในสไตล์ที่แตกต่าง ใช้ชีวิตในมุมที่หลากหลายเท่านั้น

โยคะฟลายเป็นหนึ่งในกีฬาในร่มที่เธอหลงรัก ส่วนหนึ่งเพราะเธอมองว่านี่คือการรวมตัวของความแข็งแรงและการยืดหยุ่นอย่างลงตัว หญิงสาวเลือกฝึกโยคะบนผ้ามาเกือบครึ่งปี เธอมีวินัยในการฝึกค่อนข้างสูง จึงสามารถเล่นได้ในระดับใกล้เคียงผู้เชี่ยวชาญ ครูจึงยอมปล่อยให้เธอมาเล่นในช่วงเวลาว่างได้ตามอัธยาศัย

“มาถึงนานแล้วเหรอคะ” เธอเดินไปข้าง ๆ เขา

“สักพักครับ พอเห็นตอนปิ่นตีลังกาอยู่บนแฮมมอก”

“รู้จักแฮมมอกด้วย" เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ เมื่อพูดถึงผ้าผืนยาวที่ใช้เล่นโยคะฟลาย
“ป่านเคยเล่นอยู่พักใหญ่ครับ แล้วก็เลิกไป”

“อ้าว...”

“เห็นว่าหลังกับท้องไม่แข็งพอครับ เลยไปเล่นอย่างอื่นแทน”

“อ้อ...แรก ๆ ที่ปิ่นเล่นก็ลำบากพอตัวเลยค่ะ เพราะหลังกับท้องนี่ล่ะ ใครว่าง่ายจริง ๆ แล้วไม่ง่ายเลย เราใช้กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนในการฟลาย ดีที่กำลังแขนปิ่นพอไหวเลยกล้อมแกล้มรอดมาได้” เธอยิ้มเมื่อคิดถึงช่วงแรกที่หัดเล่นกีฬาในร่มชนิดนี้

“แรก ๆ ที่มา ครูบอกว่าแขนแข็งแรงดีนะ ปิ่นน่ะขำเลย ก็แน่สิ...ปิ่นฝึกกล้ามเนื้อแขนแทบทุกวันด้วยการดึงรีแทรกเตอร์” เธอหมายถึงการดึงเครื่องมือในห้องผ่าตัด

พิมพ์ตะวันพาเขาลงบันไดเลื่อนเรื่อย ๆ อย่างคุ้นชิน ก่อนนิ่งคิดเพียงครู่ก็บอก “คุณไปป์หิวหรือยังคะ ถ้ายังไปนั่งกินกาแฟป้าเงือกกันก่อนไหมคะ”

แม้เพิ่งออกกำลังกายมา แต่เธอยังไม่หิวเท่าไร และเวลาสิบหกนาฬิกาก็ยังเร็วเกินไปสำหรับอาหารเย็น

อติยะเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “ป้าเงือก...”
พิมพ์ตะวันอมยิ้ม เพียงไม่นานเขาก็นึกออก ชายหนุ่มหัวเราะ “ก็ได้ครับ ปิ่นเป็นเจ้าถิ่นอยู่แล้วนี่”

หญิงสาวพาเขาไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟแบรนด์ดังที่มีนางเงือกสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ เธอจึงตั้งชื่อเล่นกับเพื่อนว่าร้านป้าเงือก
“ใจร้ายจังนะครับ เรียกซะเสียเลย”

“น่ารักดีออกค่ะ...ร้านป้าเงือก” เธอหัวเราะเมื่ออติยะเดินมาวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ

“คุณไปป์รู้ไหมคะ นกเงือกน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่รักเดียวใจเดียว มันจะมีคู่ตัวเดียวและซื่อสัตย์กับคู่ของมันไปจนตาย เรียกว่าร้านป้าเงือกนี่ก็เพราะปิ่นเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีต่อป้ามากเลยนะคะ” เธออมยิ้มขณะอธิบาย

ความจริงแล้ว ลูกค้าผู้จงรักภักดีต่อป้าเงือกจนพาเธอมาเป็นสาวกอีกคนคือใครบางคนที่หัวใจเธอยังมั่นคงเสมอมา ว่ากันว่าคนที่เปลี่ยนใจยากมักจะมั่นคงในความรัก แต่ผู้ชายคนนั้นคงเป็นข้อยกเว้น

“ปันใจมาที่ร้านผมสักห้องก็ดีนะครับ" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสายตาวิงวอน พิมพ์ตะวันจึงนึกได้ว่าผู้ชายตรงหน้าก็ทำธุรกิจร้านกาแฟเช่นกัน

หญิงสาวกลอกตาด้วยความเก้อเขิน “แหม...ที่ตึกนั้นมีแค่ร้านคุณ ถ้าปิ่นเข้าไปก็คงต้องแวะไปร้านคุณนั่นล่ะค่ะ”

“ฟังเหมือนจำใจเข้ายังไงก็ไม่รู้" เขาถอนใจเบา ๆ “ผมชักน้อยใจเสียแล้วสิ"

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...กาแฟร้านคุณน่ะพอใช้ได้เลย บริการอินเตอร์เน็ทกับการจัดพื้นที่บริเวณร้านก็น่านั่ง เพียงแต่ว่าไม่ได้มีสาขา
หลากหลายจนปิ่นเข้าไปอุดหนุนง่าย ๆ แบบป้าเงือกเท่านั้นเอง” เธอรีบอธิบายด้วยท่าทางจริงจัง ขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟอมยิ้มมองด้วยดวงตาพราวที่อาจทำให้ใครหลายคนละลายได้ไม่ยาก

หมดคำพูด พิมพ์ตะวันก็นิ่งไปกับประกายตาของเขา เธอควานหาสติของตัวเองอยู่อึดใจจึงเอ่ยเข้าประเด็น

"มาคุยเรื่องงานกันดีกว่า ไหนคะ...ลูกค้าคุณเป็นความลับมากหรือคะ" เธอเอ่ยถึงงานที่เขาชักชวนให้เธอเกิดความสนใจจนตัดสินใจนัดคุยกับเขา

ก่อนหน้านี้พิมพ์ตะวันคิดว่าหากไม่ได้พบกัน อติยะก็คงหายไปจากชีวิตเธอเอง แต่การพูดคุยกับเขานานวันทำให้เธอรู้สึกพอใจในฐานะเพื่อนคู่คิดมากกว่าจะเป็นคนรู้ใจ หญิงสาวจึงยังคงรักษาการติดต่อกับเขา และเป็นตัวเองอย่างไม่สนใจสร้างความประทับใจใดต่อชายหนุ่ม

เธอรู้ว่าความรู้สึกของอติยะเองก็เป็นการชอบพอมากกว่าจะใช้คำว่ารักใคร่ การคบหาพูดคุยอย่างเพื่อนจึงไม่ใช่เรื่องยาก
"หืม...ทำไมคิดอย่างนั้น"

"คุณระวังตัว ไม่อยากส่งข้อความคุยเรื่องเขา"

อติยะคลี่ยิ้ม "ผมต้องขับรถพอดี แต่ส่วนหนึ่งก็อย่างที่คุณคิด...เขาเป็นคนมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง"

ชายหนุ่มวางศอกลงบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย มือประสานกันบนโต๊ะแล้วใช้นิ้วชี้ไล้สันมืออีกข้างอย่างเผลอตัว พิมพ์ตะวันมองท่าทีแฝงความกังวลของเขาเงียบ ๆ ไม่นาน คนตัวโตก็ยอมเอ่ยคำ

"คุณรู้จัก...มิสเตอร์โจวไหมครับ"

หญิงสาวนิ่งไปครู่ ทบทวนความทรงจำในหัว ก่อนกัดริมฝีปากบอกเสียงเบา "คงไม่ใช่...คุณโจวเฉิน..."

หากเป็นโจวเฉิน เธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอติยะไม่อยากเอ่ยชื่อเขาในข้อความที่สามารถบันทึกเป็นหลักฐานได้

ชายหนุ่มเชื้อสายจีนผู้นี้ไม่ได้มีชื่อเสียงนักในกลุ่มคนทั่วไป แต่สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นแล้วเขาเป็นหนึ่งในวายร้ายนิสัยเสียที่เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ในตลาดหุ้นทั้งไทยและจีนเมื่อปลายปีก่อนด้วยเงินทุนมหาศาลที่คว้ากำไรหลายเท่าตัวจนเซียนหุ้นหลายคนแทบจะกราบเขาเป็นอาจารย์ เพราะเหตุนี้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จึงพิจารณาตรวจสอบการซื้อขายหุ้นของตระกูลโจว แต่ยังไม่มีบทสรุป

ข่าวลือของเขามีมากมาย เพราะวิสัยเฉียบขาด ดุดันที่สื่อออกมาเมื่อซื้อขายหุ้นทำให้หลายคนมองเขาเป็นมาเฟียตลาดหุ้น

"มิสเตอร์โจวเฉินคนนั้นล่ะครับ" เขาเอ่ยพลางถอนใจ นอกจากชื่อเสียงด้านการลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว โจวเฉินยังมีข่าวลือว่าเกี่ยวข้องกันการค้าเฮโรอีน เขาจึงเป็นนักธุรกิจที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยนัก

"คุณใจกล้ามาก..."

"ผมมันคนค้าขาย ลูกค้ามาก็ต้องขายสิครับ"

"ดีค่ะ...คิดจะทำธุรกิจ ก็อย่าคิดเรื่องหยุมหยิม" เธอกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนถอนใจเบา ๆ "ถ้าเป็นคุณโจวเฉินคนนั้น...ปิ่นพอจะคิดออกแล้วว่าเราจะไปทางไหนดี"

อติยะขมวดคิ้วมองอย่างประหลาดใจ

พิมพ์ตะวันนิ่งไปนาน รอบตัวเธอคล้ายมีไอของความเศร้าบางอย่างโอบล้อมอยู่จนอติยะเข้าไม่ถึง ก่อนที่ดวงตาคมคู่สวยจะเลื่อนไปหยุดในที่หนึ่ง

โลกกลมเกินไป หากรู้ว่าลูกค้าคนสำคัญของอติยะคือโจวเฉิง ไม่แน่ว่าเธออาจไม่มานั่งตรงนี้

เสียงเอ่ยต้อนรับของพนักงานดังปนกับเสียงเครื่องบดกาแฟเป็นบทเพลงหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในร้านกาแฟ พิมพ์ตะวันเพิ่งสังเกตเมื่อเธอหลุดจากห้วงความคิด ผู้ชายคนหนึ่งที่โต๊ะห่างไปสุดมุมห้องกำลังมองเธออย่างไม่ปิดบังสายตา

บนโต๊ะมีบทสนทนาถึงโจวเฉิน ห่างไปในร้านกลับมีลูกผู้น้องของโจวเฉิน

"ปิ่น..." เสียงเรียกชื่อจากคนตรงหน้าทำให้เธอได้สติ หญิงสาวเลื่อนสายตากลับมามองหน้าอติยะ ท่าทางเขาดูร้อนรน "คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"

พิมพ์ตะวันยังนิ่ง ปากหนักจนพูดอะไรไม่ออกได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ ความกดดันบางอย่างแล่นมาที่ขอบตา เธอรีบปิดตา สูดลมหายใจยาวลึกเพื่อเรียกสติให้คืนมา

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ใช่ความฝัน เขาไม่ได้มองเธอแล้ว แต่กำลังก้มหน้ามองแท็บเล็ทที่อยู่บนโต๊ะราวจดจ่ออยู่กับบางสิ่งในนั้น

เธอลืมไปได้อย่างไร ที่นี่อยู่ใกล้ที่ทำงานเก่าของเธอ ก็คือใกล้ที่ทำงานของเขาด้วย และนี่ก็คือหนึ่งในร้านกาแฟที่เขามักจะมานั่งทำงาน ความคุ้นเคยหรืออารมณ์หวนหาที่พาให้เธอบ้ามานั่งอยู่ตรงนี้

"ขอเวลาปิ่นสักครู่นะคะ" เธอหาเสียงตัวเองเจอในที่สุด

พิมพ์ตะวันอยากเดินออกไปจากร้าน แต่เธอทำได้แค่นั่งนิ่ง ๆ ขาสองข้างไม่ยอมทำตามคำที่สมองบอก สายตาเธอยังวนเวียนไปหาผู้ชายที่นั่งอยู่มุมห้อง เมื่อเขาเงยหน้ามาสบตา เธอก็ยังคงมองตาเขานิ่งราวจะเอ่ยคำถามผ่านอากาศไป

'เรารักกันหรือเปล่าคะ...'


ทุกอย่างเริ่มจากโจวเฉินคนที่อติยะพูดถึง มาเฟียตลาดหุ้นที่บรรดานักลงทุนหน้าใหม่หลายคนมองเขาเป็นพ่อมด กระทั่งนักลงทุนกลุ่มวีไอที่เน้นมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นอย่างพิมพ์ตะวันยังอดจะตามศึกษาวิธีคิดของเขาด้วยความสนใจไม่ได้

วิสัยการลงทุนของเขาทำให้เธอสนใจ เธอวาดภาพผู้ชายเจ้าเล่ห์ที่มีนิสัยร้ายกาจไว้ในหัวอยู่เกือบเดือน จนได้เห็นชื่อรังสีแพทย์ที่รายงานผลการตรวจในโรงพยาบาล...นพ.ศิวา แซ่โจว...

ความอยากรู้ทำให้เธอเข้าไปพบเขา ส่วนหนึ่งเพื่อสอบถามถึงผลการตรวจและทบทวนภาพรังสีวินิจฉัย ก่อนออกจากห้องวันหนึ่ง เธอก็กล้าพอจะถามตรง ๆ

"อาจารย์แซ่โจวนี่...เป็นญาติกับมิสเตอร์โจวเฉินหรือเปล่าคะ"

เขานิ่งไปครู่ หรี่ตามองเธอใต้แว่นกรอบหนาที่ส่งให้ใบหน้าขาวนั้นดูอ่อนเยาว์แต่ทรงภูมิ "ทำไมเหรอ"

"ปิ่นอยากรู้จักน่ะค่ะ...เขาดูเป็นคนที่น่าสนใจดี" เธอหลงใหลในความคิดอันซับซ้อนของมนุษย์จนยากจะแก้ไขเสียแล้ว เมื่อใดที่พบคนน่าสนใจหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปศึกษา

"คนจีนมีหลายสิบล้าน แต่มีอยู่แค่ร้อยแซ่..." เขาเอ่ยเปรยเบา ๆ เธอก็ตัดสินว่าเขาไม่รู้จักเสียแล้ว

"อ้อ...ปิ่นทราบค่ะ แต่ก็ถามเผื่อ...ความบังเอิญจะมีอยู่จริง" เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ โคลงศีรษะเบา ๆ แล้วหมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากห้อง

เพียงมือเธอแตะประตูกระจก คนที่นั่งอยู่ในห้องก็เอ่ยเสียงเรียบ

"ความบังเอิญมีอยู่จริง ๆ" เธอนิ่งไปครู่ หมุนตัวกลับไปเอียงคอมองเขาอย่างประหลาดใจ ใบหน้านั้นยังนิ่งเมื่อเอ่ยบอกเธอ "พ่อเฮียเฉินเป็นลุงพี่"

เธอนิ่งไป ไม่มั่นใจว่าควรเอ่ยอะไรต่อ ส่วนหนึ่งเพราะไม่คิดว่าความบังเอิญจะมีอยู่จริง อีกส่วนคือแววตานิ่ง ๆ ของคนตรงหน้าคล้ายจะสะกดเธอไว้

ศิวาเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ไม่นาน แต่ชื่อเสียงด้านความดุและไม่เป็นมิตรของเขาเป็นที่รู้กันดีในหมู่แพทย์ใช้ทุน พิมพ์ตะวันเองทุกครั้งที่เข้ามาทบทวนภาพรังสีกับเขา เธอต้องทำการบ้านเตรียมประวัติผู้ป่วยและหาความรู้เพิ่มเติมมาก่อนเสมอ กว่าจะสามารถพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับเขาได้ระดับหนึ่ง

การที่เขาแทนตัวเองว่าพี่ และเอ่ยถึงครอบครัวกับเธออย่างตรงไปตรงมา กลับทำให้หญิงสาวปลาบปลื้มมากกว่าการได้เข้าใกล้มาเฟียแห่งตลาดหุ้นเสียอีก

"เขาเป็นคนยังไงเหรอคะ" เธอเอ่ยถามเสียงเบา

ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนบอก "พรุ่งนี้ลองไปเจอเองไหม"

"คะ..."
"พรุ่งนี้เย็น เฮียเฉินมีงานเลี้ยงที่โรงแรมใกล้ ๆ นี่ เลยนัดพี่ไปกินข้าว คุยเรื่องทั่ว ๆ ไป" เขาเอ่ยราวไม่ใส่ใจ ตายังมองเอกสารในมือนิ่ง "ไปด้วยกันไหม"

พิมพ์ตะวันกระพริบตาปริบ ๆ พยายามทำความเข้าใจกับข้อความที่ได้ยิน

"พรุ่งนี้มาเจอพี่ที่นี่...สักหกโมงเย็นแล้วกัน" เธอยังไม่ได้ตอบรับ แต่เขารวบรัดได้หน้าตาเฉย

บางที ความผิดพลาดของพิมพ์ตะวันคงเริ่มตั้งแต่วันนั้น ที่เธอตัดสินใจไปพบเขา จากความตั้งใจที่จะรู้จักโจวเฉิน ความสนใจของเธอกลับถูกศิวาดึงไปที่ตัวเขาอย่างง่ายดาย

หากโจวเฉินคือมาเฟียตลาดหุ้น ศิวาคงเป็นกุนซือที่ซุกตัวเงียบอย่างมิดชิด

ขณะที่โจวเฉินหุนหัน อารมณ์ร้อน ศิวาคือน้ำเย็นเฉียบที่เพียงสัมผัสร่างก็ชาจัด เขาใจเย็นพอจะนั่งรอและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างใจเย็น

กระทั่งหัวใจของเธอ...ก็เผลอร่วงไปอยู่ในมือเขาโดยไม่ทันรู้ตัว


หยาดน้ำตาร่วงลงมาเมื่อไร พิมพ์ตะวันไม่ทันรู้ เธอรู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อคนตัวโตตรงหน้าก้าวมานั่งข้าง ๆ แล้วดึงตัวเธอเข้าไปซบไหล่กว้าง มือหนึ่งลูบหลังเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน

สามัญสำนึกส่วนลึกบอกให้เธอดึงตัวออก แต่ความอ่อนล้าในใจกดร่างเธอให้ทิ้งตัวลงพิงร่างกับไหล่เขาโดยไม่เกี่ยงงอน
ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีข้อความใด ความเงียบที่โอบร่างอยู่ชั่วอึดใจทำให้ใจเธอค่อย ๆ สงบลง

"ขอบคุณนะคะ" พิมพ์ตะวันกระซิบเบา ๆ รับรู้ถึงไอร้อนรอบกระบอกตาที่จางลง เธอยันตัวออกห่าง มองหน้าชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ แต่พบเพียงความจริงใจและห่วงใยอยู่ในตาคู่นั้น คำขอบคุณเบา ๆ จึงถูกเอ่ยซ้ำแทบความซาบซึ้งในความใส่ใจที่เขามอบให้เธอ

"คุณโอเคหรือเปล่า"

"แย่กว่าที่คิด...แต่ก็ดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ" เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เมื่อสายตาเผลอมองไปที่มุมห้องก็พบว่าเขายังนั่งอยู่ที่เดิม

"ปิ่นเคยได้คุยกับคุณโจวเฉิน...สักปีกว่าแล้วล่ะค่ะ" เธอคลี่ยิ้มบอกอย่างตรงไปตรงมา ก่อนหันไปหยิบดินสอในกระเป๋าขึ้นมา ค่อยวาดภาพร่างของสิงโตขึ้นช้า ๆ

"เขาเป็นคนใจร้อน มั่นใจในตัวเองสูง ค่อยข้าง..." เธอนิ่งไปครู่เพื่อเลือกหาคำที่เหมาะสม "อหังการ์..."

หญิงสาวบรรจงวาดภาพร่างหัวราชสีห์ที่มีลูกเล่นด้วยลายร่างคล้ายพยัคฆ์ที่วางแบบให้ฝังลายด้วยนิลกาฬ ดูเรียบง่าย ใช้อัญมณีน้อยชิ้น แต่กลับแข็งแกร่งและสง่างาม

"นักออกแบบของคุณเป็นมืออาชีพที่มีหัวการตลาดดีเกินไป การเลือกใช้อัญมณีมากประกาศความเป็นผู้นำด้านอัญมณีของเจมส์ไพรด์ได้ดี แต่กับลูกค้าที่มีความเป็นตัวของตัวเองและมีความคาดหวังสูงอย่างคุณโจวเฉิน ปิ่นว่า...เราควรออกแบบตามความต้องการ ตามภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับตัวเขาดีกว่า" เธอเอ่ยอธิบายเมื่อวางดินสอในมือลง

"งานอัญมณีบางอย่าง...ก็เป็นเทเลอร์เมดไม่ใช่หรือคะ" เธอคลี่ยิ้มบาง

อติยะนิ่งมองภาพวาดบนกระดาษอยู่นาน "พอเห็นภาพนี้แล้วนึกถึงหน้าเขา ผมก็เหมือนเห็นภาพที่คุณวาดซ้อนอยู่จริง ๆ"

"ถึงคุณจะพอใจ แต่ปิ่นก็รับรองไม่ได้หรอกนะคะว่าจะถูกใจเขาหรือเปล่า" เธอถอนใจเบา ๆ หากต้องการคำยืนยันคงต้องถือภาพนี้ไปถามผู้ชายที่นั่งอยู่มุมห้องคนนั้น คนที่ในวันนี้ เธอไม่มีสิทธิ์เดินเข้าไปหาเขาอย่างเอาแต่ใจอีกแล้ว

เมื่อเธอมาเรียนต่อ ระยะทางที่ไม่ไกลกลับเป็นอุปสรรคที่ร้ายกาจ เมื่อเขาไม่เคยวิ่งตามใคร และไม่คิดจะก้าวออกไปหาเธอ ขณะที่พิมพ์ตะวันเองก็ไม่กล้าพอจะก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง

ในวันที่เขาบอกว่า หากคิดจะรักก็จงรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เธอกลับตอบว่าความรักเป็นสิ่งไม่มั่นคงที่ต้องเผื่อใจ

ทฤษฎีความรักของเขาและเธอเริ่มต้นกันคนละบท และจบลงที่คำรักคนละเล่ม เมื่อต่างฝ่ายต่างหวงแหนความเป็นตัวเองจนไม่มีใครยอมรับความเปลี่ยนแปลง

พิมพ์ตะวันเก็บของแล้วลุกขึ้นยืน เป็นครั้งแรกที่เธอยื่นมือไปจับมืออติยะไว้แน่น จูงมือเขาเดินไปยังประตูร้านอีกฝั่ง เพื่อผ่านไปใกล้โต๊ะตัวนั้นที่ศิวานั่งอยู่

มือขาวบางเผลอกระชับมือหนาของอติยะแน่น

เสียงเพลงในร้านดังเบา ๆ เป็นท่วงทำนองที่ทำให้เธอชะงักงัน คนที่นั่งอยู่เงยหน้าจากแท็บเล็ทขึ้นมาสบตากับเธออีกครั้ง

...ความทรงจำดี ๆ ที่ฉันได้เคยพบเธอ ไม่รู้จะลืมอย่างไร...
ขอโทษจริง ๆ ที่ยังไม่ลืมเธอ ไม่ว่านานแค่ไหน
ขอโทษจริง ๆ ที่ยังฝังใจ แม้ว่านานเท่าไร
บอกใจไม่ให้จำ แต่มันกลับไม่ลืม

...หัวใจมันไม่อาจฝืน...ลุกยืนขึ้นไม่ไหว...
"...ฉันอ่อนแอเกินไป...ที่จะสั่งให้ใจลืมเธอ..." พิมพ์ตะวันเผลอคลอเพลงตามเสียงเบา เมื่อพาร่างตัวเองออกจากร้านกาแฟที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

อติยะดึงตัวเธอไปยืนพิงร่างกับราวระเบียงทางเดิน เขาปล่อยให้เธอใช้เวลาอยู่กับความทรงจำจนพอใจ เมื่อพิมพ์ตะวันเงยหน้ามองคนตัวสูง ก็เห็นว่าเขาคลี่ยิ้มให้เธอ

"คุณโอเคไหม..."

"ขอโทษนะคะ..." เธอเอ่ยเบา ๆ

"ขอโทษอะไร...ผมต้องขอบคุณต่างหาก" เขาบอกหน้าตาเฉย ทำให้พิมพ์ตะวันเอียงคอมองอย่างแปลกใจ

"การเป็นคนที่คุณไว้ใจและสามารถยืนข้าง ๆ ในวันที่คุณรู้สึกไม่ดีน่ะ...เป็นเกียรติของผมเลยนะ" เขามองตาเธอนิ่งอย่างจริงใจ คลี่ยิ้มกว้าง "ขอบคุณนะครับ"

พิมพ์ตะวันได้แต่นิ่งเงียบอย่างจนคำพูด ห้วงหนึ่งของหัวใจเธอสั่นไหวไปกับคำของเขา

เธออมยิ้ม หันไปทางระเบียง มองลงไปด้านล่างอย่างเหม่อลอย ก่อนเอ่ยอีกครั้ง

"ขอบคุณนะคะ..."

อติยะไม่ได้ตอบคำอีก เขาหันมองไปทางเดียวกับเธอ อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ รอให้เธอสัมผัสถึงบรรยากาศของการเคียงข้างจนคุ้นชิน


----------
ขอผู้ชายอย่างคุณไปป์สักคน ใครก็ได้ส่งมาให้เค้าทีเถอะ

คุณ knohin : เข้าวัดไม่ช่วยค่ะ ลุ้นว่าคุณไปป์จะช่วยได้ไหมนะคะ

คุณปรางขวัญ : ใครเจอบอกพิกัดด้วยนะคะ ไอซ์จะไปสู่ขอ

คุณคิมหันตุ์ : รีบมาส่งเลยค่ะ ไม่รู้ปิ่นละลายไหม แต่ไอซ์นะ...เยิ้มเลย

คุณ kraten : กลัวคุณทรมานเลยรีบเขียนมาส่งเลยค่ะ

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ : เฒ่าจันทรานิสัยเสียค่ะ อุ๊บ...อย่าพูดไป เดี๋ยวตาเฒ่าโกรธเอาค่ะ

อีกครั้งค่ะ...ควรพอ หรือไปต่อ...???



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ส.ค. 2559, 19:18:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ส.ค. 2559, 19:18:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1204





<< ในความสัมพันธ์ 3 (ใครเจ็บกว่า)   ใต้มนต์รัก บทที่ 1 >>
คิมหันตุ์ 6 ส.ค. 2559, 00:40:25 น.
ยังไงส้มว่าคุณไปป์ก็ได้ไปต่อ ผู้หญิงน่าจะชอบผู้ชายแบบคุณไปป์นะคะ ถึงจะยังไม่พร้อมจะเป็นคนรัก แต่โอกาสพัฒนาต่อก็ยังมีนิคะ ความรักของปิ่นไม่น่าจะรีบร้อนนี่นาถ้าคุณไปป์พร้อมจะยืนในที่ที่ปิ่นสะดวกใจ ทุกอย่างก็ไม่น่ายากนะคะ


konhin 6 ส.ค. 2559, 03:05:40 น.
คุณไปป์มาถึงทางแยกแล้วป่ะ นางรับเป็นเพื่อนแล้วนิ สาวๆหลายคนถ้าเป็นเพื่อนก็คือเพื่อน สาวๆอีกหลายคนให้เป็นเพื่อนก่อนเป็นแฟน ไหวมั้ยเนี่ย


kraten 6 ส.ค. 2559, 14:00:52 น.
ขอบคุณค่ะ อ่านจบแล้วอึดอัดแทนคุณไปป์ เอ็นดูนาง...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account