มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 36






เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!


อัพไม่จบนะคะ อัพประมาณ 70% ค่ะ ใครอยากฟินกันต่อก็รีบจองกันเข้ามาได้นะคะ อีกไม่กี่วันก็จะปิดจองแล้วค่า

บทที่ 36

หลังจากส่งตัวนายพลติงสาเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในเมือง โดยมีปาณารับหน้าที่รักษาโดยตรง ผลการตรวจออกมาว่าท่อนล่างของนายพลติงสาเป็นอัมพาต ตอนนี้ต้องรักษาแผลกดทับก่อน อาการของเขาไม่ดีนัก อีกทั้งยังไม่ได้สติอีกด้วย

จากนั้นปาระมีจึงให้ทหารพาเจ้าหญิงรัชทายาทกับนางอัมพร และตะวันพราวกลับมาส่งยังตำหนัก พอมาถึงตำหนักส่วนตัวของเจ้าหญิง

รัชทายาท ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะนั่งลงพัก เสียงเอะอะก็ดังขึ้นด้านนอก

“เกิดอะไรขึ้น” วาวพลอยถามนางกำนัลที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามา

“เจ้าชายอุชเชนเพคะ เจ้าชายอุชเชนเสด็จมาหาเจ้าหญิงเพคะ”

“ให้เขาเข้ามาได้” นางกำนัลรับคำแล้วรีบออกไป เพียงไม่นานเจ้าชายอุชเชนพร้อมทหารติดตามสองนายก็เข้ามาในห้องรับแขก

“น้องทำแบบนี้ได้ยังไงชลันตา” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของอุชเชน ไม่ได้ทำให้วาวพลอยหวั่นไหวแต่อย่างใด

“ทำอะไรเพคะ เสด็จพี่” เธอยังตอบไปอย่างเรียบๆ นั่นส่งผลให้อีกฝ่ายมีท่าทีฮึดฮัด

“น้องไปคุกหลวงโดยไม่ขออนุญาตจากพี่ก่อน ทั้งที่พี่เป็นคนควบคุมที่นั่น แล้วยังถือวิสาสะนำตัวนักโทษออกมาจากที่คุมขังโดยพลการ” หน้าตาของเจ้าชายอุชเชนถมึงทึงเอาเรื่อง

“แต่เขาไม่สบายมากนะเพคะ จะเป็นจะตายก็ยังไม่รู้” หญิงสาวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“นั่นไม่ใช่หน้าที่ของน้อง! ” อุชเชนตวาด บ่งบอกว่าโมโหสุดขีด

“แต่มันเป็นเรื่องของมนุษยธรรมนะเพคะ” เจ้าของร่างบอบบางตอบโต้

“แล้วคนที่น้องพาออกมารักษาตัวมันมีมนุษยธรรมกับเราอย่างนั้นหรือ อย่าลืมสิว่าไอ้ติงสามันฆ่าเสด็จพ่อของเราและเสด็จแม่ของน้อง มันจะตายก็เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องที่น้องจะต้องไปใส่ใจ น้องไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้นน้องต้องนำตัวมันกลับไปอยู่ที่เดิม” เขาออกคำสั่งในตอนท้าย วาวพลอยยังคงพยายามทำสีหน้าให้นิ่งเฉย ก่อนเอ่ย

“แต่ในนามของรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งริตถาวดี น้องมีสิทธิ์ที่จะทำทุกอย่างที่เห็นว่าถูกต้อง เสด็จพี่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้วเพคะ น้องกำลังจะบอกอยู่พอดีว่าเสด็จพี่ควรปรับปรุงคุณภาพชีวิตนักโทษให้ดีกว่านี้ ถ้าเสด็จพี่ทำไม่ได้น้องก็จะให้คนอื่นทำ” หญิงสาวพูดเรียบๆ แต่ดวงตาที่มองสบกับฝ่ายตรงข้ามบ่งบอกว่าเอาจริง อุชเชนถึงกับอึ้งไปชั่วครู่

“อะไรนะ! นี่... น้องกล้าเหรอ” ก่อนจะแผดเสียงขึ้นเมื่อได้สติ

“เพคะ” วาวพลอยตอบรับเสียงเรียบ ไม่แสดงความรู้สึก อุชเชนเห็นว่าทำอะไรไม่ได้จึงเปลี่ยนท่าทีมาเป็นยิ้มเหยียด

“อ้อ... ที่เป็นเดือดเป็นร้อนนี่เพราะไอ้หัสตะ ลูกชายไอ้ติงสามันใช่ไหมล่ะ ทั้งที่พ่อมันทำกับครอบครัว บ้านเมืองขนาดนี้ น้องก็ยังจะรักมันจนทำเรื่องโง่ๆ อย่างนี้อีกเหรอ” เขาแค่นเสียงว่า

“มันไม่เกี่ยวกับคุณหัสตะเลยนะเพคะ อย่าพยายามเบี่ยงเบนประเด็น และน้องขอบอกว่าไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่น้องจะจัดการ เสด็จพี่ก็รู้ว่าตำแหน่งรัชทายาทอันดับหนึ่งมีสิทธิอำนาจอันชอบธรรมในการทำทุกอย่างที่เห็นควร เพราะฉะนั้นน้องจะใช้อำนาจนี้จัดการกับสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทุกเรื่องตามที่เห็นสมควรเพคะ” วาวพลอยสวนกลับ ท่าทางจริงจังของหญิงสาวเป็นเหตุให้อุชเชนชะงักไปอีกครั้ง

“ก็ได้! อยากทำอะไรก็ตามใจ” เขาสะบัดเสียงใส่อย่างโมโหสุดขีด แล้วหุนหันจากไป

เจ้าของร่างบอบบางถอนหายใจพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้รับแขกราวกับหมดแรง นางอัมพรกับตะวันพราวที่นั่งฟังการปะทะคารมมาตลอดราวกับไร้ตัวตนมองวาวพลอยเป็นตาเดียวกัน

“โอ้โฮ... พี่ล่ะสะใจชะมัดเลยยัยพลอย ต้องอย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นเจ้าหญิงรัชทายาท” ตะวันพราวร้องขึ้นพลางยกนิ้วโป้งให้น้อง

“มันไม่ใช่เวลาจะมาสะอกสะใจนะลูก ไม่เห็นสายตาเจ้าชาย

อุชเชนหรอกหรือไง อย่างกะจะฆ่าน้องออกอย่างนั้น” นางอัมพรดุลูกสาวคนโต ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก

“แหม... ก็เขาหาเรื่องก่อนนี่คะแม่ ถ้าเอาแต่หงอเขาก็คงได้ใจ ตำแหน่งรัชทายาทอันดับหนึ่งก็คงไม่มีความหมาย สมน้ำหน้า... ป่านนี้คงอกแตกตายที่ทำอะไรไม่ได้” ตะวันพราวไม่วายท้วงขึ้น และสะใจไม่หาย

“แต่ถึงยังไงแม่ก็ไม่ไว้ใจเลย เขาคงไม่ยอมจบง่ายๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่พยายามตามฆ่าเจ้าหญิงหรอก” นางอัมพรยังคงกังวลอยู่นั่นเอง

“ช่างเถอะค่ะแม่ มาตอนนี้เขาคงทำอะไรพลอยไม่ได้ง่ายๆ หรอกค่ะ” วาวพลอยเห็นดังนั้นจึงรีบปลอบมารดาไป

“นั่นสิคะแม่ แต่พูดเรื่องนายพลอะไรนั่นแล้วพราวใจไม่ดีเลยนะคะ ที่เห็นเขาอยู่ในสภาพนั้น” ตอนท้ายตะวันพราวเปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น

แม้ภาพทำนองนี้จะเคยผ่านตามาบ้างจากหน้าที่การงานในเมืองไทย แต่สิ่งที่เห็นในห้องขังใต้ดินวันนี้ กลับทำให้คนชอบลุยอย่างตะวันพราวต้องเปรยขึ้นด้วยความไม่สบายใจเหมือนกัน

“แม่เองก็ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในสภาพนั้นเหมือนกัน แต่ก็คงเป็นเรื่องของกรรม เขาทำเวรทำกรรมมามากเหลือเกิน” นางอัมพรพูดพลางส่ายหน้า ก่อนจะมองมาทางเจ้าหญิงรัชทายาทชลันตา หรือวาวพลอยที่ยังคงนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด

“แล้วลูกล่ะเจ้าหญิงรู้สึกยังไงบ้างกับสิ่งที่เห็น ยังโกรธเขาอยู่ไหม” วาวพลอยนิ่งคิด

“พลอย... ไม่รู้จะพูดยังไงดีค่ะแม่มันจุกไปหมด แล้วแม่ล่ะคะ แม่ไม่ได้โกรธเขาหรอกเหรอคะ” หญิงสาวย้อนถามมารดาในตอนท้าย นางอัมพรถอนหายใจเบาๆ

“แม่เคยโกรธแค้นเขามากตอนที่เขาก่อกบฏ และทำให้พ่อจากไป แต่พอเขาถูกจับแม่ก็อโหสิกรรมให้กับเขา เพราะเขาสมควรจะได้รับกรรมของเขาเอง แม่ไม่จำเป็นต้องรับกรรมกับเขาอีก”

“แม่หมายความว่ายังไงคะ” ตะวันพราวถาม

“การโกรธแค้นใครสักคน มันคือไฟที่แผดเผาตัวเราเอง ลูกลองนึกดูสิว่าทุกครั้งที่ลูกคิดถึงคนๆ นี้ ลูกรู้สึกอย่างไร เป็นทุกข์มากกว่าสุขใช่หรือไม่ นั่นล่ะคือสิ่งที่แม่อยากบอก

“การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเราเองให้เป็นอิสระจากความทุกข์ สิ่งที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป เขาได้รับกรรมที่เขาก่อแล้วอย่างสาสม เราไม่จำเป็นต้องเอาใจไปรับกรรมนั้นร่วมกับเขาอีก เชื่อแม่เถอะนะลูก” นางอัมพรมองลูกสาวทั้งสอง ซึ่งได้หันไปสบตากัน ด้วยความเข้าใจในสิ่งที่แม่พูด

พวกเธอเองก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เห็นในคุก ความรู้สึกเวทนามีมากจนลืมความโกรธแค้นไปเกือบหมดสิ้น พอผู้เป็นแม่พูดขึ้นมาอย่างนี้จึงทำให้ทั้งวาวพลอยและตะวันพราวได้คิด

พร้อมกับตระหนักในความจริงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอดีตที่พวกเธอยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะวาวพลอยเอง ที่ไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวของตัวเองมาก่อน

จนกระทั่งคืนนั้นที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกจากบ้านที่เมืองไทย มาพบอะไรมากมายทั้งระหว่างทางและจุดหมายคือริตถาวดี ทุกอย่างที่ได้รับรู้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเองราวกับความฝัน

ถึงแม้มันจะส่งผลกับชีวิตของเธออย่างใหญ่หลวง แต่เมื่อคิดดีๆ มันก็แค่จินตนาการ ไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็นได้ เธอไม่ได้ร่วมเผชิญกับมันเลยสักนิด

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงเรื่องที่เล่าต่อกันมา แต่ใจกลับไปจับเอามันไว้ เก็บเอามาเป็นอารมณ์เจ็บปวด หญิงสาวจึงคิดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันต่างหากที่เธอควรจับมันและทำให้ดีที่สุด

“ค่ะแม่” ตะวันพราวกับวาวพลอยรับคำพร้อมกัน

*-*-*-*-*-*

วันรุ่งขึ้นปาณาแวะมาหาเจ้าหญิงรัชทายาทตามเวลาเรียนภาษาของเธอ ช่วงหลังมานี้มีโก๋กับตะวันพราวมาร่วมเรียนด้วย ซึ่งทั้งสองสนุกสนานกับการเรียนมาก แต่ทว่าวันนี้พอเห็นหน้าปาณา วาวพลอยกับตะวันพราวก็รีบปรี่เข้าไปหา

“ปาณา อาการของนายพลติงสาเป็นยังไงบ้าง” วาวพลอยถามขึ้นทันที

“ยังไม่ดีขึ้นเลยเพคะเจ้าหญิง แต่โชคดีที่เขาฟื้นแล้ว และก็พอมีสติที่จะพูดคุยได้บ้างเพคะ” ปาณาตอบ

“จริงเหรอคะ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว แต่ว่าเขาจะดีขึ้นกว่านี้ไหมคะคุณปาณา” ตะวันพราวถามบ้าง

“เรื่องนี้ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะคุณพราว ต้องดูอาการวันต่อวัน แผลของเขาติดเชื้อค่อนข้างลึกจนถึงกระดูก คงต้องใช้เวลานานมากกว่าจะดีขึ้น แต่ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าจะดีขึ้นหรือเปล่า บอกตรงๆ ว่าร่างกายของเขาไม่ค่อยตอบรับการรักษาเท่าที่ควรค่ะ” ปาณาที่ดูแลคนไข้โดยตรงได้ตรวจเช็คอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มีความเห็นตามที่พูดทุกประการ

“ถ้าหากเขาจะต้องเป็นอะไรไปจริงๆ เขาน่าจะได้พบกับครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายนะ ฉันอยากให้เขาได้พบกันจัง” วาวพลอยเปรยขึ้นด้วยความรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ ในใจคิดไปถึงนางมาเรีย หัสตะและหรคุณ

“จะเป็นไปได้ไงเจ้าหญิง คนที่ติดคุกที่นี่คงออกไปได้เพียงแค่ศพเท่านั้นแหล่ะ” โก๋ออกความเห็นบ้าง นั่นทำให้ตะวันพราวที่มีท่าทางครุ่นคิดดีดนิ้วดังเปาะ

“ใช่ ก็เอาศพออกไปไง เอาออกไปวันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี” ก่อนจะเปรยออกมาเสียงเบา แต่ท่าทางกระตือรือร้น

“พี่พราวพูดอะไรน่ะ เราจะไปฆ่าเขาได้ยังไงกันคะ” วาวพลอยทำเสียงขุ่นใส่พี่สาว

“นั่นสิคะคุณพราว เราอุตส่าห์ช่วยเขานะคะ อีกอย่างท่านพ่อกับท่านพี่รู้เข้าคงไม่ยอมเป็นแน่” ปาณาค้านขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยอีกคน

“แล้วเราจะบอกพวกเขาทำไมกันเล่า ถ้าเราคนใดคนหนึ่งในนี้ไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอกน่า” ตะวันพราวว่าอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“นี่อย่าบอกนะว่าพี่พราวมีแผนจะฆ่าเขาจริงๆ ก็ไหนเรารับปากกับแม่ว่าจะให้อภัยเขาแล้วยังไงล่ะค่ะ” วาวพลอยยังทักท้วงอย่างหวั่นใจ ตะวันพราวกลับทำหน้ารำคาญน้องสาวขึ้นมาตงิดๆ

“เอาน่า อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปหน่อยเลยยัยพลอย เตรียมตัวช่วยกันจะดีกว่า” ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ พลางขยิบตาให้วาวพลอยกับปาณาในตอนท้าย

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของตะวันพราว พร้อมท่าทางหมายมั่นปั้นมือเต็มที่ และท่าทางแบบนี้ของพี่สาวก็ทำให้วาวพลอยอ่อนใจ เพราะมันหมายความว่าตะวันพราวเตรียมตัวลุยและไม่มีวันรามือเป็นแน่ เธอได้แต่หวังว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่นึกหวั่น



**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=
YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6Nj

oiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724-

41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1

%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%

E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%94%

E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no=

9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_

detail_book/1110








กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2559, 13:29:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2559, 13:29:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 823





<< บทที่ 35   บทที่ 37 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account