มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 38




เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!




อัพไม่จบนะคะ อัพประมาณ 70% ค่ะ (อัพถึงวันที่ 10 นี้ค่ะ) หากต้องการสั่งจองตอนนี้สามารถโอนเงินได้เลยนะคะ อัพตอนสุดท้ายแล้วสั่งพิมพ์เลยค่า


บทที่ 38


พอรถออกจากเมืองหลวงได้หัสตะก็เปิดผ้าคลุมศพบิดาออกและจับมือของพ่อไว้ตลอดเวลา รับรู้ถึงชีพจรที่ยังเต้นอยู่แม้จะแผ่วเบาเต็มที ขณะที่รถแล่นไปในความมืดสลัวของยามค่ำ นายพลติงสาก็ฟื้นขึ้นมา

“พ่อครับ พ่อฟื้นแล้วจริงๆ ด้วย” ชายหนุ่มร้องขึ้น ทำให้ตันเตรีบฉายไฟมายังร่างของนายพลติงสา

“เฮ้ย!! ” และก็ตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นนายพลติงสาลืมตาขึ้นมา

“ไม่ต้องตกใจ พ่อฉันยังไม่ตาย พ่อครับ ผมหัสตะนะครับ” เขาบอกกับนายพลติงสาที่ยังลืมตามองเขาในแสงของไฟฉาย

“หัสตะหรือ นี่พ่อตายแล้วใช่ไหม” เสียงของนายพลติงสาแผ่วเบา จนหัสตะต้องเอาหูแนบกับใบหน้าของบิดา

“พ่อยังไม่ตายครับ ผมกำลังจะพาพ่อกลับบ้านของเรา” เขาบอก

“บ้าน...บ้านของเรา” ผู้เป็นพ่อรำพึง ดวงตาเหม่อลอย

“ใช่ครับ ผมกับหรคุณมารับพ่อกลับบ้านแล้ว แม่รอพ่ออยู่ที่บ้านของเราครับ”

“ไม่ใช่ความฝันหรอกหรือนี่”

“เป็นความจริงครับพ่อ พ่อพักผ่อนก่อนเถอะครับ พรุ่งนี้เช้าก็จะถึงบ้านเราแล้ว” ชายหนุ่มบอกกับบิดา แล้วนายพลติงสาก็หลับตาลงอีกครั้ง

“เราจะบอกท่านหรคุณก่อนไหมครับ” ตันเตถาม หัสตะส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก รอให้ไปถึงบ้านก่อนค่อยว่ากัน” เขาไม่อยากเสียเวลาในการเดินทาง ตอนนี้ชายหนุ่มต้องการพาบิดาไปถึงหมู่บ้านให้เร็วที่สุด เพราะเกิดอุชเชนรู้เรื่องนี้เข้าในภายหลังจะทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นนั่นเอง

*-*-*-*-*-*

“ไปไหนกันมาเจ้าหญิง” เสียงของปาระมีทำให้เท้าของวาวพลอยกับตะวันพราวชะงัก ร่างสูงโปร่งในชุดทหารสีเขียวเข้มนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้รับแขกในตำหนักตุสิตา

“เอ่อ... คือ ไปโรงพยาบาลมาค่ะ ท่านพี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” คนเป็นเจ้าหญิงตอบ พยายามยิ้มแย้มเพื่อปกปิดความผิดปกติ

“ก็มาตั้งแต่ตอนที่รู้ข่าวว่าเจ้าหญิงไปทำอะไรมานั่นแหล่ะ” นั่นทำให้สองพี่น้องหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ

“ท่านพี่รู้? ” หญิงสาวร้องขึ้น ใบหน้างามซึ้งนั้นเจื่อนลงด้วยความรู้สึกผิด

“ใครกันที่เป็นคนคิดอุตริ” ปาระมีปรายตามาทางตะวันพราวที่หลบตาเขาในทันที

“น้องเองค่ะ น้องแค่อยากช่วยให้เขาได้อยู่กับครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย” วาวพลอยรีบออกรับ ปาระมีถอนหายใจหนักหน่วง

“ทำไมไม่บอกพี่ก่อน เจ้าหญิงมีสิทธิ์ทำอะไรได้ทุกอย่างก็จริง แต่การกระทำแบบนี้มันจะทำให้พวกนั้นเก็บเอามาจับผิดเจ้าหญิงได้นะ โชคดีที่อุชเชนมันจับไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันคงเล่นงานเจ้าหญิงไม่ปล่อยแน่” เขาติง แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงอาการไม่พอใจหรือโกรธ ตรงข้ามกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

“ขอโทษค่ะ น้องไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้น” และนั่นก็ทำให้วาวพลอยยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

“เอ่อ... ถามจริงนะคะท่านปาระมี ใครบอกท่านคะ ทำไมท่านรู้เรื่องทั้งหมดได้ล่ะคะ หรือ... น้องของท่าน... ” ตะวันพราวอดรนทนไม่ได้จึงโพล่งถามออกมาในที่สุด ปาระมีหันมายิ้มให้เธอราวจะเยาะเย้ย

“นี่คุณตะวันพราว ผมมีคนของผมอยู่ทุกที่ ทุกหน่วย ไม่ต้องรอให้ปาระมัตหรือปาณาบอกหรอก ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่คุณวางแผนแล้ว แต่ที่ไม่ขัดก็เพราะเห็นว่าปาระมัตคอยช่วยอยู่ต่างหาก เพราะจะว่าไปผมก็เข้าใจหัสตะกับน้องชายเขาดี

“อีกอย่างการที่พวกเขาสามารถพาตัวเจ้าหญิงกลับมาริตถาวดีได้โดยปลอดภัยนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาควรจะได้รับการตอบแทนบ้าง ผมจึงปล่อยเลยตามเลย แต่บอกไว้ก่อนนะว่า ถ้าต่อไปพากันทำอะไรโดยพลการอีกผมจะจับคนต้นคิดขังคุกใต้ดินเสียให้เข็ดเลย” ตอนท้ายเขาขู่ตะวันพราวโดยเฉพาะ

ด้วยพอจะรู้นิสัยของเจ้าหญิงรัชทายาทดีว่า ไม่กล้าทำอะไรบ้าบิ่นตามลำพังเป็นแน่ แต่คนเป็นพี่สาวนี่สิ... ไว้ใจไม่ค่อยจะได้ วีรกรรมเยอะเหลือเกิน

“นี่... ท่าน... ” ตะวันพราวตาวาวด้วยความไม่พอใจ แต่เพราะมีความผิดติดตัวจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งค้อนให้แม่ทัพหนุ่มอยู่นั่นแล้ว

“ขอบคุณท่านพี่มากนะคะที่เข้าใจ” วาวพลอยเองก็รีบแทรกขึ้น ด้วยไม่อยากให้ทั้งคู่ฮึ่มฮั่มใส่กันมากไปกว่านี้

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหญิง เออ... จริงสิ พี่กับท่านพ่อเตรียมการสำหรับการเสด็จเยี่ยมชมหัวเมืองต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วนะ อีกสี่-ห้าวันเราคงออกเดินทางได้ ส่วนรายละเอียดท่านพ่อจะมาคุยกับเจ้าหญิงอีกที” ปาระมีบอกถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่อง ที่เคยประชุมกันไปสักพักแล้ว

“ก็ดีสิคะ น้องจะได้เห็นริตถาวดีทั่วทุกเมืองเลย น้องขอตัวปาณาไปด้วยได้ไหมคะ” หญิงสาวรู้สึกยินดีกับข่าวนี้มาก เพราะเธออยากจะเห็นความเป็นไปในริตถาวดีด้วยตาของตัวเองยิ่งนัก

“เรื่องนั้นให้เป็นไปตามความประสงค์ของเจ้าหญิงเถอะ พี่เองก็จะได้เตรียมการในส่วนของพี่เหมือนกัน” วาวพลอยขอบคุณปาระมีอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับบ้านไป

*-*-*-*-*-*

ยามใกล้สางที่ดอยหมอกห่ม ทันทีที่รถจอดตรงลานหน้าบ้าน นางมาเรียและเพื่อนบ้านทุกคนต่างก็วิ่งมายังรถ พร้อมเสียงร่ำไห้ หรคุณรีบลงมาช่วยหัสตะกับตันเต พาร่างของบิดาขึ้นไปบนบ้าน นางมาเรียวิ่งตามขึ้นไป

“ท่านติงสา ท่านติงสา” พอร่างของนายพลติงสาถูกวางลงกลางบ้าน นางมาเรียก็โถมตัวเข้ากอดพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนนั้นแม้เพียงนิด

“มา... มาเรีย... เธอใช่ไหม มาเรีย” เสียงนั้นทำให้นางมาเรียชะงัก รวมทั้งหรคุณกับนางลินดาด้วย

“ท่าน... นี่ท่าน” นางมาเรียร้องออกมาทั้งน้ำตา

“พ่อยังไม่ตายครับแม่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เราจะใช้ช่วงเวลานี้ดูแลพ่อจนถึงวินาทีสุดท้ายครับ” หัสตะบอกมารดา

“พ่อ... นี่เป็นความจริงเหรอเนี่ย มันเกิดอะไรขึ้นหัสตะ ทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลย” หรคุณมองมาทางพี่ชายราวกับจะขอคำอธิบาย

“ปาระมัตบอกฉันในห้องเก็บศพ ที่ฉันไม่บอกนายเพราะไม่อยากเสียเวลาการเดินทาง ก็อย่างที่เรารู้ๆ กัน เรื่องที่เกี่ยวกับอุชเชนเราไม่ควรเสี่ยง และเรื่องนี้ก็คงเป็นเพราะ... เจ้าหญิง ” ชายหนุ่มคิดไปถึงเจ้าของดวงหน้างามซึ้ง และขอบคุณเธออยู่ในใจ

หรคุณเองก็เข้าใจดี ก่อนที่ทุกคนจะเพ่งความสนใจไปยังนายพลติงสาต่อ

*-*-*-*-*-*

ณ. ท้องพระโรง ภายในพระราชวังหลวงเนวะ การประชุมในวันถัดมาว่าด้วยเรื่องสำคัญ คือการเสด็จประพาสหัวเมืองของเจ้าหญิง

รัชทายาทที่อาจใช้เวลาเป็นเดือน ซึ่งเหล่าเสนาบดี ข้าราชการต่างก็ได้รับมอบหมายหน้าที่กันอย่างถ้วนหน้า

“งานนี้ความจริงแล้วเจ้าชายอุชเชนน่าจะไปด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีคนหนึ่งเสนอขึ้น ระหว่างการปรึกษาหารือเรื่องนี้ใกล้จบ และก็ประจวบเหมาะกับตอนที่อุชเชนซึ่งไม่สนใจงานนี้กำลังนั่งเซ็งอยู่พอดี

“แต่ข้าเคยไปมาแล้วหลายครั้ง น้องหญิงพึ่งมา และยังไม่รู้เรื่อง

ริตถาวดีเท่าไหร่ ให้น้องหญิงไปสำรวจตรวจตราเองเถอะ” เขาปัดไปอย่างไม่เห็นความสำคัญ

“แต่กระหม่อมมีความคิดเห็นว่า การที่ทั้งสองพระองค์เสด็จประพาสหัวเมืองร่วมกันเป็นเรื่องที่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาฯ ระสังพูด พลางสบตาเจ้าชายอุชเชนที่มองเขาอย่างประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากเสนาฯ คู่ใจ

“ทั้งสองพระองค์ล้วนแล้วแต่เป็นมิ่งขวัญของชาวริตถาวดี การที่เป็นห่วงสารทุกข์สุขดิบของประชาชนจะทำให้พวกเขามีกำลังใจมากขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาฯ ระสังจึงรีบขยายความต่อ พลางปรายตาปรามเจ้าชาย

อุชเชนไม่ให้โวยวาย

“เรื่องนี้แล้วแต่เจ้าชายจะเห็นควรเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโสตถีกล่าวอย่างไม่ต้องการออกความคิดเห็น

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปด้วยก็แล้วกัน” ที่สุดเจ้าชายอุชเชนก็ตอบรับอย่างเสียไม่ได้

“หลังจากการเสด็จประพาสตามหัวเมืองของเจ้าหญิงและเจ้าชายรัชทายาททั้งสองพระองค์แล้ว พอกลับมาเราจะได้ดำเนินการเรื่องพระราชพิธีราชาภิเษกกันต่อ แต่ก่อนหน้านั้นข้าคิดว่าเราควรเตรียมความพร้อมกันอีกสักอย่าง” ท่านโสตถีเปลี่ยนเข้าเรื่องใหม่ในตอนท้าย เมื่อหันมาทางเหล่าเสนาฯ ข้าราชการ

“ความพร้อมอะไรกันหรือ ท่านโสตถี” เสนาฯ คนหนึ่งถามขึ้น

“การตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันสายเลือดที่แท้จริงให้ชาวประชาได้รับรู้” สิ้นคำตอบของท่านโสตถี อุชเชนถึงกับผุดลุกขึ้นอย่างฉับพลัน

“อะไรนะ! ข้าก็บอกแล้วยังไงว่าไม่ต้องตรวจ ถึงอย่างไรข้าก็ไว้ใจและเชื่อว่าน้องหญิงคือพระธิดาในเสด็จพ่อและองค์ราชินี” เขารีบบอกอย่างไม่เห็นด้วย

“แต่บางทีประชาชนอาจจะคลางแคลงใจก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย” ท่านโสตถีกล่าวต่ออย่างสุขุม ดวงตาของชายวัยใกล้เจ็ดสิบมองเจ้าชายอุชเชนอย่างจับสังเกต

“จะคลางแคลงใจได้ยังไง ใช่มันก็คือใช่ ไม่เห็นจะมีปัญหา ท่านเองนั่นแหล่ะที่ทำให้มีปัญหา” อุชเชนว่าอย่างเอาเรื่อง แต่เสียงกระแอมกระไอดังมาจากเสนาฯ ระสังที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้อุชเชนหันไปมอง

“แต่กระหม่อมมีความเห็นว่าเราควรทำอย่างที่ท่านโสตถีเสนอนะพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ” เสนาฯ ระสังพูดขึ้น

“แล้วท่านอื่นๆ มีความเห็นอย่างไรบ้างเล่า” ก่อนหันไปถามเหล่าบรรดาเสนาฯ ที่ร่วมประชุมในท้องพระโรง

“กระหม่อมเองก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีหลายคนเริ่มยกมือเห็นด้วย

“เอาล่ะๆๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจพวกท่านเถอะ” อุชเชนยกมือขึ้นเช่นกัน แต่เป็นการบ่งบอกถึงการยอมแพ้ ก่อนจะนั่งลงตามเดิม

แม้ใจแทบลุกเป็นไฟ แต่เพราะรู้ว่าเสนาฯ ระสังจะต้องมีเหตุผลที่ดีในการสนับสนุนเสนาฯ โสตถีเรื่องตรวจดีเอ็นเอในครั้งนี้ และที่สำคัญต้องมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้ได้ เขาจึงข่มความรู้สึกเอาไว้


**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=
YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M

6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2b-d724

-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%B8%A1%E0%

B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%

81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%

B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF.aspx?no

=9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1110




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ส.ค. 2559, 14:21:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ส.ค. 2559, 14:21:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 850





<< บทที่ 37   บทที่ 39 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account