มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 40


http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/106240/1299071219-member.jpg






อัพไม่จบนะคะ อัพประมาณ 70% ค่ะ (อัพถึงวันที่ 10 นี้ค่ะ) หากต้องการสั่งจองตอนนี้สามารถโอนเงินได้เลยนะคะ อัพตอนสุดท้ายแล้วสั่งพิมพ์เลยค่า




เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!



บทที่ 40

ร่างสูงโปร่งของปาณาก้าวออกจากอาคารของโรงพยาบาล ตรงมายังลานจอดรถ วันนี้เธอมาโรงพยาบาลเพื่อตระเตรียมเรื่องหน่วยพยาบาล และยาต่างๆ ในการตามเสด็จเจ้าหญิงรัชทายาทในอีกสอง-สามวันข้างหน้านี้

ทั้งที่เตรียมไว้ใช้ในการรักษา และยาสามัญประจำบ้านที่จะแจกจ่ายให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่ของเธอโดยตรง กว่าจะเสร็จก็มืดแล้ว

วันนี้หญิงสาวได้ขับรถมาเองตามปกติ เหมือนตอนยังทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ พอมาถึงลานจอดรถ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นด้านหลัง

พอหญิงสาวหันไปก็พบร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่ง ที่ปราดเข้ามาประชิดตัว ก่อนที่ปาณาจะทันได้ร้องเขาก็รีบเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากเธอ หญิงสาวพยายามดิ้นรน

แต่ก็เพียงไม่นาน ก่อนจะหมดสติลงไป ปาณารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกถึงอาการโคลงเคลงของที่ที่เธอนั่ง พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตนกำลังนั่งอยู่บนรถนั่นเอง

รถคันนี้แล่นไปด้วยความเร็วสูง อีกทั้งถนนก็คงไม่ใช่ลาดยาง หญิงสาวเหลือบมองไปทางคนขับที่ยังมองตรงไปข้างหน้า และเธอก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน

แล้วภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดก็กลับฉายชัดขึ้นมาในหัว นั่นทำให้ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจของปาณา หญิงสาวจึงพยายามขยับตัว แต่มือและเท้าถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา

“คุ...คุณเป็นใคร? จะพาฉันไปไหน” เสียงของเธอทำให้อีกฝ่ายหันมา

“ฟื้นแล้วเหรอคุณหมอปาณา” เขาเอ่ยชื่อเธออย่างสนิทปาก สร้างความแปลกใจให้กับปาณาเป็นอย่างยิ่ง

“คุณรู้จักฉันได้ยังไง คุณจะทำอะไรฉัน” แต่มากกว่านั้นคือความหวาดกลัวที่ยังไม่คลายไปจากใจ หญิงสาวจึงถามเขาเสียงสั่น

“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ผมไม่มีเจตนาร้ายต่อคุณแต่อย่างใด แค่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น” ชายหนุ่มบอก พร้อมกับหันมามองเธอแว่บหนึ่ง แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป

“แล้วคุณมัดมือมัดเท้าฉันทำไม ทำไมไม่คุยกันดีๆ นี่เหรอไม่มีเจตนาร้าย” ปาณายังไม่ยอมเชื่อง่ายๆ

“ถ้าผมคุยกับคุณดีๆ อย่างที่ว่าจริง กว่าคุณจะยอมมากับผมก็คงไม่ทันการ เอาเป็นว่าอยู่เฉยๆ เถอะ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ถึงตอนนี้ผมปล่อยคุณไป ก็ไม่คงรอดหรอก ดูสิ... แถวนี้มีแต่ป่า เพราะฉะนั้นยอมไปกับผมดีๆ แล้วคุณจะปลอดภัย” เขาไม่ได้ขู่ แต่พูดด้วยเสียงเรียบๆ ปาณาหันไปมองรอบข้างก็เห็นว่าเป็นความจริงอย่างที่ชายหนุ่มพูดทุกประการ

“แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไรกันแน่”

“ไว้ไปถึงแล้วคุณจะรู้เอง ตอนนี้เงียบเถอะ ผมต้องการสมาธิในการขับรถ” ว่าแล้วเขาก็เร่งความเร็วขึ้นกว่าเดิม ปาณาหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว อีกทั้งร่างของเธอก็กระดอนขึ้นลงไม่หยุดหย่อน

ประมาณชั่วโมงกว่าๆ การเดินทางแสนทุลักทุเลก็จบลง ซึ่งก็เป็นตอนเช้าตรู่ของวันใหม่พอดี รถจอดนิ่งอยู่ในหุบเขาที่หนาวเย็น ปาณามองไปรอบข้าง ขณะที่หรคุณใช้มีดตัดเชือกมัดมือและเท้าของเธอออก

“เชิญครับ คุณหมอ” เขาเปิดประตูให้

หญิงสาวบิดตัวเพื่อคลายความปวดเมื่อยนิดหนึ่ง ก่อนจะรีบลงจากรถ เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินไปฉวยกระเป๋าใบเขื่องจากกระบะรถด้านหลัง แล้วจึงหันมาทางเธอ

“ตามผมมา”

หรคุณก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนบ้านของมารดาอย่างรวดเร็ว โดยมีปาณาตามเขาไปติดๆ พอถึงห้องนอนของมารดาเขาก็เปิดประตูเข้าไป ทั้งนางมาเรีย นางลินดา และหัสตะ ต่างก็นั่งอยู่ในห้องนั้น พร้อมกับร่างของนายพลติงสาที่นอนอยู่บนเตียง โดยมีนางมาเรียจับมือเอาไว้

“หรคุณ นายกลับมาแล้วเหรอ” หัสตะเอ่ย ก่อนจะมีท่าทีแปลกใจเมื่อเห็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่อยู่ด้านหลังของหรคุณ

“นี่คุณหมอปาณา คนที่เคยให้การรักษาพ่อมาก่อน ผมขอร้องให้เธอมาด้วย” หรคุณปดออกไป

พลางมองสบตาปาณาราวกับจะขอร้องแกมอ้อนวอนให้เธออย่าได้พูดอะไร ซึ่งหญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้กับทุกคนในห้องนั้น และพลันสายตาของปาณาก็สะดุดกับร่างของนายพลติงสา

“นายพลติงสา นี่... ” เธอหันมาทางหรคุณ ด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม

“ผมอยากให้คุณตรวจดูอาการของพ่อผม และนี่ก็เป็นสิ่งที่อาจจำเป็นต้องใช้” เขาวางกระเป๋าใบเขื่องลง พลางเปิดออก ข้างในมีอุปกรณ์การแพทย์ และยาส่วนหนึ่ง หญิงสาวตรวจดูของในนั้น แล้วจึงหันมา

“ฉันคงต้องขอตรวจดูอาการของนายพลติงสาก่อน เพราะตอนที่ออกจากโรงพยาบาลมาก็อาการไม่ดีนัก การที่เขามีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก” ปาณาพูด ก่อนจะทำการตรวจร่างกายของอดีตนายพลที่อ่อนแรงลงเต็มที

“พ่อผมเป็นยังไงบ้างหมอ” หรคุณถาม เมื่อเห็นแววบางอย่างในดวงหน้าของหมอสาว เธอมองเขาอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะพูดอย่างไรดี

“พูดออกมาเถอะครับหมอ” หัสตะที่จับจ้องทุกปฏิกิริยาของหมอสาวโพล่งขึ้น

“ฉันเกรงว่าร่างกายของนายพลติงสาจะไม่สามารถตอบรับการรักษาได้อีกแล้วค่ะ ชีพจรเต้นอ่อนลงมาก ฉันว่า... ”

“แต่คุณเป็นหมอ คุณต้องพยายามทำอะไรสักอย่างสิ” หรคุณพูดกับปาณาเสียงเครียด

“หมอไม่ใช่เทวดานะคะ การที่หมอจะรักษาคนไข้หายได้ ร่างกายคนไข้เองก็ต้องพร้อมสำหรับการรักษาด้วย แต่พ่อของคุณ... ”

“หรคุณ หยุดเถอะ... ” หัสตะยกมือขึ้นปรามน้องชาย ที่กำลังจะระเบิดอารมณ์ใส่หมอสาวอีกรอบ หรคุณจึงหยุดเพียงแค่นั้น

“คงถึงเวลาแล้ว อย่าพยายามอีกเลย” หัสตะนั่งลงข้างมารดา เอื้อมมือไปจับมือของบิดาไว้อีกคน

“ใช่แล้วล่ะลูก แค่ได้มีโอกาสได้อยู่กับพ่อของลูกในหลายวันที่ผ่านมาก็มีค่ามากพอแล้ว ปล่อยพ่อไปเถอะ” นางมาเรียพูดทั้งที่น้ำตานองหน้า หรคุณรีบถลันเข้าไปนั่งลงข้างๆ ร่างของบิดาที่หายใจรวยรินอีกด้าน

“พ่อครับ ผมรักพ่อนะครับ” เขาบอก นายพลติงสาพยายามฝืนลืมตาขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นแม้จะพยายามมองหา แต่ก็ดูล่องลอยเต็มที

“ขอโทษนะ หัสตะ หรคุณ พ่อรักลูก มาเรียฉันรักเธอ” เสียงนั้นแผ่วเบา ราวกระซิบมาจากที่อันไกลแสนไกล

“ฉันก็รักท่านค่ะท่านติงสา ไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรฉันก็รักท่าน” นางมาเรียบอกเสียงกลั้วสะอื้น

“ผมก็รักพ่อครับ หลับให้สบายเถอะนะครับพ่อ พวกเราจะดูแลแม่เอง หลับเถอะครับ” หัสตะกระซิบบอก

ก่อนที่ดวงตาของนายพลติงสาจะเหม่อค้าง เสียงร้องไห้โฮดังมาจากนางมาเรียและนางลินดา ตัวปาณาเองก็น้ำตาเอ่อรื้น

หัสตะใช้มือลูบดวงตาของบิดาให้ปิดลง ดวงตาของเขาเองก็เต็มไปด้วยน้ำตา ก่อนที่มันจะไหลลงมาอาบแก้ม หรคุณซบหน้าลงบนมือของพ่อ สะอื้นไห้จนร่างใหญ่สะท้าน ขณะที่เพื่อนบ้านต่างก็วิ่งขึ้นบ้านมา

*-*-*-*-*-*

งานศพของนายพลติงสาเป็นไปอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว เพราะได้ทำการฝังศพในตอนเย็นย่ำตามประเพณีของริตถาวดีที่เชื่อกันว่าการทำพิธีฝังศพในตอนเย็นหมายถึงชีวิตที่ดำเนินมาถึงช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนอันสงบ

เพื่อจะได้ตื่นขึ้นมาพบกับยามเช้าของวันใหม่ ซึ่งก็คือการกลับชาติมาเกิดใหม่นั่นเอง ปาณาอยู่ร่วมงานศพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกระทั่งพิธีกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น

“คุณทานอาหารเย็นก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเอง” หรคุณบอก ระหว่างที่นางลินดาได้นำอาหารมาให้หญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่กับเขา

นางมาเรียและหัสตะกลางบ้าน

“ขอบคุณหมอมากนะคะที่อุตส่าห์มา แม้จะช่วยอะไรไม่ได้แล้วก็ตาม” นางมาเรียพูดขึ้น

“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงยังไงฉันก็เคยดูแลท่านนายพลตามคำสั่งของเจ้าหญิง ก่อนที่จะถูกนำตัวกลับมาบ้าน” ปาณาพูดออกไปตามความจริง

“ถ้าอย่างนั้นหมอคงจะรู้เรื่องพ่อผมดี” หัสตะถาม ในใจคิดไปถึงเจ้าของดวงหน้างามซึ้ง หัวใจพลันเต็มตื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้

“ค่ะ เป็นความต้องการของเจ้าหญิงรัชทายาท ที่อยากให้ท่านนายพลกับครอบครัวได้อยู่ร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย”

“โธ่... เจ้าหญิง พระองค์ทรงน่ารักเสมอ ทั้งที่สามีของฉันได้ทำอะไรไม่ดีไว้กับพระองค์มากมาย มากมายเหลือเกิน” นางมาเรียรำพึงเสียงสั่นเครือ ปาณายิ้มบางให้อีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม

“อย่าคิดมากเลยค่ะท่านป้า ท่านนายพลเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหญิงแล้วตอนที่อยู่โรงพยาบาล เจ้าหญิงทรงอโหสิกรรมให้ท่านนายพลหมดแล้ว ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ”

“ฝากขอบพระทัยเจ้าหญิงด้วยนะหมอ ขอบพระทัยเหลือเกิน” นางมาเรียกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

ปาณาจึงเข้าไปโอบกอดนางเอาไว้พร้อมรับปาก หลังจากทานอาหารเสร็จหรคุณก็พาหญิงสาวมายังรถ โดยมีหัสตะตามมาส่ง

“เดี๋ยวครับคุณหมอ” หัสตะที่ตามมาเรียกเอาไว้ หรคุณจึงขึ้นรถไปก่อน เพราะเข้าใจว่าพี่ชายคงอยากคุยอะไรบางอย่างกับปาณาตามลำพัง

“เจ้าหญิงเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีหรือเปล่า” หัสตะอดไม่ได้ที่จะถามถึงคนที่แสนคิดถึง

“อ๋อ... สบายดีค่ะ เจ้าหญิงทรงเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับริตถาวดี เพื่อเตรียมตัวสำหรับการขึ้นครองราชย์ ซึ่งอาจจะมีขึ้นในเร็ววันนี้ค่ะ อ้อ... จริงสิคะเท่าที่ทราบจากท่านพี่ปาระมี

“คุณหัสตะกับคุณหรคุณเป็นคนช่วยพาเจ้าหญิงกลับมาริตถาวดี คงจะเป็นพระสหายสนิทกับเจ้าหญิงสินะคะ เจ้าหญิงจึงยังคิดถึงพวกคุณอยู่เสมอ” ปาณาไม่ได้รู้ถึงความรู้สึกลึกซึ้งของคนทั้งคู่ จึงพูดไปตามความเข้าใจของตัวเอง

“เอ่อ... ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นหรอกครับ เพราะถึงยังไงเจ้าหญิงก็เป็นถึงองค์รัชทายาท พวกผมคงไม่อาจเอื้อมเป็นพระสหายหรอกครับ แค่รู้ว่าเจ้าหญิงสบายดีพวกเราก็ยินดีแล้วครับ” ชายหนุ่มว่า ราวกับตอกย้ำกับตัวเองมากกว่า

“ขึ้นรถเถอะครับ ขอบคุณมากนะครับที่อุตส่าห์มา โชคดีครับ”

*-*-*-*-*-*

“ปาณา นี่น้องหายไปไหนมาทั้งคืนทั้งวัน พวกพี่ตามหากันให้จ้าละหวั่น รถก็ไม่เอาไป พี่คิดว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับน้องเสียอีก” ปาระมีถามขึ้นทันที ที่เห็นน้องสาวเปิดประตูลงมาจากรถที่เธอขับกลับมาจากโรงพยาบาล ในตอนสายของวันต่อมา แต่ก็เต็มไปด้วยท่าทีโล่งใจ

“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยค่ะท่านพี่” ปาณาตอบ

“รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นห่วงน้องมาก” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะอธิบาย คนเป็นพี่ชายก็เร่งเร้า

พอหญิงสาวก้าวเข้ามายังห้องรับแขกของตำหนักท่านโสตถี มีสมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แถมยังมีเจ้าหญิงรัชทายาทกับตะวันพราวที่ร่วมวงสนทนา แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด

“โอ้... ปาณา ลูกกลับมาแล้ว” ท่านหญิงนิมานวิ่งเข้ามากอดลูกสาวคนเล็ก น้ำตาซึมด้วยความดีใจ

“ขอโทษนะคะที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” ปาณาหน้าจืดเจื่อนด้วยความรู้สึกผิด

“แล้วลูกไปไหนมา ทำไมถึงกลับเอาป่านนี้ เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรหรือเปล่า” ท่านโสตถีถามขึ้นด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง

“เอ่อ... คือมีคนเชิญลูกไปดูอาการคนไข้ที่ดอยหมอกห่มมาน่ะค่ะท่านพ่อ”

“นั่นมันหมู่บ้านเก่าของนายพลติงสาไม่ใช่เหรอ” ท่านโสตถีมีสีหน้าแปลกใจ

เพราะหมู่บ้านนั้นอยู่ในป่าดงดอย ที่นั่นเคยเป็นแหล่งกบดานของนายพลติงสากับพรรคพวกตอนถูกโค่นล้มจากอำนาจ ก่อนจะถูกกวาดล้างและจับตัวได้ในที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นมาก็กลายเป็นหมู่บ้านร้าง พึ่งมีคนกลับไปอยู่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

“ค่ะท่านพ่อ แล้วคนไข้ที่ว่าก็คือนายพลติงสาค่ะ” ปาณาบอกความจริงไป เพราะทุกคนในบ้านรู้เรื่องที่เจ้าหญิงกับพวกเธอร่วมกันปล่อยตัวนายพลติงสาไปในคราวนั้นดี

“ปาณา แล้วนายพลติงสาเป็นยังไงบ้าง เขายังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ” คราวนี้เป็นเจ้าหญิงรัชทายาทที่รีบถามขึ้น

“ตอนที่หม่อมฉันไปถึงยังมีชีวิตอยู่เพคะเจ้าหญิง แต่หม่อมฉันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ เพราะคงถึงเวลาของเขาแล้วจริงๆ พึ่งทำพิธีฝังศพไปตอนเย็นวานนี้เองเพคะ” วาวพลอยมีสีหน้าสลดลงกับคำตอบที่ได้ยิน

“คุณป้ามาเรียฝากคำขอบคุณมาถึงเจ้าหญิงด้วยเพคะ” ปาณาบอก เจ้าหญิงรัชทายาทพยักหน้ารับน้อยๆ

“ลูกไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ” ท่านหญิงนิมานถามบุตรสาว พลางมองสำรวจไปทั่วร่างโปร่งบางด้วยความเป็นห่วงไม่หาย ปาณายิ้มให้มารดา

“ลูกไม่เป็นไรหรอกค่ะท่านแม่ พวกเขาแค่พาลูกไปเพื่อรักษานายพลติงสาจริงๆ ไม่ได้ทำอะไรลูกเลยค่ะ” หญิงสาวบอกมารดา ในใจคิดไปถึงคนที่พาตัวเธอไปและกลับมาส่ง

ตอนขากลับแม้หรคุณจะยังโศกเศร้ากับการสูญเสีย แต่ก็พูดคุยกับเธอเป็นอย่างดี ปาณาเห็นเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ของเขาเท่านั้น จนกระทั่งถึงโรงพยาบาล เขาได้เอ่ยขอโทษหญิงสาวที่พาตัวไปยังดอยหมอกห่มโดยพลการ และด้วยวิธีที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่

แต่ปาณาไม่ได้โกรธเขา ตรงกันข้ามเธอกลับเห็นใจพวกเขา จึงได้แต่ให้กำลังใจไปเท่านั้น ตอนนี้หญิงสาวจึงไม่ได้พูดถึงวิธีการเชิญของหรคุณ ได้แต่พูดให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนเต็มใจไปกับเขาเองตั้งแต่แรก

จึงไม่มีใครติดใจสงสัย เพราะเรื่องการเสียชีวิตของอดีตนายพลผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ริตถาวดีน่าสนใจและเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากกว่า

วาวพลอยกับตะวันพราวขอตัวกลับตำหนักเมื่อเห็นว่าปาณาปลอดภัย และรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกอย่าง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวเงียบลงจนเห็นได้ชัด ดวงตาคู่หวานซึ้งมองแหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายพลางคิดไปถึงคนที่มอบให้ ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้างกับการสูญเสียครั้งนี้

หญิงสาวเข้าใจได้ดีว่าเลือดเนื้อเชื้อไข หรือคนในครอบครัวเดียวกัน ต่อให้เลวร้ายยังไงก็ไม่มีวันเกลียดหรือเลิกรักกันได้ อย่างที่นางมาเรีย มารดาของเขาบอก วาวพลอยรู้ว่าเขากับทุกคนในครอบครัวต้องเสียใจมากมายเพียงไหน

‘ขอให้เขากับครอบครัวจงดีขึ้นในเร็ววันด้วยเถอะ’ วาวพลอยแอบภาวนาอยู่ในใจ

“เป็นห่วงคุณหัสตะล่ะซิ” ตะวันพราวกระเซ้าขึ้น พลางชำเลืองมองน้องสาวที่เงียบผิดปกติ ขณะเดินกลับมาด้วยกันจนถึงตำหนัก

“เปล่าซะหน่อย” วาวพลอยตอบ

“ไม่ต้องมาปฏิเสธหรอกน่า เป็นห่วงเขาก็ไปหาสิ ไม่ก็ให้เขามาหาเองเสียก็สิ้นเรื่อง” ตะวันพราวแนะอย่างจริงจัง แต่คนเป็นน้องสาวกลับทำหน้างอใส่

“พี่พราวก็พูดไปเรื่อย ไม่เอาแล้วค่ะพลอยไม่คุยด้วยแล้ว พลอยไปหาแม่ดีกว่า” หญิงสาวพูดพลางเดินไปทางห้องของมารดา ตะวันพราวได้แต่หัวเราะ ก่อนจะก้าวตาม

*-*-*-*-*-*

เมื่อถึงวันที่เจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาออกเดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆ กับขบวนตามเสด็จเจ้าหญิงรัชทายาทและเจ้าชาย ทั้งคู่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ซึ่งตามหมายกำหนดการณ์ ต้องเริ่มจากแวะในเมืองที่ติดกับเมืองหลวงก่อน แล้วจึงออกเยี่ยมเยือนประชาชน

ในวันนั้น มีประชาชนมาคอยต้อนรับกันอย่างเนืองแน่น บ้างก็แต่งกายในชุดพื้นเมืองของริตถาวดี บ้างก็สวมเสื้อผ้าตามสมัยนิยม ต่างพร้อมใจกันส่งเสียงโห่ร้องสรรเสริญต้อนรับเจ้าหญิง เจ้าชายรัชทายาททั้งสองพระองค์

อีกทั้งได้จัดให้มีการแสดง การละเล่นพื้นบ้าน ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ต่อหน้าพระที่นั่ง เป็นที่ถูกอกถูกใจเจ้าหญิงชลันตาเป็นอย่างมาก ตรงข้ามกับเจ้าชายอุชเชนที่มักจะมีท่าทีเซ็งๆ คำพูดขวางๆ ออกมาจากปากอยู่เรื่อย จนเสนาฯ ระสังต้องส่งสายตาปรามกันอยู่เนืองๆ

แล้วขบวนเสด็จจึงพักค้างคืนในเมืองนี้ และแผนการเดินทางจะถูกวางไว้เหมือนกันเช่นนี้ในทุกเมือง ตลอดการเสด็จประพาสในครั้งนี้

ยี่สิบกว่าวันผ่านไปขบวนเสด็จจึงไปถึงหัวเมืองทางเหนือซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้าย คือเมือง ทักขิเณ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ทางตอนเหนือของริตถาวดี จึงได้แวะพัก พบปะประชาชน และร่วมพูดคุยตามแผนการเดิมทุกประการ

การเสด็จประพาสหัวเมืองต่างๆ ในครั้งนี้ นับว่าเป็นการเดินทางที่มีค่ายิ่งต่อเจ้าหญิงรัชทายาท เพราะนอกจากจะเห็นความเป็นไปของบ้านเมืองในอีกแง่มุมหนึ่งนอกเหนือไปจากเมืองหลวงแล้ว เธอยังได้เยี่ยมเยือนสถานที่สำคัญทางราชการ ศาสนา ฯลฯ ในทุกเมืองที่เดินทางไป

อีกทั้งยังได้เห็นความเป็นอยู่ของชาวเมืองที่มีความแตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่ที่วาวพลอยได้รู้ ได้สัมผัส และจากการพูดคุยกับข้าราชการของเมืองต่างๆ ก็คือยิ่งห่างไกลความเจริญ ความเป็นอยู่ของประชาชนก็ยิ่งลำบาก การเข้าถึงบริการด้านต่างๆ ของรัฐ เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง

นั่นทำให้เธอต้องปรึกษาหารือกับเหล่าผู้ว่าราชการ ร่วมกับเสนาฯ ข้าราชการที่ติดตาม เพื่อหาทางแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมถึงอีกหนึ่งความตั้งใจที่เจ้าหญิงรัชทายาทมีมาโดยตลอดด้วย นั่นก็คือการบูรณะ ฟื้นฟู

ศาสนสถานที่สำคัญต่างๆ ที่ได้พบเจอ

ความใส่ใจและกระตือรือร้นของเจ้าหญิงรัชทายาท สร้างความประทับใจและชื่นชมให้กับทุกคนที่ได้พบเห็น รับใช้และพูดคุยเป็นอย่างยิ่ง

ค่ำคืนหลังงานเลี้ยงรับรองในจวนผู้ว่าเมืองทักขิเณยุติลง วาวพลอยก็กลับมายังห้องพัก ซึ่งเธอกับมารดาและตะวันพราวพักอยู่ร่วมกัน แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่พบใครอยู่ในห้อง

ทั้งที่เธอเห็นทั้งสองออกมาจากงานเลี้ยงตั้งนานแล้ว หญิงสาวจึงไปหาปาณาที่ห้องพัก โดยมีนางกำนัลอีกสองคนติดตามไปด้วยตามปกติ

“ปาณาเห็นแม่กับพี่พราวบ้างหรือเปล่า” วาวพลอยรีบถามขึ้น เมื่อปาณาเปิดประตูโผล่หน้าออกมาให้เห็น

“ไม่เห็นนี่เพคะเจ้าหญิง มีอะไรหรือเปล่าเพคะ”

“เปล่าหรอก พอดีกลับมาแล้วไม่เห็นน่ะ เดี๋ยวฉันไปหาโก๋ก่อนดีกว่า” หญิงสาวว่าพลางทำท่าจะผละไป

“หม่อมฉันไปเป็นเพื่อนดีกว่าเพคะ” ปาณารีบสาวเท้าตามไป

ห้องพักของโก๋อยู่ในส่วนเรือนพักรับรองของเหล่าข้าราชบริพารชายที่ติดตามขบวนเสด็จฯ ทั้งเจ้าหญิงรัชทายาทกับปาณา และนางกำนัลที่ติดตามจึงได้แต่มาหยุดยืนอยู่ตรงเขตที่มีทหารเฝ้ายามอยู่

“เจ้าหญิงรัชทายาท ประสงค์สิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทหารยามถามขึ้นหลังทำความเคารพเสร็จ

“ฉันต้องการพบโก๋ ไปตามให้หน่อยได้ไหม” ทหารคนนั้นรับคำ ก่อนจะเข้าไปด้านในเรือนพักรับรองหลังใหญ่

กลุ่มของเจ้าหญิงชลันตาต่างพากันรออยู่ตรงบริเวณสวนของเรือนพักรับรองที่จัดไว้อย่างสวยงาม ปาณานั้นเดินไปเดินมา โดยมีนางกำนัลยืนอยู่ไม่ไกลเพื่อรอรับใช้เจ้าหญิงตามหน้าที่

ในขณะที่เจ้าหญิงรัชทายาทกำลังให้ความสนใจกับดอกไม้สีขาวที่กำลังส่งกลิ่นหอมอีกด้าน เธอจึงก้าวไปหยุดอยู่บริเวณนั้น มือบางเอื้อมไปแตะดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ นั้นอย่างเบามือ

ก่อนจะก้มลงสูดเอาความหอมเข้าเต็มปอด แต่ทว่าเงาของใครคนหนึ่งวูบไหวอยู่ตรงปลายตา พอเธอหันไปมอง ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตากลับลับหายไปในสวนอีกด้าน

“นั่นใครน่ะ” หญิงสาวร้องขึ้น

“ใคร ตรงไหนหรือเพคะ? ” ปาณารีบก้าวเข้ามาหา พร้อมนางกำนัล

“ฉันเห็นเหมือนเงาคนอยู่ตรงโน้นน่ะปาณา” วาวพลอยชี้ไปยังจุดที่เห็นร่างสูงใหญ่นั้นหายไป

“ไหนเพคะ” ปาณามองตาม ขณะที่ทั้งคู่ตัดสินใจจะไปดูให้แน่ใจนั่นเอง ร่างสูงโปร่งก็ออกมาจากมุมนั้นพอดี

“ท่านพี่ปาระมีนั่นเอง” ปาณาว่าอย่างโล่งใจ แต่วาวพลอยกลับรู้สึกแปลกใจที่เห็นปาระมี

เพราะหญิงสาวรู้สึกว่าที่เธอเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ปาระมีอย่างแน่นอน แต่เหมือนกับใครบางคนมากกว่า หรือว่า... เธอจะคิดถึงเขามากเกินไปจนตาฝาดเห็นปาระมีเป็นเขากันแน่นะ วาวพลอยพยายามสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่าน

“มาทำอะไรกันที่นี่ปาณา เจ้าหญิง” ปาระมีถามพลางเดินเข้ามาใกล้

“พอดีเรามาหาโก๋น่ะค่ะท่านพี่ ทหารกำลังไปตามอยู่ค่ะ” วาวพลอยบอก และทหารที่ไปตามโก๋ก็กลับออกมาพอดี

“เจ้าหญิงรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คุณโก๋ไม่อยู่ สงสัยจะออกไปข้างนอกกับพวกทหารพ่ะย่ะค่ะ” ทหารรายงานอย่างนอบน้อม

“ทหารไปข้างนอกทำไมกัน” หญิงสาวถามขึ้นด้วยความสงสัย

“อ้อ... พี่ให้ทหารกลุ่มหนึ่งออกไปตรวจดูเส้นทางที่เจ้าหญิงจะต้องเสด็จผ่านวันพรุ่งนี้ตามปกติน่ะ ไม่มีอะไรหรอก สงสัยโก๋คงอยากออกไปเที่ยวบ้างกระมัง” ปาระมีตอบแทนอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นที่รู้กันว่าเรื่องการเตรียมพร้อมไม่มีใครเกินเขาอยู่แล้ว

“แม่กับพี่พราวก็หายไปไหนไม่รู้นะคะ น้องก็เลยว่าจะมาถามโก๋นี่แหล่ะค่ะ” วาวพลอยเปรยขึ้นอย่างเป็นห่วงมารดาและพี่สาว

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะให้ทหารออกไปตามหาท่านหญิงอัมพรกับคุณตะวันพราวก็แล้วกัน เจ้าหญิงกลับเข้าที่พักก่อนเถอะ พี่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้าหญิงด้วย เดี๋ยวพี่จะตามท่านพ่อไปสมทบที่ห้องพักเจ้าหญิง” เขาบอก ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไป



**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=

BookDetails&data=YToyOntzOjc6I

nVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfa

WQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3cbffb2

b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/34430/%E0%

B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8

%B8%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0

%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-PDF

.aspx?no=9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/cart/

get_detail_book/1110








กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2559, 13:44:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2559, 13:44:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 892





<< บทที่ 39   บทที่ 41 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account