In a day รอรักหลังวิวาห์
Tags: อาลี โมนา
ตอน: Chapters 9: Sulk (งอน)
Chapters 9: Sulk (งอน)
“เป็นอะไร”
“น้องปวดท้อง”
“อยากเข้าห้องน้ำ???”
“ไม่ใช่ปวดแบบนั้น น้องหิวข้าว”
เขาหันมามองหน้าฉันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตั้งใจขับรถต่อ
“ยังไม่กินข้าวว่างั้น”
“คะ ทานแค่ข้าวเช้า ข้าวเที่ยงคุณก็ให้เพื่อนสนิทกินแทนนั่นไง”
“ทำไมไม่บอกว่ายังไม่ได้ทาน”
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่ถามน้อง มัวแต่สนใจคนอื่นมากกว่าน้อง”
“อัสมาไม่ใช่คนอื่นสำหรับผม”
“……………………..”
หัวใจฉันกระตุกหลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นจบ มันรู้สึกหนึบๆในหัวใจ ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนั้น ฉันรู้สึกเหมือนม่านตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำ ฉันหันไปมองวิวข้างทางเพื่อพยายามไล่ความรู้สึกเจ็บลึกๆตรงหน้าอกข้างซ้าย
Ali part:
ผมหันไปมองเธอที่ไม่พูดอะไรต่อหลังจบประโยคก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมเริ่มจะไม่มั่นใจกับความรู้สึกตัวเอง สามวันที่ผมไม่ได้เจอเธอผมยอมรับว่าเหมือนชีวิตผมขาดอะไรไป แต่ในทางกลับกันผมกลับรู้สึกเหมือนผมกลับไปเป็นผมคนเดิมที่มีอัสมาอยู่เคียงข้าง เพราะตลอดสามวันที่ผ่านมาผมเจอหน้าอัสมาทุกวันเธออยู่ทำงานข้างผม เราต่างให้คำปรึกษากันและกัน แต่ทุกครั้งที่ผมมองหน้าอัสมา ผมก็มักจะเห็นหน้าเธอซ้อนทับ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เรามีเรื่องผิดใจกันอยู่
ผมหันไปมองเธออีกรอบ เธอยังคงเงียบและนั่งหันหน้ามองวิวข้างทางจนผมรู้สึกผิดที่บอกกับเธอไปแบบนั้น อยู่ๆผมก็นึกถึงคำพูดของอลันขั้นมา ผมสับสนไปหมดแล้ว ผมไล่ความคิดตัวเองก่อนจะเลี้ยวรถแวะร้านอาหารแทน
“จอดทำไมคะ”
“ผมหิวเหมือนกัน เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“กลับไปทานที่บ้านดีกว่า น้องกลัวต้องกลับเองคนเดียวอีก”
“โมนา ไม่เอาน่า หิวไม่ใช่หรอ”
“…………….……”
“เชื่อผมสิ”
ผมยื่นมือไปบีบมือเธอที่วางอยู่บนตักเบาๆเพื่อให้เธอมั่นใจในคำพูดของผม เธอหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มก่อนจะพยักหน้าบอกตกลง
ผมเลือกที่นั่งที่เป็นมุมส่วนตัวที่สุด ตอนนี้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วขยันพูดจาโต้ตอบผม จนผมรู้สึกว่านี่แหล่ะตัวตนของเธอ สงสัยเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมาเกือบเดือนแล้วทำให้เธอเริ่มสนิทและปรับตัวเข้ากับผมได้ แต่ผมนี่สิที่ยังไม่ค่อยแสดงความเป็นตัวเองให้มากเท่าไหร่อาจจะมีเผลอบ้างแต่ไม่บ่อย บางทีมันคงจะดีถ้าเราเรียนรู้กันและกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
“อ่ะนี่”
“หืม ไม่เอา”
“เอาน่า อ้าปากเร็วสิพี่ลี”
เธอจะรู้ตัวไหมเนี้ยว่าผมเขิน ให้ตายสิ อยู่ๆเธอก็ยื่นเค้กมาป้อนผม ชักจะกล้าไปใหญ่ละ แต่ผมชอบนะ ไม่รู้สิ
“โมนา เจอกันอีกแล้ว”
“อ้าวฟาริท”
“นี่ยังไม่กลับไทยหรอ แล้วนี่มากับ พี่ชายหรือเพื่อน”
“เอ่อกลับนั้นแหล่ะ ส่วนนี่ก็ สามี”
“เอ่อ จริงหรอ”
“อืม ขอโทษที่ไม่ได้บอกคือฉันหาเบอร์ติดต่อริทไม่เจอ เบอร์เก่าก็ใช้ไม่ได้ ขอโทษน่า”
ผมมองภรรยาผมกับผู้ชายที่ชื่อฟาริทสลับไปมา จริงสิเรายังไม่เคยเล่าถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกันเลย นี่ผมพลาดอะไรไปรึเปล่า
“อืม ไม่เป็นไรหรอก”
“นั่งก่อนสิ”
เธอบอกกับผู้ชายคนนั้นก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างต้องการจะขออนุญาต ผมก็พยักหน้าไม่ได้พูดอะไร
“แล้วแต่งกันเมื่อไหร่”
“เกือบเดือนแล้ว ขอโทษจริงๆอย่าโกรธกันนะ”
“เราไม่ได้โกรธที่โมนาแต่งแล้วไม่ได้บอก แต่โกรธที่โมนาแต่งงานนี่แหล่ะ”
“เหอะ”
ผมมองหน้าผู้ชายที่อยู่ข้างฟาริทอย่างหมั่นไส้ นี่ขนาดผมอยู่ด้วยยังกล้าพูดแบบนี้
“ฮะฮ่ะฮ่า โกรธที่แต่งก่อนริทใช่ไหมละ”
“ลืมไปเลยผม ฟาริท เพื่อนตอนเรียนด้วยกันที่สิงค์โป”
“อาลี ครับ”
“ผมคงต้องเรียกคุณว่าพี่อาลี ถูกไหม”
“ใช่แล้วริท เราห่างกันสี่ปี แต่อย่างริทคงไม่ต้องเพราะดูมีอายุกว่าพี่อาลีซะอีกอิอิ”
“หืมม หรอคร๊าบบบ”
“อะฮึ้ม ฮึ้ม”
ผมกระแอ่มเล็กน้อยเพราะผู้ชายที่ชื่อฟาริทกำลังหยอกล้อภรรยาผมโดยการวางมือไว้บนหัวแล้วส่ายไปมา ผมรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ว่าเรากลับกันเถอะ”
“อะ อะไรนะ”
“ก็ไหนเมื่อกี้น้องบอกว่าอยากกลับแล้วไง พี่ว่าไปกันเถอะ”
“เอ่อ งั้นกลับก่อนนะริทไว้เจอกันใหม่”
“เดี่ยวสิโมนา ขอเบอร์ติดต่อหน่อยเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ดูอย่างวันก่อนดิ ดีนะที่เราเจอกันไม่อย่างนั้นโมนาต้องยืนหลงไปอีกนาน”
“อ้อได้ๆ”
ผมจ้องหน้ามันที่ยิ้มให้ภรรยาผม ผมดูก็รู้ว่ามันคิดอย่างไร นี่แสดงว่าวันนั้นเธอกลับกับมันอย่างนั้นหรอ หึ
Mona part:
ฉันนั่งอยู่ที่ปลายเตียงในชุดนอนแบบสวมลายดอกไม้สีหวาน ฉันนั่งมองแผ่นหลังเขาที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ถัดจากปลายเตียง ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารเขาก็เอาแต่เงียบ ฉันตามอารมณ์เขาไม่ทันจริงๆ หรือว่าจะหึงเรากับฟาริท ไม่หรอก เขานะหรอจะหึงฉัน ฉันได้แต่ยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกถึงตอนที่เขาแทนตัวเองว่าพี่ ฉันอยากให้เขาแทนตัวเองแบบนั้นตลอดไปจัง ฟังแล้วอบอุ่นดี
“พี่อาลี เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่านิ”
“แน่นะ ฟาริทเป็นเพื่อนน้องตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว เขาช่วยน้องหลายอย่างตอนอยู่สิงค์โปเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่สนิทกัน”
“คงจะสนิทกันมากละสิ”
“แน่นอน เพราะฟาริทเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ใช่คนสิงค์โป”
เขาละจากเอกสารทั้งหมดก่อนจะลุกขึ้นมายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าฉัน
“นี่ยังมีผู้ชายคนอื่นอีกหรอ คุณคบแต่เพื่อนผู้ชายหรือไง”
“พี่อาลี เพื่อนผู้หญิงก็มีนะ ว่าแต่พี่เถอะกับคุณอัสมานั้นละ”
“เพื่อนร่วมงาน ไม่ได้มีอะไรมาก”
“แล้วก่อนหน้านี้ละ”
“ผมว่าเราควรจะคุยเรื่องอนาคตมากกว่าเรื่องที่มันผ่านมาแล้วนะ”
“แต่บางเรื่องที่ผ่านมา เราก็ควรจะรู้นะเป็นการแชร์ข้อมูลกันและกันไง”
“เพื่ออะไรละ”
“ตกลงพี่อาลีจะไม่บอกใช่ไหม หรือว่าเธอเคยเป็นแฟนพี่”
“หึ”
“จริงหรอคะ”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าผมกับอัสเคยเป็นอะไรกันมาก่อน มันสำคัญที่ว่าตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น”
“พี่คิดอย่างนั้นจริงๆใช่ไหม สิ่งเดียวที่น้องกลัวตอนนี้คือ กลัวว่าชีวิตคู่ของเราจะไปไม่ถึงปลายทาง”
เขานั่งลงข้างฉันก่อนจะจับไหล่ฉันทั้งสองข้างแล้วบีบเบาๆ
“อย่าได้กลัวไปเลย พี่ไม่รู้หรอกว่าชีวิตคู่ของเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะแท้จริงแล้วพระองค์เท่านั้นคือผู้ทรงรู้ ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือดุอาอ* เพื่อชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบและยืนยาว”
*ดุอาอ = การขอพรต่อพระเจ้า
“เป็นอะไร”
“น้องปวดท้อง”
“อยากเข้าห้องน้ำ???”
“ไม่ใช่ปวดแบบนั้น น้องหิวข้าว”
เขาหันมามองหน้าฉันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตั้งใจขับรถต่อ
“ยังไม่กินข้าวว่างั้น”
“คะ ทานแค่ข้าวเช้า ข้าวเที่ยงคุณก็ให้เพื่อนสนิทกินแทนนั่นไง”
“ทำไมไม่บอกว่ายังไม่ได้ทาน”
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่ถามน้อง มัวแต่สนใจคนอื่นมากกว่าน้อง”
“อัสมาไม่ใช่คนอื่นสำหรับผม”
“……………………..”
หัวใจฉันกระตุกหลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นจบ มันรู้สึกหนึบๆในหัวใจ ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนั้น ฉันรู้สึกเหมือนม่านตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำ ฉันหันไปมองวิวข้างทางเพื่อพยายามไล่ความรู้สึกเจ็บลึกๆตรงหน้าอกข้างซ้าย
Ali part:
ผมหันไปมองเธอที่ไม่พูดอะไรต่อหลังจบประโยคก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมเริ่มจะไม่มั่นใจกับความรู้สึกตัวเอง สามวันที่ผมไม่ได้เจอเธอผมยอมรับว่าเหมือนชีวิตผมขาดอะไรไป แต่ในทางกลับกันผมกลับรู้สึกเหมือนผมกลับไปเป็นผมคนเดิมที่มีอัสมาอยู่เคียงข้าง เพราะตลอดสามวันที่ผ่านมาผมเจอหน้าอัสมาทุกวันเธออยู่ทำงานข้างผม เราต่างให้คำปรึกษากันและกัน แต่ทุกครั้งที่ผมมองหน้าอัสมา ผมก็มักจะเห็นหน้าเธอซ้อนทับ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เรามีเรื่องผิดใจกันอยู่
ผมหันไปมองเธออีกรอบ เธอยังคงเงียบและนั่งหันหน้ามองวิวข้างทางจนผมรู้สึกผิดที่บอกกับเธอไปแบบนั้น อยู่ๆผมก็นึกถึงคำพูดของอลันขั้นมา ผมสับสนไปหมดแล้ว ผมไล่ความคิดตัวเองก่อนจะเลี้ยวรถแวะร้านอาหารแทน
“จอดทำไมคะ”
“ผมหิวเหมือนกัน เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“กลับไปทานที่บ้านดีกว่า น้องกลัวต้องกลับเองคนเดียวอีก”
“โมนา ไม่เอาน่า หิวไม่ใช่หรอ”
“…………….……”
“เชื่อผมสิ”
ผมยื่นมือไปบีบมือเธอที่วางอยู่บนตักเบาๆเพื่อให้เธอมั่นใจในคำพูดของผม เธอหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มก่อนจะพยักหน้าบอกตกลง
ผมเลือกที่นั่งที่เป็นมุมส่วนตัวที่สุด ตอนนี้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วขยันพูดจาโต้ตอบผม จนผมรู้สึกว่านี่แหล่ะตัวตนของเธอ สงสัยเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมาเกือบเดือนแล้วทำให้เธอเริ่มสนิทและปรับตัวเข้ากับผมได้ แต่ผมนี่สิที่ยังไม่ค่อยแสดงความเป็นตัวเองให้มากเท่าไหร่อาจจะมีเผลอบ้างแต่ไม่บ่อย บางทีมันคงจะดีถ้าเราเรียนรู้กันและกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
“อ่ะนี่”
“หืม ไม่เอา”
“เอาน่า อ้าปากเร็วสิพี่ลี”
เธอจะรู้ตัวไหมเนี้ยว่าผมเขิน ให้ตายสิ อยู่ๆเธอก็ยื่นเค้กมาป้อนผม ชักจะกล้าไปใหญ่ละ แต่ผมชอบนะ ไม่รู้สิ
“โมนา เจอกันอีกแล้ว”
“อ้าวฟาริท”
“นี่ยังไม่กลับไทยหรอ แล้วนี่มากับ พี่ชายหรือเพื่อน”
“เอ่อกลับนั้นแหล่ะ ส่วนนี่ก็ สามี”
“เอ่อ จริงหรอ”
“อืม ขอโทษที่ไม่ได้บอกคือฉันหาเบอร์ติดต่อริทไม่เจอ เบอร์เก่าก็ใช้ไม่ได้ ขอโทษน่า”
ผมมองภรรยาผมกับผู้ชายที่ชื่อฟาริทสลับไปมา จริงสิเรายังไม่เคยเล่าถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกันเลย นี่ผมพลาดอะไรไปรึเปล่า
“อืม ไม่เป็นไรหรอก”
“นั่งก่อนสิ”
เธอบอกกับผู้ชายคนนั้นก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างต้องการจะขออนุญาต ผมก็พยักหน้าไม่ได้พูดอะไร
“แล้วแต่งกันเมื่อไหร่”
“เกือบเดือนแล้ว ขอโทษจริงๆอย่าโกรธกันนะ”
“เราไม่ได้โกรธที่โมนาแต่งแล้วไม่ได้บอก แต่โกรธที่โมนาแต่งงานนี่แหล่ะ”
“เหอะ”
ผมมองหน้าผู้ชายที่อยู่ข้างฟาริทอย่างหมั่นไส้ นี่ขนาดผมอยู่ด้วยยังกล้าพูดแบบนี้
“ฮะฮ่ะฮ่า โกรธที่แต่งก่อนริทใช่ไหมละ”
“ลืมไปเลยผม ฟาริท เพื่อนตอนเรียนด้วยกันที่สิงค์โป”
“อาลี ครับ”
“ผมคงต้องเรียกคุณว่าพี่อาลี ถูกไหม”
“ใช่แล้วริท เราห่างกันสี่ปี แต่อย่างริทคงไม่ต้องเพราะดูมีอายุกว่าพี่อาลีซะอีกอิอิ”
“หืมม หรอคร๊าบบบ”
“อะฮึ้ม ฮึ้ม”
ผมกระแอ่มเล็กน้อยเพราะผู้ชายที่ชื่อฟาริทกำลังหยอกล้อภรรยาผมโดยการวางมือไว้บนหัวแล้วส่ายไปมา ผมรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ว่าเรากลับกันเถอะ”
“อะ อะไรนะ”
“ก็ไหนเมื่อกี้น้องบอกว่าอยากกลับแล้วไง พี่ว่าไปกันเถอะ”
“เอ่อ งั้นกลับก่อนนะริทไว้เจอกันใหม่”
“เดี่ยวสิโมนา ขอเบอร์ติดต่อหน่อยเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ดูอย่างวันก่อนดิ ดีนะที่เราเจอกันไม่อย่างนั้นโมนาต้องยืนหลงไปอีกนาน”
“อ้อได้ๆ”
ผมจ้องหน้ามันที่ยิ้มให้ภรรยาผม ผมดูก็รู้ว่ามันคิดอย่างไร นี่แสดงว่าวันนั้นเธอกลับกับมันอย่างนั้นหรอ หึ
Mona part:
ฉันนั่งอยู่ที่ปลายเตียงในชุดนอนแบบสวมลายดอกไม้สีหวาน ฉันนั่งมองแผ่นหลังเขาที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ถัดจากปลายเตียง ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารเขาก็เอาแต่เงียบ ฉันตามอารมณ์เขาไม่ทันจริงๆ หรือว่าจะหึงเรากับฟาริท ไม่หรอก เขานะหรอจะหึงฉัน ฉันได้แต่ยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกถึงตอนที่เขาแทนตัวเองว่าพี่ ฉันอยากให้เขาแทนตัวเองแบบนั้นตลอดไปจัง ฟังแล้วอบอุ่นดี
“พี่อาลี เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่านิ”
“แน่นะ ฟาริทเป็นเพื่อนน้องตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว เขาช่วยน้องหลายอย่างตอนอยู่สิงค์โปเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่สนิทกัน”
“คงจะสนิทกันมากละสิ”
“แน่นอน เพราะฟาริทเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ใช่คนสิงค์โป”
เขาละจากเอกสารทั้งหมดก่อนจะลุกขึ้นมายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าฉัน
“นี่ยังมีผู้ชายคนอื่นอีกหรอ คุณคบแต่เพื่อนผู้ชายหรือไง”
“พี่อาลี เพื่อนผู้หญิงก็มีนะ ว่าแต่พี่เถอะกับคุณอัสมานั้นละ”
“เพื่อนร่วมงาน ไม่ได้มีอะไรมาก”
“แล้วก่อนหน้านี้ละ”
“ผมว่าเราควรจะคุยเรื่องอนาคตมากกว่าเรื่องที่มันผ่านมาแล้วนะ”
“แต่บางเรื่องที่ผ่านมา เราก็ควรจะรู้นะเป็นการแชร์ข้อมูลกันและกันไง”
“เพื่ออะไรละ”
“ตกลงพี่อาลีจะไม่บอกใช่ไหม หรือว่าเธอเคยเป็นแฟนพี่”
“หึ”
“จริงหรอคะ”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าผมกับอัสเคยเป็นอะไรกันมาก่อน มันสำคัญที่ว่าตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น”
“พี่คิดอย่างนั้นจริงๆใช่ไหม สิ่งเดียวที่น้องกลัวตอนนี้คือ กลัวว่าชีวิตคู่ของเราจะไปไม่ถึงปลายทาง”
เขานั่งลงข้างฉันก่อนจะจับไหล่ฉันทั้งสองข้างแล้วบีบเบาๆ
“อย่าได้กลัวไปเลย พี่ไม่รู้หรอกว่าชีวิตคู่ของเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะแท้จริงแล้วพระองค์เท่านั้นคือผู้ทรงรู้ ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือดุอาอ* เพื่อชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบและยืนยาว”
*ดุอาอ = การขอพรต่อพระเจ้า
TheW
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ส.ค. 2559, 19:03:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ส.ค. 2559, 19:03:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 1149
<< Chapter 8: Change to (เปลี่ยนไป) | Chapter 10: Sweet (หวาน) >> |