เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)
“ผมใช่ไก่อ่อนวัยตื่นเพศ ตื่นฮอร์โมน เพราะฉะนั้นอย่าบังคับให้ต้องจีบเมียตัวเองแต่คุณควรจะใช้งานมือโปรคนนี้ให้ถูกหน้าที่ อย่างน้อยจะได้ไม่เสียของ”
การพบหน้ากันครั้งแรก แพรวา ต้องกลายเป็นสาวเอสคอร์ตที่เขาใช้เป็นเครื่องมือเขี่ยผู้หญิงอีกคนทิ้ง
ในครั้งที่สองเขากลับลากเธอขึ้นเตียง ช่วงชิงเอาความสาวไปโดยที่เธอไม่ทันได้ทัดทาน นั่นก็เป็นเหตุผลอันยอดเยี่ยมแล้วที่ควรต้องอยู่ให้ห่างจากมาเฟียผู้ดุดัน อันตราย
ถึงแม้ว่านักกายภาพบำบัดสาวจะประพฤติตัวตามเหตุผลข้างต้นนั้นได้ดีสักเพียงใด
เธอควรต้องรู้เอาไว้ว่า... นอกจากเขาจะเป็นมาเฟียผู้ดุดัน อันตรายแล้ว ยังเชี่ยวชาญในการบังคับข่มขู่!
เมื่อหญิงสาวใบหน้างดงามหล่นลงกลางเตียงให้เขาได้ตักตวงเอาความหอมหวานจากเรือนกายแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่ อาเชอร์ เฟร์นานโด จะหันหลังกลับไปใส่ใจในลำดับขั้นก่อนหลังของความสัมพันธ์จากค่ำคืนอันเริงร้อนนั้น
สาวบริสุทธ์ควรต้องหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย หลงใหลได้ปลื้มกับความร้อนแรงทางกาย เรียนรู้ชั้นเชิงจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องบนเตียงซึ่งผู้หญิงค่อนโลกใฝ่หาแล้วหันมาปรนเปรอเขาให้พึงใจในคราวเดียวกัน
ให้สมกับข้อได้เปรียบที่เธอมีเวลาอยู่บนเตียงของเขาเนิ่นนานกว่าผู้หญิงทั่วไป
...แม้จะถูกอบรมเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นอย่างดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่สร้างรอยอัปยศไว้บนเรือนกายอย่างน่าอดสูใจแล้ว แพรวาไม่เกรงกลัวที่จะตอบโต้เขาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เธอสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเองอย่างหนาแน่นเสียจนลืมไปว่า ทุกย่างก้าวของเธออยู่ในสายตาของมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล
การต่อต้าน หลีกหนีของเธอกำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นตลอดวัยหนุ่ม
หรือเขาต้องหันกลับไปมองหา ดอกไม้ เครื่องเพชร การดินเนอร์ใต้แสงเทียนเพื่อใช้ล่อลวงเมียตัวเองให้ปีนขึ้นเตียงอีกครั้ง!?
เช่นนี้แล้วเธอจะต้านทานมาเฟียผู้ขยันใช้เสน่ห์ทางกาย ‘ล่อลวงให้หลงใหล’ ทุกครั้งที่เผลอ... เขาจะใช้อาวุธอันร้ายกาจกะเทาะกำแพงหัวใจให้พังทลายจนไม่เหลือชิ้นดีได้อย่างไร
เจ้าหัวใจมาเฟีย ฉบับรีไรต์นี้เพิ่มฉากหวานที่ทำให้ต้องอมยิ้มไปกับความรักของอาเชอร์และเบนเซม่าที่มีให้นางเอก เพิ่มเนื้อหาให้เต็มอิ่ม เพิ่มตอนพิเศษอย่างจุใจ ตามคำเรียกร้องของนักอ่านที่อยากเก็บสะสมแทนเล่มเดิมหรือบางท่านยังไม่เคยได้สัมผัสกับความรักของดอนอาเชอร์และนักฟุตบอลหนุ่มซึ่งเคยตีพิมพ์มาแล้วครั้งหนึ่ง
การพบหน้ากันครั้งแรก แพรวา ต้องกลายเป็นสาวเอสคอร์ตที่เขาใช้เป็นเครื่องมือเขี่ยผู้หญิงอีกคนทิ้ง
ในครั้งที่สองเขากลับลากเธอขึ้นเตียง ช่วงชิงเอาความสาวไปโดยที่เธอไม่ทันได้ทัดทาน นั่นก็เป็นเหตุผลอันยอดเยี่ยมแล้วที่ควรต้องอยู่ให้ห่างจากมาเฟียผู้ดุดัน อันตราย
ถึงแม้ว่านักกายภาพบำบัดสาวจะประพฤติตัวตามเหตุผลข้างต้นนั้นได้ดีสักเพียงใด
เธอควรต้องรู้เอาไว้ว่า... นอกจากเขาจะเป็นมาเฟียผู้ดุดัน อันตรายแล้ว ยังเชี่ยวชาญในการบังคับข่มขู่!
เมื่อหญิงสาวใบหน้างดงามหล่นลงกลางเตียงให้เขาได้ตักตวงเอาความหอมหวานจากเรือนกายแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่ อาเชอร์ เฟร์นานโด จะหันหลังกลับไปใส่ใจในลำดับขั้นก่อนหลังของความสัมพันธ์จากค่ำคืนอันเริงร้อนนั้น
สาวบริสุทธ์ควรต้องหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย หลงใหลได้ปลื้มกับความร้อนแรงทางกาย เรียนรู้ชั้นเชิงจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องบนเตียงซึ่งผู้หญิงค่อนโลกใฝ่หาแล้วหันมาปรนเปรอเขาให้พึงใจในคราวเดียวกัน
ให้สมกับข้อได้เปรียบที่เธอมีเวลาอยู่บนเตียงของเขาเนิ่นนานกว่าผู้หญิงทั่วไป
...แม้จะถูกอบรมเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นอย่างดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่สร้างรอยอัปยศไว้บนเรือนกายอย่างน่าอดสูใจแล้ว แพรวาไม่เกรงกลัวที่จะตอบโต้เขาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เธอสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเองอย่างหนาแน่นเสียจนลืมไปว่า ทุกย่างก้าวของเธออยู่ในสายตาของมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล
การต่อต้าน หลีกหนีของเธอกำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นตลอดวัยหนุ่ม
หรือเขาต้องหันกลับไปมองหา ดอกไม้ เครื่องเพชร การดินเนอร์ใต้แสงเทียนเพื่อใช้ล่อลวงเมียตัวเองให้ปีนขึ้นเตียงอีกครั้ง!?
เช่นนี้แล้วเธอจะต้านทานมาเฟียผู้ขยันใช้เสน่ห์ทางกาย ‘ล่อลวงให้หลงใหล’ ทุกครั้งที่เผลอ... เขาจะใช้อาวุธอันร้ายกาจกะเทาะกำแพงหัวใจให้พังทลายจนไม่เหลือชิ้นดีได้อย่างไร
เจ้าหัวใจมาเฟีย ฉบับรีไรต์นี้เพิ่มฉากหวานที่ทำให้ต้องอมยิ้มไปกับความรักของอาเชอร์และเบนเซม่าที่มีให้นางเอก เพิ่มเนื้อหาให้เต็มอิ่ม เพิ่มตอนพิเศษอย่างจุใจ ตามคำเรียกร้องของนักอ่านที่อยากเก็บสะสมแทนเล่มเดิมหรือบางท่านยังไม่เคยได้สัมผัสกับความรักของดอนอาเชอร์และนักฟุตบอลหนุ่มซึ่งเคยตีพิมพ์มาแล้วครั้งหนึ่ง
Tags: ดอนอาเชอร์, นักฟุตบอล, มาเฟีย,
ตอน: ตอนที่ 3 100%
แม้คิดว่าคลื่นความเสียวซ่านที่ได้รับจะทำให้ร่างกายอ่อนปวกเปียก เรี่ยวแรงต่อต้านสูญสลายแต่เมื่อเขาเลื่อนฝ่ามือต่ำลงไปยังกลางกายแล้วใช้ปลายนิ้วบดขยี้ ร่ายมนตราเสน่หาที่ทำให้ระบบความคิดล่มสลาย ส่งเสียงครางกระเส่าจนต้องตกใจกับเสียงของตัวเอง
“มะ...ไม่” แพรวาส่ายหน้าอย่างหมดรูป เธอกำลังสิ้นหนทางพ่ายแพ้ต่อเขา เหลือเพียงแค่คำพูดเท่านั้นที่ยังสามารถใช้ประท้วง เรียกร้องความตั้งใจของตนเอง “คุณต้อง เสียใจที่ทำกับฉัน แบบนี้”
อาเชอร์ผงกศีรษะจ้องมองใบหน้างดงามที่แดงก่ำไปด้วยฤทธิ์พิศวาส น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นพูดแทบจะไม่เป็นประโยค แล้วความชุ่มชื้นที่ปลายนิ้วเขาสัมผัสได้นี้เธอจะปฏิเสธไปเพื่ออะไร
“คุณต่างหากที่ต้องเสียใจ ถ้าผมจะทิ้งไปตอนนี้” ไม่ได้ร้ายกาจแค่คำพูดแต่ปลายนิ้วยังเร่งจังหวะจนเจ้าตัวต้องหนีบขาเข้าหากัน “ไม่เอาน่า... คุณรู้สึกได้เองถึงความต้องการของร่างกายแล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องทำท่าเหมือนสาวบริสุทธิ์เพราะผมไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนั้น”
อา... เขาไม่เคยใส่ใจจริงๆ แต่ตอนนี้อยากเสพภาพความงดงามเย้ายวนใจ พูดได้เต็มปากว่าเขากำลังอิจฉากระทั่งฝ่ามือและปลายนิ้วของตัวเอง!
แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยให้ความอิจฉานั้นเกิดขึ้นนานนัก เพียงแค่เบี่ยงตัวออกจากเธอเล็กน้อยเกี่ยวเอาแพนตี้ตัวบางให้พ้นทาง ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ขนอ่อนในกายเขาลุกชัน
“ฉันกำลังบอกคุณว่าฉันมีสามี มีลูกแล้วน่ะสิ คุณกำลังทำลายชีวิตครอบครัวของฉัน” แพรวารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ ตะโกนเหตุผลที่คิดว่ามีโอกาสจะได้รับอิสรภาพคืนมามากที่สุดใส่หน้าเขา
อาเชอร์มองเธอด้วยสายตาชนิดหนึ่ง ที่หญิงสาวไม่อาจคาดเดา มันเป็นสายตาของความหึงหวง อิจฉา เมื่อคิดว่ามีผู้ชายอื่นมีโอกาสได้เห็นและสัมผัสเธอแบบเขา
“ไว้ผมจะชดใช้ให้ทีหลัง...” พูดจบเขาก็ก้มลงบดจุมพิตร้อนรุ่มลงบนริมฝีปากอิ่มที่กำลังเผยอโต้เถียง มืออีกข้างประคองแก่นกายอันฮึกเหิมเสือกไสเข้าหาเธอในจังหวะเดียวจนหมดมิด
กรี๊ด...
เสียงหวีดร้องแห่งความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาหูดับไปชั่วขณะ แม้เธอจะพรักพร้อมแต่เขากลับขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด ความอึดอัดจนแทบขาดใจเช่นนี้สินะคือสิ่งที่ได้รับจากสาวพรหมจรรย์
เธอกำลังถูกแยกร่างออกเป็นสองส่วน เมื่อปล่อยให้ความเจ็บปวดแทรกซึมทุกอณูความรู้สึกแล้วจึงไม่ต่างอะไรหากหลังจากนั้นเธอคิดว่าร่างกายกำลังแหลกละเอียดด้วยความอัปยศที่เขาหยิบยื่นให้ ไร้ซึ่งความปรานี ปราศจากซึ่งความชอบธรรม
เหมือนเวลารอบตัวของคนทั้งคู่หยุดชะงักไปชั่วขณะ ในขณะที่เธอเริ่มยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาเท่านั้นกำลังประณามการกระทำของเขา
“ให้ตายเถอะ! จะโกหกให้มันได้อะไรขึ้นมา”
มาเฟียหนุ่มรีบถอยห่างจากแอ่งเนื้ออันรัดรึง ร่องรอยที่เพิ่งทำลายสาวพรหมจรรย์ปรากฏแก่สายตาจนเขาต้องส่ายหน้าให้กับความโง่เง่าของตัวเอง ในขณะที่จัดการลอกคอนดอมออกจากความอลังการซึ่งไม่ได้ลดความฮึกเหิมลงไปสักองคุลี
หากแพรวาไม่เอาแต่ปิดหน้าปิดตาร้องไห้ คงได้เห็นและพอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร ทว่าตอนนี้เธอกำลังอาดูรในสิ่งที่หวงแหนจนลืมไปว่าร่างกายทุกส่วนกำลังขยับตามฝ่ามือหนาอย่างง่ายดาย
ความสงสารเกิดขึ้นเพราะได้ยินเสียงสะอื้นไห้ แต่ความภูมิใจที่ได้ครอบครองเรือนร่างอรชรนี้เป็นคนแรกกลับมีมากจนทำให้หัวใจแกร่งพองฟู แม้ไม่อยากเชื่อตัวเองว่าจะเกิดความคิด ความรู้สึกเช่นนี้แต่เขากลับหาเหตุผลไม่ได้ เมื่อฝ่ามือทั้งสองข้างรั้งเรียวขาคู่งามขึ้นพาดไว้บนบ่า
ความงดงามของอิสตรีไม่ต่างจากดอกกุหลาบซึ่งเรียงตัวซ้อนกันเป็นชั้นๆ นำพาความคิดและความรู้สึกของเขาล่องลอยไปไกลจนแทบจะไม่เชื่อตัวเอง
...อย่าว่าแต่การซุกหน้าอยู่กับหว่างขาของเธอเลย ควรจะปลิดลมหายใจเขาเสียด้วยซ้ำหากไม่คิดจะลิ้มลองความหวานจากกุหลาบงามนี้
“อื้อ... ไม่นะ” ช้าไปอยู่หลายนาทีนักกับคำห้ามปราม มีบางอย่างซึ่งให้ความรู้สึกแสนวิเศษกำลังปลอบประโลม ขับไล่ความเจ็บปวดให้เลือนหาย
แพรวาไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน ทว่าตอนนี้เธอรู้สึกว่าได้อยู่ห่างไกลกับความเจ็บปวดนัก ความเสียวซ่านกลับเพิ่มระดับจนต้องชันตัวขึ้นมองยังจุดเริ่มต้นของความรู้สึกทั้งมวล
ศีรษะได้รูปปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลของเขากำลังซุกอยู่กลางกายเธอ ความจริงในข้อนี้ทำให้แพรวาต้องกัดฟันแน่น สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น ยิ่งเขาเหลือบสายตาขึ้นจ้องมองในขณะที่แทรกซอนนิ้วเข้าไปด้านในโดยไม่ได้ถอนริมฝีปากจากจุดหวงแหนของเธอเลยสักนิด
ไม่ใช่แค่ความภูมิใจจนยอมก้มหัวให้เธอเช่นนี้ แต่เขากำลังติดใจ ลุ่มหลงในรสเสน่หาที่ได้จากเธอ ปลายลิ้นกำลังสะบัดระรัวขับไล่ความเจ็บปวดให้จางหายแล้วเร่งเร้าให้ความซ่านสยิวเข้าแทนที่ นิ้วมือที่ซอกซอนในกายสาวไม่ได้หวังให้ร่างกายเธอคุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมเพียงอย่างเดียว แต่เขารอบจัด เชี่ยวชาญมากพอที่จะกดข้อมือเร่งระรัวจนเธอหลั่งรินความชุ่มฉ่ำให้ดื่มชิม
“ทำ อะไร” เสียงเธอขาดหายเป็นห้วงๆ และอาเชอร์ก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เสียงครางกระเส่าที่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากนั่นต่างหากคือสัญญาณตอบสนองตามธรรมชาติที่เขารอคอย
เขาฉุดเธอขึ้นจากนรกและกำลังเร่งเร้าให้ลอยสูงขึ้นๆ ความเสียวซ่านที่ไม่เคยพานพบเริ่มก่อตัวแล้ววิ่งมากระจุกรวมกันอยู่ตรงกลางกายเพียงจุดเดียว แพรวาส่ายหน้าเพราะไม่อาจทานทนกับความทรมานอันหวานแหลมเช่นนี้ได้
อาเชอร์ถอนริมฝีปากแต่นิ้วมือยังสัมผัสเธออย่างสนิทชิดเชื้อ เพิ่มจังหวะให้หนักขึ้นด้วยการกระทำและคำพูด
“อย่างนั้นล่ะสวีตตี้ ใช่... ไปเลย คุณต้องรู้จักกับมัน”
คำเร่งเร้านั้นเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ แพรวาเกร็งตัวเมื่อความเสียวซ่านนั้นแตกกระจายจนสมองขาวโพลน เนื้อตัวเสียวซ่านราวกับมีกระแสไฟฟ้าสถิตแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย
“อา... สวยอะไรอย่างนี้นะ” ครางและก้มลงดื่มชิมความหวานนั้นเร็วๆ แล้วชันตัวลุกขึ้นประคองความอลังการอันรวดร้าว ปาดไล้เข้ากับความชุ่มฉ่ำก่อนจะอาศัยจังหวะที่เธอเผลอสอดประสานเข้าไปในปลอกเนื้ออันแสนรัดรึง อุ่นจัด “โอว... แม่ตัวร้าย”
ไม่ผิดหรอกหากจะพูดเช่นนั้น ถึงเธอจะไม่ได้ขัดขืนแล้วแต่ปลอกเนื้อที่เขาสวมกายอยู่จนลึกนี้ บีบกระชับทุกองคุลี ปวดร้าวจนต้องบดกรามแน่น ข่มทั้งใจข่มทั้งอารมณ์ไม่ให้เดินหน้ารวดเร็วเช่นที่ผ่านมา
“อื้อ... ดอน อาเชอร์ อย่า!” แพรวาห้ามด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เมื่อทั้งร่างกายเต็มตึงจนแทบจะปริขาด ฝ่ามือทั้งสองข้างยังสอดเข้ามากกกอดจนร่างกายแนบสนิทกันไปทุกส่วน
“ผ่อนคลายแล้วมองหน้าผม”
“ไม่... ปล่อยฉันนะ ดอนอาเชอร์” แพรวาหลับตา สะบัดหน้าไปมาต่อต้านความรู้สึกที่เขาหมุนวนสะโพก ทำให้เธอสั่นสะเทือนไปในทุกความรู้สึก
“อาเชอร์ ไม่ใช่ดอนอาเชอร์ เมียที่ไหนควรเรียกผัวอย่างนั้น”
“ไม่ใช่นะ คุณใช้กำลังบังคับฉัน” แม้ร่างกายจะเปิดเปลือยให้เขาครอบครองจนถึงแก่นแต่แพรวากลับรับความจริงในข้อนี้ไม่ได้
อาเชอร์เลิกคิ้วให้กับคนดื้อรั้น ล่าถอยออกจนห่างและกระทุ้งเข้าหาจนหลุดเสียงร้องออกมาด้วยกันทั้งคู่ “ร้องแบบนี้ใช่เมียแน่ๆ ยังจะเถียงอีกไหม”
เถียงก็ทั้งโง่ทั้งบ้า จะพูดออกได้ยังไงในเมื่อเขาทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ร้ายไปกว่านั้นเสียงซูดปากครางสลับกับถ้อยคำโจ่งครึ่มให้เธอมอบตัวยังดังขึ้นเป็นระยะๆ
ทุกอย่างดำเนินไปตามบัญชาของมาเฟียหนุ่ม เมื่อเธอเอาแต่กัดริมฝีปากล่างจนแน่นเพราะกลัวว่าจะหลุดเสียงครวญครางออกมา เขาก็มีวิธีล่อลวงให้เธอร้องขอด้วยการช้อนมือทั้งสองข้างใต้เข่า ดันหัวเข่าเกือบจะชิดกับอกนุ่ม เพื่อเปิดทางให้ได้เร่งจังหวะรักในขณะที่ก้มลงดูดดื่มทรวงอกอิ่มด้วยความหลงใหล
สาวบริสุทธิ์จะเอาอะไรไปต่อกรกับมาเฟียหนุ่มผู้เจนโลก ทุกจังหวะที่เขาจ้วงลึกย้ำเตือนให้เธอได้รับรู้ว่าพ่ายแพ้จนหมดรูป ร่างกายทุกส่วนตกอยู่ในการชักนำของเขา “อาเชอร์ อย่านะ”
“อย่าช้า ใช่ไหม” ถามพร้อมทั้งชันตัวขึ้น เกี่ยวเอาขาข้างหนึ่งพาดบนไหล่ สองมือกอดเรียวขาของเธอไว้ราวกับใช้มันเป็นหลักคุมจังหวะไม่ให้ตกหล่น
อย่าว่าแต่จัดการกับความซ่านสยิวที่เกิดขึ้นเลย แม้แต่มือไม้ทั้งสองข้างเธอยังไม่รู้ว่าจะวางไว้ที่ใด ทุกอย่างดูเกะกะเมื่อเขาไม่ได้โถมตัวลงมาทาบอย่างแนบสนิทเช่นเคย
“ต้องการผมใช่ไหม”
ต่อให้คำถามน่าอายน้อยกว่านี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ยินคำตอบหลุดออกจากปากเธอ “ขอร้องผมสิ สวีตตี้”
“ไม่ใช่สวีตตี้” ผงกศีรษะขึ้นมาตอบแล้วต้องทิ้งตัวลงเช่นเดิม แล้วต้องหลุดเสียงครวญครางแทบขาดใจ เมื่อเขาปล่อยขาลงแนบที่นอนนุ่มแล้วโถมตัวลงมาหา โจนจ้วงจนแทรกซึมอยู่ในกายเธออย่างลึกล้ำในคราวเดียวกัน
แสนหวานและเจ้าอารมณ์เป็นที่สุด ไม่ว่าเธอจะพยศสักแค่ไหนก็ถูกอกถูกใจเขาไปเสียหมด
“แล้วจะให้เรียกยังไง หืม...” แม้ภาษากายที่มอบให้จะร้อนแรงแทบทะลุองศา แต่น้ำเสียงและคำพูดกลับนุ่มนวลชนิดที่ไม่เคยใช้โทนเสียงเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“เรียก ตำรวจ ฉันจะฆ่าคุณ” แพรวาตอบไปตามจิตใต้สำนึกซึ่งเหลืออยู่อย่างน้อยนิดเต็มที
แน่นอนว่าเขาหัวเราะร่วนและตอบแทนเธอด้วยการเข้าถึงอันลึกล้ำ รวดเร็วจนเกือบหน้ามืด จุมพิตเร่าร้อนที่บดลงมาอีกครั้งจึงเต็มไปด้วยความเสน่หา บ่งบอกถึงความเสียวกระสันของเขา เรียวลิ้นบางถูกเขาหยอกเอินแล้วเปลี่ยนเป็นดูดดึง เรียกร้องให้ตอบสนองกลับอย่างเต็มอารมณ์ ทั้งยังเป็นฝ่ายถอนจุมพิตอย่างรวดเร็วเพราะกำลังจะแดดิ้นตายด้วยจังหวะรักที่สะโพกสอบกำหนด
“อา... ใจคอจะฆ่าผมตั้งแต่ได้เป็นเมียครั้งแรกเชียวรึ” หยอกเย้าและอยากปราบพยศเจืออยู่ในน้ำเสียงพร่าจัดนั้น
แม้จะไม่ได้คำตอบเพราะทุกอย่างดำเนินมาจนโลกของทั้งคู่กำลังจะแตกสลาย ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างสอดเข้ากุมหัวไหล่มน รั้งให้เธอเปิดรับทุกจังหวะการกระแทกกระทั้น
ใบหน้าของแพรวากับเขาอยู่ห่างกันแค่คืบ ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดกัน โลกของเธอกำลังพลิกกลับ ความเสียวซ่านที่อัดแน่นในร่างกายผลักดันให้ฝ่ามือที่เกาะเกี่ยวอยู่บนบ่ากว้าง เลื่อนขึ้นไปเหนี่ยวรั้งต้นคอแกร่งของเขาลงมาจูบ เมื่อจังหวะรักของเขาพาเธอลอยละลิ่วขึ้นไปคว้าเอาจุดแตกดับอันเข้มข้น
อาเชอร์ครางกระหึ่มด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บ เขาเกร็งสะโพกผลักดันตัวเองเข้าหาแอ่งเนื้ออุ่นจัดอย่างลึกล้ำ ปล่อยให้ปลอกเนื้อแสนหวานบีบกระชับ รีดเค้นหยาดอารมณ์ไว้จนล้นปรี่
“โอว... ยอดเยี่ยม วิเศษอะไรอย่างนี้”
คำพูดนั้นเอ่ยออกมาเพราะความรู้สึกชนิดใด คำถามแรกที่เกิดขึ้นกับแพรวาหลังจากที่ดื่มด่ำอยู่กับความเข้มข้นในความสัมพันธ์อันร้อนแรง ร่างกายอ่อนเปลี้ยไปด้วยพิษพิศวาส ปล่อยให้เขากกกอดพลิกตัวจนขึ้นมานอนอยู่ข้างบนทั้งที่ยังสอดประสานอยู่เช่นเดิม
“มีความสุขไหม สวีตตี้” แม้ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองนัก ทำไมต้องตั้งคำถามเช่นนั้นเมื่อปฏิกิริยาของร่างกายเธอเป็นคำตอบอันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
แพรวาไม่เหลือกระทั่งเรี่ยวแรงที่จะเบือนหน้าหนีจุมพิตซึ่งกดลงมาหนักๆตรงหน้าผาก “ปล่อย!”
แม้จะกัดฟันรวบรวมเรี่ยวแรงดิ้นหนีจากเรือนกายแกร่ง แต่แก่นกายที่ยังแทรกซึมในกายเธอกลับพองฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แพรวาจึงทำได้แค่เพียงผงกศีรษะจ้องมองเขาราวกับจะฉีกทึ้งเนื้อหนังออกเป็นชิ้นๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะร่วนนั้น
“มันช้าไปแล้วที่จะทำท่ารังเกียจ แล้วควรจะแนะนำตัวเองให้ผมได้รู้จักดีกว่า ไม่อย่างนั้นมีรอบสองแน่ๆ” ไม่พูดเปล่าแต่ฝ่ามือหนายังเลื่อนไปกดบั้นเอวคอดลงในจังหวะเดียวกันกับแอ่นสะโพกสอบขึ้น
ทั้งข่มขู่ บังคับ ขืนใจ เอาเปรียบเธอทุกอย่างแล้วยังทำหน้าตาอิ่มเอมเปรมสุข ไอ้มาเฟียชั่ว!
ถึงแม้ว่าจะทำได้แค่เพียงคิดในใจแต่แววตาและสีหน้าที่มองเขานั้นยังถือดีไม่มีวันสิ้นสุด “แปลว่ายังมีแรงเหลือ งั้น...”
“แพร แพรวา” กระแทกเสียงตอบอย่างเสียมิได้ หลายชั่วโมงที่ผ่านมาบอกให้เธอได้รู้แล้วว่าไม่ควรจะถือดีกับเขาให้มาก หากไม่อยากให้เรื่องราวเช่นเมื่อครู่เกิดขึ้นซ้ำสอง “ปล่อยฉันไปสิ คุณได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว”
แม้คำพูดและแววตาจะเข้มแข็งสักเพียงใด แต่น้ำเสียงที่พูดออกไปนั้นสั่นเครือเกินกว่าจะควบคุม รู้สึกได้ว่าหัวตาร้อนผ่าว น้ำใสๆ เอ่อล้นเต็มสองตา
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นที่กำลังควบคุมความรู้สึกตัวเองอย่างหนัก มาเฟียหนุ่มผู้ไม่เคยตกหลุมพรางท่าทางเศร้าสร้อยของผู้หญิงก็ไม่อาจทนเห็นน้ำตาของเธออีกเป็นครั้งที่สอง เขาพลิกตัวนอนตะแคง สอดฝ่ามือเข้าไปเคล้นคลึงจุดศูนย์รวมความรู้สึกกลางกายสาว ก่อนจะล่าถอยออกมาจนสุด
“ไอ้...”
“เงียบ” ดุดันและวางอำนาจ ในขณะที่ดึงเธอเข้าไปตระกองกอดอยู่แนบอก วินาทีนี้ต่างหากที่ทำให้เขารู้ซึ้งว่านรกในใจนั้นมันทรมานเช่นไร
น้ำตาร้อนๆ เปรอะเปื้อนอยู่กลางแผงอก เธอไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะถูกรัดล้อมเอาไว้ทั้งตัว อ้อมแขนและท่อนขาแข็งแรงกกกอดเธอไว้อย่างแนบสนิทไม่ต่างจากหมอนข้าง
“ถ้าได้ยินเสียงและขยับตัวอีกนิดเดียวล่ะก็ อย่าหาว่าใจร้าย” เรื่องบังคับข่มขู่ อาเชอร์ถนัดนักล่ะ แต่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากสบสายตาฝ่ายตรงกันข้าม รู้ว่าเธอกำลังร้องไห้และน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายกำลังประณามเขาว่าเป็นไอ้มาเฟียชั่ว เอารัดเอาเปรียบคนที่มีกำลังด้อยกว่า
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือร้องไห้เงียบๆ อยู่กับแผงอกกว้างของคนที่มอบความอัปยศให้เธอ มีประโยชน์อะไรที่จะช่วงชิงเอาความภูมิใจของเธอไปแล้วขู่บังคับให้อยู่ในอ้อมกอดเช่นนี้ ยิ่งดิ้นอ้อมแขนยิ่งรัดแน่นขึ้น ยิ่งร้องไห้เขายิ่งทำเสียงในลำคออย่างรำคาญใจ
หากไม่ปรามเธอให้อยู่ในความสงบ เขาต้องพ่ายแพ้ใจอ่อนลุกขึ้นมาปลอบโยนเธอเป็นแน่ “บอกว่าให้เงียบ หรือจะลองดี...”
“ก็คนหายใจไม่ออกจะให้อยู่นิ่งได้ยังไง” โต้กลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่บ่งบอกว่าเธอกำลังร้องไห้ หากเขาไม่คลายอ้อมแขนออกเล็กน้อยแพรวาคงต้องขาดใจตายด้วยความอึดอัด
เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่... แน่นอนว่าเธอร้องไห้จนหลับและเขาก็คลายอ้อมแขนออกให้เธอได้พักผ่อนด้วยท่าทางที่สบายกว่าเดิม จนสามารถนอนตะแคงเพ่งพิศใบหน้างดงาม ซึ่งปลายจมูกยังเป็นสีระเรื่อเช่นคนที่ผ่านการร้องไห้มาไม่นาน
อาเชอร์ผ่อนลมหายใจหนักๆ ออกมา เบือนหน้าหนีจากคนที่ทำให้เกิดความสงสารขึ้นมาจับหัวใจ แม้จะมีความสุขจนเหลือล้น เกิดความภูมิใจหนักหนากับการได้เป็นชายคนแรกของเธอ แต่การได้เธอมาครองนั้นไม่ได้ทำให้เขาหมดความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเกือบสองเดือน
ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อเธอนั้นจะเลิศเลอ แสนวิเศษ แต่นั่นตรงข้ามกับความรู้สึกของเธอนักแล้วเขาจะต้องทำเช่นไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเธออีกครั้ง
...เอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วใช้วิธีที่ถนัด จองจำให้เธออยู่ข้างกายอย่างนั้นหรือ?
“มะ...ไม่” แพรวาส่ายหน้าอย่างหมดรูป เธอกำลังสิ้นหนทางพ่ายแพ้ต่อเขา เหลือเพียงแค่คำพูดเท่านั้นที่ยังสามารถใช้ประท้วง เรียกร้องความตั้งใจของตนเอง “คุณต้อง เสียใจที่ทำกับฉัน แบบนี้”
อาเชอร์ผงกศีรษะจ้องมองใบหน้างดงามที่แดงก่ำไปด้วยฤทธิ์พิศวาส น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นพูดแทบจะไม่เป็นประโยค แล้วความชุ่มชื้นที่ปลายนิ้วเขาสัมผัสได้นี้เธอจะปฏิเสธไปเพื่ออะไร
“คุณต่างหากที่ต้องเสียใจ ถ้าผมจะทิ้งไปตอนนี้” ไม่ได้ร้ายกาจแค่คำพูดแต่ปลายนิ้วยังเร่งจังหวะจนเจ้าตัวต้องหนีบขาเข้าหากัน “ไม่เอาน่า... คุณรู้สึกได้เองถึงความต้องการของร่างกายแล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องทำท่าเหมือนสาวบริสุทธิ์เพราะผมไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนั้น”
อา... เขาไม่เคยใส่ใจจริงๆ แต่ตอนนี้อยากเสพภาพความงดงามเย้ายวนใจ พูดได้เต็มปากว่าเขากำลังอิจฉากระทั่งฝ่ามือและปลายนิ้วของตัวเอง!
แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยให้ความอิจฉานั้นเกิดขึ้นนานนัก เพียงแค่เบี่ยงตัวออกจากเธอเล็กน้อยเกี่ยวเอาแพนตี้ตัวบางให้พ้นทาง ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ขนอ่อนในกายเขาลุกชัน
“ฉันกำลังบอกคุณว่าฉันมีสามี มีลูกแล้วน่ะสิ คุณกำลังทำลายชีวิตครอบครัวของฉัน” แพรวารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ ตะโกนเหตุผลที่คิดว่ามีโอกาสจะได้รับอิสรภาพคืนมามากที่สุดใส่หน้าเขา
อาเชอร์มองเธอด้วยสายตาชนิดหนึ่ง ที่หญิงสาวไม่อาจคาดเดา มันเป็นสายตาของความหึงหวง อิจฉา เมื่อคิดว่ามีผู้ชายอื่นมีโอกาสได้เห็นและสัมผัสเธอแบบเขา
“ไว้ผมจะชดใช้ให้ทีหลัง...” พูดจบเขาก็ก้มลงบดจุมพิตร้อนรุ่มลงบนริมฝีปากอิ่มที่กำลังเผยอโต้เถียง มืออีกข้างประคองแก่นกายอันฮึกเหิมเสือกไสเข้าหาเธอในจังหวะเดียวจนหมดมิด
กรี๊ด...
เสียงหวีดร้องแห่งความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาหูดับไปชั่วขณะ แม้เธอจะพรักพร้อมแต่เขากลับขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด ความอึดอัดจนแทบขาดใจเช่นนี้สินะคือสิ่งที่ได้รับจากสาวพรหมจรรย์
เธอกำลังถูกแยกร่างออกเป็นสองส่วน เมื่อปล่อยให้ความเจ็บปวดแทรกซึมทุกอณูความรู้สึกแล้วจึงไม่ต่างอะไรหากหลังจากนั้นเธอคิดว่าร่างกายกำลังแหลกละเอียดด้วยความอัปยศที่เขาหยิบยื่นให้ ไร้ซึ่งความปรานี ปราศจากซึ่งความชอบธรรม
เหมือนเวลารอบตัวของคนทั้งคู่หยุดชะงักไปชั่วขณะ ในขณะที่เธอเริ่มยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาเท่านั้นกำลังประณามการกระทำของเขา
“ให้ตายเถอะ! จะโกหกให้มันได้อะไรขึ้นมา”
มาเฟียหนุ่มรีบถอยห่างจากแอ่งเนื้ออันรัดรึง ร่องรอยที่เพิ่งทำลายสาวพรหมจรรย์ปรากฏแก่สายตาจนเขาต้องส่ายหน้าให้กับความโง่เง่าของตัวเอง ในขณะที่จัดการลอกคอนดอมออกจากความอลังการซึ่งไม่ได้ลดความฮึกเหิมลงไปสักองคุลี
หากแพรวาไม่เอาแต่ปิดหน้าปิดตาร้องไห้ คงได้เห็นและพอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร ทว่าตอนนี้เธอกำลังอาดูรในสิ่งที่หวงแหนจนลืมไปว่าร่างกายทุกส่วนกำลังขยับตามฝ่ามือหนาอย่างง่ายดาย
ความสงสารเกิดขึ้นเพราะได้ยินเสียงสะอื้นไห้ แต่ความภูมิใจที่ได้ครอบครองเรือนร่างอรชรนี้เป็นคนแรกกลับมีมากจนทำให้หัวใจแกร่งพองฟู แม้ไม่อยากเชื่อตัวเองว่าจะเกิดความคิด ความรู้สึกเช่นนี้แต่เขากลับหาเหตุผลไม่ได้ เมื่อฝ่ามือทั้งสองข้างรั้งเรียวขาคู่งามขึ้นพาดไว้บนบ่า
ความงดงามของอิสตรีไม่ต่างจากดอกกุหลาบซึ่งเรียงตัวซ้อนกันเป็นชั้นๆ นำพาความคิดและความรู้สึกของเขาล่องลอยไปไกลจนแทบจะไม่เชื่อตัวเอง
...อย่าว่าแต่การซุกหน้าอยู่กับหว่างขาของเธอเลย ควรจะปลิดลมหายใจเขาเสียด้วยซ้ำหากไม่คิดจะลิ้มลองความหวานจากกุหลาบงามนี้
“อื้อ... ไม่นะ” ช้าไปอยู่หลายนาทีนักกับคำห้ามปราม มีบางอย่างซึ่งให้ความรู้สึกแสนวิเศษกำลังปลอบประโลม ขับไล่ความเจ็บปวดให้เลือนหาย
แพรวาไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน ทว่าตอนนี้เธอรู้สึกว่าได้อยู่ห่างไกลกับความเจ็บปวดนัก ความเสียวซ่านกลับเพิ่มระดับจนต้องชันตัวขึ้นมองยังจุดเริ่มต้นของความรู้สึกทั้งมวล
ศีรษะได้รูปปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลของเขากำลังซุกอยู่กลางกายเธอ ความจริงในข้อนี้ทำให้แพรวาต้องกัดฟันแน่น สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น ยิ่งเขาเหลือบสายตาขึ้นจ้องมองในขณะที่แทรกซอนนิ้วเข้าไปด้านในโดยไม่ได้ถอนริมฝีปากจากจุดหวงแหนของเธอเลยสักนิด
ไม่ใช่แค่ความภูมิใจจนยอมก้มหัวให้เธอเช่นนี้ แต่เขากำลังติดใจ ลุ่มหลงในรสเสน่หาที่ได้จากเธอ ปลายลิ้นกำลังสะบัดระรัวขับไล่ความเจ็บปวดให้จางหายแล้วเร่งเร้าให้ความซ่านสยิวเข้าแทนที่ นิ้วมือที่ซอกซอนในกายสาวไม่ได้หวังให้ร่างกายเธอคุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมเพียงอย่างเดียว แต่เขารอบจัด เชี่ยวชาญมากพอที่จะกดข้อมือเร่งระรัวจนเธอหลั่งรินความชุ่มฉ่ำให้ดื่มชิม
“ทำ อะไร” เสียงเธอขาดหายเป็นห้วงๆ และอาเชอร์ก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เสียงครางกระเส่าที่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากนั่นต่างหากคือสัญญาณตอบสนองตามธรรมชาติที่เขารอคอย
เขาฉุดเธอขึ้นจากนรกและกำลังเร่งเร้าให้ลอยสูงขึ้นๆ ความเสียวซ่านที่ไม่เคยพานพบเริ่มก่อตัวแล้ววิ่งมากระจุกรวมกันอยู่ตรงกลางกายเพียงจุดเดียว แพรวาส่ายหน้าเพราะไม่อาจทานทนกับความทรมานอันหวานแหลมเช่นนี้ได้
อาเชอร์ถอนริมฝีปากแต่นิ้วมือยังสัมผัสเธออย่างสนิทชิดเชื้อ เพิ่มจังหวะให้หนักขึ้นด้วยการกระทำและคำพูด
“อย่างนั้นล่ะสวีตตี้ ใช่... ไปเลย คุณต้องรู้จักกับมัน”
คำเร่งเร้านั้นเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ แพรวาเกร็งตัวเมื่อความเสียวซ่านนั้นแตกกระจายจนสมองขาวโพลน เนื้อตัวเสียวซ่านราวกับมีกระแสไฟฟ้าสถิตแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย
“อา... สวยอะไรอย่างนี้นะ” ครางและก้มลงดื่มชิมความหวานนั้นเร็วๆ แล้วชันตัวลุกขึ้นประคองความอลังการอันรวดร้าว ปาดไล้เข้ากับความชุ่มฉ่ำก่อนจะอาศัยจังหวะที่เธอเผลอสอดประสานเข้าไปในปลอกเนื้ออันแสนรัดรึง อุ่นจัด “โอว... แม่ตัวร้าย”
ไม่ผิดหรอกหากจะพูดเช่นนั้น ถึงเธอจะไม่ได้ขัดขืนแล้วแต่ปลอกเนื้อที่เขาสวมกายอยู่จนลึกนี้ บีบกระชับทุกองคุลี ปวดร้าวจนต้องบดกรามแน่น ข่มทั้งใจข่มทั้งอารมณ์ไม่ให้เดินหน้ารวดเร็วเช่นที่ผ่านมา
“อื้อ... ดอน อาเชอร์ อย่า!” แพรวาห้ามด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เมื่อทั้งร่างกายเต็มตึงจนแทบจะปริขาด ฝ่ามือทั้งสองข้างยังสอดเข้ามากกกอดจนร่างกายแนบสนิทกันไปทุกส่วน
“ผ่อนคลายแล้วมองหน้าผม”
“ไม่... ปล่อยฉันนะ ดอนอาเชอร์” แพรวาหลับตา สะบัดหน้าไปมาต่อต้านความรู้สึกที่เขาหมุนวนสะโพก ทำให้เธอสั่นสะเทือนไปในทุกความรู้สึก
“อาเชอร์ ไม่ใช่ดอนอาเชอร์ เมียที่ไหนควรเรียกผัวอย่างนั้น”
“ไม่ใช่นะ คุณใช้กำลังบังคับฉัน” แม้ร่างกายจะเปิดเปลือยให้เขาครอบครองจนถึงแก่นแต่แพรวากลับรับความจริงในข้อนี้ไม่ได้
อาเชอร์เลิกคิ้วให้กับคนดื้อรั้น ล่าถอยออกจนห่างและกระทุ้งเข้าหาจนหลุดเสียงร้องออกมาด้วยกันทั้งคู่ “ร้องแบบนี้ใช่เมียแน่ๆ ยังจะเถียงอีกไหม”
เถียงก็ทั้งโง่ทั้งบ้า จะพูดออกได้ยังไงในเมื่อเขาทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ร้ายไปกว่านั้นเสียงซูดปากครางสลับกับถ้อยคำโจ่งครึ่มให้เธอมอบตัวยังดังขึ้นเป็นระยะๆ
ทุกอย่างดำเนินไปตามบัญชาของมาเฟียหนุ่ม เมื่อเธอเอาแต่กัดริมฝีปากล่างจนแน่นเพราะกลัวว่าจะหลุดเสียงครวญครางออกมา เขาก็มีวิธีล่อลวงให้เธอร้องขอด้วยการช้อนมือทั้งสองข้างใต้เข่า ดันหัวเข่าเกือบจะชิดกับอกนุ่ม เพื่อเปิดทางให้ได้เร่งจังหวะรักในขณะที่ก้มลงดูดดื่มทรวงอกอิ่มด้วยความหลงใหล
สาวบริสุทธิ์จะเอาอะไรไปต่อกรกับมาเฟียหนุ่มผู้เจนโลก ทุกจังหวะที่เขาจ้วงลึกย้ำเตือนให้เธอได้รับรู้ว่าพ่ายแพ้จนหมดรูป ร่างกายทุกส่วนตกอยู่ในการชักนำของเขา “อาเชอร์ อย่านะ”
“อย่าช้า ใช่ไหม” ถามพร้อมทั้งชันตัวขึ้น เกี่ยวเอาขาข้างหนึ่งพาดบนไหล่ สองมือกอดเรียวขาของเธอไว้ราวกับใช้มันเป็นหลักคุมจังหวะไม่ให้ตกหล่น
อย่าว่าแต่จัดการกับความซ่านสยิวที่เกิดขึ้นเลย แม้แต่มือไม้ทั้งสองข้างเธอยังไม่รู้ว่าจะวางไว้ที่ใด ทุกอย่างดูเกะกะเมื่อเขาไม่ได้โถมตัวลงมาทาบอย่างแนบสนิทเช่นเคย
“ต้องการผมใช่ไหม”
ต่อให้คำถามน่าอายน้อยกว่านี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ยินคำตอบหลุดออกจากปากเธอ “ขอร้องผมสิ สวีตตี้”
“ไม่ใช่สวีตตี้” ผงกศีรษะขึ้นมาตอบแล้วต้องทิ้งตัวลงเช่นเดิม แล้วต้องหลุดเสียงครวญครางแทบขาดใจ เมื่อเขาปล่อยขาลงแนบที่นอนนุ่มแล้วโถมตัวลงมาหา โจนจ้วงจนแทรกซึมอยู่ในกายเธออย่างลึกล้ำในคราวเดียวกัน
แสนหวานและเจ้าอารมณ์เป็นที่สุด ไม่ว่าเธอจะพยศสักแค่ไหนก็ถูกอกถูกใจเขาไปเสียหมด
“แล้วจะให้เรียกยังไง หืม...” แม้ภาษากายที่มอบให้จะร้อนแรงแทบทะลุองศา แต่น้ำเสียงและคำพูดกลับนุ่มนวลชนิดที่ไม่เคยใช้โทนเสียงเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“เรียก ตำรวจ ฉันจะฆ่าคุณ” แพรวาตอบไปตามจิตใต้สำนึกซึ่งเหลืออยู่อย่างน้อยนิดเต็มที
แน่นอนว่าเขาหัวเราะร่วนและตอบแทนเธอด้วยการเข้าถึงอันลึกล้ำ รวดเร็วจนเกือบหน้ามืด จุมพิตเร่าร้อนที่บดลงมาอีกครั้งจึงเต็มไปด้วยความเสน่หา บ่งบอกถึงความเสียวกระสันของเขา เรียวลิ้นบางถูกเขาหยอกเอินแล้วเปลี่ยนเป็นดูดดึง เรียกร้องให้ตอบสนองกลับอย่างเต็มอารมณ์ ทั้งยังเป็นฝ่ายถอนจุมพิตอย่างรวดเร็วเพราะกำลังจะแดดิ้นตายด้วยจังหวะรักที่สะโพกสอบกำหนด
“อา... ใจคอจะฆ่าผมตั้งแต่ได้เป็นเมียครั้งแรกเชียวรึ” หยอกเย้าและอยากปราบพยศเจืออยู่ในน้ำเสียงพร่าจัดนั้น
แม้จะไม่ได้คำตอบเพราะทุกอย่างดำเนินมาจนโลกของทั้งคู่กำลังจะแตกสลาย ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างสอดเข้ากุมหัวไหล่มน รั้งให้เธอเปิดรับทุกจังหวะการกระแทกกระทั้น
ใบหน้าของแพรวากับเขาอยู่ห่างกันแค่คืบ ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดกัน โลกของเธอกำลังพลิกกลับ ความเสียวซ่านที่อัดแน่นในร่างกายผลักดันให้ฝ่ามือที่เกาะเกี่ยวอยู่บนบ่ากว้าง เลื่อนขึ้นไปเหนี่ยวรั้งต้นคอแกร่งของเขาลงมาจูบ เมื่อจังหวะรักของเขาพาเธอลอยละลิ่วขึ้นไปคว้าเอาจุดแตกดับอันเข้มข้น
อาเชอร์ครางกระหึ่มด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บ เขาเกร็งสะโพกผลักดันตัวเองเข้าหาแอ่งเนื้ออุ่นจัดอย่างลึกล้ำ ปล่อยให้ปลอกเนื้อแสนหวานบีบกระชับ รีดเค้นหยาดอารมณ์ไว้จนล้นปรี่
“โอว... ยอดเยี่ยม วิเศษอะไรอย่างนี้”
คำพูดนั้นเอ่ยออกมาเพราะความรู้สึกชนิดใด คำถามแรกที่เกิดขึ้นกับแพรวาหลังจากที่ดื่มด่ำอยู่กับความเข้มข้นในความสัมพันธ์อันร้อนแรง ร่างกายอ่อนเปลี้ยไปด้วยพิษพิศวาส ปล่อยให้เขากกกอดพลิกตัวจนขึ้นมานอนอยู่ข้างบนทั้งที่ยังสอดประสานอยู่เช่นเดิม
“มีความสุขไหม สวีตตี้” แม้ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองนัก ทำไมต้องตั้งคำถามเช่นนั้นเมื่อปฏิกิริยาของร่างกายเธอเป็นคำตอบอันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
แพรวาไม่เหลือกระทั่งเรี่ยวแรงที่จะเบือนหน้าหนีจุมพิตซึ่งกดลงมาหนักๆตรงหน้าผาก “ปล่อย!”
แม้จะกัดฟันรวบรวมเรี่ยวแรงดิ้นหนีจากเรือนกายแกร่ง แต่แก่นกายที่ยังแทรกซึมในกายเธอกลับพองฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แพรวาจึงทำได้แค่เพียงผงกศีรษะจ้องมองเขาราวกับจะฉีกทึ้งเนื้อหนังออกเป็นชิ้นๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะร่วนนั้น
“มันช้าไปแล้วที่จะทำท่ารังเกียจ แล้วควรจะแนะนำตัวเองให้ผมได้รู้จักดีกว่า ไม่อย่างนั้นมีรอบสองแน่ๆ” ไม่พูดเปล่าแต่ฝ่ามือหนายังเลื่อนไปกดบั้นเอวคอดลงในจังหวะเดียวกันกับแอ่นสะโพกสอบขึ้น
ทั้งข่มขู่ บังคับ ขืนใจ เอาเปรียบเธอทุกอย่างแล้วยังทำหน้าตาอิ่มเอมเปรมสุข ไอ้มาเฟียชั่ว!
ถึงแม้ว่าจะทำได้แค่เพียงคิดในใจแต่แววตาและสีหน้าที่มองเขานั้นยังถือดีไม่มีวันสิ้นสุด “แปลว่ายังมีแรงเหลือ งั้น...”
“แพร แพรวา” กระแทกเสียงตอบอย่างเสียมิได้ หลายชั่วโมงที่ผ่านมาบอกให้เธอได้รู้แล้วว่าไม่ควรจะถือดีกับเขาให้มาก หากไม่อยากให้เรื่องราวเช่นเมื่อครู่เกิดขึ้นซ้ำสอง “ปล่อยฉันไปสิ คุณได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว”
แม้คำพูดและแววตาจะเข้มแข็งสักเพียงใด แต่น้ำเสียงที่พูดออกไปนั้นสั่นเครือเกินกว่าจะควบคุม รู้สึกได้ว่าหัวตาร้อนผ่าว น้ำใสๆ เอ่อล้นเต็มสองตา
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นที่กำลังควบคุมความรู้สึกตัวเองอย่างหนัก มาเฟียหนุ่มผู้ไม่เคยตกหลุมพรางท่าทางเศร้าสร้อยของผู้หญิงก็ไม่อาจทนเห็นน้ำตาของเธออีกเป็นครั้งที่สอง เขาพลิกตัวนอนตะแคง สอดฝ่ามือเข้าไปเคล้นคลึงจุดศูนย์รวมความรู้สึกกลางกายสาว ก่อนจะล่าถอยออกมาจนสุด
“ไอ้...”
“เงียบ” ดุดันและวางอำนาจ ในขณะที่ดึงเธอเข้าไปตระกองกอดอยู่แนบอก วินาทีนี้ต่างหากที่ทำให้เขารู้ซึ้งว่านรกในใจนั้นมันทรมานเช่นไร
น้ำตาร้อนๆ เปรอะเปื้อนอยู่กลางแผงอก เธอไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะถูกรัดล้อมเอาไว้ทั้งตัว อ้อมแขนและท่อนขาแข็งแรงกกกอดเธอไว้อย่างแนบสนิทไม่ต่างจากหมอนข้าง
“ถ้าได้ยินเสียงและขยับตัวอีกนิดเดียวล่ะก็ อย่าหาว่าใจร้าย” เรื่องบังคับข่มขู่ อาเชอร์ถนัดนักล่ะ แต่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากสบสายตาฝ่ายตรงกันข้าม รู้ว่าเธอกำลังร้องไห้และน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายกำลังประณามเขาว่าเป็นไอ้มาเฟียชั่ว เอารัดเอาเปรียบคนที่มีกำลังด้อยกว่า
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือร้องไห้เงียบๆ อยู่กับแผงอกกว้างของคนที่มอบความอัปยศให้เธอ มีประโยชน์อะไรที่จะช่วงชิงเอาความภูมิใจของเธอไปแล้วขู่บังคับให้อยู่ในอ้อมกอดเช่นนี้ ยิ่งดิ้นอ้อมแขนยิ่งรัดแน่นขึ้น ยิ่งร้องไห้เขายิ่งทำเสียงในลำคออย่างรำคาญใจ
หากไม่ปรามเธอให้อยู่ในความสงบ เขาต้องพ่ายแพ้ใจอ่อนลุกขึ้นมาปลอบโยนเธอเป็นแน่ “บอกว่าให้เงียบ หรือจะลองดี...”
“ก็คนหายใจไม่ออกจะให้อยู่นิ่งได้ยังไง” โต้กลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่บ่งบอกว่าเธอกำลังร้องไห้ หากเขาไม่คลายอ้อมแขนออกเล็กน้อยแพรวาคงต้องขาดใจตายด้วยความอึดอัด
เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่... แน่นอนว่าเธอร้องไห้จนหลับและเขาก็คลายอ้อมแขนออกให้เธอได้พักผ่อนด้วยท่าทางที่สบายกว่าเดิม จนสามารถนอนตะแคงเพ่งพิศใบหน้างดงาม ซึ่งปลายจมูกยังเป็นสีระเรื่อเช่นคนที่ผ่านการร้องไห้มาไม่นาน
อาเชอร์ผ่อนลมหายใจหนักๆ ออกมา เบือนหน้าหนีจากคนที่ทำให้เกิดความสงสารขึ้นมาจับหัวใจ แม้จะมีความสุขจนเหลือล้น เกิดความภูมิใจหนักหนากับการได้เป็นชายคนแรกของเธอ แต่การได้เธอมาครองนั้นไม่ได้ทำให้เขาหมดความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเกือบสองเดือน
ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อเธอนั้นจะเลิศเลอ แสนวิเศษ แต่นั่นตรงข้ามกับความรู้สึกของเธอนักแล้วเขาจะต้องทำเช่นไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเธออีกครั้ง
...เอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วใช้วิธีที่ถนัด จองจำให้เธออยู่ข้างกายอย่างนั้นหรือ?
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ส.ค. 2559, 11:44:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ส.ค. 2559, 11:44:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 1287
<< ตอนที่ 3 50% | ตอนที่ 4 50% >> |
แว่นใส 28 ส.ค. 2559, 15:15:04 น.
จะฝ่าด่านในใจได้ยังไง
จะฝ่าด่านในใจได้ยังไง