โซ่รักสีรุ้ง
"เด็กคนนั้น...เป็นลูกใคร" ห้าปีผ่านมา เธอคิดว่าชินชากับความเจ็บปวดแล้ว แต่ความจริงความรู้สึกนั้นเพียงแต่ตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจรอเวลาที่ใครสักคนจะกวนตะกอนนั้นขึ้นมา ให้เจ็บรวดร้าวยอกแสลงไปทั้งหัวใจ
Tags: ศศิภา,อรุณฉาย,ท้อง,หย่า,หนี,แต่งงาน,ศศิอักษร

ตอน: บทที่ ๒.๑ - จุดเริ่มต้นของกับดัก







บริสุทธิ์ ใสซื่อ อ่อนต่อโลก...

คือคำจำกัดความที่พนมกรมีให้ผู้หญิงที่เต้นรำกับเขาอยู่ในเวลานี้

เธอไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากรายงานที่เขาได้รับสักเท่าไร

‘นางสาวสายรุ้ง นาฏยรัตน์ ลูกสาวคนเล็กของคุณดิลก นาฏยรัตน์ อายุ 20 ปี เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2536 กำลังศึกษาอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ มีเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งคน เรียนอยู่คณะเดียวกันชื่อเมวลิน ไม่สนิทกับเพื่อนผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษ นิสัยเรียบร้อย ขี้อาย หัวอ่อน ไม่สู้คน...’

ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เธอดูสงบเสงี่ยม ค่อนข้างขี้อาย สังเกตได้จากดวงตากลมโตคู่นั้นแทบจะไม่มองสบเขาเลย จะเหลือบขึ้นมาสบก็เฉพาะตอนตอบคำถามเท่านั้น

ดวงตาของเธอดำขลับ ไม่ดุดันเกรี้ยวกราด และมักจะทอดมองคนอื่นๆอย่างมีเมตตา เขายอมรับ...ดวงตาของเธอสวย มันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความอ่อนโยนและดื้อรั้น เธออาจจะดื้อเงียบ แต่ก็ไม่คณามือเขาหรอก

ผิวของเธอขาวเนียนออกชมพูเล็กน้อย ต่างไปจากในรูปที่เขาเคยเห็น ตอนแรกเขาวาดภาพไว้ว่าเธอน่าจะขาวซีดราวกระดาษจนดูจืดชืดไปเลย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เธอดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ชุดที่เลือก เหมาะกับเธอดี แต่น่าเสียดาย มันทำให้เธอกลืนไปกับผู้คนจนแทบไร้ตัวตน

ผมดำขลับยาวประบ่าที่ไม่ได้ตกแต่งใดๆ เพียงแต่ไดร์หรือหนีบให้มันตรงสลวย แล้วประดับด้วยที่คาดผมนั้น...ดูเด็กเกินไป ทั้งๆที่เธอก็ยี่สิบแล้ว แต่ยังแต่งตัวราวกับเด็กสิบห้าก็ไม่ปาน สาวๆที่เขารู้จักสมัยนี้ พอเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่หันมาแต่งตัวเซ็กซี่เปิดนู่นเปิดนี่กันเกือบหมดแล้ว สายรุ้งคงเป็นส่วนน้อยที่ไม่ชอบอวดเรือนกายของตนเองให้หนุ่มๆสนใจ

มือของเธอเล็ก เย็นเฉียบ...บอกชัดว่าประหม่า

ผิวของเธอนุ่มเนียนน่าลูบไล้ แม้จะชื้นเหงื่อไปบ้าง แต่เขาก็ยังเพลิดเพลินกับการได้จับมัน

เอวของเธอไม่คอดเล็กอย่างนางแบบหรือดารา เทียบกับสาวเดบูตองส์คนอื่น น่าจะใหญ่กว่าเล็กน้อย

ส่วนสูงที่เขาได้รับรายงานมา...155 cm วาดภาพไว้แล้วว่าเธอต้องเตี้ยมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเตี้ยขนาดนี้ ตอนนี้เขาเหมือนกำลังเต้นกับเด็กสิบอายุสิบห้าอย่างไรอย่างนั้น

พนมกรเก็บเสียงหัวเราะอย่างขบขันกึ่งเอ็นดูของตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ สูดลมหายใจลึก และเอ่ยถามอย่างปรานี

“ถ้าเบื่อเมื่อไรก็บอกผมนะ ผมจะได้พาคุณออกไป”

“ออกไปได้เหรอคะ? ไม่ต้องเต้นจนจบเพลงเหรอคะ?”

“ไม่ต้องหรอก เขาไม่ได้บังคับนี่นา” ชายหนุ่มเอียงคอมองเธอ ก่อนเอ่ยอย่างรู้ทัน “แสดงว่าอยากออกไปแล้ว”

“ก็...” สายรุ้งกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนยิ้มแหยๆ ไม่อยากยอมรับกับเขาเลยว่าเธออึดอัดกับงานนี้มากขนาดไหน แต่เธอก็ไม่อยากโกหกเช่นนั้น จึงตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “นิดหน่อยค่ะ รุ้งชักเมื่อยแล้ว” เธอยิ้มแหยๆก่อนสำทับไปว่า “อยากดื่มน้ำด้วยค่ะ”

“งั้นไปครับ”

เวลานั้น แขกคนอื่นๆเริ่มจับคู่มาเต้นรำกันหลายคู่แล้ว จึงเป็นโอกาสให้พนมกรพาสายรุ้งแยกตัวออกมาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เขาจับจูงมือเธอไม่ยอมปล่อย...ใช่ว่าเขาไม่ตั้งใจ แต่มันคือตั้งใจที่ยิ่งกว่าตั้งใจอีก

มือเล็กๆคู่นี้เขาจะจับยึดไว้ไม่ยอมปล่อย...ไม่มีวันปล่อยจนกว่าเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการ!

มือใหญ่กระชับมือเล็ก สอดประสานอย่าสนิทแนบ ทำให้เธอคลายความประหม่า คลายความวิตกกังวล และเหนืออื่นใด...เขาหวังว่าเธอจะรับเขาเป็นเพื่อน เมื่อไรก็ตามที่เธอยอมรับ เมื่อนั้นบันไดแห่งความสำเร็จก็มาจดจ่ออยู่ตรงปลายเท้าของเขาแล้ว!

พนมกรฉวยพันซ์แก้วหนึ่งเมื่อบริกรหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านมา แล้วจับจูงมือสายรุ้งเดินลัดเลาะออกทางด้านหลังของโรงแรม ผ่านทางเดินอิฐซึ่งทอดตัวสู่สวนหย่อมขนาดใหญ่ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ และอวลกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ สนามหญ้าเขียงชอุ่มชุ่มน้ำค้าง พื้นดินค่อนข้างเฉอะแฉะราวกับคนสวนเพิ่งรดน้ำต้นไม้เสร็จ สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใส่รองเท้าส้นสูงอย่างเธอ พอเหยียบย่ำลงบนผืนหญ้า ข้อเท้าก็พลิกเกือบจะล้มอย่างหมดท่า แต่พนมกรไวมากพอจึงช่วยพยุงเธอไว้ได้ทัน

จริงๆแค่จับตัวเธอไว้ก็พอแล้ว แต่เพราะเป้าหมายของเขามันมากกว่านั้น ร่างเล็กๆของเธอจึงเซถลาเข้ามาซบบนอกของเขา โดยมีสองแขนของเขาตระกองกอดไว้อย่างแนบแน่น

กลิ่นกายของเธอไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่สาวส่วนใหญ่ฉีดพรมจนต้องเบือนหน้าหนี

ไม่ใช่กลิ่นเย้ายวนชวนให้นึกถึงภาพขาขาวๆ อกอิ่มๆ หรือกลีบปากที่เคลือบด้วยลิมสติกสีแดงสด

แต่เขากลับนึกถึงดวงตาใสซื่อ รอยยิ้มสดใส และแก้มยุ้ยๆแดงระเรื่อ

...เป็นความรู้สึกประหลาดที่เขาไม่รู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน

“ขะ...ขอบคุณค่ะ”

อ้อมกอดของเขาอาจจะไม่อุ่นพอหรือไม่ก็ร้อนเกินไป เธอจึงรีบผละออกห่างโดยเร็ว ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะทำเป็นเอนซบอยู่เช่นนั้นให้นานเท่าที่จะนานได้ หรืออาจจะให้ท่าแล้วไปจบกันที่เตียงในห้องนอนของใครสักคน

“แล้วก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ”

“หืม? ขอโทษเรื่องอะไรครับ?”

“ก็ที่ฉัน...ที่ฉันกอดคุณเมื่อกี้ไงคะ”

เธอพูดผิด...เป็นเขาต่างหากที่กอดเธอ ไม่ใช่เธอกอดเขา

และ...เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษเขาด้วยซ้ำ

พนมกรมองแก้มอันแดงปลั่งของเธอด้วยแววตาเอ็นดูกึ่งขบขัน

“คุณไม่ได้กอดผมนะครับรุ้ง” เขาพูดเจือเสียงหัวเราะ มือยังกุมมือไม่ยอมปล่อย “ผมต่างหากที่กอดคุณ”

มือของเธอขยับยุกยิก คงอยากจะให้เขาปล่อยเต็มทีแล้ว แต่...มือนี้สำคัญกับเขามาก จะให้เขาปล่อยไปได้อย่างไร ยิ่งจับยึดไว้นานเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

หัวใจที่เสมือนเด็กของเธอจะยิ่งอ่อนไหวและเปิดรับเขาได้เร็วขึ้น เขาชูแก้วพันซ์อันว่างเปล่าขึ้นมาดูแล้วส่ายหน้า

“หกหมดแล้ว ไม่เหลือสักหยดเลย”

“เดี๋ยวรุ้งเข้าไปเอาให้ใหม่นะคะ” เธอเสนอตัว ทำหน้าตาขึงขังจริงจังอีกด้วย เห็นดังนั้นเขาก็ยิ่งยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมหยิบมาเพราะตั้งใจจะเอาให้คุณต่างหาก...คุณบอกว่าหิวน้ำนี่”

“ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งแค่หิวนิดหน่อยน่ะค่ะ” เธอจ้องแก้วในมือเขาแล้วยังถามย้ำอีกครั้ง “ไม่เอาแน่นะคะ”

“แน่สิครับ...พันซ์น่ะสำหรับผู้หญิง มันเบาไปสำหรับผู้ชาย” เขาหลุบสายตาลงมองเท้าของเธอ “ว่าแต่เท้าของคุณเป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอขยับเท้าประกอบคำพูดของตนเอง “รุ้งไม่ชินกับรองเท้าส้นสูงน่ะค่ะ ใส่ทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที”

พนมกรช้อนสายตาขึ้นสบดวงตากลมโตคู่นั้น ดวงตาเป็นประกายระยับเมื่อเขาพูดว่า

“จับมือผมไว้แบบนี้คงไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะช่วยพยุงคุณเอง” แล้วเขาก็จับจูงมือเธอเดินไปที่ศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางสนาม กลิ่นกุหลาบรวยระรินทำให้คนที่เดินตามหลังอุทานออกมาเบาๆ

“หอมจัง!”

เมื่อมายืนอยู่ใต้หลังคาศาลาหลังนั้น และแหงนเงยหน้ามอง สายรุ้งจึงได้เห็นกุหลาบสีชมพูจิ๋วกำลังพลิ้วไหวไปตามลม ดูงดงามน่าทะนุถนอมยามแสงจันทร์สาดส่อง

“คุณน่าจะชอบที่สงบๆ ผมเลยพามาที่นี่” เขาเอ่ยพลางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ยอมปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระเสียที

พนมกรนึกเสียดาย แต่การจะให้จับมือเธอไว้นานๆอาจจะส่อพิรุธเกินไปและอาจทำให้เธอสงสัยในตัวเขาได้

“แต่บางที ผมอาจจะทำผิดไป”

“คะ?” ยามเมื่อดวงตากลมโตตวัดมามองสบ เขาก็โปรยยิ้มทรงเสน่ห์ ไหวไหล่น้อย แล้วชี้นิ้วไปที่ตัวเอง

“เพราะคุณอาจจะเปลี่ยนมากลัวผมแทนน่ะสิ”

คนฟังหัวเราะในลำคอ เดินถอยหลังไปพิงเสาศาลาแล้วยกมือกอดอก

“อืม...” เธอหรี่ตาและเอียงคอมองเขา “แล้วคุณน่ากลัวรึเปล่าคะ”

คนถูกถามเพียงแต่ยิ้ม แบสองมือออกข้างลำตัว เป็นทำนองว่าผมก็ตอบไม่ได้ หรือไม่ก็คุณต้องหาคำตอบเอาเอง เป็นเวลาเดียวกับที่นายพัน...คนขับรถประจำครอบครัว วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในสวน พอเห็นคุณหนูคนเล็กก็ถึงกับถอนใจเฮือก

“คุณรุ้ง! มาอยู่ตรงนี้เอง ผมตามหาซะให้ทั่วเลย”

“อ้าว ตามหารุ้งทำไมคะน้าพัน”

“คุณท่านไม่เห็นคุณรุ้งในงาน เป็นห่วงก็เลยให้ผมมาตามครับ”

คนฟังสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย รีบหันมาเอ่ยลาคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้

“รุ้งคงต้องไปแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณที่ช่วยรุ้งนะคะ” เธอไหว้เขาอย่างนอบน้อม แล้วหมุนตัวเดินจากไป พนมกรทอดสายตามองตามร่างเล็กนั้นจนเธอลับตา รอยยิ้มหมายมาดจึงจุดขึ้นตรงมุมปาก

พรุ่งนี้ในหน้าข่าวสังคมน่าจะมีข่าวของเขากับเธอ

‘นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง พนมกร สุริยไพศาล กับลูกสาวคนเล็กของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ดูท่าจะปิ๊งปั๊งกันเสียแล้ว งานนี้ต้องตามดูกันต่อไปว่าสองครอบครัวจะพัฒนาความสัมพันธ์จนถึงขั้นหลอมรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันหรือไม่’

เมื่อมีข่าวแรก ก็ต้องมีอีกหลายข่าวตามมา และหลังจากนั้น...เขาก็จะหาข้ออ้างโทร.ไปหาเธอ นัดมาคุยกันเพื่อนแก้ข่าวหรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะนำไปสู่ความใกล้ชิด

พนมกรลุกขึ้นยืน สาวเท้ามาอิงเสาต้นที่เธอพิงอยู่เมื่อครู่ กลิ่นน้ำหอมของเธอยังกรุ่นกำจาย สร้างความซาบซ่านแปลกๆในหัวใจ แต่เขาไม่คิดค้นหาคำตอบ เพราะมุ่งมั่นอยู่แต่กับจุดหมายของตัวเอง

เธอได้ ‘ถูกเลือก’ มาตั้งแต่ต้นแล้ว

สาวหัวอ่อน เป็นน้องนุชสุดท้อง ขี้อาย และเก็บตัว ช่างเหมาะเจาะกับการล่อหลอกให้ตกหลุมกับดักเหลือเกิน

กับดักนี้จะเรียกว่ารักคงไม่ได้...แต่น่าจะเป็นสะพานที่นำพาเขาไปสู่ความสำเร็จมากกว่า

เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์...นั่นละจุดหมายปลายทางของเขา

...อีกไม่กี่ปี เขาหวังว่าจะปีนขึ้นไปบนจุดนั้นแทนที่เจ้าพ่อคนเก่า!





ขอบคุณที่ติดตามนะค้าาา ^---^



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ส.ค. 2559, 14:17:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ส.ค. 2559, 14:17:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1312





<< บทที่ ๑ - งานเต้นรำ [2]   บทที่ ๒.๒ - จุดเริ่มต้นของกับดัก >>
Zephyr 1 ก.ย. 2559, 22:39:51 น.
แผนเริ่ม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account