โซ่รักสีรุ้ง
"เด็กคนนั้น...เป็นลูกใคร" ห้าปีผ่านมา เธอคิดว่าชินชากับความเจ็บปวดแล้ว แต่ความจริงความรู้สึกนั้นเพียงแต่ตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจรอเวลาที่ใครสักคนจะกวนตะกอนนั้นขึ้นมา ให้เจ็บรวดร้าวยอกแสลงไปทั้งหัวใจ
Tags: ศศิภา,อรุณฉาย,ท้อง,หย่า,หนี,แต่งงาน,ศศิอักษร

ตอน: บทที่ ๓.๑ - เดตแรก




ตึกตัก ตึกตัก...นั่นคือเสียงใจของเธอ มันเต้นผิดแผกไปจากเดิม สายรุ้งอยากจะยกมือทาบลงบนอกข้างซ้าย ปรามหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำในตอนนี้เสียเหลือเกิน แต่ที่เธอทำได้ตอนนี้คือเร่งฝีเท้า จ้ำเอาๆราวกับกลัวว่าเขาจะตามมาทัน ทว่าหล่อนทั้งตัวเล็ก ทั้งขาสั้น คนตัวสูงอย่างเขาก้าวขาแค่ไม่กี่ก้าวก็ทันเธอแล้ว

มือใหญ่คว้าต้นแขนเล็กไว้ ดึงรั้งเบาๆ เจ้าหล่อนก็หมุนตัวกลับมา ร่างน้อยเซซวนเกือบจะซบอยู่บนอกเขาอยู่รอมร่อแล้ว ยังดีที่เธอยังขืนตัว ฝืนยืนทรงตัวอยู่โดยไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บ

“เดินหนีผมทำไม ผมทำอะไรให้คุณโกรธรึเปล่า”

เป็นคำถามที่ทำให้คนฟังสะดุ้งน้อยๆ สายรุ้งกะพริบตาปริบๆ ไม่ยอมตอบในทันที กระทั่งเขาถามซ้ำอีกครั้งหล่อนจึงส่ายหน้า

“เปล่าค่ะ รุ้งไม่ได้เดินหนี แล้วรุ้งก็ไม่ได้โกรธคุณด้วย”

เมื่อคนตรงหน้าเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นคำถาม เธอก็รีบอธิบาย

“คือ รุ้งเห็นว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับรุ้ง รุ้งเลยอยากรีบหาที่นั่งคุยกันน่ะค่ะ”

เป็นคำตอบที่ไม่ได้ทำให้แววตาคลางแคลงสงสัยและเป็นกังวลของเขาลดน้อยลงเลย สายรุ้งจ้องมองมันแล้วจำต้องรีบเบือนไปทางอื่นเพราะเกรงว่าหัวใจของหล่อนจะเต้นแรงขึ้นจนทำให้เขาได้ยิน หญิงสาวชี้มือไปทางด้านหลัง

“ไปนั่งร้านนั้นดีกว่าค่ะ ยังมีโต๊ะว่างอยู่...คุณกรจะได้ทานข้าวด้วย” จากนั้นก็เดินดุ่มๆจากไปในทันที

สายรุ้งรู้ดีว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบของเธอ แต่เขากลับไม่เซ้าซี้ซักถามให้มากความ กลับทำตัวเป็นปกติจนทำให้เธอคลายความตื่นเต้นและรู้สึกผ่อนคลายได้ในที่สุด

พนมกรเป็นคนทานง่ายอยู่ง่าย จึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะทานกระเพราหมูไข่ดาวราดข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็เกลี้ยงจาน ไม่เหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ด พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายรุ้งทอดมองมาด้วยดวงตาเบิกโต แล้วอุทานออกมาเบาๆ

“โห...คุณกรทานเร็วจัง! แป๊บเดียวก็หมดแล้ว!”

คนถูกแซ็วยักไหล่น้อยๆ ก่อนตอบว่า

“เมื่อก่อนผมกินเร็วกว่านี้อีกนะ”

จากนั้นเขาก็ยกน้ำดื่มจนหมดแก้ว ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหมายจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปาก เมื่อหาไม่พบจึงนึกขึ้นมาได้ว่าผ้าผืนนั้นถูกเด็กสาวตรงหน้ายึดไปเสียแล้ว

...ราวกับรู้ใจ สายรุ้งหยิบกระดาษทิชชู่ยื่นให้เขา พร้อมกับยิ้มแฉ่ง

“คุณคงหิวมาก” เมื่อเขารับทิชชู่จากมือเธอ เช็ดปากเรียบร้อย เจ้าหล่อนก็ตีหน้าสลด พูดด้วยเสียงอ่อยๆว่า “รุ้งคิดว่าคุณจะทานข้าวมาก่อนก็เลยนัดตอนบ่ายโมงครึ่ง ไม่คิดว่าคุณจะหิ้วท้องรอทานกับรุ้ง”

พนมกรหัวเราะเบาๆในลำคอ ส่ายหน้าแล้วโบกมือไปมา

“ไม่ใช่ความผิดของคุณรุ้งหรอกครับ ผมผิดเองที่ไม่ได้บอกก่อน”

“ถึงยังไงรุ้งก็มีส่วนผิดค่ะ” เจ้าหล่อนเหมือนจะชอบรับความผิดไว้กับตัวเองอย่างไรไม่ทราบได้ ยืนยันเสียงแข็งว่าอย่างไรแล้วตัวเองก็ผิด แถมยังเสนอตัวว่า “เอาไว้รุ้งเลี้ยงไอติมวันหลังดีไหมคะ”

ปกติเขาไม่ชอบให้ผู้หญิงเป็นเจ้ามือเลี้ยงอะไรต่อมิอะไรหรอก แต่กรณีนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะเขาอยากหาเรื่องพบกับเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงพยักหน้าตอบตกลงในทันใด

ชายหนุ่มลอบพิจารณาสายรุ้งพร้อมกับชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย เรื่องที่เขาถามส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องภาพยนตร์ ละคร เพลง ดอกไม้ ต้นไม้ สถานที่มท่องเที่ยว หรืองานอดิเรกที่เธอชอบทำ จากคำถามเหล่านี้ทำให้เขารู้หลายสิ่งหลายอย่างเพิ่มเติมจากรายงานที่คนของเขาส่งมาให้ อย่างเรื่องสีที่โปรดปราน ในรายงานบอกว่าเธอชอบสีชมพู แต่แท้จริงแล้วเธอกลับชอบสีขาว...เป็นความผิดพลาดที่ทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย กระนั้นริมฝีปากของเขาก็ยังมีรอยยิ้มละมุนละไมอยู่ตามเดิม

“แปลกนะครับผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบสีชมพู แต่คุณกลับชอบสีขาว”

“ใช่ค่ะ พี่ฝน...พี่สาวของรุ้งน่ะค่ะ ชอบสีชมพูมาก เวลาซื้อเสื้อผ้าพี่ฝนเขาก็จะให้รุ้งซื้อสีชมพูอยู่เรื่อย อย่างพวกกระเป๋า รองเท้า หรือผ้าพันคอ พี่ฝนก็ให้รุ้งใช้สีชมพูค่ะ เขาบอกรุ้งว่ารุ้งน่ะใส่สีขาวไม่เหมาะเพราะมันจะดูจืดชืดเกินไป เวลาซื้ออะไรรุ้งก็เลยเลี่ยงสีขาว เลือกซื้อแต่สีสดๆ แต่ที่มีมากที่สุดก็สีชมพูนี่แหละค่ะ”

ในที่สุดเขาก็รู้เหตุผล...และยังรู้ด้วยว่าเธอเชื่อฟังพี่ของเธอมาก

...ชอบ ปลาบปลื้ม หลงใหล ประหนึ่งสายฝนเป็นไอดอลของเธอก็ว่าได้

“คุณสนิทกับพี่มากไหม”

“อืม...ก็ไม่เชิงค่ะ” ตอบพลางยิ้มให้เขาอย่างจืดเจื่อน “พี่ฝนไม่ค่อยชอบเล่นกับรุ้งหรอกค่ะ เพราะว่าเราชอบเล่นไม่เหมือนกัน ตอนเด็กๆรุ้งชอบปีนต้นไม้ วิ่งแข่ง เล่นซ่อนหา กระโดดยาง แต่พี่ฝนเขาเล่นแต่งตัวให้ตุ๊กตาค่ะ หรือไม่ก็เล่นเป็นนางแบบ เปลี่ยนชุดนู้นทีชุดนี้ที แล้วก็แต่งหน้าด้วยนะคะ ส่วนรุ้งน่ะไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เท่าไร”

พนมกรเห็นจริงตามนั้น เพราะวงหน้านวลที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าเป็นหน้าเปล่าๆก็คงได้ เพราะถึงทาแป้งไว้ก็คงทาเพียงบางๆเท่านั้น ชายหนุ่มประสานมือเข้าด้วยกันวางราบลงบนโต๊ะ พร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย สองตาจับจ้องเธอราวกับไม่ใส่ใจ แต่แท้จริงแล้วเขากำลังพิจารณาทุกสัดส่วนบนใบหน้าของเธอต่างหาก

เมื่อคืน เขายังเห็นหน้าเธอไม่ชัดเท่าไร เพิ่งจะมาเห็นกันจริงๆจังๆก็วันนี้เอง

หน้าผากของเธอกว้างเกลี้ยงเกลา ตาของเธอโตกว่าที่เขาคิด ไม่จำเป็นต้องทาอายไลเนอร์อะไรให้หนาเตอะเลย จมูกเธอเชิดรั้นหน่อยๆเหมาะเจาะกับรูปหน้าของเธอดี และตอนนี้ตรงปลายจมูกมีเหงื่อเกาะพราว เห็นได้ชัดเจนจนเขาต้องยื่นมือออกไปเช็ดให้

...จะว่าตั้งใจก็คงไม่ได้ เพราะเขารู้ตัวว่าทำแบบนี้ก็ตอนที่เธอผงะและถอยห่างจากเขาโดยอัตโนมัตินั่นแหละ

พนมกรใจหายวาบ อีกครั้งแล้วที่เขาเกรงว่า ‘เหยื่อ’ ของเขาจะกลัวและเตลิดหนีไปเสียก่อน จึงหัวเราะกลบเกลื่อน และบอกว่า

“ไม่รู้แอร์ที่นี่เสียรึเปล่า ไม่ค่อยเย็นเลย” เหลือบมองคนตรงหน้าแล้วเกริ่นเข้าเรื่องว่า “คุณรุ้งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้รึยังครับ”

คนถูกถามยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า

“อ่านแล้วค่ะ...คุณนัดคุยกับรุ้งเพราะเรื่องนี้เหรอคะ”

“ครับ ผมเป็นห่วง กลัวว่าคุณจะ...” เขาแสร้งตีหน้าเศร้าแล้วถอนใจเฮือก “ผมไม่น่าทำให้คุณเป็นข่าวเสียๆหายๆแบบนี้เลย ผมขอโทษนะครับคุณรุ้ง ผมไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้พวกนักข่าวนั่นมันกุข่าวบ้าๆแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง ถ้าเจอพวกมันเมื่อไรผมจะสั่งสอน...”

คำพูดของเขากลืนหายลงไปในลำคอ เมื่ออีกฝ่ายหัวเราะแผ่วๆอย่างขบขันมากกว่าเคร่งครียด

“คุณรุ้ง...ไม่โกรธเหรอครับ”

“โธ่...รุ้งจะโกรธทำไมล่ะคะ ก็แค่ข่าว รุ้งไม่สนใจข่าวซุบซิบพวกนี้หรอกค่ะ ใครๆก็รู้ว่ามีความจริงไม่ถึงครึ่ง ใส่ใจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ” เธอเหลียวมองออกไปนอกร้าน ก่อนชักชวน

“ไหนๆก็มาแล้ว คุณกรไปเล่นเครื่องเล่นไหนเป็นพิเศษรึเปล่าคะ”

“ไม่มีหรอกครับ...จริงๆผมไม่ได้มานานมากแล้ว สิบกว่าปีแล้วมั้ง ไม่รู้ว่าตอนนี้มีเครื่องเล่นอะไรบ้าง คุณรุ้งช่วยพาผมทัวร์หน่อยได้ไหมล่ะครับ”

สายรุ้งเป็นคนปฏิเสธใครไม่เป็นอยู่แล้ว เขารู้เรื่องนี้ดี และเมื่อเขาร้องขอ ถ้าเธอไม่ใจร้ายใจดำหรือกลัวเขาจนเกินไป เขามั่นใจว่าเธอจะตอบรับ

“ได้ค่ะ”

เป็นคำตอบรับที่จุดประกายความรื่นรมย์ในดวงตาเขาได้ดี เพราะย่อมหมายความว่าเขายัง...ดูเป็นสุภาพบุรุษสำหรับเธออยู่

“งั้นไปกันเลยไหมครับ” รอจนเธอลุกขึ้นยืน เขาจึงทำทีเป็นขอคำแนะนำ “จะเริ่มไปที่ไหนก่อนดี”

“คุณกรอยากเล่นอะไรก่อนละคะ”

อืม...จริงๆแล้วเขาอยากให้เธอพูดคำว่า ‘ดู’ มากกว่า ‘เล่น’ เพราะเขาไม่มั่นใจเลยว่า ชายอายุสามสิบสามอย่างเขาจะ ไหวไหม แต่ครั้นจะบอกเธอตรงๆว่าเล่นไม่ไหว เขาก็ปากหนักพูดไม่ออก จึงได้แต่พูดว่า

“คุณชอบเล่นอะไรละครับ”

“ฉันอยากเข้าเมืองหิมะค่ะ”

คำตอบของเธอทำให้พนมกรลอบพรูปากอย่างโล่งอก ทำท่ากระตือรือร้นกระฉับเฉงขึ้นมาทันที

“งั้นไปกันครับ ผมก็ไม่ได้แตะหิมะมาหลายปีแล้ว”

เขาแตะข้อศอกเธออย่างสุภาพพาเธอเดินออกจากศูนย์อาหาร มุ่งหน้าสู่เมืองหิมะซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก ทว่า...มือของเขาพลันกระตุก ตามมาด้วยอาการกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอเมื่อเธอพูดต่อไปว่า

“ออกจากเมืองหิมะแล้วเราไปเล่นรถไฟเหาะกันนะคะ มันสนุกมากก...” เจ้าหล่อยลากเสียงยาวโดยไม่ได้เอะใจเลยว่าคนที่เดินตามนั้นกำลังทำหน้าราวกับบังเอิญยัดบอระเพ็ดเข้าปากปานใด “รุ้งมั่นใจว่าคุณต้องชอบ”

ตอนนั้นแหละ เธอถึงหันมา พนมกรก็ไวพอรีบส่งยิ้มกลับไป และยิ้มนี้นับเป็นยิ้มที่แหยที่สุดเท่าที่เขาเคยมอบให้กับผู้หญิงสักคน



To Be Continued....



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ส.ค. 2559, 07:34:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ส.ค. 2559, 07:34:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1215





<< บทที่ ๒.๒ - จุดเริ่มต้นของกับดัก   บทที่ ๓.๒ - เดตแรก >>
Zephyr 1 ก.ย. 2559, 22:40:43 น.
พี่กรแกย รถไฟเหาะนี่เอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account