จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 9

-- แวะคุยกันหน่อย ---

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
สำหรับบทนี้บอกตามตรงว่าต่อไปศิระจะเข้าโหมดดาร์ก
หลายคนสงสัยว่า แม่ใหญ่กุมความลับอะไรเข้าไว้แม่นก่
กุมไว้แน่นอนแต่ให้คนอ่านคาดเดาเอาเองก่อน
ความจริงตาภาคมีเหตุผลนะคะในการกระทำของตัวเองเขียนใบ้
ไว้ตลอดเลยว่าทำเพราะต้องการหลุดพ้นจากความอ่อนแอเดียวที่มี
ซึ่งบทนี้ตาภาคหลุดแถมจัดเต็มอีกแล้ว 555
บทนี้ฝากเพลงนี้มาให้นะคะ
http://www.youtube.com/watch?v=O3o4Gz0k4JY
เพลง เพราะของเบนชลาทิศค่ะ ฟังประกอบได้อารมณ์มาก
มีอะไรคุยกันได้ในเฟสบุ๊กนะคะ

ปล. มีคำถามว่าฟุตบาทควรใช้อย่างไรคะ เห็นมีคำแนะนำว่าควรเขียนฟุตปาธ
รบกวนผู้รู้เมตตาแจ้งคนเขียนหน่อยนะคะ

-------------------------------

บทที่ 9

พื้นที่หลายสิบไร่ย่านชานเมืองหลวงเป็นที่ตั้งของบริษัทโชเนนฟาว ด้านตะวันออกก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ โกดังเก็บสินค้าและศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขณะที่ฟากตะวันตกสร้างอาคารสูงสิบชั้นใช้เป็นสำนักงานในการบริหารงานด้านอื่นนอกเหนือจากฝ่ายผลิต และโรงอาหารสำหรับพนักงานได้ออกมาพักทานข้าวโดยไม่ต้องเดินทางออกไปข้างนอกอีก

หลังจากทางบริษัทมีนโยบายดำเนินการตลาดเชิงรุกภาควัฒน์จะเรียกพนักงานจากฝ่ายผลิต ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์เข้าประชุมถึงผลตอบรับรวมถึงแผนต่อไปที่จะให้ดำเนินการทุกวันศุกร์ในช่วงเช้า ตกบ่ายจะเป็นเวลาประชุมของคณะกรรมการบริหารที่ต้องเข้ารับทราบ เสนอข้อคิดเห็นจนถึงการลงมติ

ชายหนุ่มกดรีโมทเครื่องโปรเจ็คเตอร์ให้ปรากฏภาพแผนภูมิแสดงผลตอบรับสินค้า พร้อมกับให้เลขานุการของบิดาที่กลายเป็นลูกน้องของเขาในเวลานี้แทนแจกเอกสารทั้งหมดให้กับผู้เข้าร่วมประชุม

“ จากคราวก่อนที่ผมได้เจรจาเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อโชเนนฟาวไปในสิงค์โปร์ จีนและฮ่องกง ปรากฏว่าลูกค้าให้การตอบรับชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและผิวกายจากสารสกัดธรรมชาติของเราอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตอนนี้ผมได้ไปเจรจากับตัวแทนจำหน่ายในญี่ปุ่นกับเกาหลีมาบ้างแล้ว เขาค่อนข้างสนใจผลิตภัณฑ์พวกนี้เช่นกัน ผมคิดว่าแผนการผลักดันผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง เน้นกระบวนการผลิตและใช้บรรจุภัณฑ์ที่รักษาสิ่งแวดล้อมน่าจะตีตลาดทั้งเก่าและใหม่ในเอเชียได้ไม่ยาก ”

ภาพบนจอเริ่มเปลี่ยนจากแผนผังกลายเป็นภาพผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในสถาบันเสริมความงามและสปา

“ จากที่เราเคยรับจ้างผลิตสินค้าประเภทนี้ให้กับบริษัทใหญ่ในต่างประเทศมาแล้ว ผมได้ให้ทางฝ่ายวิจัยพัฒนาสินค้าของเรานำสูตรมาปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากว่า เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน ช่วงก่อนหน้านี้ผมลงไปคุยกับเจ้าของธุรกิจแฟรนส์ไชน์สปาหลายแห่ง เขาตกลงจะเป็นพันธมิตรเพื่อสั่งสินค้าคุณภาพสูงในราคาย่อมเยากว่าแล้ว สิ่งที่ผมจะต่อยอดจากสินค้าประเภทนี้คือการให้ฝ่ายวิจัยนำผลิตผลทางการเกษตรในประเทศของเรามาใช้เป็นส่วนผสมที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสารสกัดราคาแพงเพื่อผลิตสินค้าประเภททำความสะอาดและบำรุงผิว ผมจะให้ตราสินค้าของเราตีตลาดระดับล่างถึงกลาง และผมจะส่งตัวแทนลงสำรวจร้านเสริมความงามในชุมชนเพื่อเสนอสินค้าของเราอีกทางหนึ่ง ”

คณะกรรมการบริหารทั้งหมดรับฟังการแจกแจ้งนโยบายและผลตอบรับจากประธานกรรมการบริหารหนุ่มอย่างตั้งใจ จากนั้นพลิกอ่านสรุปจากในเอกสารการประชุมทั้งหมด มีการพูดคุยปรึกษาและคัดค้านในบางจุดก่อนจะได้ข้อสรุปและลงมติยอมรับแผนการดำเนินงานต่อไปด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ ถือเป็นอันสิ้นสุดการประชุมในวันนั้น

ภาควัฒน์เดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้ากลับสู่ห้องทำงาน แต่ระหว่างทางคณะกรรมการอาวุโสก็มักจะเข้ามารั้งเขาไว้ด้วยการชวนคุยและชื่นชมในตัวเขา กว่าจะหลุดมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเลขานุการหน้าห้องได้ก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง

“ วันนี้ผมมีนัดต้องไปพบลูกค้าข้างนอกอีกไหมครับ ” เขาเอ่ยถามเลขานุการหนุ่มหน้าห้อง

“ งมีหนึ่งรายแต่ลูกค้าโทรมาขอเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้แล้วครับ ”

“ งั้นดีเลย...วันนี้ผมจะออกจากออฟฟิศเร็วหน่อย ถ้ามีใครขอพบหรือนัดอะไรคุณธรรมช่วยจัดคิวเป็นพรุ่งนี้ทั้งหมดเลยนะครับ ”

“ ได้ครับ ” เลขานุการหนุ่มรับคำพลางยิ้ม ปล่อยให้เจ้านายเดินหายเข้าไปในห้องประจำตำแหน่ง

หลังบานประตูเข้าสู่ตัวห้องทำงานนั้นช่างเงียบเหงา มวลอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศระบบท่อที่ฝังในสำนักงานปะทะกับผิวกายคร้ามแดด นอกจากเฟอร์นิเจอร์ประเภทโต๊ะเก้าอี้ทำงาน ตู้เก็บเอกสารแล้วก็ไม่มีข้าวของใดสร้างความสดใสให้ห้องนี้ แม้แต่รูปถ่ายหรือแจกันสักใบก็ไม่มี

...พ่อไม่เคยอาทรกับสายสัมพันธ์กลมเกลียวของครอบครัว...

ชายหนุ่มเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง ใช้นิ้วแหวกมู่ลี่ทอดสายตาออกไปยังพื้นที่ด้านล่างของโชเนนฟาว...อาณาจักรที่พ่อยึดมั่นเป็นสรณะเหนือชีวิต เหนือครอบครัว เหนือทุกสิ่ง ซึ่งผลักดันให้เขายอมทิ้งความเป็นวิสุทธิ์สุนทรเพื่อไปสู่เส้นทางของคนไร้หัวใจ

ลมหายใจเขาถอนหนักยามคิดถึงวันคืนที่ผ่านพ้นไปกับเวลาชีวิตที่เหลือน้อยนิดของผู้เป็นแม่ หรือจะเป็นเรื่องหุ้นที่อูเซนเพิ่งส่งข่าวเรื่องการซื้อขายหุ้นอังคพิมานอีกสี่เปอร์เซ็นต์สำเร็จไปได้ด้วยดี...อีกไม่นานภาควัฒน์ วิสุทธิ์สุนทรจะเหลือเพียงนามเท่านั้น

เมื่อสะสางเรื่องมารดาและงานหลักเสร็จสิ้น...ทุกอย่างที่นี่จะเป็นเช่นไรต่อไปก็ช่างมัน

นิ้วเรียวแข็งปล่อยซี่มู่ลี่ให้เป็นคืนตัวบังแดดตามเดิมแต่คนตัวใหญ่ยังคงยืนนิ่งเปลือกตาหลุบลง...จริงหรือที่ว่าเรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ไร้ความหมายสำหรับเขา

ชายหนุ่มยกฝ่ามือเรียวใหญ่ของตัวเองขึ้นมากำแล้วคลายเช่นนั้นอยู่เป็นนาน หวนนึกถึงสัมผัสอบอุ่นของคนที่ไม่เคยเลือนหายจากความทรงจำ ไม่ว่าจะหลอกตัวเองสักกี่ครั้ง เธอคนนั้นยังคงมีจารลึกอยู่ในดวงใจให้จดจำได้เสมอ

รู้ทั้งรู้ว่าบทสรุปของเรื่องราวนี้จะลงท้ายด้วยความเจ็บปวดและทิ้งบาดแผลฉกาจฉกรรจ์ไว้ให้ แต่เขาถอยหันกลับไปยืนอยู่ในจุดเดิมในฐานะพี่ภาคของยัยตัวเล็กไม่ได้อีกแล้ว...

ขณะที่ใครคนหนึ่งกำลังใคร่ครวญถึงสิ่งที่ต้องทำ อีกฟากหนึ่งใจกลางเมืองหลวงมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกความเศร้ากัดกินจิตวิญญาณอย่างช้าๆจนมีสภาพเลื่อนลอยไม่ต่างอะไรกับซากศพ

ตัวแทนผู้บริหารสูงสุดของอังคพิมานโฮเต็ลลากเท้าพาสังขารอันระโหยอ่อนออกจากห้องประชุม...ทุกคราที่หมดสิ้นภาระเรื่องงานหนักหนาให้ขบคิด ใบหน้าและท่าทางกระตือรือร้นจะหายไปเหลือไว้เพียงซากมนุษย์เดินได้เป็นภาพที่พนักงานในโรงแรมหลายคนเห็นจนเจนตาในระยะนี้

หลายคนแปลกใจและกังวลกับอาการเลื่อนลอยยามอยู่ลำพังของศิระเป็นอย่างมาก...บ่อยครั้งตัวแทนพนักงานจะแวะขึ้นมามอบอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพราะทนเห็นเจ้านายที่เคยกระฉับกระเฉงยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลากลายเป็นคนเย็นชาไร้อารมณ์ขนาดนี้

ศิระปิดประตูห้องส่วนตัวของตนเอง หลังหมดงานเขามักจะนั่งจับเจ่าอยู่บนโซฟา อาศัยเหล้าบรรเทาอาการซึมเศร้าและภาพฝันที่ยังระลึกถึงแต่ใบหน้าบุคคลที่รัก...ความไกลห่างไม่อาจทำให้ลืมเลือนสิ่งใดออกจากใจ และการรู้วันเวลาหมั้นหมายที่แน่นอนก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ

เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะแผดดัง คนที่ถือแก้วเหล้าเลยจำใจต้องวางของในมือ เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ดูหมายเลขที่โชว์อยู่จึงเห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนคนไทยที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันในอังกฤษ...ปลายสายชักชวนให้ออกมาท่องราตรีเป็นเพื่อนเหมือนเมื่อครั้งอยู่ร่วมหอในต่างแดนด้วยกัน

“ เสียงเหมือนกินเหล้าอยู่ อย่ามัวกินคนเดียว ออกมาสนุกด้วยกันเหอะ ” เพื่อนเขาเชิญชวน น้ำเสียงสดชื่นร่าเริง

“ ไปแถวไหน ” เขาถามกลับเสียงเนือย

“ ไม่ไกลจากโรงแรมแกหรอก แถวสาทรนี้แหละ มีคลับเปิดใหม่น่าเข้า ดนตรีเพราะ สาวที่มาเที่ยวมีระดับ มาเป็นเพื่อนกันหน่อย อย่าให้เสียชื่อ คาสโนว่าของแกนะเว้ย ฉันจะรออยู่แถวสาทร แกมาเมื่อไหร่ก็โทรมาแล้วกันนะ ” ไม่ทันได้ถามรายละเอียดอันใดมากเพื่อนก็วางสายทิ้ง ปล่อยให้ศิระวางโทรศัพท์ลงที่เก่า กวาดสายตามองเพดานห้องครู่เดียวก็เห็นเค้าลางของภาพหญิงสาวคนหนึ่ง เท่านั้นเขาก็ตัดสินใจสะบัดหน้า ลุกจากโซฟา

คงสมควรแก่เวลาจะสรรหาวิธีอื่นมาปัดเป่าความรู้สึกฟุ้งซ่านให้จางหายไปสักที...
*****************

ม้านั่งในสวนหินของคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทรมีร่างของหญิงสาวสองนางนั่งเคียงข้างกัน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวที่รวบผมเป็นหางม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ อีกคนเป็นหญิงสาวผมยาวสลวยถึงกลางหลังอยู่ในชุดกระโปรงสีครีมปักลายดอกไม้เล็กไว้รอบชายกระโปรง

ศศิวิมลนั่งถักตุ๊กตาไปพร้อมกับการเริ่มต้นเล่าถึงความเป็นอยู่หลังการแต่งงานในนามร่วมเดือนนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด บทบาทสมมุติที่จำใจแสดงว่ารักกันปานจะกลืนต่อหน้าธารกำนัลกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในหัวใจทุกขณะ

แม้จะเตือนตัวเองหนักหนาให้คอยห้ามใจตัวเอง ทว่าความสัมพันธ์เหนียวแน่นในอดีตทำให้หญิงสาวเผลอไผลลืมไปว่าความนุ่มนวลอ่อนหวานของเขาเป็นเพียงการแสดงให้ทุกคนตายใจ บ่อยครั้งหล่อนยังแอบคิดไกลเข้าข้างตัวเองว่า เขาอาจจดจำคืนวันในอดีต และในใจอาจมีเยื่อใยอาทรกันอยู่บ้าง

แต่สุดท้ายหลังม่านทิ้งตัวปิดฉากลง สิ่งที่คิดฝันก็พลันสูญสลาย ความหวังก็ยังเลื่อนลอย เขายังคงรักษาระยะห่างระหว่างกันได้ดังเดิมไม่เคยเปลี่ยน ได้แต่ทนกล้ำกลืนก้อนสะอื้นหม่นไหม้ในอกมิอาจปรารภกับใครได้เลย

“ คุณภาคเขาห้ามเล็กออกไปข้างนอกไหม ” เอ่ยถามหลังจากปล่อยให้เพื่อนระบายทุกข์ให้ฟังด้วยความเต็มใจ

“ พี่ภาคเขาไม่สนใจอะไรเล็กหรอก เล็กอยากไปไหน อยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ไม่ให้ใครสงสัยการแต่งงานครั้งนี้ก็พอแล้ว ” พูดพลางถอนใจใหญ่อีกรอบ

“ เออดี วันหลังถ้ามีอะไรไม่สบายใจ อยู่บ้านมันแย่นัก เล็กโทรหาสาได้เลยนะ เดี๋ยวสาขับเจ้าแก่มารับไปเที่ยว ”

“ แต่ถ้าเราออกไปข้างนอก แล้วใครจะดูป้าพิณล่ะ ”

“ โอ๊ย ป้าพิณเขารักเล็กยิ่งกว่าอะไร ไม่มีไม่อนุญาตหรอก แล้วไปกับเราเนี้ยสบายใจได้ แต่ถ้าป้าพิณไม่ยอมเดี๋ยวเราแอบใส่ยานอนหลับให้กิน แค่นี้เล็กก็ไปลั้นลากับเราได้ล่ะ ” รสาพูดแกล้งจีบปากจีบคอออกอาการเหมือนเวลาพี่เลี้ยงของเพื่อนเล่าเรื่องย่อละครให้ฟัง

คนเห็นเข้าก็หลุดหัวเราะเสียงดังให้กับความตลกขบขันนั้น..ความทุกข์ถูกบรรเทาเบาบางได้เพียงมีเพื่อนสนิทอยู่ข้างกาย ความเป็นคนตรงไปตรงมาและมองโลกอย่างเข้าใจของรสาทำให้ศศิวิมลอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง

“ บางครั้งเล็กก็รู้สึกอิจฉาสานะ ” หล่อนเปรยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

“ อิจฉาเรา...อิจฉาทำไมกัน ” เลิกคิ้วสูงประกอบคำถาม

“ เวลาเล็กเจอสาทีไหร่ เล็กไม่เคยเห็นสาเอาความทุกข์มาพูดให้เล็กฟัง มีแต่เล็กนี้แหละที่คอยแต่เอาเรื่องตัวเองมาให้สาช่วยแบก ”

หญิงสาวผมม้ายิ้มอ่อนให้ก่อนจะโอบไหล่บางของเพื่อน เอนตัวไหวไปมาราวกับกำลังปลอบโยนเด็กน้อย

“ ไม่มีใครเกิดมาบนโลกแล้วไม่มีความทุกข์หรอกเล็ก ทุกคนมันก็ทุกข์กันทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับมือกับความทุกข์พวกนั้นได้ยังไงต่างหาก ”

“ แล้วความทุกข์ของเล็กล่ะ สาคิดว่าควรจัดการยังไง ”

“ เราคิดว่าถ้าเล็กมีความสุขกับช่วงเวลาที่คุณภาควัฒน์แกล้งแสดงว่ารักกัน เราก็ขอให้เล็กคิดเสียว่าช่วงนั้นเป็นเวลาที่พี่ภาคสมัยเด็กของเล็กกลับมา เล็กอยากทำอะไร อยากใกล้ อยากพูดก็ทำไปเลยตามใจชอบ แต่เมื่อไหร่ที่คุณภาคกลับมาเป็นคนเย็นชา เล็กก็ถือเสียว่าเขาเป็นหัวผักกาดหรืออะไรก็ได้ไป ”

“ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่า นอกจากหลอกคนอื่นแล้วเล็กยังต้องหลอกตัวเองอีกเหรอ ”

“ ไม่ใช่หลอกตัวเองนะเล็ก...เขาเรียกว่า ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างหาก" หล่อนเน้นเสียง "อีกอย่างเราก็บอกแล้วถ้ามันทนไม่ไหวจริงๆก็โทรมาหา เดี๋ยวสาไปเดินเล่น หรือจะมาช่วยงานที่ร้านก็ได้นะ ทำขำๆแล้วค่อยกลับ ”

“ ที่สาพูดมาทั้งหมด ความจริงแล้วแค่อยากให้เราไปเป็นแรงงานฟรีมากกว่า ”

“ อ้าว มารู้ทันเราอีกเล็กนี้ ” รสาว่าแล้วทั้งสองก็หัวเราะงอหายต่อกัน ก่อนศศิวิมลจะดึงแขนเพื่อนมาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเปิดร้านก็รีบไล่ให้เพื่อนกลับ

คนเป็นเพื่อนอิดออดไม่อยากไปเท่าใดนัก แต่สุดท้ายหลังจากโดนคะยั้นคะยอมากเข้าก็เลยยอมลุกจากม้านั่งดึงชายเสื้อที่ร่นขึ้นไปให้ลงมาปิดสะโพก

“ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นวันศุกร์นะ เราคงอยู่คุยกับเล็กได้นานกว่านี้...เสียดายอีกอย่างที่เดี๋ยวนี้เล็กไม่ได้นอนเรือนเล็กแล้ว เราก็เลยอดมานอนค้างด้วยเหมือนแต่ก่อน ”

“ เดี๋ยววันหลัง เล็กก็คงต้องกลับไปอยู่ที่เดิม ถึงตอนนั้นสาจะมาค้างกับเล็กทุกวันก็ยังได้เลย ”

สองสาวจูงมือกันเดินออกจากสวนตรงไปที่รถจักรยานยนต์กลางเก่ากลางใหม่ที่จอดพิงกระถางต้นไม้ใกล้ประตูรั้ว รสาหยิบหมวกกันน็อกมาสวมพร้อมกับขึ้นคร่อมเบาะรถ รอให้ยามกดปุ่มเลื่อนบานประตูอัตโนมัติให้จึงใช้เท้าเข็นออกไปข้างนอกแล้วบิดกุญแจเริ่มสตาร์ทรถ

“ ไว้เราจะแวะมาหาเล็กอีกนะ แล้วอย่าลืมเรื่องที่เราบอกล่ะ รู้ไหม ” เพื่อนยังไม่ลืมสั่งทิ้งท้าย

“ จ๊ะ...เดินทางดีๆนะ ” คนตัวเล็กกว่าว่า โบกมือล่ำลามองแผ่นหลังใต้เสื้อเชิ้ตของเพื่อนที่เคลื่อนออกไปช้าๆ

ฉับพลันนั้นเองรถเก๋งยุโรปคันหนึ่งก็พุ่งทะยานหลุดจากถนนตรงเข้าหาศศิวิมลรวดเร็ว สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้ร่างบอบบางวิ่งถอยหลัง กระเสือกกระสนให้พ้นจากการชนจนสะดุดเอากระถางต้นไม้ เกี่ยวโดนกิ่งไม้แล้วล้มลงกระแทกกับกรวดทางเดินทั้งตัวอย่างแรง

รสาที่เพิ่งขับรถออกมาได้ยินเสียงหวีดร้องดังจากเบื้องหลังก็หยุดเหยียบคันเร่ง หันกลับไปหาต้นเสียง ทันทีที่เห็นรถยนต์คันหนึ่งเสียบหัวทิ่มเข้าไปในบ้านครึ่งคันตรงหน้ารั้วของบ้านวิสุทธิ์สุนทรก็ทิ้งรถรีบวิ่งกลับไป

มือขาวตบฝากระโปรงรถคันหรูเต็มแรง เบียดตัวเข้าไปดูอาการเพื่อนที่พยายามยันตัวขึ้นมาจากพื้นกรวด ข้อศอกขาวและเรียวขาถูกหินขูดถลอกปอกเปิกเป็นทางยาวแต่นั้นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับแผลแตกเหนือคิ้วด้านซ้ายที่มีเลือดไหลซึม

“ เล็กเป็นอะไรหรือเปล่า ” เอ่ยถามพลางประคองร่างบางขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วจึงเงยหน้าจ้องร่างเพรียวระหงใต้เดรสรัดรูปสีครีมทับด้วยเสื้อคลุมสีชมพู สวมแว่นกันแดดสีชาที่เปิดประตูก้าวลงจากรถได้ก็รีบวิ่งเข้ามาดูคู่กรณี

“ นี่คุณ ซื้อใบขับขี่มาหรือไง ถึงทะเล่อทะล่าขับรถเข้ามาชนคนถึงในบ้านนะ ”

“ ต้องขอโทษด้วยนะคะ วิไม่ได้ตั้งใจจะชนพวกคุณเลยจริงๆ แต่เบรกอยู่ๆมันก็ค้างขึ้นมา ”

คนเจ็บกระพริบตายังตกอยู่ในอาการมึนจากการกระแทกก่อนจะแหงนหน้าแลหญิงสาวที่ยกมือไหว้ปลกก็จำได้ว่าเป็นว่าที่คู่หมั้นของพี่ชายตนเอง

“ ไม่เป็นไรคะ...เล็กล้มเอง คุณไม่ได้ชน ”

“ โล่งอกที่ไม่ได้ชน ” เจ้าหล่อนยกมือทาบอกพลางพ่นลมหายใจอุ่น “ แต่ยังไงวิก็เป็นต้นเหตุทำให้คุณล้ม วิจะขับรถพาคุณไปโรงพยาบาลเองนะคะ เรื่องค่ารักษาพยาบาลอะไรไม่ต้องห่วงนะคะ วิเต็มใจออกให้ทุกอย่าง ” เจ้าของรถว่า ออกโรงรับผิดชอบเต็มที่

“ ไหนบอกว่าเบรกค้าง แล้วจะขับรถคันนี้ไปส่งเพื่อนฉันที่โรงพยาบาลได้ยังไง หรือว่าไอ้ที่อ้างมาทั้งหมดแค่อยากจะปัดความผิดออกจากตัว ” เพื่อนออกโรงโวยวายเสียงดัง แต่คนเจ็บกลับปรามด้วยการจับแขนไว้พร้อมกับส่ายหน้าส่งสัญญาณให้หยุดพูด

“ คุณวิเธอไม่ได้ตั้งใจหรอกสา เบรกค้างมันเป็นเรื่องสุดวิสัย ” เอ่ยชื่ออีกฝ่ายราวกับรู้จักกัน คนคอยประคองย่นหน้าผากแล้วกระซิบถาม

“ เล็กรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ ”

“ จ๊ะ...คุณวิกานดาเธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของพี่ใหญ่ ”

รสาเขม่นมองใบหน้าสวยโฉบเฉียวกับเรือนร่างราวนางแบบของหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาไม่เป็นมิตร

“ วิต้องขอโทษจริงๆนะคะ วิมัวแต่ตกใจจนลืมคิดว่ารถตัวเองเบรกค้าง เอาอย่างนี้นะคะ เดี๋ยววิโทรเรียกรถพยาบาลมาแล้วกันนะคะ ” วิกานดาวิ่งกลับไปที่รถ ขณะที่หยิบกระเป๋าสะพายคว้านหาโทรศัพท์มือถือมือไม้สั่นก็พอดีกับที่เสียงบีบแตรจากรถยนต์อีกคันก็ดังขึ้น

รถยนต์ยุโรปสีดำแล่นเข้ามาจอดปิดท้ายรถสปอร์ตคันงาน บีบแตรเสียงดังไล่ก็ไม่ยอมถอย เจ้าของรถจึงลดกระจกชะโงกหน้าออกไปเห็นสะโพกกับเรียวขาขาวเนียนของหญิงสาวสวมส้นสูงสีชมพู ถัดเข้าไปในรั้วบ้านก็เห็นคนกำลังรุมล้อมบางสิ่งไว้จึงเปิดประตูลงไปดู

นาทีที่ภาควัฒน์เห็นศศิวิมลกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงอกเพื่อนโดยผ้ากดห้ามเลือดตรงเหนือคิ้ว นัยน์ตาคมกล้าถึงกับเบิกกว้าง รู้ได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงใช้แขนใหญ่แหวกฝูงชนโดยรอบให้เปิดทาง กระโจนเข้าไปประชิดหญิงสาวที่จับจ้องเจ้าของรถราวกับจะสูบเลือดสูบเนื้อไว้นิ่ง

“ ส่งเล็กให้ผม ” เขาออกคำสั่งเสียงเข้ม...รสาได้ยินเข้าก็ละสายตาจากคู่กรณีมาหาเจ้าของเสียง แลดวงหน้าและแววตาที่เต็มตื้นด้วยความอนาทรร้อนใจของชายหนุ่มผู้นั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเบี่ยงตัวพยายามส่งร่างบางให้ถึงมือของอีกคนโดยเคลื่อนไหวน้อยที่สุด

เขาสอดแขนรับเอาร่างของภรรยาไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงได้ก็อุ้มลอยสูงจากพื้น...ศศิวิมลรู้สึกมึนศีรษะมากจนไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกเปลี่ยนมือได้แต่ซบหน้าลงกับอกเพราะนึกว่าเป็นเพื่อน

ไร้คำพูดใดหลุดลอดจากริมฝีปากหยักบาง ช่วงจังหวะที่เจ้าของรถเงยหน้าจากกระเป๋าเตรียมจะกดหมายเลขโทรศัพท์ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องตนเองมาอย่างเยือกเย็น เมื่อมองผ่านกระจกรถไปจึงสบเข้ากับดวงตาดุดันน่ากลัวที่พร้อมขย้ำศัตรูหากหาญจะเข้าต่อกร

“ คนนั้นชนใช่ไหม ” เขาเอ่ยถามท่าทางสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงเหี้ยมเกรียม กระชับคนในอุ้มแขน สาวเท้ายาวเข้าไปหา ใช้ข้อนิ้วเคาะกระจกสะกิดเรียกหญิงสาวที่ยืนพรั่นพรึงถือโทรศัพท์ค้างไว้รู้สึกตัว

“ ถ้าผมยังไม่กลับมาเคลียร์ คุณห้ามขยับไปไหนเด็ดขาด ” สั่งเอากับคนแปลกหน้าเฉียบขาด ก่อนจะรีบพาภรรยาที่หมดสติเข้าไปนั่งในรถ คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยก็กระโจนอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์ เหยียบคันเร่งเต็มฝีเท้า

รสาลุกจากพื้นกอดอกอดรู้สึกประหลาดใจในตัวชายที่เพื่อนพร่ำบอกว่าไม่มีเยื่อใยใดต่อกันแล้วขมวดคิ้ว...อาการร้อนรนในนาทีวิกฤตของเขาชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเพียงการแสดง

หญิงสาวพ่นลมหายใจก่อนจะเลิกขบคิดในประเด็นนี้ไว้ชั่วคราว ดูท่าทีคู่กรณีว่าจะรับผิดชอบกับความผิดที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร
**********************************

นายแพทย์หยิบกรรไกรตัดเส้นไหมละลายหลังจากเย็บแผลแตกที่ศีรษะคนป่วย พยาบาลเก็บเครื่องไม้เครื่องมือเปื้อนเลือดทั้งหมดใส่รถเข็นนำออกจากห้องฉุกเฉินเพื่อนำไปฆ่าเชื้อก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภาควัฒน์วิ่งกลับเข้ามาดูอาการคนเจ็บที่ยังนอนสลบนิ่งบนเตียง

“ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ ” เขาถามไถ่อาการของหญิงสาวอย่างกระวนกระวายใจ หมดสิ้นคราบนักธุรกิจเย็นชา เหลือเพียงผู้ชายธรรมดาที่ปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆมีอิทธิพลต่อจิตใจ

“ หมอส่งคนไข้เข้าสแกนสมองแล้วนะครับ จากผลที่ได้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ อาการอื่นก็มีแค่ข้อเท้าบวมกับแผลถลอก หมอให้พยาบาลล้างทำความสะอาดแผลให้หมดแล้ว ถ้าผลเลือกที่ออกมาไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงนะครับ ” นายแพทย์วัยกลางคนตอบพลางเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย

“ ขอบคุณครับ ” เขากล่าวพลางก้มศีรษะให้หมอ ก่อนจะหันไปพินิจดวงหน้างามทว่าเซียวซีดที่หลับสนิท เหนือคิ้วข้างซ้ายมีผ้าปิดแผลปิดทับไว้ ตามแขนและขาที่โผล่พ้นชายชุดยังทิ้งรอยแผลเป็นทางยาว ดูอ่อนแอและบอบบางเกินที่ใครจะปล่อยปละละเลย

มืออุ่นใหญ่เอื้อมไปกุมมือเรียวเล็กไว้แน่น ปลายนิ้วแข็งอีกข้างไล้สัมผัสหน้าผากนวลคอยปัดเส้นผมนุ่มที่ตกลงมาปรกให้พ้นทางอย่างอ่อนโยน ดวงตาฉายชัดให้เห็นถึงความห่วงอาทร ก่อนเขาปล่อยมือ ผละถอยหลังออกไปยืนกอดอกทันทีที่เห็นคนบนเตียงขยับเปลือกตาส่งสัญญาณว่ารู้สึกตัวแล้ว

ศศิวิมลกระพริบตาถี่เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างจากหลอดไฟตรงเพดานห้องฉุกเฉิน ขยับตัวจะลุกอาการปวดร้าวก็แล่นไปทั่วร่างจนต้องยอมล้มลงนอนดังเก่าเหลือบเห็นพยาบาลแขวนถุงน้ำเกลือแล้วเสียบสายเข้ามาตรงหลังมือที่มีเข็มเสียบคาไว้

“ คุณหมอดูผลเลือดแล้วไม่มีอะไรผิดปกตินะคะ คงไม่ต้องแอดมิด แค่ให้น้ำเกลือถุงเดียวก็กลับบ้านได้ ” พยาบาลสาวบอกขณะปรับปริมาณน้ำเกลือที่เข้าสู่กระแสเลือด

ภาควัฒน์ขยับเข้าไปยืนกอดอกข้างเตียงหลังจากพยาบาลเดินไปดูคนไข้อื่น ประสานสายตากับคนบนเตียง เสี้ยววินาทีหนึ่งนั้นแววตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความละมุนละไม แล้วก็หายจางไปคงไว้เพียงความเฉยชา

“ เล็กมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ ” คำถามแรกหลุดจากริมฝีปากอิ่ม

“ เธอโดนรถชน พอดีฉันกลับมาทันเลยพามาโรงพยาบาล ”

หญิงสาวฟังแล้วนิ่งใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ระทึกที่เกิดขึ้น

“ จริงสิ คุณวิกานดา ” รำพึงกับตัวเองเบา “ คุณวิเธอไม่ได้ชนเล็กนะคะ ”

“ ก็เห็นอยู่ว่าเจ็บ จะไม่ถูกชนได้ยังไง ” เขาเผลอตัวส่งเสียงดังจนทำให้ทุกคนในห้องฉุกเฉินหันมองเป็นตาเดียว

ชายหนุ่มก้มศีรษะเล็กน้อยในเชิงขออภัยต่อเจ้าหน้าที่และคนไข้...กลับมาจ้องหน้าแม่ตัวเล็กเขม็ง

“ รถคุณวิเธอเบรกค้างนะคะ เล็กวิ่งหนีเลยล้มลงไปเอง โชคดีนะคะที่รถหยุดก่อน ไม่งั้นเล็กคงโดนทับแบนเหมือนในหนังการ์ตูนแน่เลย ” หล่อนหลุดหัวเราะเบา แต่คนฟังไม่มีอารมณ์คล้อยตามเลยสักนิด

“ ทำให้คนแตกตื่นทั้งบ้าน ตลกมากสินะ ” วาจาของเขาแข็งกร้าว ไร้รอยยิ้ม ฝ่ายที่พยายามจะทำให้การบาดเจ็บของตนเองเป็นเรื่องเล็กน้อยหน้าสลดลงทันที

“ ขอโทษค่ะที่เล็กทำให้เดือดร้อน ” ฝืนยกมือไหว้เขาทั้งที่ยังเจ็บเพราะเกรงใจที่ทำให้ต้องมาลำบาก โดยไม่คิดเฉลียวใจเลยสักนิดว่า อาการโกรธขึ้งของเขานั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่

ผู้เป็นสามีแม้เพียงในนามส่ายหน้า ยกมือขึ้นเสยผมที่ไม่เป็นรูปทรงอยู่แล้วให้ยุ่งเหยิงเข้าไปอีก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นออกจากกระเป๋ากางเกง

ปลายสายเป็นเสียงอรพิณที่โทรมาถามไถ่อาการของลูกสะใภ้หลังจากคนรับใช้วิ่งไปรายงานให้ฟัง พร้อมทั้งเอ่ยถามถึงชื่อโรงพยาบาลที่รักษา

“ ป้ามลเขาเพิ่งมาคุยกับแม่...คนที่ชนเล็กนะเขาชื่อวิกานดา เป็นว่าที่คู่หมั้นของตาใหญ่เขา...ป้ามลเขาพาหนูวิมากราบขอโทษป้าแล้วนะลูก อีกเดี๋ยวเขาจะตามไปดูเล็ก ยังไงฝากภาคดูแลน้องด้วยนะลูก ถ้าต้องตรวจพิเศษอะไรก็ตรวจเลยนะลูก ” อธิบายเหตุเสร็จ ไม่วายที่มารดาจะหวนกลับมาฝากฝังลูกสะใภ้

“ เดี๋ยวคู่กรณีเขาจะมาที่นี่ ระหว่างนี้เธอก็นอนพักซะ ฉันจะไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่าย ” เขาบอกเท่านั้นก็ทิ้งคนเจ็บให้นอนให้น้ำเกลืออยู่ในห้องฉุกเฉินคนเดียวก่อนที่หญิงสาวมัดผมหางม้าจะผลักประตูเข้ามาในห้องฉุกเฉิน หันรีหันขวางมองหาเตียงที่เพื่อนนอนจนพบก็รีบเข้าไปหา

ร่างสูงบางชะโงกใกล้ เงาดำบดบังแสงจากหลอดไฟทำให้คนบนเตียงรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าเปื้อนเหงื่อและการหอบหายใจของผู้มาเยี่ยม

“ สารู้ได้ยังไงว่าเราอยู่โรงพยาบาลนี้ แล้วคุณวิกานดาเธอเป็นยังไงบ้าง ”

“ ขอเบอร์จากคนในบ้านคุณภาค แล้วโทรมาถามนะสิ ” ไขความกระจ่างไปเรื่องหนึ่งก่อนจะต่อ “ ส่วนแม่คู่หมั้นของคุณศิระที่ขับรถเกือบชนเล็กนะเหรอ ก็ไม่เห็นทำอะไร จะโทรเรียกประกันหน่อยก็เปล่า เอาแต่ยืนเฉยๆ พอดีแม่ใหญ่ของเล็กเขาออกไปข้างนอกกลับมาเห็นเข้าเลยมาจัดการให้หมด ทั้งเข้าไปเคลียร์กับป้าพิณของเล็ก ทั้งไกล่เกลี่ย ออกหน้าดูแลยิ่งกว่าประกันขนาดนี้ ไม่ได้แต่งกับคุณศิระก็แย่ล่ะ ” ร่ายยาวถึงเหตุการณ์ภายหลังจากเกิดเหตุอดระแหนะระแหนไม่ได้

“ เราทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันไปหมดจริงๆด้วย...ขนาดสาเองยังไปดูร้านไม่ได้เพราะมัวแต่ห่วงเรา ” ตัดพ้อต่อว่าตัวเองในความผิดที่ไม่ได้ก่อ รสาถอนใจเอื้อมมือไปลูบผมของเพื่อนไว้

“ เล็กไม่ได้ผิดสักหน่อย เรื่องที่เกิดก็มาจากความประมาทของแม่คนนั้นต่างหาก อย่างว่าคนรวยมันก็สักแต่ขับเป็นอย่างเดียว ตรวจสภาพรถไม่เป็นก็อย่างนี้แหละ ” พูดพร้อมกับส่ายหน้าเอือมระอากับพฤติกรรมคนมีเงินในประเทศนี้

“ อย่าไปว่าคุณวิเธอเลย...เรื่องนี้มันสุดวิสัยนะ เท่านี้เธอก็คงรู้สึกไม่ดีมากแล้ว ”

“ คิดอย่างนั้นเหรอ ” พูดจบคราวนี้ก็เงียบไปยาวราวกับมีอะไรในใจแต่ไม่อยากกล่าวถึง เฝ้ามองน้ำเกลือที่หยดลงมาตามสาย สักพักภาควัฒน์ก็หิ้วถุงกระดาษใบใหญ่ประทับตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งกลับเข้ามา

รสาแย้มริมฝีปากให้เขาเล็กน้อย เอ่ยทักทายอีกนิดหน่อยก็พอดีกับที่มลธิกาจะจูงมือวิกานดาที่หอบกระเช้าเครื่องดื่มรังนกสำเร็จรูปใบใหญ่ตามเข้ามาในห้องฉุกเฉินเพื่อเยี่ยมดูอาการของหลานสาวและให้ว่าที่คู่หมั้นหลานชายได้มาขอขมา

ชายหนุ่มถอยหลังออกไปแล้วกอดอกเช่นเดียวกับรสา ปล่อยให้มลธิกาถามไถ่อาการอยู่พักใหญ่ ก็ดันร่างคนที่มาด้วยให้เข้ามาใกล้ได้ขอโทษขอโพยกันอย่างเป็นทางการ

วิกานดายกกระเช้าวางไว้บนเตียง คว้านมือลงในกระเป๋าหยิบสมุดเช็กเงินสดออกมาเซ็นชื่อแล้วยื่นให้ด้วย

“ วิไม่ทราบมาก่อนว่าคุณป้ามีหลานสาว เป็นคนกันเองแบบนี้ก็ดีเหมือนกันคะ จะได้ไม่ยุ่งยาก จัดการเองไม่ต้องเคลมกับประกัน ส่วนนี่เป็นค่าทำขวัญกับค่ารักษานะคะ อยากได้เท่าไหร่ก็กรอกเลยนะคะ ”

ผู้เสียหายมองเช็กเงินสดไม่ระบุจำนวนเงินแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก แม้อีกฝ่ายจะยิ้มแย้มแสดงความจริงใจก็ตาม...เหลือบมองใบหน้าของผู้เป็นป้าเหมือนกับจะถามความเห็นว่าควรรับไว้หรือปฏิเสธดี ลังเลเช่นนั้นก็ถูกมือใหญ่ฉวยกระดาษยาวใบนั้นมา

ภาควัฒน์เหยียดมุมปาก ฉีกเช็กเงินสดออกเป็นสองส่วน ขย้ำเป็นก้อนยัดใส่กระเช้าแล้วส่งคืนทุกอย่างที่คู่กรณีนำมาให้ ลักษณาการไร้ความรู้สึกผิดกับการกระทำนั้นคล้ายจงใจหักหน้ามลธิกาและหญิงสาวที่มาด้วยกัน

“ ผมไม่ได้ขัดสนขนาดต้องเอาเศษเงินใครมารักษาเมียตัวเอง ถ้าคุณแสดงความจริงใจได้แค่นี้ เชิญเก็บปากเก็บคำเก็บของออกไป ถ้านับหนึ่งถึงสิบแล้วคุณยังเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ ผมไม่รับรองความปลอดภัยของคุณแน่ ”

ศศิวิมลเหลียวมองผู้เป็นสามี วาจาร้ายแรงปกป้องความรู้สึกราวกับเข้าใจในความคิดของกันนั้นทำให้อ้าปากค้าง ส่วนรสาเผลอหัวร่องอหายด้วยสาแก่ใจที่ไฮโซสาวถูกตอกจนหน้าแทบหงาย

วิกานดาสบสายตาคมคายที่แม้จะเรียบเฉย หากประโยคของเขาทิ่มแทงให้เจ้าของรถสปอร์ตคู่กรณีหน้าเสีย ริมฝีปากแต้มสีชมพูหวานเม้มแน่น ในฐานะทายาทนักธุรกิจโรงแรมเคยชินกับการมีคนพะเน้าพะนอพอเจอคนหมิ่นเกียรติก็ทนไม่ได้ หิ้วตะกร้าสะบัดหน้าเดินหนีไป

มลธิกาย่นหน้าผากจ้องหน้าลูกชายของเพื่อน สื่อสารความรู้สึกผิดหวังและอับอายผ่านดวงตาทั้งคู่

“ ป้าไม่คิดเลยว่าภาคจะใจร้ายได้ขนาดนี้...อุบัติเหตุนะไม่มีใครเขาอยากให้เกิดหรอกนะ หนูวิเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ อุตส่าห์มาขอโทษ ให้เงินรับผิดชอบ ทำไมภาคยังไปพูดจาไม่ดีใส่เขาอีก ”

“ ผิดแล้วครับป้ามล...อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นมาจากความประมาท ถ้าเขาไม่อยากให้เกิดทำไมไม่ตรวจเช็กรถให้ดีหรือขับรถให้ช้ากว่านี้ อีกอย่างผมขอเถอะครับเลิกใช้คำว่า อุตส่าห์มาขอโทษเถอะ คำนี้มันดูเหมือนมาแบบเสียไม่ได้มากกว่าเต็มใจจะมา อย่าลืมสิครับว่าเล็กเป็นหลานสาวของป้ามล แทนที่จะเลือกใช้คำรักษาน้ำใจกันก็ไม่ทำ สนใจอะไรแค่คนนอกนักครับ ” ถ้อยความยาวจี้จุดในใจของหญิงสูงวัยให้นิ่งงันไปชั่วขณะ

จริงดังว่า นางสนใจแต่จะให้คนนอกเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านเพื่อตัดปัญหายุ่งยากในอนาคต จนลืมเอาใจใส่หลานสาวแท้ๆของตนเองไปเสียสนิท

“ ป้าขอโทษนะเล็ก ” นางเอ่ยเบา ลูบผมของหลานสาวนุ่มนวล “ ป้าต้องขอโทษภาคด้วยเหมือนกันที่ต่อว่าเรา แต่ป้าเชื่อว่าหนูวิเขาไม่ได้เจตนาทำให้ทั้งภาคและเล็กรู้สึกไม่ดีหรอกนะ ไว้ยังไงวันหลังป้าจะให้หนูวิเขามาขอโทษอีกทีนะ ” นางว่า ล่ำลาหลานสาวกับคนอื่นตรงนั้นได้ก็เดินออกจากห้องฉุกเฉินเงียบๆ ไม่กล้าเหลียวหลังไปเพราะกลัวใครจะรู้ถึงความทุกข์ทนที่นางเก็บซ่อนไว้

...ความลับอันเป็นรอยมลทินที่แปดเปื้อนอังคพิมานมานานหลายสิบปี ร่องรอยความอัปยศอดสูที่มลธิกาพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก...
*******************

ท้องถนนในยามค่ำคืนวันศุกร์แน่นขนัดและติดขัดเต็มไปด้วยรถราของนักท่องราตรี แท็กซี่จอดชิดขอบฟุตบาทต่อกันเป็นแถวยาวกีดขวางการจราจรยิ่งทำให้การสัญจรกลางใจเมืองย่ำแย่ โชคดีที่เจ้าของร้านอาหารกึ่งผับรู้ดีถึงความหฤโหดในวันนี้ดีจึงเลือกใช้จักรยานยนต์เดินทางไปหาเพื่อนแทนรถยนต์ ความคล่องตัวของมันทำให้ซอกแซกไปได้เร็วกว่ามาก

รสาหยุดรอสัญญาณไฟแดงตรงสี่แยก มองซ้ายมองขวามองรถยนต์สวยรายรอบที่จอดรอไฟเขียวและตึกรามร้านรวงข้างถนนที่เปิดไฟสว่าง วิถีชีวิตคนกลางคืนเริ่มต้นอย่างคึกคักหากก็มิใช้เช่นนี้ทุกวัน สภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวทำให้คนหาค่ำกินเช้าต้องลุ้นระทึกถึงผลประกอบการวันต่อวันว่าคุ้มพอจะลงทุนต่อหรือพับปิดกิจการไป

กว่าจะหลุดจากการจราจรติดขัดซึ่งเป็นของคู่เมืองหลวงในหลายประเทศรวมทั้งเมืองไทยจนมาถึงหน้าร้านของตนเองได้ก็กินเวลาร่วมชั่วโมง หญิงสาวยกรถของตนเองขึ้นจากฟุตบาทเข็นไปจอดเป็นพรอบในสวนเล็กที่จัดไว้สร้างบรรยากาศร้านเชิญชวนลูกค้าต่อ พนักงานที่เสิร์ฟเหล้าให้ลูกค้าเหลือบเห็นก็เข้ามาทักทาย

ระหว่างที่ยืนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ดวงตาเจ้ากรรมก็เหลือบเห็นคู่ชายหญิงเดินผ่านไปและเมื่อหันไปสังเกตจริงจังก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตเนื้อดีพับแขนถึงข้อศอก โอบประคองร่างอรชรของหญิงสาวผมยาวเหยียดเกือบถึงสะโพก

หากมองจากมุมด้านหลัง รสาต้องยอมรับว่า ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงคลับคล้ายคลับคลาสองพี่น้องตระกูลอังคพิมานเหลือเกิน ดีที่วันนี้หล่อนอยู่ส่งเพื่อนขึ้นรถกลับบ้านประกอบกับเสื้อผ้าที่ผู้หญิงคนนั้นสวมใส่ก็รัดรึงสั้นเต่อเกินกว่าจะใช่ศศิวิมลคนเรียบร้อยที่ตลอดการคบหากันมีแต่ถูกคนในบ้านกักขังให้อยู่ในกรอบ ส่วนพี่ชายของเพื่อนก็คงอยู่ในอารมณ์เศร้าหมองคงไม่มาเที่ยวในสถานบันเทิงแถวนี้ ถึงแม้ตนเองจะเคยเห็นเขามาบ้างก็ตาม

“ ก็แค่เหมือน ” หล่อนว่าพลางยิ้มขำ ก่อนริมฝีปากจะหุบลงทันควันในจังหวะที่เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่หันมากระซิบกระซาบพ่นลมหายใจอุ่นข้างหูแผ่วเบาแสดงความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเจนจัดสังเวียนรัก ส่วนคู่ควงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มอายุอานามไม่น่าเกินยี่สิบเหมือนสาวญี่ปุ่นก็ใช่ย่อย เจ้าหล่อนแสร้งทุบอกกลับใส่จริตจก้านเต็มที่

“ เวรตะไล ” เจ้าของร้านสาวสบถเสียงดังจนพนักงานที่สนทนาด้วยกับลูกค้าสะดุ้งนึกว่าถูกด่า ผละจากร้านวิ่งลงไปในฝูงชนนักตระเวนราตรีและรถราเพื่อตามหลังสองหนุ่มสาวคู่นั้น หากสุดท้ายก็ไล่ไม่ทันต้องจำใจยอมปล่อยให้ทั้งคู่ขึ้นรถขับหายไปต่อหน้าต่อตา

หญิงสาวทิ้งตัวทรุดลงนั่งกับทางเดินหน้าผับหนึ่ง หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งไล่ตาม...ความจริงการที่ทายาทอังคพิมานโฮเต็ลจะมาปลดปล่อยความทุกข์ พาผู้หญิงไปสร้างความสุขก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ต้องตามออกมาเพราะผู้หญิงคนที่เขาควงไปต่างหาก

...เหมือนกันมากราวกับจงใจจะใช้เป็นตัวแทนของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งรสาเองรู้ว่าประทับในดวงใจของศิระมาโดยตลอด และความเหมือนเกินไปนั่นแลที่ทำให้พยายามจะเข้าไปปรามหรือเตือน ก่อนจะมีใครล่วงรู้เรื่องนี้เข้าแล้วทุกอย่างจะบานปลายกลายเป็นไฟลามทุ่งที่อาจผลาญเพื่อนให้รู้สึกชอกช้ำทรมาน

อารมณ์ของรสาในยามนั้นระคนปนเปกันจนยากจะบอกว่าเป็นเช่นไร ทว่าในใจของหล่อนกำลังรำพึง

...หากวันหนึ่งความเสน่หาของผู้เป็นพี่ถูกเปิดเผยเมื่อไหร่ คนเป็นน้องอย่างศศิวิมลย่อมต้องมีแผลสำคัญในใจให้จารจำไปจนวันตายแน่นอน...





ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2554, 01:52:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2554, 01:58:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 2345





<< บทที่ 8   บทที่ 10 >>
violette 8 ส.ค. 2554, 11:44:56 น.
สงสารศิระจังเลยค่ะ หวังว่าคงไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ
นายภาคตอนเด็กก็น่าสงสารไม่น้อยแต่นะ แค้นแล้วแก้แค้นแบบนี้ก็ไม่ไหว
น้องเล็กนี่น้องน้อยบอบบางแต่ใจเธอสูงและเข้มแข็งมากๆ
รออ่านต่อนะคะ ชอบมากค่ะ


anOO 8 ส.ค. 2554, 14:10:31 น.
เฮ้อยัยวิ เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับพี่ภาค
เฮียแกขาโหดนะ รู้ไว้ซะด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account