พันธนา
สำหรับบางคน พันธนาการอาจเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ

แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1

บรรยากาศหม่นหมองรอบตัวเริ่มจางลงบ้างแล้ว หลังจากเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าเมื่อเดือนก่อน รศนาหายฟูมฟายที่รุ่นพี่ที่ตามปลื้มมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งต้องจากไปก่อนวัยอันควร อาจเพราะตอนนี้เธอมีเป้าหมายใหม่ เป็นหนุ่มต่างคณะที่ลักษณะดูไม่ไกลเกินเอื้อม ต่างจากรุ่นพี่คนก่อนที่เป็นหนุ่มเนื้อหอมเจ้าสเน่ห์และไม่มีทีท่าอะไรต่อเธอมากเกินกว่าแค่หมาหยอกไก่ไปวันๆ

"เป้าหมายมาแล้ว ที่สิบสองนาฬิกา"

แล้วไอ้สิบสองนาฬิกานี่มันอยู่ตรงไหนกันล่ะยะ...มะลิกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนหันมองรอบตัว เผื่อว่าสายตาจะปะทะกับเป้าหมายที่ไหนสักแห่ง สองสามวันมานี้เธอได้ยินรศนาพูดถึง "เป้าหมาย" เสียจนหูชา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรน่าพูดถึงเลยสักนิด อย่างเช่น วันนี้พี่ธีใส่เสื้อแขนยาวสีขาว (ทั้งมหา'ลัย ใครๆ เขาก็ใส่สีนี้มาเรียนกันทั้งนั้นแหละย่ะ) หรือไม่ก็ พี่ธีสั่งข้าวราดผัดกะเพราแหละแก๊... (ฉันก็สั่งนะ ของฉันมีไข่ดาวด้วย เจ๋งกว่าตั้งเยอะ)

จะว่าไป เธอว่ารศนาดูคลั่งหนุ่มลูกครึ่งไทย-ไชนีสคนนี้ มากกว่ารุ่นพี่คางผ่าหน้ายุโรปคนที่แล้วเสียอีก

"เห็นแล้วๆ" มะลิบอกเพื่อนพลางนึกในใจ...อ้อ ตรงนี้เอง สิบสองนาฬิกา...เธอลอบมองชายหนุ่มอย่างสังเกตสังกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนถาม "ว่าแต่ แกเรียกให้ฉันดูทำไมน่ะ"

"พี่เขาเปลี่ยนกรอบแว่นใหม่ด้วย"

ใหม่ตรงไหนวะ...มะลิหรี่ตามอง ก่อนคิดขึ้นได้ว่า อันที่จริง ต่อให้เปลี่ยนกรอบแว่นจากสีดำเป็นสีแดง เธอก็ไม่รู้ถึงความแตกต่างอยู่ดี...จะไปรู้ได้ยังไง ก็เธอไม่เคยสนใจมองเลยนี่นา

"ว้าว หล่อขึ้นจมเลย" น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะคลั่งเสียจนไม่แยกแยะ สาวอวบออกแรงเขย่าแขนเพื่อน แถมยังเออออห่อหมกไปด้วย "เนอะแก หล่อเนอะ น่ารักมากเลยอ่ะ"

อาการหนักละ...

"ฉันว่าเราไปซื้อขนมตุนกันไว้ก่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวต้องรวมกลุ่มทำรายงานแล้ว มัวแต่เหล่พี่ธี ไม่ทันได้ซื้อขนมกันพอดี"

"แกนี่มันเด็กชะมัด ปีสามแล้วยังกินแต่ขนมเด็ก" คนที่เชื่อว่าตัวเองเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวออกปากตำหนิ ยังบ่นไม่ทันจบก็ถูกเบรกเอี๊ยดด้วยไม้ตาย "งั้นไม่กินละ ไม่ต้องซื้อแล้วก็ได้" เลยต้องรีบหุบปาก ไม่ใช่เพราะห่วงว่าเพื่อนจะโกรธ แต่เพราะกลัวจะไม่ได้ไปเลือกซื้อขนมที่ตัวเองถูกใจมากกว่า

สองสาวเร่งฝีเท้าไปยังร้านค้าของมหาวิทยาลัย พยายามรีบซื้อรีบเสร็จด้วยทั้งคู่ไม่อยากไปสายเพราะเพื่อนอีกสองคนที่อยู่กลุ่มรายงานเดียวกัน (ด้วยวิธีจับฉลาก) ไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ติดว่าต้องช่วยกันทำรายงานฉบับนี้ คงคุยกันแทบจะนับครั้งได้ รายแรกเป็นหนุ่ม แม้จะไม่ใช่ตัวท๊อปของห้องแต่เขาก็เป็นมันสมองของกลุ่ม รายที่สองเป็นสาวเจ้าระเบียบแว่นหนา ชนิดที่ว่าตีเส้นเบี้ยวแค่นิดเดียวก็ถูกบอกให้ไปแก้มาใหม่ เจ้าหล่อนเป็นพวกรักความสมบูรณ์แบบ จู้จี้กับตัวเองไม่พอ ยังพลอยมาจู้จี้กับคนอื่นด้วย

โคล่า น้ำส้มคั้น ชาเขียวสูตรไม่ใส่น้ำตาลและน้ำเปล่าอย่างละ 1 ขวด...แม้ไม่มีใครฝากซื้อ แต่สองสาวก็ซื้อฝากสมาชิกทุกครั้ง มะลิเลือกปลาเส้นกับถั่วลิสงอบกรอบถุงใหญ่ ในขณะที่รศนายืนชั่งใจอยู่หน้าชั้นวางมันฝรั่งทอด...ใจหนึ่งอยากกินรสบาร์บีคิวกับรสซาวด์ครีม แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่าขืนซื้อไป ยัยแว่นหนาหน้าบอกบุญไม่รับต้องบ่นเธออีกแน่ๆ ว่า "ซื้อมาแต่ของไม่มีประโยชน์ ก่อนหยิบพวกเธอไม่ได้พลิกดูปริมาณแคลอรี่หลังห่อเลยเหรอ"

ไม่ใช่แค่ของทอด แต่ดูท่าแววตาจะแอนตี้ของอร่อยทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต (หวาน น้ำตาลเยอะ) มันฝรั่งทอด (ของทอดเป็นสิ่งต้องห้าม) ขนมถุงกรุบกรอบ (โซเดียมสูง) แม้กระทั่งนมเปรี้ยว (ไม่มีแบบโลว์แฟตเหรอ?) ของที่เจ้าหล่อนเลือกทานจะเป็นของที่พิจารณาแล้วพิจารณาอีกว่ารสชาติดีและมีผลเสียต่อร่างกายน้อย สุดท้ายรศนาจึงเลือกหยิบมันฝรั่งทอดกรอบรสบาร์บีคิวถุงใหญ่ 1 ถุง กับกล้วยอบอีก 1 ถุง พร้อมคิดข้ออ้างเสร็จสรรพ...นี่ฉันหยวนให้แล้วนะ ไม่เอาที่อยากกินมาทั้ง 2 ถุงก็ดีตั้งเท่าไหร่แล้ว

สองสาวช่วยกันหอบหิ้วถุงขนมและเครื่องดื่มมาที่หน้าเคาวน์เตอร์ชำระเงิน ตกลงกันไว้ว่าช่วยออกคนละครึ่ง แต่ก่อนจ่ายเงินเกิดเถียงกันขึ้นมาเล็กน้อย มะลิมองว่าขนมที่เลือกกันมา รวมแล้ว 4 ถุงใหญ่ดูมากเกินไปสำหรับ 4 คน โชคดีที่ในตอนนั้นยังไม่มีใครมาต่อคิวชำระเงิน สองสาวเลยมีเวลาเปิดศึก (เป่ายิ้งฉุบ) เพื่อเลือกขนมออก สุดท้ายก็ต้องคืนถั่วลิสงอบกรอบเพราะกระดาษชนะค้อน คนแพ้ถึงกับบ่น “แกไปฝึกวิชาเป่ายิ้งฉุบมาจากไหนกันนะ ทำไมฉันแพ้แกตลอดเลย” แต่ก็ยอมตัดถั่วลิสงที่อยากทานออกจากรายการแต่โดยดี

"140 บาทค่ะ" พนักงานแจ้งยอดเงินหลังจากรัวนิ้วใส่เครื่องคิดเลขอย่างคล่องแคล่ว เอ่ยอย่างเป็นมิตรว่า "ส่วนขนมที่ไม่รับ วางไว้ตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะเอาไปเก็บที่ชั้นให้"

มะลิรับเงินครึ่งหนึ่งจากรศนา ก่อนเปิดกระเป๋าสตางค์ของตัวเองเพื่อหยิบเงินอีกครึ่งหนึ่ง ในระหว่างที่กำลังรอพนักงานคิดเงินหยิบของใส่ถุง หญิงสาวเผลอร้อง "อ๊ะ!" ขึ้นมา แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอจะเรียกความสนใจจากเพื่อนสนิทที่ยืนข้างตัวได้

"มีอะไรเหรอมะลิ คิดเงินผิดเหรอ" ประโยคหลังทำให้พนักงานคิดเงินเงยหน้าขึ้นมอง

"เปล่าๆ ไม่มีอะไร" เธอปฏิเสธพลางหยิบถั่วลิสงอบกรอบที่ตั้งใจจะยกเลิกไปทีแรก ยื่นให้พนักงานคิดเงิน "เพิ่งนึกได้ว่าอยากกินถั่วม๊ากมาก...ขอถุงนี้ด้วยค่ะ"

"ไหนเมื่อกี๊บอกว่าเยอะไปไง"

"อันนี้ฉันออกเอง" เธอควักธนบัตรใบละ 20 ในกระเป๋ามาเพิ่ม "จะเอากลับไปกินตอนนั่งอ่านหนังสือที่บ้าน"

"ให้แยกถุงไหมคะ"

"ไม่เป็นไรค่ะ ใส่รวมกันไปเลย" ท่าทางที่เร่งรีบมากขึ้น ทำให้พนักงานคิดเงินนึกแปลกใจ และความแปลกใจนั้นแสดงออกทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง "คือ...นัดเพื่อนทำรายงานเอาไว้น่ะค่ะ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ครั้งที่แล้วไปสายหนหนึ่ง"

"สายตรงไหนแก พวกเราไปก่อนตั้ง 2 นาที นาฬิกาของยัยแว่น...เอ๊ย...ยัยยิ้มไม่ตรงกับของพวกเราเองต่างหาก"

"เอาน่า รีบไปกันเถอะ" มะลิรับถุงขนมจากพนักงานคิดเงินพร้อมขอบคุณอย่างสุภาพ ก่อนหันไปบอกเพื่อน "เสร็จไวก็ได้กลับไวน่า"

รศนาพยักหน้าเออออกับเพื่อนทั้งที่ยังขัดใจ...ยัยมะลินี่ก็พิกล จะไปกลัวยัยแว่นหนาทำไมก็ไม่รู้


อาคมกับแววตานั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหิน มองไกลๆ เหมือนสองคนคงเริ่มทำรายงานกันไปแล้วเพราะสีหน้าท่าทางดูคร่ำเคร่งจริงจัง อีกทั้งยังกางหนังสือสำหรับค้นคว้าอีกหลายเล่มค้างไว้ ฝ่ายหลังมองลอดแว่นตามายังสองสาวด้วยสายตาคมกริบ มะลิกับรศนาจึงเร่งฝีเท้าพร้อมหอบถุงขนมตามไปสมทบ

“บ่ายสามโมงสามสิบห้านาที” แววตายกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมอง ก่อนปรายสายตาไปยังข้อมือของสองสาวที่กำลังยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างโต๊ะม้าหิน “อ้อ...เพราะพวกเธอไม่ได้ใส่นาฬิกามานี่เอง” เจ้าหล่อนพยักหน้าเหมือนเข้าอกเข้าใจ ขัดกับคำพูดที่ฟังยังไงก็รู้ว่าแดกดัน “แต่อันที่จริง โทรศัพท์มือถือก็ใช้ดูเวลาได้เหมือนกันนะ”

“แค่ห้านาที บ่นเป็นป้าแก่ไปได้” รศนาย้อนทั้งที่ยังหอบอยู่ เธอยกมือขึ้นโบกลมเข้าหาตัวเอง “ฉันกับมะลิก็รีบมาที่สุดแล้ว”

คนโดนว่าเป็นป้าแก่ไม่ต่อคำเรื่องมาสาย แต่หยิบถุงมันฝรั่งทอดกรอบที่เพิ่งถูกวางไว้บนโต๊ะมาพลิกดูหลังห่อ กวาดตามองหาปริมาณแคลอรี่ต่อหน่วยแล้วอุทานด้วยท่าทีที่ดู...น่าหมั่นไส้พิกล “ตายจริง...”

“ไม่ตายย่ะ อันนั้นของฉัน” รศนาฉกถุงมันฝรั่งทอดของโปรดกลับแล้วยื่นถุงกล้วยอบให้แทน “เธอน่ะ กินอันนี้ไป”

ถึงจะใช้กรรมวิธีอบ แต่น้ำตาลที่เคลือบอยู่รอบๆ จนเป็นเงาทำให้แววตาใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบถุงกล้วยอบขึ้นมาด้วยสีหน้าเหมือนเห็นภาพสยองขวัญพร้อมส่งสายตาแทนคำถามว่า น้ำตาลเพียบขนาดนี้ มันดีกว่ามันฝรั่งทอดกรอบตรงไหน พอเห็นรศนาที่กำลังแกะถุงมันฝรั่งทอดกรอบมองกลับตาใส ไม่เข้าใจความหมายที่เธอสื่อ จึงว่า “กล้วยอบเนี่ยนะ?”

“ใช่” คนตอบตอบหน้าซื่อขณะส่งมันฝรั่งชิ้นหนึ่งเข้าปาก “กล้วยเป็นผลไม้ เธอกินได้ เชื่อฉันสิ มีประโยชน์นะ”

“ทำรายงานกันเถอะ” อาคมรีบเบรคก่อนที่แววตาจะฟิวส์ขาดเพราะแม่สาวตรงหน้า ไม่อย่างนั้นคงได้ฟังแลคเชอร์เรื่องอาหารมีประโยชน์ มีโทษและแคลอรี่ต่อหน่วยกันอีกนาน “นี่เป็นส่วนของเรากับของยิ้ม”

เอกสารของอาคมและแววตาดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ของอาคม ข้อมูลที่ถ่ายเอกสารมาถูกระบายสีในส่วนสำคัญเอาไว้แล้ว ในขณะที่ของแววตาละเอียดขึ้นไปอีก คือแยกสีเป็นสองส่วน ส่วนที่สำคัญมากใช้สีเหลืองสะท้อนแสง และส่วนที่สำคัญรองลงมาหรืออาจถูกตัดออกในภายหลังถูกระบายด้วยสีส้ม

สองสาวหยิบข้อมูลส่วนของตนขึ้นมาบ้าง ของมะลิมีจำนวนไม่มากเพราะคัดมาเฉพาะข้อมูลที่ต้องการจริงๆ ส่วนสำคัญจะถูกปากกาหมึกแดงตีเส้นใต้ข้อความไว้แบบโย้ๆ (ซึ่งแววตาขัดใจมาก เพราะดูไม่เรียบร้อย เธอยื่นไม้บรรทัดขนาดเล็ก ความยาว 15 ซม. ให้มะลิพร้อมเอ่ยว่า ฉันยกให้) ส่วนของรศนาเน้นปริมาณเป็นหลัก...อันที่จริง เธอดูแค่หัวข้อหลักแล้วก็สำเนามาโดยที่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดจริงๆ จังๆ เสียด้วยซ้ำ (ซึ่งแววตาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ค่อนว่า ทำไมเธอไม่หยิบหนังสือมาทั้งเล่มเลยล่ะ จะถ่ายเอกสารให้เปลืองกระดาษทำไม)

“ถ้าอย่างนั้น นา...เธอเอาไปพิมพ์มาก็แล้วกันนะ” แววตาสรุปหลังจากที่ระดมสมองกันมากว่าสองชั่วโมง เธอให้เหตุผลหลังจากที่รศนาร้อง อ้าว...เสียงดัง “เพราะเธอเอาแต่กินขนมน่ะสิ ตอนที่พวกเราคุยงานกัน เธอก็แทบจะนั่งหลับ” หญิงสาวขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนว่าต่อ “ที่สำคัญนะ การที่เธอหอบเอกสารปึกหนาๆ มาสุ่มๆ แบบนี้ เท่ากับทำให้พวกเราต้องมานั่งอ่านเอกสารส่วนของเธอทั้งหมดอีก ทั้งที่เนื้อความที่ต้องใช้จริงๆ มันมีแค่ไม่เท่าไหร่ แถมยัง...”

“โอเค ฉันพิมพ์เอง” รศนารีบกอบเอกสารมาตอกๆ เก็บใส่กระเป๋าก่อนที่ยัยแว่นหนาจะบ่นมากไปกว่านี้ เธอโอดหน้าเง้า “ไม่เห็นต้องว่ากันขนาดนั้นก็ได้”

“ฉันไม่ได้ว่า แค่พูดไปตามความจริง”

“คนใจร้าย”

“พอเถอะ อย่าเถียงกันอีกเลย” อาคมรีบห้ามเพราะเห็นท่าไม่ค่อยดี รายงานฉบับนี้ยังต้องนัดกันอีกหลายครั้งกว่าจะถึงวันส่งซึ่งก็คือต้นเดือนหน้า ไหนจะต้องรายงานหน้าห้องอีก มาตีกันตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำไปได้ไม่เท่าไหร่คงไม่ดีแน่ “นา เอกสารมันก็เยอะอยู่ แบ่งมาให้เราพิมพ์บ้างก็ได้”

“คมไม่ว่างหรอก ต้องทำงานพิเศษ” แววตาแทรกเสียงขุ่น “นี่ก็รีบไปได้แล้วมั้ง อีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็ต้องเข้างานแล้ว ไหนจะรถติดอีก”

รศนามองชายหนุ่มตาปรอย โถ...พ่อฮีโร่ อุตส่าห์เสนอตัวช่วยแท้ๆ แต่ยัยแม่มดใส่แว่นดันมาขัดคอเสียได้ “ไม่เป็นไรหรอกคม ไม่รบกวนดีกว่า เดี๋ยวเราทำเองก็ได้ ขอบใจนะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสาร แต่ดูน่าหมั่นไส้เหลือเกินในสายตาแววตา...พ้อเข้าไป อ้อนเข้าไป ทีตอนเค้าคุยกันหน้าดำคร่ำเครียดดันเอาแต่กินขนม ยัยเด็กไม่รู้จักโต!

“คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว ทำไปมันก็มีประโยชน์ต่อตัวเธอเองด้วย” เอาเถอะ อย่างน้อยเจ้าหล่อนก็ไม่โยกโย้ให้ต้องโมโหไปมากกว่านี้ เธอขยับแว่นขณะยืนขึ้นกล่าวราวสรุปปิดสัมนา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราแยกย้ายกันได้แล้วล่ะ คมรีบไปทำงานเถอะ เดี๋ยวจะสาย ส่วนฉันไม่มีธุระอะไร จะไปห้องสมุดเผื่อเจอข้อมูลน่าสนใจ แล้วพวกเธอสองคน...ถ้าว่างอยู่จะไปกับฉันด้วยก็ได้นะ”

โชคดีที่แววตาก้มมองนาฬิกาพอดี จึงไม่เห็นภาพสองสาวที่กำลังส่ายหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย “ฉันคงต้องกลับเลย พอดีวันนี้ที่บ้านไม่มีคนอยู่ ต้องรีบกลับไปเฝ้าบ้าน” มะลิตอบก่อนหันไปถามเพื่อนสนิท “แกล่ะ”

“ฉันจะไปช่วยแกเฝ้าบ้านด้วย เพราะที่บ้านแกไม่มีคนอยู่ ฉันกลัวแกเหงา” รศนาพยายามตีหน้าใสซื่อแม้จะรู้ว่าไม่แนบเนียนเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมยัยแว่นหนาถึงได้ไม่โวยวายอะไร แถมยังทำหน้าเหมือนกับโล่งใจอย่างไรก็ไม่รู้


เจ้าด่างนอนหมอบรับไอเย็นอยู่ข้างกระถางต้นไม้ มันกระดิกหางพลางเห่าเสียงดังเมื่อเห็นสองสาวเดินหิ้วข้าวหอบของพะรุงพะรังตรงมา มะลิร้องปรามเมื่อมันตะกายใส่ขณะที่เธอกำลังเปิดประตูรั้ว “อย่ามาพันแข้งพันขานะ เดี๋ยวของก็หล่นใส่หัวหรอก”

“สงสัยมันคงจมูกดี ได้กลิ่นลูกชิ้นที่ซื้อมาฝาก” รศนาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ก้มหลงลูบหัวเจ้าด่างพันธ์ผสม เธออยากเลี้ยงสุนัขสักตัวแต่ที่บ้านไม่อนุมัติ จึงมักอุปโลกน์ว่าเจ้าด่างเป็นหมาของตัวเอง “หิวไหมจ๊ะ เดี๋ยวจะเทใส่ชามให้นะ”

“ทำอย่างกับโอ๋คน” ถึงปากจะว่าอย่างนั้น แต่ก็จัดการหาชามพลาสติกใบประจำของเจ้าหมาจรมาให้

อันที่จริงเจ้าด่างเป็นหมาจรที่อยู่ในซอย แต่เพราะที่บ้านของมะลิมีของให้มันกินทุกวัน บางครั้งก็ของเหลือจากมื้อเย็น บางครั้งก็ตั้งใจซื้อมาฝาก หมาจรเลยกลายเป็นหมามีบ้านไปโดยปริยายทั้งที่เจ้าของบ้านไม่เคยเชิญ เป็นอันรู้กันว่าบ้านหลังนี้ หิวก็มีให้กิน ง่วงอยากจะมานอนก็มา แถมเวลาไปซ่าส์กัดกับหมาตัวอื่น ครางหงิงๆ กลับมาก็มีคนหาหยูกยามาทาให้

รศนารับชามมาเทลูกชิ้นใส่ ก่อนหันไปเรียกเจ้าด่างที่เอาแต่ยืนแหงนหน้ากระดิกหางดิ๊กๆ อยู่หน้าประตู “แดน มานี่เร้ว” หญิงสาวเคาะชามพลาสติกลงกับพื้นปูนดังก๊อกๆ “มัวดูอะไรอยู่ เข้าบ้านๆ...”

“ไอ้นา” ยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของบ้านก็วิ่งพรวดหน้าตื่นออกมา “พูดอะไรของแกน่ะ”

“ก็เรียกเจ้าแดนกินข้าวไง” รศนาที่กำลังนั่งยองๆ โดยมีชามพลาสติกคามือกะพริบตามองเพื่อนปริบๆ “ทำไมแกทำหน้าตาพิกลจัง ทุกทีฉันก็เรียกมันแบบนี้นี่นา”

เจ้าด่างผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่ามนุษย์พูดอะไรกัน วิ่งเตาะแตะเข้าบ้าน มันก้มลงงับลูกชิ้นในชาม “แกจะให้ฉันไล่มันไปกินข้างนอกไหม” ถึงจะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงและสีหน้าของรศนาเหมือนจะย้ำหลังจากคำถามว่า...มันเคี้ยวหงับๆ อยู่นี่ จะให้ไล่ไปไหมล่ะ คนใจร้าย

สุดท้าย มะลิจึงทำได้แค่ถอนหายใจ ก่อนว่า “เฮ้อ...เอาก็เอา เข้าก็เข้า” คำหลังเธอบ่นงุบงิบ “อยู่ให้มันถูกที่ถูกทางก็แล้วกัน”


ห้องของรุ่นน้องตกแต่งเรียบง่าย ผนังห้องทาสีครีมปูพื้นด้วยไม้สีเข้มลงแล็คเกอร์เงาวับ นั่นช่วยขับรอยขูดขีดตามพื้นเวลาลากเก้าอี้ให้ปรากฏเด่นชัด (จากร่องรอยที่เห็น แสดงว่ายัยนี่ลากเก้าอี้ไปทั่วห้อง) บนเตียงนอนมีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตุ่นตัวหนึ่งนอนหันหัวไม่ถูกทิศถูกทาง ดูจากสภาพ คาดว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้คงอยู่กับเธอมานานมากแล้ว ผ้าห่มที่วางอยู่ปลายเตียงเป็นเพียงผ้าแพรสีเขียวเข้มซึ่งดูไม่เข้ากันกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดๆ เลยในห้อง (อันที่จริง ดูแล้วก็ไม่มีอะไรเข้ากันเลยสักอย่าง) บนโต๊ะเครื่องแป้งมีเครื่องใช้เครื่องสำอางสภาพเกรอะวางอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น

วิญญาณหนุ่มถึงกับถอนหายใจพลางส่ายหน้า...นี่น่ะหรือห้องผู้หญิง ห้องเขายังดูสะอาดเรียบร้อยกว่าตั้งเยอะ

ฝั่งตรงข้ามเตียงนอนเป็นโต๊ะเขียนหนังสือสีน้ำตาลเข้ม มีเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ควางอยู่ ชั้นหนังสือสีเดียวกันอัดแน่นไปด้วยตำราเรียนและเอกสารวางระเกะระกะ หนังสือการ์ตูนและนวนิยายถูกวางปนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ เขาคงมองที่ชั้นนั้นแค่ผ่านๆ หากไม่ไปสะดุดตากับกรอบรูปสีขาวนั่นเสียก่อน

แดนสรวงสาวเท้าเข้าไปใกล้ชั้นวางหนังสือ เขาว่ามันคุ้นๆ อยู่นา...

ยังไม่ทันได้เห็นภาพนั้นชัดถนัดตา เจ้าของห้องก็พุ่งตัวเข้ามาคว่ำกรอบรูปนั้น เสียงกระแทกปังดังเสียจนกลัวว่ากระจกจะแตก ท่าทางเจ้าหล่อนดูหงุดหงิด หลับตาครู่หนึ่งก่อนลืมตาพร้อมพ่นลมหายใจราวกับระงับอารมณ์บางอย่าง มองดูความเรียบร้อยรอบห้อง ในขณะที่เพื่อนสนิทผลักบานประตูที่ไม่ได้ล็อคกุญแจเข้ามาอย่างถือวิสาสะ

“รกซะขนาดนี้จะหาอะไรเจอไหม อยู่แบบนี้ไม่กลัวงูกัดหรือไง” รศนามองไปที่ชั้นวางหนังสือที่หาความเป็นระเบียบไม่เจอ “นี่แกไม่ได้จัดชั้นหนังสือเลยเหรอ ถ้าจำไม่ผิด คราวที่แล้วก็รกแบบนี้นะ”

“แล้วครั้งที่แล้ว แกหาหนังสือที่อยากได้เจอไหมล่ะ” มะลิย้อนกลับเสียงขุ่นก่อนเร่งเพื่อนว่าจะหาอะไรก็รีบหา ขณะที่ตัวเองทำเป็นหยิบจับของมือไม่ว่าง พออีกฝ่ายหันหลังให้ก็รีบเอากรอบรูปที่หยิบติดมาด้วย โยนใส่ใต้หมอน

“ซุกอยู่นี่เอง” รศนาหาหนังสือเล่มที่ต้องการยืมเจอพอดี มันคือนิยายแปลเล่มหนา หน้าปกเป็นรูปข้อมือที่ถูกตัด ฉากหลังถูกระบายด้วยสีดำกับสีแดง มองปราดเดียวโดยไม่ต้องเห็นชื่อเรื่องก็รู้ว่าคงไม่ใช่นิยายรักหวานแหวว

“นึกยังไงถึงได้อยากอ่าน ปกติเห็นชอบค่อนฉันตลอดว่าอ่านแต่หนังสือชวนสั่นประสาท”

“ก็...ฉันเห็นพี่ธีถือนิยายเรื่องนี้เมื่อวาน ก็เลยอยากลองอ่านบ้างน่ะสิ” รศนาพูดถึงเป้าหมายด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เธอจำชื่อหนังสือไม่ได้ แต่ภาพหน้าปกทำให้นึกออกว่าเคยเห็นหนังสือเล่มนี้จากที่ไหน “พอฉันเห็นหน้าปกปุ๊บ หน้าแกก็งอกขึ้นมาทันทีเลย ฉันจำได้ว่าเคยเห็นหน้าปกแบบนี้อยู่ในห้องแก”

มะลิมองเพื่อนหน้าบูด...เห็นหน้าปกปุ๊บ หน้าฉันก็งอกขึ้นมาเลยรึ...หน้าปกรูปมือถูกตัดเนี่ยนะ...

แดนสรวงหลบมายืนสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้อง ต่อให้สองสาวมองไม่เห็นเขา แต่ก็อดรู้สึกประดักประเดิดไม่ได้ หนสองหนที่หนึ่งในสองมองตรงมาบริเวณที่เขายืนจนเขาไม่แน่ใจนักว่าพวกเธอมองเห็นเขาหรือเปล่า หลายครั้งที่อยากจะแสดงอาการอะไรออกไปเพื่อพิสูจน์ แต่เสียงในหัวบอกให้เขาอยู่เฉยๆ ก่อน และไม่รู้ทำไม เขาถึงได้เชื่อเสียงนั้น

“ได้ของที่อยากได้แล้วก็ลงไปนั่งข้างล่างเถอะ บนนี้ร้อนจะตาย” เพราะเป็นบ้านสองชั้น ช่วงบ่ายที่แดดจัดแบบนี้ ห้องชั้นบนจึงอุณหภูมิสูงกว่าห้องชั้นล่าง มะลิไม่อยากเปิดแอร์ให้เปลืองค่าไฟ เพราะถ้านั่งชั้นล่าง แค่ใช้พัดลมก็เย็นสบายแล้ว

รศนาพยักหน้าเห็นด้วย ไม่เพียงแค่อากาศร้อน แต่ห้องยังมีฝุ่นหนาเพราะอาทิตย์ที่แล้วมะลิไม่ว่างทำความสะอาด แล้วเธอเป็นพวกแพ้ฝุ่นเสียด้วย หญิงสาวเดินนำลงบันไดไปพร้อมกับหนังสือนิยายที่ขอยืม

รอจนกระทั่งสองสาวลงไปชั้นล่าง จึงเหลือเพียงวิญญาณหนุ่มในห้อง ความอยากรู้อยากเห็นที่แล่นขึ้นมาเพราะมีรูปภาพในกรอบสีขาวเป็นตัวดึงดูด ทำให้เขาเดินตรงไปที่เตียงนอนเจ้าของห้อง จำได้แม่นว่าเห็นเจ้าหล่อนซ่อนกรอบรูปไว้ใต้หมอน นึกสงสัยว่ามันรูปอะไร มองไกลๆ มันถึงได้คุ้นตานัก แถมเธอยังพยายามปิดบังไม่ให้เพื่อนสนิทเห็นเสียด้วย อยากรู้นักว่ามันลับแค่ไหน หากขณะกำลังเอื้อมมือใกล้ถึงหมอน น้ำเสียงขุ่นก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“หยุดเลยนะ พี่แดน” เสียงนี้ทำเอาคนถูกเรียกถึงกับสะดุ้ง...นานแล้วที่ไม่มีใครเรียกชื่อเขาแบบนี้ วิญญาณหนุ่มหันขวับไปทางต้นเสียง จึงได้เห็นว่าเจ้าของห้องกำลังยืนกอดอกจ้องเขาอยู่ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ถ้ายังแตะต้องของในห้องนี้อีก มีเรื่องแน่”

ชายหนุ่มจ้องอีกฝ่ายกลับ ลังเลอยากถามว่าเธอเห็นเขาด้วยหรือ แต่อีกใจก็กลัวว่า หากเธอไม่ตอบอะไรกลับมา ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาหวังเอาไว้กลายเป็นศูนย์

แต่ว่า...ทักกันมาขนาดนี้ ถ้ามองไม่เห็นก็คงบ้าเต็มที...สติมาปัญญาเกิด พอคิดดูอีกทีเขาก็ได้คำตอบ แต่ปากไปไวกว่าความคิด เขาเผลอถามเธอออกไปแล้วว่า “มะลิ...เห็นพี่ด้วยเหรอ”

“เรียกกันขนาดนี้ ไม่เห็นล่ะมั้ง” นั่นไง...ไม่น่าถามเลย

มะลิเห็นแดนสรวงตั้งแต่ที่ร้านค้าของมหาวิทยาลัย ยอมรับว่าตกใจที่ได้เห็นดวงวิญญาณของรุ่นพี่คู่อริ ผ่านไปนานเป็นเดือน นึกว่าเขาไปสู่สุคติ (หรือทุคติ) แล้ว เธอพยายามทำเมินเสีย แสร้งไม่มอง ไม่รับรู้ ตั้งแต่เห็นหมอนี่ก็มีลางว่าเรื่องวุ่นๆ ต้องเกิดขึ้นแน่ กลัวว่าจะต้องพลอยวุ่นวายไปด้วยจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่หมอนี่ก็ยังตามมาถึงบ้านจนได้

แถมรศนายังมีส่วนช่วยเปิดทางให้หมอนี่เดินเข้าบ้านเธอได้อย่างสบายใจเฉิบอีกต่างหาก...

“รออยู่เฉยๆ อย่ายุ่งกับของๆ ฉัน มีอะไรไว้คุยทีหลัง ฉันจะลงไปข้างล่าง”

“เดี๋ยวสิ” วิญญาณหนุ่มตั้งท่าจะวิ่งตาม แต่สีหน้ามะลิที่เหมือนจะบอกว่าความอดทนใกล้หมดลงทุกขณะทำให้เขาเปลี่ยนใจ ยัยนี่...ตั้งแต่เขาอยู่ยันเขาตาย ยังโหดใส่ไม่มีเปลี่ยน “เธอไม่กลัวเหรอ”

หญิงสาวชี้หน้าตัวเอง “หน้าแบบนี้เหมือนกลัวไหมล่ะ” เธอยักไหล่ ยิ้มเหมือนเยาะ เสริมอีกว่า “ตอนยังอยู่ฉันยังไม่กลัวพี่เลย แล้วนับประสาอะไรกับตอนตายไปแล้ว...รออยู่บนนี้ล่ะ ไม่ต้องตามลงมา” คำหลังออกไปทางคำสั่งมากกว่าคำขอ...อันที่จริง ตั้งแต่เดินกลับเข้ามาในห้อง เจ้าหล่อนก็เอาแต่สั่งเขาท่าเดียวนั่นแหละ

ถ้าไม่ติดว่านอกจากยัยนี่แล้ว ไม่มีใครมองเห็นเขาล่ะก็ เขาจะเล่นงานยัยตัวแสบให้น่าดูเลย ฮึ่ย...


เมื่อไหร่กันนะ ที่ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องมันถึงหายไป แล้วกลายเป็นคู่อริเสียได้...

ทั้งที่เคยดีกันอยู่แท้ๆ เดินผ่านก็ยิ้มทักทาย เขาพูดคุยกับเธอได้อย่างไม่ขัดเขิน ในตอนนั้น มะลิเป็นเด็กสาวที่ดูประหลาดๆ แต่ไม่มีพิษภัย (ตอนนี้ก็ยังประหลาดอยู่ แต่ดูมีพิษสงรอบตัว) ด้วยความที่ที่นั่งประจำของมะลิกับรศนา อยู่ไม่ห่างจากกลุ่มเขาสักเท่าไหร่ ทำให้ได้พูดคุยทักทายกันอยู่บ่อยๆ บางครั้งเวลาที่เพื่อนเขายังไม่มา เธอยังนั่งคุยกับเขาเสียด้วยซ้ำ ในบรรดากลุ่มเขาทั้งสามคน ดูเธอจะพูดคุยกับเขามากที่สุดด้วยซ้ำ แต่ไหงวันดีคืนดีกลับเรียกเขาเป็น “รุ่นพี่ปากเสีย” ไปได้

เขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอถูกค่อนเป็นคนปากเสียหนักเข้า ก็เลยหลุดปากย้อนใส่เธอว่าเป็น “ยัยเด็กปากมอม” แล้วสองคนก็เข้าหน้ากันไม่ติดนับจากนั้น

จนตายก็ยังนึกไม่ออกว่าถูกเธอโกรธเรื่องอะไร...

ถึงอย่างนั้น วันนี้ตอนที่รู้สึกว่ามะลิสบตากับเขา แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนหัวใจพองโต (ไม่สิ...เขาไม่มีหัวใจแล้วนี่นา) ความหวังที่ริบหรี่ดูสว่างไสวขึ้น มันเป็นช่วงเวลาแห่งความหดหู่ที่ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ในตอนที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเวลาที่เขาไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า คนรักของเขาจะคิดสั้นขึ้นมาเมื่อไหร่

ตอนนี้ ไม่ว่าจะต้องก้มหัวขอร้องใคร เขาก็ยอมทั้งนั้น

แต่เอ...เมื่อตอนจะเดินเข้ามา รู้สึกเหมือนมีอะไรสะกิดใจสักอย่างอยู่นา...



NLaT
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ย. 2559, 09:54:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ย. 2559, 09:54:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 898





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account