พันธนา
สำหรับบางคน พันธนาการอาจเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ
แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ
แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 2
...ตามมาทำไมวะ...
หญิงสาวลืมตัว ตอกเอกสารแรงๆ ลงกับโต๊ะเหมือนกระแทก รศนาเลิกคิ้วมองหน้าเพื่อนด้วยความประหลาดใจ “เป็นอะไรของแก ดูเพี้ยนๆ นะวันนี้”
“มันหลุดมือ” เธอตอบเสียงอู้อี้ วางเอกสารที่แบ่งมาจากรศนาไว้ข้างตัว...หวังว่าตาบ้านั่นจะรู้จักนั่งนิ่งๆ และไม่ไปยุ่งกับข้าวของของเธอนะ
เมื่อตอนที่ยังคุยเรื่องงานกลุ่มที่มหาวิทยาลัย มะลินั่งเงียบ ไม่ออกปากอาสาว่าจะช่วยแบ่งงานส่วนของรศนามาทำ เพราะไม่อยากให้แววตารู้ว่าเธอช่วยเพื่อน คงดีกว่าถ้าแววตามองว่ารศนาเองก็ช่วยงานกลุ่มอย่างเต็มที่เหมือนกัน ในขณะเดียวกัน เธอกับรศนาจับคู่ทำงานด้วยกันมาหลายหนจนรู้ว่าเพื่อนพิมพ์ไม่ค่อยคล่องแถมยังผิดระนาว เมื่อแยกย้ายกันแล้วจึงค่อยเอ่ยปากอาสารับงานบางส่วนมาช่วยทำ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ลีลาให้มากความ รีบแบ่งเอกสารมาให้ด้วยความยินดี เพราะรู้ว่าสปีดการพิมพ์ของตัวเองเร็วกว่าหอยทากคลานแค่นิดเดียว
“ขอบใจนะมะลิ ถ้าแกไม่ช่วย ฉันคงแย่แน่” สาวอวบทำท่าหดคอเมื่อคิดถึงสายตาพิฆาตจากสาวแว่นจอมโหด “ถ้าเสร็จไม่ทันที่นัดกันเอาไว้ มีหวังยัยยิ้มยากเล่นฉันยับแน่ๆ”
“ถึงฉันเป็นเพื่อนแก แต่ฉันก็ไม่เข้าข้างนะ” มะลิเอ่ยอย่างเป็นกลาง เธอเองก็เห็นอย่างที่แววตาเห็นว่านอกจากกินขนมกับนั่งหาว (และสัปหงกในบางที) รศนาแทบไม่ได้ช่วยออกความเห็นเรื่องงานเลย เพียงแต่ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทที่ยอมรับข้อดีข้อเสียกันได้ทำให้ไม่คิดถือสา “คราวหน้าถ้ามีงานอะไรแกก็อาสาไปก่อน เดี๋ยวค่อยเอามาช่วยกัน เขาจะได้ไม่ว่าเอาได้”
หลังจากแบ่งงานกันเรียบร้อย สองสาวช่วยกันทำอาหารง่ายๆ จากวัตถุดิบที่ซื้อมาตามที่ตกลงกันเอาไว้ ตอนเดินเลือกซื้อของก็ช่วยกันแพลนเมนูเสียดิบดี ทั้งคู่อยากทานไข่พะโล้กับหมูทอดเหมือนกัน แต่เอาเข้าจริง ดูท่าเมนูที่คิดไว้จะหรูหราเกินตัว แค่ต้มไข่ปอกไข่ก็บ่นเขี้เกียจกันแล้ว สุดท้ายเมนูไข่พะโล้จึงเหลือแค่ไข่ต้มทานคู่กับน้ำปลา รศนาปอกไข่ต้มเสร็จหนึ่งใบก็ลุกไปตักข้าวมาคลุกใส่ชามให้เจ้าด่างด้วย
“มันเพิ่งจะกินไปไม่ใช่เหรอ”
“ลูกชิ้นสองไม้มันจะไปอิ่มอะไร อันนั้นมันของกินเล่น” เธอวางชามประจำตัวหมาจรไว้ข้างๆ เก้าอี้ของตัวเอง ก่อนตะโกนเรียกเจ้าตัวดีที่นอนหมอบอยู่หน้าประตูบ้าน “เจ้าแดน...มานี่เร็ว มากินข้าว...หิวใช่มั้ยลูก” มันวิ่งหางกระดิกมาหาอย่างรู้งาน รศนาก้มคุยกับมันหนุงหนิง (ด้วยเสียงสอง) แต่ไม่ได้ลูบหัวลูบหางเพราะขี้เกียจเดินไปล้างมือ พอเงยหน้าขึ้นมากลับเห็นเพื่อนกำลังหัวเราะคิกคัก ทำท่าทำทางพิกลนัก
มะลิกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มยืนหน้าบูดอยู่ข้างๆ เจ้าตูบที่กำลังจัดการกับอาหารของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร เขาทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างตัวถัดไป กอดอกจ้องหน้าเธออย่างเอาเรื่อง
แหงล่ะว่าเธอทำได้แค่ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อยากให้รศนารู้ว่าวิญญาณของรุ่นพี่ที่ตัวเคยตามกรี๊ดนั่งอยู่ข้างๆ เดี๋ยวเจ้าหล่อนจะช็อคตาตั้งไปเสียก่อน
รศนามองหน้าเพื่อนตาปริบๆ วันนี้มะลิดูท่าทางเพี้ยนผิดปกติ จู่ๆ ก็หงุดหงิด จู่ๆ ก็อารมณ์ดี “ขำอะไรของแก” เธอมองตามไปยังเจ้าแดนแล้วร้องอ๋อ เพราะรู้ว่าทำไมเจ้าหมาจรพันธุ์ทางถึงได้มีชื่อโก้เป็นหมาฝรั่งแบบนี้
“นี่แกคงไม่ได้แค้นฝังหุ่น ขำเพราะชื่อเจ้าแดนมันหรอกนะ” เธอว่าต่อเมื่อเพื่อนนั่งเม้มปากเหมือนกลั้นหัวเราะแต่ไม่ยอมปฏิเสธ “เหลือเกินจริงๆ นะแก พี่เขาไปดีแล้วแท้ๆ”
ไปดีอะไรล่ะ นั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ แกนั่นแหละ...
“ใช่ เธอมาเกลียดอะไรพี่นักหนา” วิญญาณหนุ่มยื่นหน้ามาเสริมทัพ “ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว จนป่านนี้ยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเธอเหม็นหน้าพี่เรื่องอะไร พี่ยังไม่เคยไปทำอะไรให้เธอสักหน่อย”
“แค้นฝังหุ่นอะไรกัน ฉันไม่ได้แค้นอะไรหมอนั่นเสียหน่อย” มะลิตอบเพื่อนสาวหน้าซื่อ...แบบที่เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าแสร้งทำ “ฉันอโหสิให้หมอนั่นทู๊กกก...อย่าง อยากให้หมอนั่นไปสู่สุขคติด้วยซ้ำ” จะได้เลิกมากวนใจเธอเสียที...เธอยกมือขึ้นประนมท่วมหัว “ไปดีเถอะพ่อคู้ณณณ”
“นิสัยไม่ดี” แม้รู้ว่าเพื่อนมีเรื่องฝังใจเพราะแดนสรวง แต่ไม่คิดว่าจะโกรธได้ยาวนานขนาดนี้ แถมอีกฝ่ายก็เสียไปแล้วด้วย รศนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “เลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นได้แล้ว คิดไปตัวแกเองนั่นแหละจะไม่มีความสุข อีกอย่าง ถึงเขาอาจจะเคยทำไม่ดีกับแกไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะถึงขั้นเลวร้ายอะไรเสียหน่อย”
“แม่ดอกทานตะวัน” มะลิค่อนอีกฝ่ายด้วยฉายาที่รุ่นพี่แสนดีของรศนาเคยเรียกอยู่บ่อยๆ “แกชอบเขา แกก็เข้าข้างสิ”
“ที่ฉันชอบ เพราะเขาเป็นคนดีต่างหาก” รศนาย้ำ “แกควรคิดถึงด้านดีๆ ของเขาบ้างนะ”
ใครให้ของกินมา แกก็ว่าเขาดีไปหมดนั่นแหละ...มะลิยิ่งหน้าหงิกหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มยิ้มแก้มปริ แถมยังพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดแถมยังพึมพำขอบคุณอีกต่างหาก...แหม เขาขากันดีนักนะ
เข้าข้างกันนัก งั้นต้องเจอแบบนี้
“หมอนั่นขอบคุณแกน่ะ”
“พูดอะไรของแก” รศนาเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว ปากยังเคี้ยวหงุบๆ
“ก็หมอนั่นนั่งอยู่ข้างๆ แก” มะลิใช้ช้อนชี้ไปยังที่ว่างข้างๆ เพื่อน จริงๆ มันก็ไม่ว่างสักเท่าไหร่หรอก เพราะแดนสรวงนั่งทำหน้าซึ้งอยู่ “บอกว่าขอบคุณ”
ทีแรกว่าจะไม่บอกไม่เล่า เธอรู้อยู่ว่ารศนาไม่ค่อยถูกกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้เพื่อนรับรู้และเชื่อสนิทใจว่าเธอสื่อสารกับดวงวิญญาณได้จริง แต่คนกลัว แม้จะทำใจยอมรับสภาพและเริ่มปรับตัวได้ ก็ยังไม่วายรู้สึกกลัวอยู่ดี
“อย่ามาตลก” รศนาเริ่มหน้าเสีย แม้จะทำใจแข็งปั้นสีหน้าปกติแล้วก็ตาม...คิดจะแกล้งฉันล่ะสิ “พี่เขาจะมาที่นี่ทำไม อีกอย่าง ถ้ามา เจ้าแดนคงเห่าไปแล้ว”
“เจ้าแดนน่ะนะ จะเห่า”
รศนารู้ว่าเรื่องนี้จริงที่สุด เจ้าแดนไม่เคยเห่าใครเลย มันเป็นหมาอินดี้ที่ยากเข้าใจ จะเห่าแค่เพราะอยากเห่าเท่านั้นเอง ครั้งแรกที่เธอมันเจอเธอ มันก็กระดิกหางต้อนรับ เห่านิดๆ หน่อยๆ ไม่เหมือนหมาตัวอื่นๆ ที่มักจะคำรามหรือเห่าใส่คนแปลกหน้า
เหมือนรู้คิว เจ้าแดนเงยหน้าขึ้นจากชามที่ว่างเปล่า กระดิกหางดิ๊กๆ หันไปทางเก้าอี้ข้างรศนา เธอจ้องเจ้าหมาน้อย...มันเงยหน้ามองอะไรถึงได้ดูตั้งใจนัก จิ้งจกตุ๊กแกก็ไม่มี (อย่างหลังถ้ามี ทั้งเธอทั้งมะลิคงวงแตก) เจ้าด่างเห่าหนสองหนก่อนกระดิกหางคล้ายรอคอยอะไรบางอย่าง
“สงสัยมันจะรอใครพาไปเดินเล่น” มะลิจี้จุดอ่อน
จริงแท้แน่นอน...มะลิอาจจะแกล้งอำเพราะรู้ว่าเธอกลัวผี แต่เจ้าแดนคงไม่อำเธอด้วยแน่ รศนาหลับตาสูดหายใจลึก พยายามระงับสติอารมณ์ ยกมือไหว้เก้าอี้ที่ว่างเปล่า เอ่ยเสียงเบา “ขอตัวนะคะ” ก่อนยกจานข้าว จ้ำอ้าวย้ายที่มานั่งข้างเพื่อนแทน “ของจริงใช่มั้ย นี่มันอะไร ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่”
“เชื่อฉันแล้วเหรอ”
“ฉันเชื่อเจ้าแดนต่างหาก” สาวอวบลงฝ่ามือพิฆาตใส่แขนเพื่อนตัวดีที่หัวเราะคิกคักชอบใจ “ใครจะไปรู้ว่าพี่เขาจะมาหาแกล่ะ ตอนยังอยู่ก็เห็นกัด...เอ๊ย...ต่อปากต่อคำกันตลอด”
“สงสัยติดต่อใครไม่ได้แล้วมั้ง หวยเลยมาลงที่ฉัน...อ้อ...ใช่เสียด้วย” เธอเอ่ยประโยคสุดท้ายเพราะเห็นวิญญาณหนุ่มพยักหน้ารับพอดี แหม...ออกตัวแรงเชียวนะยะ
คนเป็นเพื่อนเอ่ยเสียงลน เกาะแขนมะลิไม่ยอมปล่อย “แล้วทำไมเขาไม่ไปที่ชอบๆ มาแถวนี้ทำไม”
“นั่นสิ ที่ชอบของนายคงไม่ใช่ที่นี่ งั้นนายมาที่นี่ทำไม” เธอหันไปถามวิญญาณหนุ่มรุ่นพี่ สำหรับรศนาแล้ว ภาพที่เห็นคือเพื่อนกำลังหันไปพูดกับเก้าอี้ที่ว่างเปล่า ดูแล้วน่าขนลุกชอบกล “ขาดเหลืออะไรก็บอกมาแล้วกัน ถ้าไม่ยากเย็นประเภทต้องขึ้นเขาไปหามาล่ะก็ ฉันจะทำบุญไปให้”
วิญญาณหนุ่มส่ายหน้า นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เธอพอจะเดาออกเพราะสีหน้านั้นแสดงอาการอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มาหาแค่เพราะต้องการให้ทำบุญให้ แค่นั้นมันจิ๊บจ๊อยเกินไป มะลิถอนหายใจก่อนว่าต่อ “หรือมีห่วงอะไร ห่วงของนายไม่น่าจะมาอยู่แถวนี้นะ”
ดวงวิญญาณส่วนใหญ่ที่ยังไม่ไปสู่สุคติ ล้วนมีห่วงติดพันอยู่กับโลกนี้ บ้างเกิดจากความรัก ความแค้น หรือบางทีก็เพราะความลับ...แน่นอนว่าพอติดต่อกับเธอได้ปั๊บคงขอให้ช่วยเหลือสารพัด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด
หญิงสาวประเมินอยู่ในใจ...หน้าอย่างหมอนี่คงรักใครไม่เป็น ถ้าเป็นเรื่องความแค้น...นิสัยกวนประสาท ปากเสียน่าจะสร้างศัตรูเอาไว้ไม่น้อย ข้อนี้ค่อยเป็นไปได้
หรือเพราะมีความลับ...อันนี้ก็น่าคิด หมอนี่อาจไปทำอะไรหมกเม็ดเข้าก็ได้แล้วกลัวถูกเปิดเผย ประเภทอยากให้ความลับนั้นตายไปกับตัวเอง หรือไม่ก็...
“ฉันอยากให้เธอช่วยคนคนหนึ่ง” แดนสรวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เป็นเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินเลยเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ “คนๆ นั้นอาจจะตายเพราะฉันก็ได้”
ร่างนั้นนั่งห่อตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง ภาพสุดท้ายของคนรักยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ...ร่างไร้วิญญาณถูกนำออกจากตัวรถสภาพยับเยินมาวางไว้บนผ้าขาว เพื่อจัดการและนำขึ้นรถจากมูลนิธิ เสียงจอแจจากคนรอบข้างเหมือนถูกตัดขาดออกไปหมด ในสายตาตอนนั้นมีเพียงร่างของคนรักกับความเงียบครอบคลุม โลกของณภัทรเหมือนสิ้นสุดลงแค่นั้น
คนที่เป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิต...ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว
ช่วงปลายของชีวิตรักนั้นไม่ค่อยราบรื่น แม้จะรักกันมากมายและอุปสรรคทั้งหลายที่ประดังมาจากคนรอบข้างก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน ทั้งสองพยายามประคองมันด้วยเชื่อมั่นในรักแท้เหนือสิ่งอื่นใด แต่พ่อแม่ของณภัทรที่ไม่ยอมรับความสัมพันธ์นี้ ความรักที่ไม่ได้รับการยอมรับกลายเป็นความลับอย่างช่วยไม่ได้
ยังดีที่น้องชายเข้าใจ แม้ให้คำปรึกษาไม่ได้แต่ก็ยังไม่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ในขณะเดียวกัน แดนสรวงไม่มีใครเลย คงเป็นสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาเลือกทางตายในวันที่รู้สึกกดดันเกินรับไหว
เรายังไม่ยอมแพ้กันแค่นี้ใช่ไหม...คำนี้ยังดังก้องในหัว
ณภัทรไม่เคยยอมแพ้...แต่แดนสรวงที่เป็นคนพูดคำๆ นี้กลับเป็นฝ่ายปล่อยมือเสียเอง ทำไมถึงทิ้งกันไปง่ายๆ แบบนี้
หากสุดท้ายก็กลับมานึกโทษตัวเอง...ถ้าไม่เป็นฝ่ายไปเริ่มต้นเสียแต่แรก แดนสรวงก็คงไม่อายุสั้น
“ถ้ามันไม่ย้ายของๆ มันออกมา ก็ไม่ต้องให้มันกลับมาเหยียบที่นี่อีก” ประมุขของบ้านยื่นคำขาดหลังจากที่รู้ว่าณภัทรไม่ได้ย้ายออกไปอยู่คอนโดมีเนียมเพื่อให้สะดวกกับการทำงานอย่างที่อ้าง แต่กลับย้ายออกเพื่อไปอยู่กับเด็กหนุ่มที่อายุห่างกันเกือบสิบปี ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่มารดาใช้ไม้อ่อน “เห็นแก่หน้าพ่อแม่บ้างเถอะภัทร ถ้าเกิดมีใครรู้เข้า พ่อกับแม่จะมองหน้าใครได้ติด”
เมื่อกดดันทางณภัทรไม่สำเร็จ เป้าหมายจึงถูกเปลี่ยนไปทางแดนสรวง
ทั้งไปพบเพื่อพูดคุย จนกลายเป็นการเจรจาต่อรอง เรื่องเงินถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง ครอบครัวนักธุรกิจยอมจ่ายเท่าไหร่เท่ากันเพื่อแลกกับการตัดสัมพันธ์ครั้งนี้ ถึงอย่างนั้นแดนสรวงก็ยังคงยืนยันไม่รับข้อเสนอใดๆ
กระทั่งพวกท่านทิ้งไพ่ตาย “ภัทรอาจไม่ใช่คนเด่นดังอะไร แต่ก็มีชื่อในวงธุรกิจ อาศัยความน่าเชื่อถือในการทำงาน ถ้ามีใครรู้เข้า เธอคิดบ้างไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น” ณภัทรแอบได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นกับพ่อและน้องชาย ท่านเล่าว่าท่านไปหาแดนสรวงที่มหาวิทยาลัยก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแค่วันเดียว ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเจ้าตัวกำลังหมกตัวอยู่ในห้อง “เธอเองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเธอได้หรอก อย่าทำลายณภัทรด้วยวิธีนี้เลย”
“ทำอะไรอยู่น่ะพี่ภัทร” เสียงเคาะประตูห้องทำให้หลุดจากภวังค์ แต่เจ้าตัวยังนั่งขดตัวอยู่ท่าเก่า เหมือนคนที่พลังชีวิตใกล้หมดลงทุกที คราบน้ำตายังเปรอะเต็มสองแก้ม จนกระทั่งอีกฝ่ายที่ยังยืนรออยู่หลังบานประตูเอ่ยซ้ำ “ออกมาทานอะไรหน่อยเถอะพี่ภัทร...พี่ณดามาแล้วนะ” คนเป็นน้องงัดไม้ตายมาใช้เมื่อยังได้รับความเงียบแทนคำตอบ “ผมขอร้องเถอะ ออกมาหน่อย อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องเลย”
ใช่แล้ว ผมขอร้อง...แม่ขอร้อง
มีแต่คนขอ คนนั้นขอให้ทำอย่างนั้น คนนี้ขอให้ทำอย่างนี้ ขีดทางให้เดินเสร็จสรรพ คำขอที่ไม่เปิดโอกาสให้ได้ปฏิเสธไม่ต่างอะไรกับคำสั่ง ณภัทรเป็นเพียงหุ่นกระบอกไร้หัวใจที่ต้องทำตามคำสั่งของทุกๆ คน
ถึงเวลาที่หุ่นกระบอกจะต้องถูกเชิดอีกหนแล้ว
หลังจากที่เมื่อวาน รศนารู้ว่าดวงวิญญาณของหนุ่มรุ่นพี่อยู่ในบ้านของมะลิ เธอก็รู้สึกอิ่มกระทันหันทั้งที่ยังไม่ทันได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันและขอตัวกลับบ้านทันที แต่ก่อนกลับ รศนาย้ำเพื่อน
...ถ้าช่วยได้แกก็ช่วยพี่เขาเถอะนะ ถ้าไม่ลำบากจริงๆ เขาก็คงไม่อยากมาหาแกหรอก แล้วถ้าเป็นอะไรที่ฉันช่วยได้ล่ะก็ แกบอกมานะ ฉันยินดีจะช่วยด้วยอีกแรง...
และเพราะประโยคหลังนี้เอง ที่ทำให้แดนสรวงซึ้งในน้ำใจรุ่นน้อง เขาไม่ว่าอะไรหากรศนาจะรู้เรื่องนี้เพิ่มขึ้นด้วยอีกคน
สองสาวนัดเจอกันในสวนสาธารณะ ถึงแม้จะอาสาอย่างกล้าหาญว่าพร้อมช่วย แต่ไม่ได้หมายความว่ารศนาพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับวิญญาณหนุ่ม (ถึงจะมองไม่เห็นเองก็เถอะ) ในที่รโหฐาน
“เธอชื่อคุณภัทร” มะลิเริ่มต้น ก่อนเล่าตามที่ได้ฟังมา...แดนสรวงกับคนรักรักกันมาก แม้จะต่างวัยกันเกือบสิบปีก็ตามที ทั้งสองคนเจอกันที่มหาวิทยาลัยโดยบังเอิญ และคบกันตั้งแต่ตอนแดนสรวงอยู่ปีสอง ครอบครัวของณภัทรไม่เห็นด้วยที่ทั้งคู่จะคบหากัน...พวกเราแตกต่างกันหลายอย่าง...แค่เท่านี้ เธอเองก็พอจะเดาต่อได้ ถ้าหากวันหนึ่งเธอเกิดไปหลงรักเด็กหนุ่มต่างรุ่นกันถึงเกือบสิบปีบ้าง มีหวังโดนเฉ่งไม่เหลือเหมือนกัน
หญิงสาวเทียบจากอายุตัวเอง เธอยี่สิบเอ็ดแล้ว...สมมุติเป็นเลขกลมๆ ว่าต่างกันถึงสิบปี เท่ากับอีกฝ่ายเพิ่งจะสิบเอ็ดขวบ ถูกพ่วงข้อหาพรากผู้เยาว์แบบไม่ต้องสืบ ยังไงก็ไม่รอดแน่
กลับมาที่เรื่องของแดนสรวงต่อ “ทั้งสองคนยังแอบลอบพบกัน ก่อนหน้านี้คุณภัทรย้ายออกจากบ้านมาอยู่คอนโดกับพี่แดนโดยที่ทางบ้านไม่รู้ นึกว่าออกไปอยู่คนเดียว แต่พอมีเรื่องนี้เข้า ก็เลยถูกเรียกตัวกลับบ้าน ส่วนพี่แดนก็ยังอยู่ที่คอนโดนั่นแหละ
ทางบ้านคุณภัทรใช่ว่าจะไม่รู้ เมื่อเห็นว่าห้ามทางลูกตัวไม่ได้ก็เลยพยายามเข้าทางพี่แดน ขอให้เขาเข้าใจ บอกว่าอย่าไปทำลายอนาคตลูกเขา เพราะคุณภัทรเป็นนักธุรกิจ ต้องอาศัยภาพลักษณ์สร้างความน่าเชื่อถือ ฉันเดาเอาเองว่า...พอมีข่าวเรื่องพวกนี้ ภาพลักษณ์ก็คงดูแย่ หรือไม่แม่เขาก็คงแค่อ้างเพื่อกันลูกเขาออกมาเฉยๆ
จุดพีคมันอยู่ตรงที่ แม่คุณภัทรตามมาคุยกับพี่แดนถึงมหาวิทยาลัย ฉันเดาว่าคงไม่ได้คุยกันดีๆ หรอกมั้ง ท่านขอให้พี่แดนเลิกยุ่งกับคุณภัทร วันนั้นตัวแกเองก็เครียดๆ เลยดื่มแก้เครียดไปนิดหน่อย” อันที่จริงเธอไม่เชื่อว่าแต่หน่อยอย่างที่เขาเล่า ไม่รู้จะสงสารหรือว่าซ้ำเติมดี โครงการเมาไม่ขับเขาก็รณรงค์กันอยู่ป่าวๆ ดีอย่างที่ไม่ไปลากคนอื่นให้พลอยเดือดร้อนไปด้วย “พอขับรถออกมาจากคอนโดได้ไม่เท่าไหร่ก็ประสบอุบัติเหตุอย่างที่เรารู้กัน
พี่แดนไม่ได้ไปไหนไกล ถึงเสียแล้วแต่ก็ยังวนๆ เวียนๆ อยู่กับคุณภัทร สภาพของคุณภัทรทำให้แกห่วงจนรู้สึกว่าทิ้งไปไม่ได้ คุณภัทรไม่เชื่อว่าพี่แดนเสียเพราะอุบัติเหตุ แต่เชื่อว่าพี่แดนฆ่าตัวตายเพราะตัวเองกับที่บ้าน
ยิ่งนาน สภาพคุณภัทรก็ยิ่งแย่ แกหมดอาลัยตายอยาก ร่ำๆ จะตามไปอยู่กับพี่แดนให้ได้ แต่ที่ยังทนอยู่ทุกวันนี้เพราะเจ้าตัวเขายังรักครอบครัว ครอบครัวกับลูกน้องที่ทำงานยังเป็นห่วงผูกมัดไว้ได้ ทั้งที่ใจแกไม่อยากอยู่แล้ว กลายเป็นทุกวันนี้อยู่เหมือนตาย จนน่ากลัวว่าสักวัน ถ้าไม่ตายเพราะหมดอาลัยจนหยิบมีดมาปักตัวเอง ก็คงเดินไปให้เขาเสียบเพราะใจคอไม่อยู่กับตัวแล้ว
และที่พี่แดนต้องมาให้ฉันเห็น” จริงๆ ไม่ใช่เพราะเจาะจงว่าเป็นมะลิ แต่เป็นใครก็ตามที่สื่อกันได้ต่างหาก “เพราะจิตของแกกับคุณภัทรสื่อไม่ถึงกัน คุณภัทรเหมือนปิดสวิตซ์ไม่รับไม่รู้ หากไม่วุ่นวายอยู่กับโลกภายนอก ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องงาน ก็จะจมอยู่กับอดีต อยู่กับความโศกเศร้า ปิดจนเข้าไม่ถึง แกจนปัญญาถึงได้ต้องหาใครก็ได้ที่พอจะเป็นสื่อให้แทน ก่อนที่อะไรๆ มันจะแย่ลงจนสายไปเสียก่อน”
“โธ่...นี่มันโรมิโอกับจูเลียตชัดๆ” สาวอวบพ้อทั้งที่ปากยังเคี้ยวขนมตุ้ยๆ เธอช็อคไปรอบแล้วเมื่อตอนที่รู้ว่าแดนสรวงเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ตอนนี้ช็อครอบสองปนหดหู่ที่ได้รู้ว่าชีวิตรักของเขาช่างแสนเศร้า ขณะที่กำลังอินไปกับเรื่องราวความรักต้องห้าม คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็แทรกขัดบรรยากาศขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะเหมือนตรงไหน” จะมีใครอีกที่ขัดอารมณ์คนอื่นได้เท่ามะลิ เจ้าหล่อนลอยหน้าพูดขณะหยิบถั่วลิสงอบกรอบที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานใส่ปาก “รักต้องห้ามน่ะใช่ แต่สองคนนี้ไม่ได้มีความบาดหมางระหว่างตระกูลอย่างคาปุเล็ตกับมอนตาคิวเสียหน่อย แค่พ่อแม่ของเธอไม่ยอมรับตัวหมอนั่นเท่านั้นเอง” เธอนับนิ้วไล่เรียงจุดที่แตกต่าง “ไม่มีงานแต่งงานลับๆ ไม่มียาพิษ ไม่มีกริช ไม่มี...”
“ฉันแค่เปรียบเทียบ ไม่ได้บอกว่าต้องเหมือนเปี๊ยบทุกจุด” รศนาถลึงตา พ่นลมออกจมูกอย่างเหลืออด หมดกัน ภาพจินตนาการแสนโรแมนติก โศกนาฎกรรมอันแสนเศร้า เสียอารมณ์จริงๆ “กลับไปอ่านนิยายฆ่ากันตายของแกต่อเถอะไป๊!”
เขาเรียกอาชญนิยายย่ะ...คนโดนไล่บ่นงึมงำ...โธ่ ก็แกพูดเองนี่นาว่าเหมือน
รศนาเป็นสาวน้อยอารมณ์อ่อนไหว อดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจตามไปด้วย เรื่องราวความรักของแดนสรวงฟังดูเจ็บปวดและน่าเศร้า เธอแอบมองรุ่นพี่คนนี้ตั้งแต่เพิ่งเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ (เรียกว่าตั้งแต่ยังไม่ทันรับน้องเสร็จเสียด้วยซ้ำ) ในสายตาเธอ เขาเป็นคนร่าเริงสดใส เป็นคนอารมณ์ดีที่ทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้เสมอ ใครจะรู้ว่าคนที่มีรอยยิ้มเปื้อนหน้าอยู่ตลอดจะมีความทุกข์ใจหนักหนาถึงเพียงนี้
“แล้วเราจะช่วยพี่เขาได้ยังไง”
“เรา?” มะลิทวนคำเสียงสูง “เราไหน ใครบอกว่าฉันจะช่วย”
“เอ๊า” รศนาย้อนกลับเสียงสูงกว่า “ที่แกฟังเขาเล่ามาเสียยืดยาวแล้วเอามาเล่าต่อนี่ ไม่ใช่ว่าเพราะตกลงช่วยเขาแล้วเหรอ”
มะลิส่ายหน้า เธอมีบทเรียนเรื่องความมีน้ำใจมามากพอแล้ว สงสารคนอื่นเป็นเรื่องดีก็จริง แต่อีกใจเธอก็ต้องเผื่อไว้สงสารตัวเองด้วย
“ถ้าเป็นคนอื่นมาขอความช่วยเหลือแล้วแกปฏิเสธน่ะ ฉันก็พอเข้าใจอยู่ แต่นี่พี่แดนนะ”
“หมอนั่นแล้วไง” มะลิแปลกใจที่เพื่อนพูดเหมือนอีกฝ่ายเคยมีบุญคุณกับเธอ ทั้งที่แดนสรวงเป็นคนสร้างแผลใจให้เธอแท้ๆ
24 เมษายน...วันที่อากาศร้อนอบอ้าว ทางเดินระหว่างโต๊ะม้าหินที่นั่งประจำไปยังโรงยิม เธอยังจำได้แม่น หมอนั่นพูดจาดูถูกราวกับเธอเป็นตัวตลกให้เพื่อนๆ ฟัง...ต่อหน้ารุ่นพี่ที่เธอแอบชอบ ถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินเองกับหู เธอคงไม่มีทางเชื่อว่ารุ่นพี่อัธยาศัยดีอย่างเขาจะปากร้ายแบบนี้ เสียงหัวเราะยังดังก้องหู ทั้งที่มันเป็นวันสำคัญสำหรับเธอแท้ๆ
ยิ่งคิดยิ่งแค้น ไอ้แดนสรวงเอ๊ย!
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เธอไม่ช่วยเหลือเขา...
“ไม่ใช่ว่ายังโมโหอยู่ถึงไม่ช่วย แต่แกก็รู้นี่ว่าทำไมฉันถึงไม่อยากยุ่งกับเรื่องพวกนี้”
เพื่อนสนิทถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นใจ เพราะรู้ว่าการเห็นวิญญาณและเคยหยิบยื่นความช่วยเหลือ ทำให้เพื่อนต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง มะลิปลีกตัวจากคนรอบข้างมาตั้งแต่เรียนจบมัธยมต้น กว่าจะเปิดใจต้อนรับเพื่อนใหม่อีกทีก็ตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เจ้าหล่อนพูดคุยกับคนอื่นแบบผ่านๆ เฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมอยู่แบบนี้มาเป็นเดือนๆ ตั้งแต่เปิดเทอมจนกระทั่งมาเจอรศนา ส่วนหนึ่งก็เพราะสัมผัสพิเศษของเธอนั่นแหละ
สัมผัสพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด...ที่เจ้าตัวให้คำนิยามมันว่าเป็นคำสาป
หญิงสาวลืมตัว ตอกเอกสารแรงๆ ลงกับโต๊ะเหมือนกระแทก รศนาเลิกคิ้วมองหน้าเพื่อนด้วยความประหลาดใจ “เป็นอะไรของแก ดูเพี้ยนๆ นะวันนี้”
“มันหลุดมือ” เธอตอบเสียงอู้อี้ วางเอกสารที่แบ่งมาจากรศนาไว้ข้างตัว...หวังว่าตาบ้านั่นจะรู้จักนั่งนิ่งๆ และไม่ไปยุ่งกับข้าวของของเธอนะ
เมื่อตอนที่ยังคุยเรื่องงานกลุ่มที่มหาวิทยาลัย มะลินั่งเงียบ ไม่ออกปากอาสาว่าจะช่วยแบ่งงานส่วนของรศนามาทำ เพราะไม่อยากให้แววตารู้ว่าเธอช่วยเพื่อน คงดีกว่าถ้าแววตามองว่ารศนาเองก็ช่วยงานกลุ่มอย่างเต็มที่เหมือนกัน ในขณะเดียวกัน เธอกับรศนาจับคู่ทำงานด้วยกันมาหลายหนจนรู้ว่าเพื่อนพิมพ์ไม่ค่อยคล่องแถมยังผิดระนาว เมื่อแยกย้ายกันแล้วจึงค่อยเอ่ยปากอาสารับงานบางส่วนมาช่วยทำ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ลีลาให้มากความ รีบแบ่งเอกสารมาให้ด้วยความยินดี เพราะรู้ว่าสปีดการพิมพ์ของตัวเองเร็วกว่าหอยทากคลานแค่นิดเดียว
“ขอบใจนะมะลิ ถ้าแกไม่ช่วย ฉันคงแย่แน่” สาวอวบทำท่าหดคอเมื่อคิดถึงสายตาพิฆาตจากสาวแว่นจอมโหด “ถ้าเสร็จไม่ทันที่นัดกันเอาไว้ มีหวังยัยยิ้มยากเล่นฉันยับแน่ๆ”
“ถึงฉันเป็นเพื่อนแก แต่ฉันก็ไม่เข้าข้างนะ” มะลิเอ่ยอย่างเป็นกลาง เธอเองก็เห็นอย่างที่แววตาเห็นว่านอกจากกินขนมกับนั่งหาว (และสัปหงกในบางที) รศนาแทบไม่ได้ช่วยออกความเห็นเรื่องงานเลย เพียงแต่ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทที่ยอมรับข้อดีข้อเสียกันได้ทำให้ไม่คิดถือสา “คราวหน้าถ้ามีงานอะไรแกก็อาสาไปก่อน เดี๋ยวค่อยเอามาช่วยกัน เขาจะได้ไม่ว่าเอาได้”
หลังจากแบ่งงานกันเรียบร้อย สองสาวช่วยกันทำอาหารง่ายๆ จากวัตถุดิบที่ซื้อมาตามที่ตกลงกันเอาไว้ ตอนเดินเลือกซื้อของก็ช่วยกันแพลนเมนูเสียดิบดี ทั้งคู่อยากทานไข่พะโล้กับหมูทอดเหมือนกัน แต่เอาเข้าจริง ดูท่าเมนูที่คิดไว้จะหรูหราเกินตัว แค่ต้มไข่ปอกไข่ก็บ่นเขี้เกียจกันแล้ว สุดท้ายเมนูไข่พะโล้จึงเหลือแค่ไข่ต้มทานคู่กับน้ำปลา รศนาปอกไข่ต้มเสร็จหนึ่งใบก็ลุกไปตักข้าวมาคลุกใส่ชามให้เจ้าด่างด้วย
“มันเพิ่งจะกินไปไม่ใช่เหรอ”
“ลูกชิ้นสองไม้มันจะไปอิ่มอะไร อันนั้นมันของกินเล่น” เธอวางชามประจำตัวหมาจรไว้ข้างๆ เก้าอี้ของตัวเอง ก่อนตะโกนเรียกเจ้าตัวดีที่นอนหมอบอยู่หน้าประตูบ้าน “เจ้าแดน...มานี่เร็ว มากินข้าว...หิวใช่มั้ยลูก” มันวิ่งหางกระดิกมาหาอย่างรู้งาน รศนาก้มคุยกับมันหนุงหนิง (ด้วยเสียงสอง) แต่ไม่ได้ลูบหัวลูบหางเพราะขี้เกียจเดินไปล้างมือ พอเงยหน้าขึ้นมากลับเห็นเพื่อนกำลังหัวเราะคิกคัก ทำท่าทำทางพิกลนัก
มะลิกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มยืนหน้าบูดอยู่ข้างๆ เจ้าตูบที่กำลังจัดการกับอาหารของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร เขาทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างตัวถัดไป กอดอกจ้องหน้าเธออย่างเอาเรื่อง
แหงล่ะว่าเธอทำได้แค่ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อยากให้รศนารู้ว่าวิญญาณของรุ่นพี่ที่ตัวเคยตามกรี๊ดนั่งอยู่ข้างๆ เดี๋ยวเจ้าหล่อนจะช็อคตาตั้งไปเสียก่อน
รศนามองหน้าเพื่อนตาปริบๆ วันนี้มะลิดูท่าทางเพี้ยนผิดปกติ จู่ๆ ก็หงุดหงิด จู่ๆ ก็อารมณ์ดี “ขำอะไรของแก” เธอมองตามไปยังเจ้าแดนแล้วร้องอ๋อ เพราะรู้ว่าทำไมเจ้าหมาจรพันธุ์ทางถึงได้มีชื่อโก้เป็นหมาฝรั่งแบบนี้
“นี่แกคงไม่ได้แค้นฝังหุ่น ขำเพราะชื่อเจ้าแดนมันหรอกนะ” เธอว่าต่อเมื่อเพื่อนนั่งเม้มปากเหมือนกลั้นหัวเราะแต่ไม่ยอมปฏิเสธ “เหลือเกินจริงๆ นะแก พี่เขาไปดีแล้วแท้ๆ”
ไปดีอะไรล่ะ นั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ แกนั่นแหละ...
“ใช่ เธอมาเกลียดอะไรพี่นักหนา” วิญญาณหนุ่มยื่นหน้ามาเสริมทัพ “ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว จนป่านนี้ยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเธอเหม็นหน้าพี่เรื่องอะไร พี่ยังไม่เคยไปทำอะไรให้เธอสักหน่อย”
“แค้นฝังหุ่นอะไรกัน ฉันไม่ได้แค้นอะไรหมอนั่นเสียหน่อย” มะลิตอบเพื่อนสาวหน้าซื่อ...แบบที่เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าแสร้งทำ “ฉันอโหสิให้หมอนั่นทู๊กกก...อย่าง อยากให้หมอนั่นไปสู่สุขคติด้วยซ้ำ” จะได้เลิกมากวนใจเธอเสียที...เธอยกมือขึ้นประนมท่วมหัว “ไปดีเถอะพ่อคู้ณณณ”
“นิสัยไม่ดี” แม้รู้ว่าเพื่อนมีเรื่องฝังใจเพราะแดนสรวง แต่ไม่คิดว่าจะโกรธได้ยาวนานขนาดนี้ แถมอีกฝ่ายก็เสียไปแล้วด้วย รศนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “เลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นได้แล้ว คิดไปตัวแกเองนั่นแหละจะไม่มีความสุข อีกอย่าง ถึงเขาอาจจะเคยทำไม่ดีกับแกไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะถึงขั้นเลวร้ายอะไรเสียหน่อย”
“แม่ดอกทานตะวัน” มะลิค่อนอีกฝ่ายด้วยฉายาที่รุ่นพี่แสนดีของรศนาเคยเรียกอยู่บ่อยๆ “แกชอบเขา แกก็เข้าข้างสิ”
“ที่ฉันชอบ เพราะเขาเป็นคนดีต่างหาก” รศนาย้ำ “แกควรคิดถึงด้านดีๆ ของเขาบ้างนะ”
ใครให้ของกินมา แกก็ว่าเขาดีไปหมดนั่นแหละ...มะลิยิ่งหน้าหงิกหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มยิ้มแก้มปริ แถมยังพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดแถมยังพึมพำขอบคุณอีกต่างหาก...แหม เขาขากันดีนักนะ
เข้าข้างกันนัก งั้นต้องเจอแบบนี้
“หมอนั่นขอบคุณแกน่ะ”
“พูดอะไรของแก” รศนาเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว ปากยังเคี้ยวหงุบๆ
“ก็หมอนั่นนั่งอยู่ข้างๆ แก” มะลิใช้ช้อนชี้ไปยังที่ว่างข้างๆ เพื่อน จริงๆ มันก็ไม่ว่างสักเท่าไหร่หรอก เพราะแดนสรวงนั่งทำหน้าซึ้งอยู่ “บอกว่าขอบคุณ”
ทีแรกว่าจะไม่บอกไม่เล่า เธอรู้อยู่ว่ารศนาไม่ค่อยถูกกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้เพื่อนรับรู้และเชื่อสนิทใจว่าเธอสื่อสารกับดวงวิญญาณได้จริง แต่คนกลัว แม้จะทำใจยอมรับสภาพและเริ่มปรับตัวได้ ก็ยังไม่วายรู้สึกกลัวอยู่ดี
“อย่ามาตลก” รศนาเริ่มหน้าเสีย แม้จะทำใจแข็งปั้นสีหน้าปกติแล้วก็ตาม...คิดจะแกล้งฉันล่ะสิ “พี่เขาจะมาที่นี่ทำไม อีกอย่าง ถ้ามา เจ้าแดนคงเห่าไปแล้ว”
“เจ้าแดนน่ะนะ จะเห่า”
รศนารู้ว่าเรื่องนี้จริงที่สุด เจ้าแดนไม่เคยเห่าใครเลย มันเป็นหมาอินดี้ที่ยากเข้าใจ จะเห่าแค่เพราะอยากเห่าเท่านั้นเอง ครั้งแรกที่เธอมันเจอเธอ มันก็กระดิกหางต้อนรับ เห่านิดๆ หน่อยๆ ไม่เหมือนหมาตัวอื่นๆ ที่มักจะคำรามหรือเห่าใส่คนแปลกหน้า
เหมือนรู้คิว เจ้าแดนเงยหน้าขึ้นจากชามที่ว่างเปล่า กระดิกหางดิ๊กๆ หันไปทางเก้าอี้ข้างรศนา เธอจ้องเจ้าหมาน้อย...มันเงยหน้ามองอะไรถึงได้ดูตั้งใจนัก จิ้งจกตุ๊กแกก็ไม่มี (อย่างหลังถ้ามี ทั้งเธอทั้งมะลิคงวงแตก) เจ้าด่างเห่าหนสองหนก่อนกระดิกหางคล้ายรอคอยอะไรบางอย่าง
“สงสัยมันจะรอใครพาไปเดินเล่น” มะลิจี้จุดอ่อน
จริงแท้แน่นอน...มะลิอาจจะแกล้งอำเพราะรู้ว่าเธอกลัวผี แต่เจ้าแดนคงไม่อำเธอด้วยแน่ รศนาหลับตาสูดหายใจลึก พยายามระงับสติอารมณ์ ยกมือไหว้เก้าอี้ที่ว่างเปล่า เอ่ยเสียงเบา “ขอตัวนะคะ” ก่อนยกจานข้าว จ้ำอ้าวย้ายที่มานั่งข้างเพื่อนแทน “ของจริงใช่มั้ย นี่มันอะไร ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่”
“เชื่อฉันแล้วเหรอ”
“ฉันเชื่อเจ้าแดนต่างหาก” สาวอวบลงฝ่ามือพิฆาตใส่แขนเพื่อนตัวดีที่หัวเราะคิกคักชอบใจ “ใครจะไปรู้ว่าพี่เขาจะมาหาแกล่ะ ตอนยังอยู่ก็เห็นกัด...เอ๊ย...ต่อปากต่อคำกันตลอด”
“สงสัยติดต่อใครไม่ได้แล้วมั้ง หวยเลยมาลงที่ฉัน...อ้อ...ใช่เสียด้วย” เธอเอ่ยประโยคสุดท้ายเพราะเห็นวิญญาณหนุ่มพยักหน้ารับพอดี แหม...ออกตัวแรงเชียวนะยะ
คนเป็นเพื่อนเอ่ยเสียงลน เกาะแขนมะลิไม่ยอมปล่อย “แล้วทำไมเขาไม่ไปที่ชอบๆ มาแถวนี้ทำไม”
“นั่นสิ ที่ชอบของนายคงไม่ใช่ที่นี่ งั้นนายมาที่นี่ทำไม” เธอหันไปถามวิญญาณหนุ่มรุ่นพี่ สำหรับรศนาแล้ว ภาพที่เห็นคือเพื่อนกำลังหันไปพูดกับเก้าอี้ที่ว่างเปล่า ดูแล้วน่าขนลุกชอบกล “ขาดเหลืออะไรก็บอกมาแล้วกัน ถ้าไม่ยากเย็นประเภทต้องขึ้นเขาไปหามาล่ะก็ ฉันจะทำบุญไปให้”
วิญญาณหนุ่มส่ายหน้า นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เธอพอจะเดาออกเพราะสีหน้านั้นแสดงอาการอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มาหาแค่เพราะต้องการให้ทำบุญให้ แค่นั้นมันจิ๊บจ๊อยเกินไป มะลิถอนหายใจก่อนว่าต่อ “หรือมีห่วงอะไร ห่วงของนายไม่น่าจะมาอยู่แถวนี้นะ”
ดวงวิญญาณส่วนใหญ่ที่ยังไม่ไปสู่สุคติ ล้วนมีห่วงติดพันอยู่กับโลกนี้ บ้างเกิดจากความรัก ความแค้น หรือบางทีก็เพราะความลับ...แน่นอนว่าพอติดต่อกับเธอได้ปั๊บคงขอให้ช่วยเหลือสารพัด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด
หญิงสาวประเมินอยู่ในใจ...หน้าอย่างหมอนี่คงรักใครไม่เป็น ถ้าเป็นเรื่องความแค้น...นิสัยกวนประสาท ปากเสียน่าจะสร้างศัตรูเอาไว้ไม่น้อย ข้อนี้ค่อยเป็นไปได้
หรือเพราะมีความลับ...อันนี้ก็น่าคิด หมอนี่อาจไปทำอะไรหมกเม็ดเข้าก็ได้แล้วกลัวถูกเปิดเผย ประเภทอยากให้ความลับนั้นตายไปกับตัวเอง หรือไม่ก็...
“ฉันอยากให้เธอช่วยคนคนหนึ่ง” แดนสรวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เป็นเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินเลยเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ “คนๆ นั้นอาจจะตายเพราะฉันก็ได้”
ร่างนั้นนั่งห่อตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง ภาพสุดท้ายของคนรักยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ...ร่างไร้วิญญาณถูกนำออกจากตัวรถสภาพยับเยินมาวางไว้บนผ้าขาว เพื่อจัดการและนำขึ้นรถจากมูลนิธิ เสียงจอแจจากคนรอบข้างเหมือนถูกตัดขาดออกไปหมด ในสายตาตอนนั้นมีเพียงร่างของคนรักกับความเงียบครอบคลุม โลกของณภัทรเหมือนสิ้นสุดลงแค่นั้น
คนที่เป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิต...ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว
ช่วงปลายของชีวิตรักนั้นไม่ค่อยราบรื่น แม้จะรักกันมากมายและอุปสรรคทั้งหลายที่ประดังมาจากคนรอบข้างก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน ทั้งสองพยายามประคองมันด้วยเชื่อมั่นในรักแท้เหนือสิ่งอื่นใด แต่พ่อแม่ของณภัทรที่ไม่ยอมรับความสัมพันธ์นี้ ความรักที่ไม่ได้รับการยอมรับกลายเป็นความลับอย่างช่วยไม่ได้
ยังดีที่น้องชายเข้าใจ แม้ให้คำปรึกษาไม่ได้แต่ก็ยังไม่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ในขณะเดียวกัน แดนสรวงไม่มีใครเลย คงเป็นสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาเลือกทางตายในวันที่รู้สึกกดดันเกินรับไหว
เรายังไม่ยอมแพ้กันแค่นี้ใช่ไหม...คำนี้ยังดังก้องในหัว
ณภัทรไม่เคยยอมแพ้...แต่แดนสรวงที่เป็นคนพูดคำๆ นี้กลับเป็นฝ่ายปล่อยมือเสียเอง ทำไมถึงทิ้งกันไปง่ายๆ แบบนี้
หากสุดท้ายก็กลับมานึกโทษตัวเอง...ถ้าไม่เป็นฝ่ายไปเริ่มต้นเสียแต่แรก แดนสรวงก็คงไม่อายุสั้น
“ถ้ามันไม่ย้ายของๆ มันออกมา ก็ไม่ต้องให้มันกลับมาเหยียบที่นี่อีก” ประมุขของบ้านยื่นคำขาดหลังจากที่รู้ว่าณภัทรไม่ได้ย้ายออกไปอยู่คอนโดมีเนียมเพื่อให้สะดวกกับการทำงานอย่างที่อ้าง แต่กลับย้ายออกเพื่อไปอยู่กับเด็กหนุ่มที่อายุห่างกันเกือบสิบปี ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่มารดาใช้ไม้อ่อน “เห็นแก่หน้าพ่อแม่บ้างเถอะภัทร ถ้าเกิดมีใครรู้เข้า พ่อกับแม่จะมองหน้าใครได้ติด”
เมื่อกดดันทางณภัทรไม่สำเร็จ เป้าหมายจึงถูกเปลี่ยนไปทางแดนสรวง
ทั้งไปพบเพื่อพูดคุย จนกลายเป็นการเจรจาต่อรอง เรื่องเงินถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง ครอบครัวนักธุรกิจยอมจ่ายเท่าไหร่เท่ากันเพื่อแลกกับการตัดสัมพันธ์ครั้งนี้ ถึงอย่างนั้นแดนสรวงก็ยังคงยืนยันไม่รับข้อเสนอใดๆ
กระทั่งพวกท่านทิ้งไพ่ตาย “ภัทรอาจไม่ใช่คนเด่นดังอะไร แต่ก็มีชื่อในวงธุรกิจ อาศัยความน่าเชื่อถือในการทำงาน ถ้ามีใครรู้เข้า เธอคิดบ้างไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น” ณภัทรแอบได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นกับพ่อและน้องชาย ท่านเล่าว่าท่านไปหาแดนสรวงที่มหาวิทยาลัยก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแค่วันเดียว ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเจ้าตัวกำลังหมกตัวอยู่ในห้อง “เธอเองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเธอได้หรอก อย่าทำลายณภัทรด้วยวิธีนี้เลย”
“ทำอะไรอยู่น่ะพี่ภัทร” เสียงเคาะประตูห้องทำให้หลุดจากภวังค์ แต่เจ้าตัวยังนั่งขดตัวอยู่ท่าเก่า เหมือนคนที่พลังชีวิตใกล้หมดลงทุกที คราบน้ำตายังเปรอะเต็มสองแก้ม จนกระทั่งอีกฝ่ายที่ยังยืนรออยู่หลังบานประตูเอ่ยซ้ำ “ออกมาทานอะไรหน่อยเถอะพี่ภัทร...พี่ณดามาแล้วนะ” คนเป็นน้องงัดไม้ตายมาใช้เมื่อยังได้รับความเงียบแทนคำตอบ “ผมขอร้องเถอะ ออกมาหน่อย อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องเลย”
ใช่แล้ว ผมขอร้อง...แม่ขอร้อง
มีแต่คนขอ คนนั้นขอให้ทำอย่างนั้น คนนี้ขอให้ทำอย่างนี้ ขีดทางให้เดินเสร็จสรรพ คำขอที่ไม่เปิดโอกาสให้ได้ปฏิเสธไม่ต่างอะไรกับคำสั่ง ณภัทรเป็นเพียงหุ่นกระบอกไร้หัวใจที่ต้องทำตามคำสั่งของทุกๆ คน
ถึงเวลาที่หุ่นกระบอกจะต้องถูกเชิดอีกหนแล้ว
หลังจากที่เมื่อวาน รศนารู้ว่าดวงวิญญาณของหนุ่มรุ่นพี่อยู่ในบ้านของมะลิ เธอก็รู้สึกอิ่มกระทันหันทั้งที่ยังไม่ทันได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันและขอตัวกลับบ้านทันที แต่ก่อนกลับ รศนาย้ำเพื่อน
...ถ้าช่วยได้แกก็ช่วยพี่เขาเถอะนะ ถ้าไม่ลำบากจริงๆ เขาก็คงไม่อยากมาหาแกหรอก แล้วถ้าเป็นอะไรที่ฉันช่วยได้ล่ะก็ แกบอกมานะ ฉันยินดีจะช่วยด้วยอีกแรง...
และเพราะประโยคหลังนี้เอง ที่ทำให้แดนสรวงซึ้งในน้ำใจรุ่นน้อง เขาไม่ว่าอะไรหากรศนาจะรู้เรื่องนี้เพิ่มขึ้นด้วยอีกคน
สองสาวนัดเจอกันในสวนสาธารณะ ถึงแม้จะอาสาอย่างกล้าหาญว่าพร้อมช่วย แต่ไม่ได้หมายความว่ารศนาพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับวิญญาณหนุ่ม (ถึงจะมองไม่เห็นเองก็เถอะ) ในที่รโหฐาน
“เธอชื่อคุณภัทร” มะลิเริ่มต้น ก่อนเล่าตามที่ได้ฟังมา...แดนสรวงกับคนรักรักกันมาก แม้จะต่างวัยกันเกือบสิบปีก็ตามที ทั้งสองคนเจอกันที่มหาวิทยาลัยโดยบังเอิญ และคบกันตั้งแต่ตอนแดนสรวงอยู่ปีสอง ครอบครัวของณภัทรไม่เห็นด้วยที่ทั้งคู่จะคบหากัน...พวกเราแตกต่างกันหลายอย่าง...แค่เท่านี้ เธอเองก็พอจะเดาต่อได้ ถ้าหากวันหนึ่งเธอเกิดไปหลงรักเด็กหนุ่มต่างรุ่นกันถึงเกือบสิบปีบ้าง มีหวังโดนเฉ่งไม่เหลือเหมือนกัน
หญิงสาวเทียบจากอายุตัวเอง เธอยี่สิบเอ็ดแล้ว...สมมุติเป็นเลขกลมๆ ว่าต่างกันถึงสิบปี เท่ากับอีกฝ่ายเพิ่งจะสิบเอ็ดขวบ ถูกพ่วงข้อหาพรากผู้เยาว์แบบไม่ต้องสืบ ยังไงก็ไม่รอดแน่
กลับมาที่เรื่องของแดนสรวงต่อ “ทั้งสองคนยังแอบลอบพบกัน ก่อนหน้านี้คุณภัทรย้ายออกจากบ้านมาอยู่คอนโดกับพี่แดนโดยที่ทางบ้านไม่รู้ นึกว่าออกไปอยู่คนเดียว แต่พอมีเรื่องนี้เข้า ก็เลยถูกเรียกตัวกลับบ้าน ส่วนพี่แดนก็ยังอยู่ที่คอนโดนั่นแหละ
ทางบ้านคุณภัทรใช่ว่าจะไม่รู้ เมื่อเห็นว่าห้ามทางลูกตัวไม่ได้ก็เลยพยายามเข้าทางพี่แดน ขอให้เขาเข้าใจ บอกว่าอย่าไปทำลายอนาคตลูกเขา เพราะคุณภัทรเป็นนักธุรกิจ ต้องอาศัยภาพลักษณ์สร้างความน่าเชื่อถือ ฉันเดาเอาเองว่า...พอมีข่าวเรื่องพวกนี้ ภาพลักษณ์ก็คงดูแย่ หรือไม่แม่เขาก็คงแค่อ้างเพื่อกันลูกเขาออกมาเฉยๆ
จุดพีคมันอยู่ตรงที่ แม่คุณภัทรตามมาคุยกับพี่แดนถึงมหาวิทยาลัย ฉันเดาว่าคงไม่ได้คุยกันดีๆ หรอกมั้ง ท่านขอให้พี่แดนเลิกยุ่งกับคุณภัทร วันนั้นตัวแกเองก็เครียดๆ เลยดื่มแก้เครียดไปนิดหน่อย” อันที่จริงเธอไม่เชื่อว่าแต่หน่อยอย่างที่เขาเล่า ไม่รู้จะสงสารหรือว่าซ้ำเติมดี โครงการเมาไม่ขับเขาก็รณรงค์กันอยู่ป่าวๆ ดีอย่างที่ไม่ไปลากคนอื่นให้พลอยเดือดร้อนไปด้วย “พอขับรถออกมาจากคอนโดได้ไม่เท่าไหร่ก็ประสบอุบัติเหตุอย่างที่เรารู้กัน
พี่แดนไม่ได้ไปไหนไกล ถึงเสียแล้วแต่ก็ยังวนๆ เวียนๆ อยู่กับคุณภัทร สภาพของคุณภัทรทำให้แกห่วงจนรู้สึกว่าทิ้งไปไม่ได้ คุณภัทรไม่เชื่อว่าพี่แดนเสียเพราะอุบัติเหตุ แต่เชื่อว่าพี่แดนฆ่าตัวตายเพราะตัวเองกับที่บ้าน
ยิ่งนาน สภาพคุณภัทรก็ยิ่งแย่ แกหมดอาลัยตายอยาก ร่ำๆ จะตามไปอยู่กับพี่แดนให้ได้ แต่ที่ยังทนอยู่ทุกวันนี้เพราะเจ้าตัวเขายังรักครอบครัว ครอบครัวกับลูกน้องที่ทำงานยังเป็นห่วงผูกมัดไว้ได้ ทั้งที่ใจแกไม่อยากอยู่แล้ว กลายเป็นทุกวันนี้อยู่เหมือนตาย จนน่ากลัวว่าสักวัน ถ้าไม่ตายเพราะหมดอาลัยจนหยิบมีดมาปักตัวเอง ก็คงเดินไปให้เขาเสียบเพราะใจคอไม่อยู่กับตัวแล้ว
และที่พี่แดนต้องมาให้ฉันเห็น” จริงๆ ไม่ใช่เพราะเจาะจงว่าเป็นมะลิ แต่เป็นใครก็ตามที่สื่อกันได้ต่างหาก “เพราะจิตของแกกับคุณภัทรสื่อไม่ถึงกัน คุณภัทรเหมือนปิดสวิตซ์ไม่รับไม่รู้ หากไม่วุ่นวายอยู่กับโลกภายนอก ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องงาน ก็จะจมอยู่กับอดีต อยู่กับความโศกเศร้า ปิดจนเข้าไม่ถึง แกจนปัญญาถึงได้ต้องหาใครก็ได้ที่พอจะเป็นสื่อให้แทน ก่อนที่อะไรๆ มันจะแย่ลงจนสายไปเสียก่อน”
“โธ่...นี่มันโรมิโอกับจูเลียตชัดๆ” สาวอวบพ้อทั้งที่ปากยังเคี้ยวขนมตุ้ยๆ เธอช็อคไปรอบแล้วเมื่อตอนที่รู้ว่าแดนสรวงเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ตอนนี้ช็อครอบสองปนหดหู่ที่ได้รู้ว่าชีวิตรักของเขาช่างแสนเศร้า ขณะที่กำลังอินไปกับเรื่องราวความรักต้องห้าม คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็แทรกขัดบรรยากาศขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะเหมือนตรงไหน” จะมีใครอีกที่ขัดอารมณ์คนอื่นได้เท่ามะลิ เจ้าหล่อนลอยหน้าพูดขณะหยิบถั่วลิสงอบกรอบที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานใส่ปาก “รักต้องห้ามน่ะใช่ แต่สองคนนี้ไม่ได้มีความบาดหมางระหว่างตระกูลอย่างคาปุเล็ตกับมอนตาคิวเสียหน่อย แค่พ่อแม่ของเธอไม่ยอมรับตัวหมอนั่นเท่านั้นเอง” เธอนับนิ้วไล่เรียงจุดที่แตกต่าง “ไม่มีงานแต่งงานลับๆ ไม่มียาพิษ ไม่มีกริช ไม่มี...”
“ฉันแค่เปรียบเทียบ ไม่ได้บอกว่าต้องเหมือนเปี๊ยบทุกจุด” รศนาถลึงตา พ่นลมออกจมูกอย่างเหลืออด หมดกัน ภาพจินตนาการแสนโรแมนติก โศกนาฎกรรมอันแสนเศร้า เสียอารมณ์จริงๆ “กลับไปอ่านนิยายฆ่ากันตายของแกต่อเถอะไป๊!”
เขาเรียกอาชญนิยายย่ะ...คนโดนไล่บ่นงึมงำ...โธ่ ก็แกพูดเองนี่นาว่าเหมือน
รศนาเป็นสาวน้อยอารมณ์อ่อนไหว อดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจตามไปด้วย เรื่องราวความรักของแดนสรวงฟังดูเจ็บปวดและน่าเศร้า เธอแอบมองรุ่นพี่คนนี้ตั้งแต่เพิ่งเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ (เรียกว่าตั้งแต่ยังไม่ทันรับน้องเสร็จเสียด้วยซ้ำ) ในสายตาเธอ เขาเป็นคนร่าเริงสดใส เป็นคนอารมณ์ดีที่ทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้เสมอ ใครจะรู้ว่าคนที่มีรอยยิ้มเปื้อนหน้าอยู่ตลอดจะมีความทุกข์ใจหนักหนาถึงเพียงนี้
“แล้วเราจะช่วยพี่เขาได้ยังไง”
“เรา?” มะลิทวนคำเสียงสูง “เราไหน ใครบอกว่าฉันจะช่วย”
“เอ๊า” รศนาย้อนกลับเสียงสูงกว่า “ที่แกฟังเขาเล่ามาเสียยืดยาวแล้วเอามาเล่าต่อนี่ ไม่ใช่ว่าเพราะตกลงช่วยเขาแล้วเหรอ”
มะลิส่ายหน้า เธอมีบทเรียนเรื่องความมีน้ำใจมามากพอแล้ว สงสารคนอื่นเป็นเรื่องดีก็จริง แต่อีกใจเธอก็ต้องเผื่อไว้สงสารตัวเองด้วย
“ถ้าเป็นคนอื่นมาขอความช่วยเหลือแล้วแกปฏิเสธน่ะ ฉันก็พอเข้าใจอยู่ แต่นี่พี่แดนนะ”
“หมอนั่นแล้วไง” มะลิแปลกใจที่เพื่อนพูดเหมือนอีกฝ่ายเคยมีบุญคุณกับเธอ ทั้งที่แดนสรวงเป็นคนสร้างแผลใจให้เธอแท้ๆ
24 เมษายน...วันที่อากาศร้อนอบอ้าว ทางเดินระหว่างโต๊ะม้าหินที่นั่งประจำไปยังโรงยิม เธอยังจำได้แม่น หมอนั่นพูดจาดูถูกราวกับเธอเป็นตัวตลกให้เพื่อนๆ ฟัง...ต่อหน้ารุ่นพี่ที่เธอแอบชอบ ถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินเองกับหู เธอคงไม่มีทางเชื่อว่ารุ่นพี่อัธยาศัยดีอย่างเขาจะปากร้ายแบบนี้ เสียงหัวเราะยังดังก้องหู ทั้งที่มันเป็นวันสำคัญสำหรับเธอแท้ๆ
ยิ่งคิดยิ่งแค้น ไอ้แดนสรวงเอ๊ย!
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เธอไม่ช่วยเหลือเขา...
“ไม่ใช่ว่ายังโมโหอยู่ถึงไม่ช่วย แต่แกก็รู้นี่ว่าทำไมฉันถึงไม่อยากยุ่งกับเรื่องพวกนี้”
เพื่อนสนิทถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นใจ เพราะรู้ว่าการเห็นวิญญาณและเคยหยิบยื่นความช่วยเหลือ ทำให้เพื่อนต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง มะลิปลีกตัวจากคนรอบข้างมาตั้งแต่เรียนจบมัธยมต้น กว่าจะเปิดใจต้อนรับเพื่อนใหม่อีกทีก็ตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เจ้าหล่อนพูดคุยกับคนอื่นแบบผ่านๆ เฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมอยู่แบบนี้มาเป็นเดือนๆ ตั้งแต่เปิดเทอมจนกระทั่งมาเจอรศนา ส่วนหนึ่งก็เพราะสัมผัสพิเศษของเธอนั่นแหละ
สัมผัสพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด...ที่เจ้าตัวให้คำนิยามมันว่าเป็นคำสาป
NLaT
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ย. 2559, 08:13:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ย. 2559, 08:13:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 943
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |