พันธนา
สำหรับบางคน พันธนาการอาจเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ

แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3

เด็กหญิงมะลิมองเห็นดวงวิญญาณตั้งแต่จำความได้

เธอยังเด็กเกินกว่าจะรู้สึกกลัวและคิดไปเองว่ามันเป็นเรื่องปกติ และใครๆ ก็คงเห็นเช่นกัน หลายครั้งที่เธอทักทายพูดคุยกับดวงวิญญาณเหล่านั้น โดยที่พ่อแม่ของเธอเข้าใจว่าเธอคงพูดเล่นเรื่อยเจื้อยตามประสาเด็กที่มีจินตนาการ

เข้าชั้นประถม เธอจึงได้รู้แน่ชัดว่าตัวเองมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น แย่หน่อยตรงที่การรับรู้ในครั้งนั้นต้องแลกมากับการถูกเพื่อนๆ ทั้งห้องพร้อมใจกันหันหลังให้ มีทั้งคนที่หันหลังให้เพราะความกลัวในสิ่งที่เธอบอกว่าเห็น และคนที่คิดว่าเธอเป็นเด็กขี้โกหก

เมื่อเรียนจบชั้นประถม พ่อแม่ย้ายมาทำงานในเมืองหลวง เธอรู้สึกเหมือนชีวิตได้เริ่มต้นใหม่ มะลิเริ่มวัยมัธยมเหมือนเด็กหญิงทั่วๆ ไป ไม่พูดถึงเรื่องวิญญาณให้ใครฟัง มันเป็นการเริ่มต้นที่ดี...ไม่มีเรื่องอย่างเมื่อตอนอยู่ชั้นประถมมากวนใจ
มะลิมีเพื่อนสนิทสองคน คนหนึ่งชื่ออ๋อม อีกคนชื่อจ๋า เธอติดเพื่อนสองคนนี้อย่างกับตังเมตามประสาคนที่ไม่เคยมีเพื่อนสนิทมาก่อน

ใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างราบรื่นเป็นสุขดี กระทั่งได้ยินหนึ่งในเพื่อนสนิทเอ่ยถึงคุณตาที่เสียไปบ่อยๆ ด้วยความคิดถึง หนักเข้าเธอจึงอาสาด้วยความสงสาร

“ถ้าอ๋อมอยากติดต่อกับคุณตา เราจะช่วย แต่อ๋อมอย่าไปบอกใครนะ”

เคยมีคนบอกไว้ว่า ถ้ามีเรื่องอะไรที่อยากให้คนรู้กันไวๆ ตอนเล่าให้กำชับไปว่า “อย่าบอกใครนะ” รับรอง แค่ประเดี๋ยวเป็นรู้กันทั่ว...ถ้ามะลิได้ยินคำนี้ตั้งแต่ตอนประถม เธอคงเลือกไม่บอกอ๋อมแบบนั้น

คำว่า “อย่าไปบอกใครนะ” เหมือนเป็นลมที่ช่วยพัดโหมให้ไฟกระจายลามทุ่ง แม้จะตอบกลับมาพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า “ขอบใจนะ ฉันจะไม่บอกใคร” แต่เพื่อนทุกคนในห้องกลับได้รู้เรื่องนี้ภายในเย็นวันเดียวกัน

...ฝันร้ายตอนประถมกลับมาอีกครั้ง ฉากเก่าๆ รีเพลย์แบบเดียวกันเปี๊ยบ

บางคนที่เชื่อ ก็กลายเป็นกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้

ส่วนคนที่ไม่เชื่อ มองว่าเธอเพี้ยนบ้าง ขี้โกหกบ้าง หนักเข้าก็ว่า “ยัยมะลิเรียกร้องความสนใจ” ...อ๋อมจัดอยู่ในกลุ่มนี้

บทเรียนครั้งนี้เล่นงานเธอสาหัสกว่าครั้งก่อน เด็กหญิงนั่งร้องไห้เป็นวันๆ เพราะเสียใจที่ถูกเพื่อนรักหักหลัง นานวันเข้า ความเสียใจและเสียงล้อเลียนจากคนรอบข้างถูกหล่อหลอมกลายเป็นเกราะชั้นดี เธอเข้มแข็งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไว้วางใจคนอื่นน้อยลง

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แต่การนับครั้งนี้ มะลิเลือกที่จะนับหนึ่งเพียงคนเดียว เธอปลีกตัวจากเพื่อนฝูง ไม่คบหากับใคร ยกเว้นเสียแต่เวลาต้องทำงานร่วมกลุ่มกับกิจกรรมรับน้องซึ่งเธอยินยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คุยเท่าที่จำเป็น หวงความเป็นส่วนตัว เธอบอกตัวเองเสมอว่าความรู้สึกโหวงๆ ในอกนั้นไม่ใช่ความเหงา...แม้ลึกๆ รู้แน่แก่ใจว่ามันคืออะไร

รศนาเป็นเพื่อนร่วมคณะ ลงเรียนวิชาเดียวกัน อันที่จริง เธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยมองว่ามะลิทำตัวแปลกประหลาด หนำซ้ำยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง “เพื่อนฉันเคยเรียนห้องเดียวกับเธอคนนี้ตอนมัธยมต้น...เห็นบอกว่าเขาเพี้ยนๆ นะ ชอบเดินบ่นงึมงำๆ ใครถามก็บอกว่าคุยกับผี สงสัยจะไม่ค่อยเต็ม”

“ฉันเรียนห้องเดียวกับมะลิตอนนี้ ไม่เห็นว่าเขาจะเพี้ยนอย่างที่เพื่อนเธอว่า” แม้จะคิดเหมือนกันว่าเพื่อนร่วมห้องออกจะทำตัวแปลกอยู่บ้าง แต่มะลิไม่ใช่คนเลวร้าย เธอแค่เงียบไปหน่อย อันที่จริงเป็นคนมีน้ำใจ ไม่ค่อยปฏิเสธเวลาใครขอให้ช่วยงาน แค่ไม่สุงสิงกับใครเท่านั้นเอง และเมื่อคนเล่าพยายามอธิบายคล้ายให้คนฟังคล้อยตาม จึงถูกรศนาดุเอาว่า “ฉันว่าเธอต่างหากที่เพี้ยน ไม่รู้จักกันแต่ดันว่าเขาเป็นตุเป็นตะทั้งที่แค่ฟังเพื่อนมา ถ้าเป็นฉันโดนเองมีหวังตอกพวกเธอหน้าหงายไปแล้ว”

มะลิเองก็เคยได้ยินผ่านหูว่าตัวเองถูกเอาไปเม้าท์ แถมสารที่ถูกเล่าแบบปากต่อปากยังบิดเบือนเสียเละเทะ จากที่เธอเคยบอกอ๋อมแค่ว่าติดต่อวิญญาณได้ กลายเป็นเธอชอบเดินบ่นงึมงำคุยกับผี ข่าวลือว่าเธอเลี้ยงผียังเคยได้ยินมาแล้ว

...เลี้ยงกะผีอะไรล่ะ เลี้ยงตัวเองยังไม่ค่อยจะรอดเลย

โชคดีที่ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น ผู้คนเยอะแยะมากมายหลากหลายคณะ ไม่ค่อยมีใครสนใจข่าวที่กระจายออกไปสักเท่าไหร่ แถมข่าวยังโคมลอยเบาโหวงไม่มีน้ำหนักอะไร มะลิวางตัวเฉย ไม่สนใจปากคนอื่น ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเอง นานวันเข้าเสียงลือพวกนั้นก็ค่อยๆ จางลง

ลมปากจางลง แต่แผลในใจไม่เคยจางตาม

ผ่านไปหลายเดือน จุดเปลี่ยนค่อยมาถึง เหตุเกิดจากคุณย่าของรศนาเสียชีวิตด้วยโรคชรา ท่านสั่งเสียไว้ก่อนสิ้นลมให้นำแหวนพลอยสีน้ำเงินที่ท่านรักนักหนาเพราะคุณตาให้ไว้ฝังไปกับท่านด้วย แต่คนสั่งเสียไม่ได้บอกว่าหมายถึงแหวนวงไหน และเก็บเอาไว้ที่ไหน ร้อนถึงลูกหลานที่อยากจะทำตามคำขอครั้งสุดท้ายของท่าน รศนาเครียดเสียจนไม่เป็นอันเรียน จากคนคุยเก่ง กลายเป็นนั่งตาแดงๆ ไม่พูดไม่จา มะลิเห็นเข้าก็อดใจอ่อนไม่ได้

"ยังหาแหวนไม่เจออีกเหรอ" มะลิทักขึ้นในเย็นวันหนึ่ง สีหน้าเพื่อนร่วมชั้นไม่ค่อยดีนัก รศนานิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนพยักหน้า เดาเอาว่ามะลิคงได้ยินเธอบ่นกับเพื่อนสักคนเข้าจึงทราบเรื่อง

"ฉันนี่เป็นหลานที่แย่ชะมัด คำขอร้องครั้งสุดท้ายของคุณย่ายังทำให้ท่านไม่ได้" ว่าจบก็สูดจมูกเสียงดัง เธอยกมือป้ายน้ำตาออกจากแก้ม ฝืนยิ้มให้คนถาม “ขอบใจที่ถามนะ”

หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่...บอกดี ไม่บอกดี...เธอเข็ดกับการเป็นตัวประหลาด เข็ดกับสายตาคนรอบข้างอย่างที่เคยเจอ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอก ถ้าน้ำใจจะทำร้ายเธออีกหน ก็ถือเสียว่ามันเป็นการตอบแทนคนที่เคยพูดปกป้องเธอก็แล้วกัน

“แหวนนั่นอยู่ในกล่องที่วางอยู่บนหัวเตียงห้องคุณย่า เวลาเปิดหน้าต่าง ผ้าม่านชอบปลิวมาบังมัน ทุกคนก็เลยไม่ทันได้เห็น ส่วนกุญแจก็อยู่ใต้กล่องนั่นแหละ ท่านกลัวลืมก็เลยเอาสก็อตซ์เทปติดกุญแจไว้กับกล่องเสียเลย”

รศนารับสารมาอย่างมึนงง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ส่วนคนบอกก็ไม่เปิดโอกาสให้ถาม พูดจบปุ๊บก็เดินลิ่วๆ หายไปเลย

เอาเถอะ...ลองหาดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย


มะลิมีโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่พ่อยกให้หลังจากท่านเปลี่ยนไปใช้เครื่องใหม่ สภาพของมันไม่แย่นัก มีรอยถลอกบ้างแต่ยังใช้โทรเข้าโทรออกได้ปกติดี ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ค่อยสนใจจะใช้มันสักเท่าไหร่ ยกเว้นตอนที่อยากได้ของหนักๆ มาทับกระดาษ

เธอค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินเสียงเรียกเตือนในเย็นวันหนึ่ง ปกติมันไม่เคยส่งเสียงกวนใจ เพราะไม่มีใครโทรหาอยู่แล้ว หมายเลขที่ปรากฏไม่ใช่เลขที่เคยบันทึกไว้ แหงล่ะ...ในเครื่องมีแต่เบอร์พ่อกับแม่ แล้วทั้งคู่ก็อยู่บ้านเสียด้วย
สงสัยจะโทรผิด...

ปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังต่อไปอีกสักพักจนมันตัดไปเอง ทนรำคาญแบบนี้อยู่สองสามหนกว่าจะนึกได้ว่า แค่รับสายและบอกไปว่าอีกฝ่ายโทรผิด ก็ไม่ถูกกวนใจต่อแล้ว เรื่องง่ายแค่นี้ดันนึกไม่ออก สงสัยต่อมสื่อสารกับมนุษย์ของเธอมันจะบกพร่องไปแล้วล่ะมั้ง (มันมีต่อมนี้ด้วยเรอะ)

หญิงสาวตัดสินใจรับสาย แค่ "ฮัลโหล" ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงปลายสายก็สวนมาทันควัน

"มะลิ...มะลิใช่ไหม" น้ำเสียงคนพูดฟังดูเหมือนจะระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ "ฉันเจอแล้ว...แหวนของคุณย่า เป็นอย่างที่เธอบอกทุกอย่าง...เธอรู้ได้ยังไง"


นับตั้งแต่วันนั้น ระดับความสัมพันธ์แบบหลวมๆ จึงค่อยๆ พัฒนาขึ้น

สิ่งที่เจอกับตัวเองทำให้รศนาเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข มะลิมองเห็นและสื่อสารกับดวงวิญญาณได้จริง ไม่ใช่แค่เพี้ยนอย่างที่เขาลือกันมา ตำแหน่งของแหวนที่เพื่อนบอกแม่นยำ ไม่มีทางเป็นแค่การคาดเดาแล้วบังเอิญถูกแน่ และเธอก็แสดงออกให้มะลิรับรู้ว่าเธอเชื่อในสิ่งที่มะลิพูดทุกคำ

เจ้าตัวอธิบายว่า เธอมองเห็นเฉพาะดวงวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือ หรืออยากให้มีใครสักคนเห็น แต่จะมีช่วงไพร์มไทม์เวลาป่วย ถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะอยากให้เห็นหรือไม่อยากให้เห็น เธอก็เป็นอันเห็นหมด ดูราวกับตัวรับสัญญาณจะทำงานดีเป็นพิเศษ ที่สำคัญ เธอรับสารได้ก็จริง แต่เธอส่งสารสู่ดวงวิญญาณได้ไม่ดีนัก เป็นเพราะอาการปวดศีรษะมักกำเริบหากเธอส่งสารผ่านกระแสจิต ระดับความปวดขึ้นอยู่กับระยะเวลา เรียกง่ายๆ ว่าหากสื่อสารกับดวงวิญญาณผ่านทางกระแสจิตเป็นเวลานานๆ ผลที่ตามมาคืออาการปวดศีรษะที่ไม่อาจรักษาได้ด้วยยา เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้มีคนเคยเห็นเธอเดินบ่นงึมงำๆ...การสื่อสารผ่านด้วยถ้อยคำ ดวงวิญญาณสามารถรับรู้ได้ อีกทั้งเธอยังไม่ต้องได้อาการปวดศีรษะมาเป็นของแถม

อย่างกรณีคุณย่าของรศนา ท่านไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ อันที่จริง ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าฝากฝังอะไรไว้กับลูกหลาน “จะมาเอาอะไรกับคนแก่” ท่านเอ่ยพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อมะลิพยายามสื่อถึงท่านเพื่อขอให้ท่านปรากฏตัว และนั่นทำให้เธอถึงกับนอนซมเพราะอาการปวดศีรษะไปครึ่งวัน

ถึงจะรู้ความจริงทั้งหมดอย่างนั้น แต่รศนาก็ยังอดเตือนไม่ได้ "ฉันเชื่อแกนะ แต่ขอเตือนว่าอย่าไปเล่าให้ใครฟังดีกว่า คนเขาจะว่าแกเพี้ยนเอา คนที่ไม่เจอกับตัวเองน่ะ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้หรอก" พอสนิทกันมากขึ้น สรรพนามสุภาพอย่าง เธอ ก็เลยถูกลดขั้นเหลือแค่ แก ไปแทน

"อย่าห่วงเลย ฉันมีบทเรียนจากเรื่องนี้มามากเชียวล่ะ" มะลิเปิดใจเล่าเรื่องการถูกเพื่อนรักหักหลังเมื่อตอนมัธยมต้นจนเธอกลายเป็นตัวประหลาดในโรงเรียนได้ในชั่วข้ามวัน เจ้าตัวบอกว่าครั้งนั้นทำเธอเสียใจอย่างกับคนอกหัก พอถามว่ารู้ด้วยเหรอว่าอกหักเป็นยังไง สาวมะลิก็ตอบตาใสว่า "ไม่รู้"

ไม่ใช่เพี้ยนเพราะบอกว่าสื่อสารกับวิญญาณได้หรอก สำหรับรศนา...มะลิเพี้ยนเพราะมะลิเป็นมะลิต่างหาก


แม้จะมองไม่เห็นแดนสรวง แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าเขายังอยู่ที่นี่ บรรยากาศในห้องมืดหม่นชวนเศร้า พลังงานที่ให้ความรู้สึกหนักๆ ลอยอิ่งอยู่รอบๆ อึดอัดจนอยากหนีไปอยู่ที่อื่น

แต่นี่มันห้องนอนเธอ จะให้หนีไปไหนได้

“จะเศร้าอีกนานไหมพี่แดน” มะลิเอ่ยเสียงขุ่น บรรยากาศชวนเศร้าแบบนี้ หากเป็นคนอื่นคงรู้สึกหดหู่ แต่พอเป็นคนที่ต้องสัมผัสความหม่นเศร้าจากดวงวิญญาณที่มักมาขอความช่วยเหลือจนเคยชิน มันกลับทำให้เธอรำคาญมากกว่า “ถ้าจะมาทำให้ห้องคนอื่นเขาพลอยหม่นไปด้วยแบบนี้ ก็ออกไปนั่งข้างนอกนู่นเลย”

ร่างของหนุ่มรุ่นพี่ปรากฏขึ้นจากมุมห้อง สองนัยน์ตาแดงก่ำ เขาก้มหน้าลอบป้ายน้ำตาเมื่อมันไหลลงร่องแก้ม เล่นเอามะลิด่าต่อไม่ออก เจ้าหล่อนถมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทีแรก “คราวนี้อะไรอีก”

แดนสรวงเพิ่งไปหาณภัทร พยายามอย่างยิ่งยวดด้วยหวังว่าอาจจะสื่อสารอะไรกันได้บ้าง หากภาพที่เห็นกลับทำให้ยิ่งทุกข์หนักขึ้นไปอีก ไม่เพียงไม่สามารถสัมผัสถึงกันได้ แต่เขายังได้รับส่วนแบ่งความทุกข์จากณภัทรเพิ่มมาอีกด้วย แย่หนักตรงที่ความทุกข์ส่วนที่เขาได้รับเพิ่มมานั้น ไม่ช่วยบรรเทาความเศร้าเสียใจของคนรักได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“คุณภัทรขึ้นมานั่งบนราวระเบียง มองตาก็รู้ว่าอยากจะกระโดดลงไปข้างล่างแค่ไหน” เขาเล่าเสียงเครือ เธอดูออกว่าเขาพยายามกลั้นสะอื้น ริมฝีปากนั้นเม้มแน่นสะกดอารมณ์ก่อนเล่าต่อ “ฉันตะโกนห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน ถ้านายพลมาช้ากว่านี้อีกนิด...”

บางครั้งณภัทรดูคล้ายคนสติหลุด เอาแต่นั่งซุกตัวอยู่มุมห้อง ไม่เปิดไฟ ไม่เปิดม่านหน้าต่าง หรือถ้าจะเปิด ก็คือเพื่อไปนั่งบนราวระเบียง ขอบหน้าต่าง ราวกับไม่ยินดียินร้ายว่าอุบัติเหตุพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

บางครั้งก็ดูเหมือนเจ้าตัวจงใจอยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น ราวกับสูญเสียการควบคุมตัวเองเข้าไปทุกที

คราวนี้โชคดีที่คนเป็นน้องนึกสังหรณ์ใจ ณพลหากุญแจมาไขประตูด้วยเห็นว่าณภัทรเงียบไป จึงมาช่วยลากพี่กลับเข้าห้องได้ทันเวลา

“หยุดทำแบบนี้เสียที จะทำอะไรช่วยนึกถึงพ่อกับแม่ด้วยเถอะพี่ภัทร”

“ก็เพราะคิดถึงนี่ไง ทุกอย่างมันเลยกลายเป็นแบบนี้” ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น ร่ำไห้ราวจะขาดใจให้ได้ คนตรงหน้าจวนเจียนกับคำว่าแตกสลายเต็มที “ถ้าพี่ไม่เห็นแก่พ่อแม่ คงไม่กลับมาอยู่ที่นี่...ถ้าไม่เห็นแก่พ่อแม่ พี่คงตามแดนไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว คิดว่าที่ยังทนมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้นี่มันเพราะอะไร”

“ขอร้องล่ะมะลิ ช่วยคุณภัทรทีเถอะ” ความพยายามฝืนกลั้นน้ำตาของเขาสิ้นสุด วิญญาณหนุ่มคุกเข่าลงขอร้องอย่างสิ้นท่า เขาสะอื้นทั้งพนมมือไหว้เธอ มะลิรับทรุดตัวลงนั่ง พนมมือไหว้เขากลับด้วยสีหน้าเหลอหลา “ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉัน แต่ขอร้องล่ะนะ ถือว่าทำบุญให้ฉันเถอะ”

บางทีความรักก็ดูน่ากลัวกว่าความตาย ความตายอาจพรากลมหายใจ แต่ความรักพรากได้แม้กระทั่งศักดิ์ศรี ดูอย่างคน...เอ๊ย...วิญญาณตรงหน้าเธอนี่ไง คู่อริกันแท้ๆ ต่อปากต่อคำ ชังหน้ากันมาตลอด ถึงกับยอมละทุกสิ่งอย่าง ยกมือไหว้เธอปะหลกๆ เพียงเพื่อขอให้ช่วยคนรักของตัวเอง

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...

“อย่างฉันจะไปช่วยอะไรได้” เธอเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ รู้จักกันหรือก็ไม่ หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่เคยเห็น ดีไม่ดีทางนั้นคิดว่าเธอเป็นพวกต้มตุ๋นคงได้เดือดร้อนยกใหญ่ “อย่าว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ ทำไมพ่อแม่แฟนนายถึงกีดกันนายกับแฟนขนาดนั้น เข้าใจอยู่หรอกว่าอายุต่างกันมาก แต่ก็ไม่น่าจะตามกดดันกันถึงขนาดนั้นเลยนี่นา คนรักของลูกสาวแท้ๆ จะไม่ยอมให้โอกาสกันหน่อยเลยเหรอ” คู่อริมองอย่างไม่ไว้ใจนัก “นี่นายเล่าไม่หมดหรือเปล่า ฉันว่าอย่างนาย ต้องไปทำอะไรแย่ๆ ให้ที่บ้านแฟนเห็นแหงๆ”

“ฉัน...” เธอได้ยินแค่นั้น หลังจากนั้นวิญญาณหนุ่มก็ก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบ มะลิมองเขาแทบตาไม่กระพริบในขณะที่ร่างนั้นค่อยๆ เลือนจนหายวับไปกับตา หญิงสาวเลยได้แต่แหวกับลมกับฟ้า “นิสัยเสีย ไม่ตอบก็ไม่ตอบสิยะ ไม่เห็นต้องหนีไปดื้อๆ อย่างนี้เลย ผีบ้าเอ๊ย”


แดนสรวงไม่โผล่หน้ามากวนใจอีกเลยตลอดสุดสัปดาห์ จนอดคิดไม่ได้ว่า ตอนไม่อยากช่วยล่ะมาขอให้ช่วยจัง พอชักจะใจอ่อน (บวกกับความอยากรู้อยากเห็นอีกนิดหน่อย) ดันหายหน้าไปเสียดื้อๆ ตัวเธอเองก็ไม่คิดตามหา ทั้งที่หากต้องการพบเขาจริงๆ ยอมปวดศีรษะสักครึ่งวัน ทำอย่างที่เคยทำกับคุณย่าของรศนาก็ตามตัวได้ไม่ยากแล้ว แต่หญิงสาวยังยืนยันสโลแกนเดิม “เรื่องคน (ตน) อื่น มะลิขอบาย ลำพังเรื่องตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย”

บางทีหมอนั่นอาจขี้เกียจตามง้อให้เธอช่วยจนเลือกใช้วิธีอื่นไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะยังงอนที่เธอดันพูดจากระแทกใจไปหน่อย ถึงได้หายจ้อยไปเลย...ดีเสียอีก เธอจะได้ไม่ต้องปวดหัว มะลิค่อนกับลมกับฟ้าเวลาที่นึกถึง “มีแต่มาขอให้ช่วยนั่นช่วยนี่ คิดว่าฉันว่างมากหรือยังไง”

พอเล่าให้เพื่อนฟัง แทนที่จะเข้าข้างกัน ดันไปเข้าข้างนายแดนสรวงเสียได้ แถมยังบ่น “แกก็น่าจะช่วยๆ เขาไปตั้งแต่แรก พี่เขาอุตส่าห์ขอร้องแกขนาดนั้นแล้ว”

“เดี๋ยวนะ ตกลงฉันกลายเป็นคนผิดไปได้ยังไงเนี่ย” เธอแทบจ๊ากที่จู่ๆ ก็โดนซัดทอด”หมอนั่นต่างหากลมเพลมพัด นึกจะมาก็มา นึกจะหายก็หาย” แถมหายทีทำเอาเธอโดนเพื่อนบ่นอีกต่างหาก ถ้าเจอนะ จะเล่นงานให้น่าดู “แกนะแก เห็นผีดีกว่าเพื่อน”

ทั้งสีหน้าและคำพูดตัดพ้อ ทำให้รศนาค่อยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอาจพูดแรงเกินไปหน่อย “ขอโทษนะแก ฉันแค่สงสารพี่เขาน่ะ อีกอย่าง ฉันกลัวว่าถ้าชักช้า อาจจะช่วยแฟนพี่เขาไม่ทันเวลา ถ้าไม่รู้แล้วไม่ได้ช่วยก็ถือว่าแล้วกันไป แต่นี่รู้แล้วแท้ๆ ยังไม่ช่วยอีก ฉันว่ามัน...” เธอละคำว่าใจดำเพราะคนฟังยังหน้างอเป็นจวัก “เอาเป็นว่า ฉันไม่อยากให้มันสายเกินไป”

มะลิยั้งปากไวทัน ไม่พูดไปตามที่ใจคิดว่า คงไม่ได้จะรีบตายวันนี้พรุ่งนี้หรอกน่า “คนที่ยังห่วงครอบครัว ห่วงลูกน้องอยู่ ยังไงก็ยังมีห่วงช่วยดึงไว้ได้ จริงอยู่ว่าอะไรๆ มันไม่แน่นอน คนหดหู่จะคิดสั้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มีสิทธิ์ได้ทั้งฆ่าตัวตายและขาดสติจนเกิดอุบัติเหตุ แต่ถามหน่อยเถอะ” เธอวางข้อศอกลงกับโต๊ะ ยื่นหน้าถามด้วยความสงสัย เป็นความสงสัยที่อยู่ในหัวมานานแล้ว คนนั้นขอให้ช่วย คนนี้ก็บอกว่าควรช่วย แต่ไม่มีใครตอบคำถามเธอได้สักคน “แกคิดว่าฉันจะไปช่วยเขายังไงได้น่ะ”

สองสาวหยุดบทสนทนาไว้ชั่วคราว เมื่อได้ยินเสียงจากนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งเวลาไว้เพื่อบอกเวลาเข้าชั้นเรียน มะลิตัดบทบอกกับรศนา “แกเข้าห้องไปก่อนเถอะ ฉันลืมไปว่าจะซื้อปากกา แท่งเก่าเขียนไม่ค่อยติดแล้ว เดี๋ยววิ่งไปแป๊บเดียว”

“เดี๋ยว มะลิ” หญิงสาวเอื้อมมือไปจับไหล่เพื่อน ทอดเสียงอ่อน “แกยังโกรธฉันอยู่ไหม ที่เมื่อกี๊ฉันพูดไม่ดีกับแกเพราะเรื่องพี่แดน”

มะลิส่ายหน้า ถึงปากจะชอบแซวว่าที่รศนาอยากช่วยแดนสรวงเพราะเคยชอบเขามาก่อน แต่อันที่จริง เธอรู้ว่าเพื่อนเป็นคนมีน้ำใจ และทำไปด้วยใจที่ห่วงคนอื่นจริงๆ แบบเดียวกับที่เคยช่วยปกป้องเธอจากคำพูดของคนปากเสียนั่นแหละ “ฉันโกรธคนแบบแกไม่ลงหรอก ยัยดอกทานตะวัน ไปไป๊ ฝากกระเป๋าไปจองที่ให้ด้วย เดี๋ยวตามเข้าไป”

พูดจบก็วิ่งปรูดลงบันไดไปร้านค้าด้วยความเร่งรีบ เธอไม่อยากเข้าห้องเรียนสาย ไม่ทันฟังเสียงรศนาที่ตะโกนไล่หลังเพราะเห็นว่าเพื่อนวิ่งไปตัวเปล่า “เฮ้ย มะลิ...แกเอากระเป๋าตังไปหรือยัง”


ความรักมันเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้...ไม่ใช่คำพูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน วันที่อากาศร้อนอบอ้าว...หน้าตู้แช่เครื่องดื่มที่ตั้งไว้ด้านในสุดของร้านค้ามหาวิทยาลัย แดนสรวงยืนทำหน้ายุ่งอย่างไม่สบอารมณ์นัก เมื่อเครื่องดื่มที่ดื่มประจำถูกขายไปจนหมดเกลี้ยง เขาบ่นพึมพำขณะกำลังกระพือเสื้อเพื่อให้มีลมเข้าหาตัว “อะไรวะ น้ำแดงหมดอีกแล้ว”

ได้ยินคนตัวโตบ่นอุบหาน้ำหวานแล้วก็อดขำไม่ได้ ณภัทรกลั้นหัวเราะไม่อยู่จนอีกฝ่ายได้ยินเข้า จึงเสนอน้ำแดงกระป๋องสุดท้ายที่ตัวเองหยิบออกมาจากตู้ก่อนหน้าแดนสรวงแค่ไม่กี่นาทีให้ “มีเหลืออยู่กระป๋องหนึ่งน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ ประเมินด้วยสายตา ดูออกว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าจึงตอบอย่างนอบน้อม เรื่องมารยาทกับผู้ใหญ่ เขาไม่เคยบกพร่องอยู่แล้ว “ผมดื่มอย่างอื่นก็ได้ ขอบคุณมากครับ”

“เอาน่า รับไปเถอะ” ณภัทรยัดเยียดเครื่องดื่มใส่มือจนสำเร็จ และตัวเองเลือกหยิบน้ำอัดลมสีเขียวกระป๋องใหม่

เรื่องมันคงจบ ถ้าแดนสรวงไม่ตามมาขอบคุณตอนกำลังยืนรอชำระเงินที่เคาวน์เตอร์...ถ้าณภัทรไม่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ลงมาจากรถ...ถ้าอีกฝ่ายไม่มีน้ำใจอาสาชำระเงินค่าน้ำอัดลมให้...ถ้าตนไม่ขอเบอร์โทรศัพท์อีกฝ่ายไว้เพราะรู้สึกถูกชะตา และ “เอาไว้จะขอเลี้ยงคืนบ้างนะ”

เรื่องมันควรจบ...แดนสรวงไม่ควรต้องมาตายแบบนี้เลย


“คุณภัทร” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนรักมาที่ร้านค้าของมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาเสียชีวิต อันที่จริง...ณภัทรไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลยนับตั้งแต่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายได้ทราบเรื่องที่ลอบคบหากันอยู่

ณภัทรยืนอยู่ตรงที่ๆ สองคนพบกันเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเขากำลังยืนเลือกเครื่องดื่มอยู่ด้วยอารมณ์หงุดหงิด เหงื่อโทรมเพราะอากาศร้อน ออกจากโรงยิมได้ไม่นาน แถมยังเพิ่งไป ปะ ฉะ ดะ กับคู่อริมาหมาดๆ

“หน้าตอนหงุดหงิดของคุณมันน่ารักดี เห็นแล้ว...ไม่รู้สิ...อยากคุยด้วย” คนรักเล่าให้เขาฟังหลังจากทั้งคู่ตกลงปลงใจคบหากันแล้ว นับจากวันแรกที่พบกันแค่ราวสามเดือนได้

เขาเชื่อว่าณภัทรกำลังคิดถึงเขาอยู่ สายตาแบบนั้น...มันเป็นสายตาสำหรับมองเขาเพียงคนเดียว

มะลิเข้ามาที่ร้านค้าเพื่อซื้อปากกา เห็นว่าแดนสรวงอยู่ในร้านอยู่แล้วก็นึกแปลกใจ...หายไปตั้งนาน มาอยู่ที่นี่เองเรอะ...พอได้ยินเขาเรียกชื่อณภัทรก็พอเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร ความอยากรู้อยากเห็นพุ่งปรี๊ด แม้จะยังไม่ได้รับปากว่าตกลงช่วยหรือไม่ ยังไงก็ขอให้ได้เห็นหน้าคนหลงผิดที่มาปิ๊งนายแดนสรวงสักทีเถอะ

“โก๊ะกังอีกแล้วนะแก วิ่งมาดื้อๆ กระเป๋าตังก็ไม่ถือมาด้วย” รศนาที่วิ่งลงจากอาคารตามมาติดๆ ถึงกับหอบ มะลิตัวเล็กกว่าเธอจึงก้าวไวกว่า ประเดี๋ยวเดียวก็วิ่งถึงร้าน ต่างจากเธอที่สรีระไม่ช่วยให้วิ่งไวคล่องแคล่วเหมือนอีกฝ่าย “ได้ปากกาหรือยัง แล้วนี่แกยืนมองอะไรอยู่”

“พี่แดนอยู่ตรงนั้น” เธอกระซิบ ชี้ไปทางแดนสรวง ก่อนเลื่อนนิ้วไปที่หญิงสาวอีกคนหนึ่ง “กำลังมองคนๆ นั้นอยู่”

เพราะเห็นจากด้านข้างของวิญญาณหนุ่ม เธอจึงเดาว่าเป้าหมายคือหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ตู้แช่น้ำตามทิศทางที่เขาหัน สอดคนเดียวไม่พอยังลากเพื่อนมาเอี่ยวด้วย ส่วนรศนานั้น แม้ออกปากว่าถึงจะเคยกรี๊ดแดนสรวงยังไง แต่ผีก็ยังเป็นผีและเธอก็ยังคงกลัวผีอยู่เหมือนเดิม แต่พอได้ยินมะลิพูดแบบนั้น เธอก็รีบยื่นหน้ามาสมทบ ถาม ไหนๆ คนไหน ทันที เรียกได้ว่าความอยากรู้เอาชนะความกลัวไปแบบไม่เห็นฝุ่น

“หูย...ดูหุ่นสิแก” สาวอวบก้มหน้ามองรูปร่างตัวเองเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยเสียงอ่อย “มิน่า พี่เขาถึงได้ไม่สนฉัน เอาแต่หยอกไปวันๆ เท่านั้นเอง” โดยมีมะลิพยักหน้าเห็นด้วย และเสริมว่า “มิน่า เพราะได้แฟนสวยนี่เอง ถึงได้กล้ามากัดคนอื่นว่าตัวเตี้ยหุ่นตัน” คิดขึ้นมาแล้วชักจี๊ดๆ เหมือนกันแฮะ

รูปร่างบอบบาง หน้าตาจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อย เธอสวมชุดกระโปรงสีชมพูพาสเทลแขนกุดแบบเรียบๆ ความยาวเสมอเข่า คอปกทรงกลีบบัวสีขาว รองเท้าคัตชูส้นเตี้ยสีขาวครีมแบบที่มีสายพันรอบข้อเท้า กับกระเป๋าสะพายใบเล็กทำจากหนังสีเดียวกัน ใบหน้าแต่งแต้มแต่พอดี ผมยาวถูกมัดรวบเป็นหางม้าสูง เครื่องประดับมีเพียงนาฬิกาสร้อยข้อมือสีเงินเรือนกลมเส้นเดียว แม้ไม่ได้สวยจัด แต่ก็ดูน่ารักน่าถนอม เธอมากับชายหนุ่มสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนขนาดพอดีตัวกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน ถือหนังสือเล่มโตในมือ ที่รู้ว่ามาด้วยกัน เพราะหญิงสาวหันไปสะกิดและพูดอะไรบางอย่างกับเขา หากไม่มีฉากหลังเป็นตู้แช่น้ำกับเคาวน์เตอร์คิดเงิน รศนาคงคิดว่าสองคนนั้นกำลังถ่ายแบบอยู่ คู่หนุ่มหล่อสาวสวยดูสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

“แต่ฉันว่ามันแปลกๆ” มะลิเอ่ยขึ้นลอยๆ มีบางสิ่งสะกิดใจเธอ คนเป็นเพื่อนนิ่งคิดและมองตาม ก่อนเอ่ยเสริมขึ้นมาว่าเห็นด้วยเช่นกัน

ไหนว่ารักกันจะเป็นจะตาย และอีกฝ่ายแทบจะตายตามไปด้วย ไหงคุณภัทรดูไม่เห็นจะเศร้าโศกอะไรเลย ไม่ใช่แค่เพราะการแต่งหน้าแต่งตัวที่ทำให้เธอดูสดใส แต่เพราะท่าทีที่เธอแสดงออกมาด้วยต่างหาก ถ้าให้บอกว่าดีใจที่เขาตายไปเสียได้ยังน่าเชื่อมากกว่า คนเสียใจไม่น่าจะดูสดชื่นได้ถึงขนาดนี้ หรือถ้าจะบอกว่าฝืนทำ...แบบนั้นเจ้าหล่อนก็เหมาะจะได้รางวัลออสการ์สักตัว เพราะตีบทแตกกระจุย

ในขณะเดียวกัน แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่มะลิก็ดูออกว่าวิญญาณหนุ่มกำลังร้องไห้ เขาคงไม่เห็นเธอและคงไม่คิดว่าจะมีใครเห็นเข้า จึงยืนสะอึกสะอื้นสิ้นท่าราวกับจะตายรอบสองเสียให้ได้

น่าหงุดหงิดใจตรงที่เห็นตำตาว่าคุณภัทรอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่กลับนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี รู้แค่ว่าหากปล่อยโอกาสนี้ผ่านไป คงยากที่จะเจอกันอีก

“อย่างน้อยก็หาทางทำความรู้จักไว้ก่อนดีกว่า” รศนาเสนอ “ถึงแกอยากเดินเข้าไป แล้วถ่ายทอดทุกคำพูดจากพี่แดนให้เธอฟัง เธอก็คงไม่เชื่อแกหรอก ตอนนี้แค่พอให้เห็นหน้ากันก่อน ครั้งต่อไปจะได้เข้าหาแบบเนียนๆ ได้ ถึงไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะมาที่นี่อีกหรือเปล่าก็เถอะ”

“ฉันว่ามานะ” มะลิพยักเพยิดไปยังหนังสือในมือของชายหนุ่มชุดดำ สวมบทนักสืบสาว วิเคราะห์ละเอียดยิบ “ดูจากขนาดเล่มแล้วก็ลักษณะปก นั่นต้องเป็นวิทยานิพนธ์แหงๆ ด้านล่างของสันหนังสือมีสติ๊กเกอร์แปะบอกเลขเรียกหนังสืออยู่ด้วย แสดงว่าขอยืมมาจากห้องสมุด สองคนนี้ต้องมาที่นี่อีกแน่ อย่างน้อยก็มาคืนหนังสือล่ะ”

จะว่าไปมันก็จริง...“แต่เขาอาจจะกำลังเอาหนังสือไปคืนกันก็ได้นะ”

“แต่ฉันว่าไม่” มะลิแย้ง คราวนี้เธอชี้ไปที่ถุงพลาสติกในมือชายหนุ่มคนเดิม ถุงนั้นมีลักษณะแตกต่างจากถุงของร้านค้าอื่น ที่หากไม่เป็นสีขาวขุ่น ก็สกรีนลายการ์ตูน แบบที่หาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด “แกเห็นถุงพลาสติกในมือผู้ชายคนนั้นไหม มันสกรีนว่าเป็นของร้านขายสินค้าตรามหาวิทยาลัย สภาพถุงดูไม่ได้ยับสักเท่าไหร่ คงเพิ่งได้มาไม่นาน แล้วร้านนั้นมันตั้งอยู่ข้างๆ ห้องสมุดเลยนะ ถ้ากำลังเอาหนังสือไปคืน จะถือหนังสือมาถึงที่นี่ทำไม ในเมื่อไปซื้อของแถวนั้นมาแล้ว”

ล้ำลึก...รศนาพยักหน้าอย่างช้าๆ ปะติดปะต่อทุกอย่างตามคำพูดของเพื่อน “ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ นี่ฉันชักจะกลัวแกนิดๆ แล้วแฮะ”

รศนาอาสาเข้าไปหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาวคนนั้น รีบตู่เหมือนว่าเพื่อนตกลงช่วยแล้ว เพราะกลัวอีกฝ่ายจะลีลาลังเล ช่วยดี...ไม่ช่วยดี จนไม่เป็นอันทำอะไร “ฉันเคยบอกแล้วไงว่าจะช่วยด้วยอีกแรง เรื่องสื่อสารกับมนุษย์ ยกให้เป็นหน้าที่ฉันดีกว่า”

รอจนกระทั่งหญิงสาวเดินออกห่างจากหนุ่มชุดดำ เธอเดินไปอีกมุมหนึ่งของร้านที่มีสมุดหลากหลายแบบวางขาย รศนาแกล้งทำเป็นเดินมองหาของ หยิบๆ จับๆ ตรงบล็อกที่จัดไว้สำหรับวางเครื่องเขียนซึ่งอยู่ข้างกัน เจ้าหล่อนร้อง “ว้าย” พลางเอ่ยขอโทษเมื่อชนเข้ากับเป้าหมายซึ่งกำลังเลือกสมุดโน๊ตอยู่ใกล้ๆ และแกล้งทำหนังสือในมือหล่นลงไปกองกับพื้น

มะลิเลี่ยงไปคอยมองสถานการณ์อยู่ห่างๆ ทำทีเป็นเดินดูของ กระทั่งนึกเอะใจที่แดนสรวงหายไป เมื่อกี้ยังยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ใกล้ๆ สาวเจ้าอยู่เลย เธอกวาดตามองไปเรื่อยจนกระทั่งพบวิญญาณหนุ่ม...เขาไม่ได้ไปไหน ยืนถอนสะอื้นอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ใกล้ๆ กันเป็นชายหนุ่มชุดดำที่มากับหญิงสาวคนนั้น เธอเห็นใบหน้านั้นชัดขึ้นเมื่อเขาขยับตัว ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นคมเข้มตามแบบฉบับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ก็ไทยนั่นแหละ) ผิวของเขาออกสีแทน รูปร่างสูงโปร่งอย่างกับนายแบบในแมกกาซีน มองเห็นรอยโกนหนวดออกสีเขียวข้างแก้มตามแนวขากรรไกรของเขาชัดแจ๋ว

เธอสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มกระโจนเข้าใส่ชายผู้นั้น อยากตะโกนห้ามแต่ก็รู้ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เธอกลายเป็นตัวประหลาดของทุกคนที่อยู่ที่นี่ทันที กระแสจิตส่งถึงแดนสรวง “หยุดนะพี่แดน อย่าไปทำอะไรเขา!”...แบบเดียวกับที่เธอเคยทำเมื่อครั้งที่ห้ามไม่ให้แดนสรวงเข้ามายุ่มย่ามกับเธอในขณะที่เพื่อนอยู่ด้วย

ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงตาค้าง หมดคำถามที่เคยสงสัย มิน่าล่ะ...แดนสรวงถึงได้หายตัวไปเสียดื้อๆ ตอนที่เธอถามว่าทำไมพ่อแม่ของคนรักถึงได้ไม่อยากให้ลูกสาวมาคบหาด้วย

“แก๊...” สาวอวบเดินจ้ำอ้าวร้องเสียงสูงตรงมาหา เธอจับแขนเพื่อนเขย่าแรงๆ เมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจ “ผิดคนแล้ว เธอไม่ใช่คนที่พี่แดนพูดถึง คนนั้นเขาชื่อณดา” รศนาหันไปทางชายหนุ่มที่กำลังยืนทำหน้าเศร้าอยู่หน้าตู้ขายเครื่องดื่ม “ส่วนคุณภัทรน่ะ...”

“อื้อ...ฉันรู้แล้วล่ะ” เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงของตัวเองพลอยเศร้าไปด้วยทั้งยังไม่ละสายตาจากภาพตรงหน้า เข้าใจแล้วว่าทำไมความรักของทั้งคู่ถึงได้ถูกกีดกันสารพัด “พี่แดนกำลังกอดเขาอยู่ ผู้ชายชุดดำคนนั้นต่างหาก...คุณภัทร”



NLaT
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ย. 2559, 16:24:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ย. 2559, 16:24:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 814





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account