พันธนา
สำหรับบางคน พันธนาการอาจเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ
แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ
แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 4
ย้อนกลับไปก่อนหน้า แค่เพียงไม่กี่นาที...
ร่างบางตอบพลางยิ้มสวย “ไม่เป็นไรค่ะ” และแสดงน้ำใจด้วยการช่วยสาวน้อยแปลกหน้าเก็บหนังสือ ในระหว่างที่รศนาใช้สายตา “แสกน” เพื่อหาเรื่องคุย กระทั่งกวาดตาไปเจอกับพวงกุญแจลายดอกไม้ที่แขวนอยู่กับกระเป๋าใบเล็ก...ไอ้นี่ก็ได้วะ
“อุ๊ย พวงกุญแจน่ารักจัง” เจ้าตัวพยายามปรับระดับเสียงไม่ให้กระดี๊กระด๊าเกินงาม เดี๋ยวอีกฝ่ายจะตกใจจนไม่กล้าคุยด้วย
พวงกุญแจนั้นทำจากดินญี่ปุ่น ปั้นเป็นรูปช่อบูเก้ทรงกลม ดอกเป็นสีชมพูอ่อนสลับขาว ดูแล้วเข้ากันดีกับกระเป๋าสะพายสีขาว จะว่าไป...ผู้หญิงคนนี้ทั้งตัวมีอยู่แค่สองสี ไม่ชมพูก็ขาว ดูเป็นสาวหวานโดยแท้ “ขอโทษนะคะ พี่ซื้อจากที่ไหนเหรอคะ หนูเคยเห็นรูปในอินเตอร์เน็ตแต่ไม่รู้ว่าหาซื้อได้ที่ไหน อยากได้มากๆ เลยค่ะ”
“อันนี้น้องพี่ให้มาค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปซื้อมาจากที่ไหน” บังเอิญสายตาทันเห็น “น้อง” ที่ว่ากำลังเดินใกล้เข้ามา “เจ้าตัวมาพอดี เดี๋ยวจะถามให้นะคะ”
น้องคนที่ว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวพรรณออกคล้ำแดด หน้าตาดูคมคายไทยแท้และคุ้นตา เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนส์ขายาว สีหน้าของเขาเรียบเฉยเสียจนเดาอารมณ์ไม่ถูก “พี่ณดา มาทำอะไรที่นี่”
“มาห้องสมุดจ้ะ พี่ภัทรก็มา” เธอว่าพลางชี้ไปยังชายชุดดำซึ่งยังยืนอยู่ที่เก่า “แล้วพลล่ะ มาทำไม”
“ผมก็เรียนโทที่นี่เหมือนกัน อย่าลืมสิ” เขาตอบ เริ่มหันมาสนใจรศนา “แล้วน้องคนนี้...”
‘น้องคนนี้’ แนะนำตัวเองแบบมึนๆ เดี๋ยวนะ...ตกลงเธอคนนี้ชื่อณดา ส่วนคนนั้นชื่อภัทร...หนุ่มมาดเข้มเมนอินแบล็คคนนั้นเนี่ยนะ!
“จริงสิ พี่มีเรื่องจะถาม” น้ำเสียงหวานช่วยเรียกสติ แต่ตอนนี้รศนาไม่อยากคุยอะไรแล้ว เธออยากวิ่งไปรายงานเรื่องที่เพิ่งรู้สดๆ ร้อนๆ ให้มะลิฟังมากกว่า “พลไปซื้อพวงกุญแจนี่มาจากที่ไหนเหรอ น้องนาเขาสนใจ อยากได้เหมือนกัน”
รศนาไม่ทันได้ฟังว่าตกลงพวงกุญแจรูปช่อบูเก้หากซื้อได้จากที่ไหน ตอนนี้ใจคอเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ได้แต่ตอบค่ะๆ ไปแบบลวกๆ และรีบปลีกตัวออกมา “ขอบคุณนะคะ พี่ใจดีจัง แต่เดี๋ยวหนูขอตัวก่อน พอดีต้องรีบขึ้นไปเรียนแล้วค่ะ”
ตอนนี้แน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าตัวเองกับมะลิเข้าใจผิดมาตลอด คงเพราะทั้งคู่ยืนอยู่ใกล้กันในตอนแรก คนที่แดนสรวงยืนมองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์อย่างที่เพื่อนเล่า ไม่ใช่หญิงสาวรูปร่างบอบบางคนนี้แน่ คนนี้คือพี่ณดา ส่วนคนที่มาด้วยน่ะ พี่ภัทร
มิน่า...เธอถึงได้สดใส ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
มิน่า...ผู้ชายคนนั้นถึงแต่งดำทั้งตัว
ความจริงที่เพิ่งรู้ ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย แรกสุดรู้สึกมึนงงเหมือนโดนหมัดอัปเปอร์คัตใต้คาง ตามด้วยความสงสารจับใจเมื่อรู้ว่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้แดนสรวงและคนรักไม่อาจคบหากันได้ ถัดมาเป็นความรู้สึกกรุ่นๆ ในอก แม้จะเคยออกปากว่ากลัว แต่ครั้งนี้เจ้าหล่อนกลับนึกใจกล้า “มะลิ พี่แดนอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“ถามทำไม” อีกฝ่ายกระซิบถามเสียงเบา
“ฉันมีเรื่องอยากถามน่ะสิ”
“ตอนเรียนอยู่เนี่ยนะ” คนฟังทำตาโต “มาอยากคุยอะไรเอาตอนนี้”
แดนสรวงก็แสนดี พอเพื่อนเธอพูดถึงปุ๊บ เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างโต๊ะเธอปั๊บ “นามีอะไรจะคุยกับพี่หรือ”
มะลิไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อหลังจากที่เธอกับรศนาออกมาจากร้านค้าแล้ว เพราะหญิงสาวที่ชื่อณดายังเลือกของไม่เสร็จ ส่วนเธอเองก็ไม่รู้จะอยู่ทำอะไร ตอนนั้นในหัวว่างเปล่านึกอะไรไม่ออก เลยถอนทัพกลับมาตั้งหลักที่ห้องเรียนก่อน กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าปากกายังไม่ได้ซื้อก็เดินมาถึงห้องพอดี เธอมองสำรวจเขา...วิญญาณหนุ่มดูไม่เศร้าหมองเท่าเมื่อตอนอยู่ในร้านค้า แต่ท่าทางเขาไม่ค่อยอยากสบตาเธอมากนัก มะลิเข้าใจดี...เธอล่วงรู้ความลับที่เขาไม่อยากบอกใครเข้าเสียแล้ว
พิลึก...ถ้าจะให้เธอช่วย ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องบอก หรือไม่เธอก็ต้องรู้จนได้ จะปิดไปทำไมก็ไม่รู้
“ขอร้องล่ะ นายอย่าเพิ่งโผล่มาตอนนี้ได้ไหม ฉันเรียนอยู่ ไม่มีสมาธิ” มะลิส่งกระแสจิตบอก เพราะแน่ใจว่าหากพูดออกไปโต้งๆ นอกจากคนที่บังเอิญหันมาเห็นจะคิดว่าเธอบ้าแล้ว รศนายังจะซักแดนสรวง (ผ่านเธอ) ไม่จบแน่
“โอ๊ะ เก่งจัง ไม่ต้องพูดเธอก็คุยกับฉันได้นี่” ดูเขาค่อนข้างประหลาดใจ เพิ่งสังเกตว่าบางครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงเธอดังชัดอยู่ในหัวทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ขยับปากสักนิด ทีแรกนึกว่าคิดไปเองเสียด้วยซ้ำ “แบบนี้ก็เท่ากับว่าเธอจะคุยกับฉันเมื่อไหร่ก็ได้น่ะสิ ไม่ต้องรอให้พ้นหูพ้นตาคนก่อน”
หญิงสาวก้มหน้ามองสมุดราวกับกำลังตั้งใจเรียนอยู่ในขณะตอบคำถาม “ฉันคุยแบบนี้ได้แต่ไม่ชอบ มันปวดหัว” เธอไม่อยากป่วย เพราะตอนป่วยคลื่นมักแรงเป็นพิเศษ จูนติดเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณรายไหนเธอก็เห็นดะไปหมด ดังนั้น เวลาไม่สบายเธอจึงต้องลาพักอยู่บ้านแทนและใช้เวลาทั้งวันอยู่แต่ในห้อง (นอนล้วนๆ) ถึงจะชินตาแล้ว แต่ภาพบางภาพมันก็ไม่ได้น่ามองนักหรอก...ซึ่งนั่นก็มีผลไม่ค่อยดีนักกับการเรียนของเธอด้วย
โชคดีที่อาการปวดศีรษะของเธอกำเริบไม่บ่อยนัก เพราะเธอมักทำเป็นมองไม่เห็นดวงวิญญาณเหล่านั้นอยู่แล้ว นอกจากพวกเร่ร่อนหรือมาเพื่อขอส่วนบุญ เป็นคำขอร้องที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ได้ไม่ยาก หากไม่ลำบากอะไรเธอก็จะทำบุญไปให้
“นี่แก ฟังฉันอยู่หรือเปล่า” พอเห็นเงียบเข้า รศนาจึงใช้ปากกาจิ้มแขนกระตุ้น “ถามให้หน่อยสิ ตกลงเขามาหลอกฉันทำไม”
“หลอก? หลอกเรื่องอะไร” วิญญาณหนุ่มได้ยินเต็มหูประท้วงเสียงหลง ความเศร้ากระเจิงหายเพราะความตกใจมาแทนที่ “มะลิ ถามนาให้หน่อยสิ พี่ไปหลอกนาเรื่องอะไร”
อยากจะซัดสองคนนี้แรงๆ คนละที...ถ้าไม่ติดว่าอาจถูกมองเป็นตัวประหลาด คนกลางยกมือขึ้นปิดหู โชคร้ายที่เสียงของแดนสรวงที่เธอได้ยินดันไม่ได้ผ่านทางหู และรศนาก็ขยันจิ้มแขนเธอจนแทบจะเป็นรูอยู่แล้ว
“ทำไมเธอถึงไม่มีเซนส์บ้าๆ นี่แทนฉันนะ จะได้คุยกับพี่แดนเองเสียให้พอ” มะลิประชดเพื่อน ก่อนส่งกระแสจิตขู่วิญญาณหนุ่มที่ยังแง้วๆ อยู่ข้างๆ “ส่วนนาย ถ้าขืนยังโอ้เอ้อยู่ตรงนี้ ฉันจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยแล้วนะ”
“นี่ตกลงเธอยอมช่วยฉันแล้วเหรอ” แดนสรวงออกอาการลิงโลดอย่างไม่ปิดบัง พลังงานที่แผ่ออกมาทำให้รู้ว่าเจ้าตัวโล่งใจแค่ไหน เขาโผเข้าหาทำท่าจะกอด “ขอบใจนะมะลิ เธอนี่มันใจดีจริงๆ เลย”
คนใจดีเผลอหลุดปากร้อง “แว้ก” เสียงดังลั่น โต๊ะแลคเชอร์แคบเสียจนไม่รู้จะหนีไปทางไหนได้ แต่ก็ยังเผลอไถลตัวหลบวิญญาณหนุ่มจนโต๊ะเคลื่อนไปกระแทกโต๊ะข้างๆ ดังปังจนรศนาร้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อวิญญาณสัมผัสเธอ เธอมักจะรู้สึกทั้งวูบทั้งเบาโหวง ขนลุกซู่ในบริเวณที่ถูกตัว และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของดวงวิญญาณ ณ ขณะนั้น อันที่จริงเธอชินกับสัมผัสเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่ที่ดิ้นรนจะหนีให้ได้ เพราะนี่เป็นนายแดนสรวงต่างหาก
อี๊...กล้าดียังไงจะมากอดฉันยะ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะตรงนั้น” เสียงอาจารย์ที่กำลังใช้หมึกสีน้ำเงินกับแดงเขียนกระดานเป็นภาพกราฟในวิชาเศรษฐศาสตร์ถึงกับร้องทัก เมื่อเห็นลูกศิษย์มีทีท่าแปลกประหลาด คนหนึ่งร้องแว้กเสียงหลงแถมทำท่าเหมือนกระเถิบหนีอะไรบางอย่าง ส่วนอีกคนที่นั่งข้างๆ ร้อง เฮ้ย มะลิ แกเป็นอะไร วุ่นวายกันอยู่สองคน “มะลิ รศนา มีอะไรกัน”
คนหัวไวเห็นเพื่อนทำตาโตอ้าปากค้าง ดูท่าทางไม่ค่อยดี เลยแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แทนไปก่อน “หนูค่ะ...หนูตัวเบ้อเริ่ม วิ่งอยู่ใต้โต๊ะเมื่อกี๊”
เท่านั้นแหละ...ในห้องก็เกิดสถานการณ์โกลาหลขนาดย่อมๆ เสียงกรีดร้องของสาวๆ ดังลั่นเมื่อได้ยินคำว่าหนู บางคนกระโดดขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ บางคนกระทืบเท้าปังๆ ราวกับมันจะช่วยให้เจ้าหนูไม่กล้าเข้าใกล้ บางคนอาศัยจังหวะชุลมุนเดินหนีออกจากชั้นเรียนไปเสียดื้อๆ คนไม่กลัวก็หัวเราะกับท่าทางลนลานของเพื่อนจนตัวงอ
สองสาวมองตากันปริบๆ มีเพียงมะลิกับรศนาเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าหนูนั่นมีอยู่จริง คิดไม่ถึงว่าแค่การขายผ้าเอาหน้ารอดของตัวเองจะทำให้สถานการณ์วุ่นวาย
แถมดูท่า วันนี้อาจารย์ท่านจะทำการสอนวิชานี้ต่อไม่ได้ เพราะนักศึกษากระเจิงกันไปหมดเสียแล้ว
การใช้โทรจิตเกินขีดจำกัดของตัวเองให้ผลตอบแทนอย่างสาสม มะลินอนแซ่วลุกไม่ขึ้นในวันถัดมา เธอปวดศีรษะหน่วงหนักราวกับมีใครเอาหินก้อนใหญ่ๆ มาถ่วงไว้โดยที่ไม่มีไข้ อาการที่เธอเป็น เจ้าตัวเองก็อธิบายไม่ถูกว่าเพราะอะไร รู้แค่ว่าพักสักวันก็หาย และยาแก้ปวดต่างๆ ไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้แม้แต่น้อย
“แม่ต้องไปทำงานด้วยสิ พ่อก็ประชุมทั้งวัน หนูอยู่คนเดียวได้ไหม” คนเป็นแม่อดห่วงลูกสาวคนเดียวไม่ได้ มะลิเล่นไม่ยอมลุกจากเตียงเลยตั้งแต่เช้า ใช่ว่านี่เป็นครั้งแรก...แต่ครั้งที่เคยมีอาการแบบนี้เป็นวันที่ท่านหยุดอยู่บ้านพอดี หรือไม่สามีก็อยู่โยงเฝ้าบ้าน เพิ่งมีหนนี้เองที่ต้องปล่อยลูกสาวไว้ตามลำพัง
“อยู่ได้ค่ะแม่” เธอตอบงัวเงียทั้งที่ตายังปิด “นอนเยอะๆ เดี๋ยวก็หาย แม่ไปทำงานเถอะค่ะ”
“แม่ทำข้าวต้มไว้ให้ ทานเลยไหม จะได้ทานยา”
“ขอนอนอีกนิดเถอะค่ะแม่ กำลังสบายเลย” เธอฝืนลืมตาและยิ้มให้...สบายเสียที่ไหน หนักหัวจนลุกไม่ไหวแล้วต่างหาก “อีกเดี๋ยวหนูลงไปทานนะคะ”
ท่านไม่ต่อความยาว เพราะดูท่าลูกสาวจะอยากนอนต่อเต็มแก่ แค่บอกก่อนไปว่า “แม่ต้มข้าวต้มไว้หม้อใหญ่ หนูลงไปตักกิน แล้วอย่าลืมทานยาด้วยนะ”
เธอหลับตาต่ออยู่อีกพักใหญ่กว่าจะยอมฝืนขึ้นมากดโทรศัพท์ส่งข้อความบอกรศนาว่าวันนี้ลาป่วย ส่งเสร็จก็ปิดเครื่องทันทีเพราะไม่อยากถูกกวน ยังไม่ทันได้หลับดีก็สัมผัสได้ถึงพลังงาน...จะเป็นใครถ้าไม่ใช่นายแดนสรวง ยังดีที่ตอนนี้พลังงานที่แผ่ออกมาไม่ได้มืดมนมัวหมองเท่าตอนแรก หญิงสาวหมดแรงสู้รบต่อปากต่อคำ หนำซ้ำเวลานี้สภาพยังไม่เอื้อให้ช่วยใครที่ไหนได้ จึงเอ่ยเสียงเบา “ขอนะพี่แดน อย่าเพิ่งมากวนกันตอนนี้ ขอพักหน่อยเถอะ”
มะลิไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพที่เห็นคือท้องฟ้าสีฟ้าจัด โล่งๆ ไม่มีเมฆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีแดดมาแยงตา สายลมพัดเอื่อยเย็นสบาย เธอนอนอยู่บนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ต้นหญ้าสีเขียวสดสูงท่วม อาการปวดศีรษะในตอนแรกหายเป็นปลิดทิ้ง เธอสูดลมหายใจลึกและระบายมันออกมาแรงๆ ยืดแขนยืดขาให้หายเมื่อยล้า ผ่อนคลายเสียจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ เธอหลับตาและทำอย่างเก่าอีกครั้ง...สูดลมหายใจลึกและระบายมันออกมาแรงๆ ก่อนลืมตา...
“ทำอะไรน่ะ”
หญิงสาวเผลอร้องกรี๊ดสุดเสียงก่อนหมุนตัวหลบ เพราะทันทีที่ลืมตาอีกครั้ง เธอก็เห็นใบหน้าของนายแดนสรวงเข้าเต็มเปา ใบหน้านั้นกลับหัวเพราะเขาชะโงกมาจากทางด้านบนของเธอ เธอใช้ข้อศอกยันร่างขึ้นอย่างร้อนรน...โอ๊ย มีอะไรหลอนได้กว่านี้อีกไหม
“ร้องอะไรของเธอ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” แล้วนายไม่ใช่ผีหรือไง “ตกใจเสียจนโอเว่อร์ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอสักหน่อย แค่เห็นหายใจฟืดฟาดนึกว่าเป็นอะไรไป”
อ๊ากกก...หมอนี่นอกจากทำให้เธอหมดมู้ดแล้วยังมาป่วนให้อารมณ์เสียหนักกว่าเดิมอีก เธอถามเขาเสียงห้วน “นายมาทำไม”
มะลิค่อยๆ ทวนความจำ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งบอกเขาไปว่าอย่ากวน เธอต้องการพักผ่อนนี่นา
ใช่...เธอนอนอยู่ที่บ้าน อยู่ในห้องนอน...และนี่คงเป็นความฝัน
ไม่คงล่ะ ใช่เลยแหละ นี่เป็นความฝัน หนอย...ไอ้แดนสรวง!
มะลิมองซ้ายมองขวาหาสิ่งที่ต้องการ ท่อนไม้ปรากฏขึ้นราวกับสั่งได้ เธอคว้าท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับแขนผู้ชายล่ำๆ สักคนวิ่งไล่กวดนายตัวแสบที่มารบกวนเธอถึงในฝัน “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ากวน แค่ขอพักให้หายปวดหัวหน่อยก็ไม่ได้ใช่ไหม ตอนตื่นยังไม่พอหรือไง ต้องมากวนกันในฝันด้วย มากเกินไปแล้ว!”
แดนสรวงได้แต่ร้องเฮ้ยๆ วิ่งหลบซ้ายหลบขวา เจ้าหล่อนไม่เปิดโอกาสให้เขาอธิบาย ส่วนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าโดนท่อนไม้ยักษ์นั่นฟาดเข้าจะตายรอบสองหรือเปล่า เลยได้แต่เปิดแน่บท่าเดียว
“ลามปาม! นึกว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มายุ่งวุ่นวายกับฝันของคนอื่น” เธอเขวี้ยงท่อนไม้ยักษ์สุดแรง ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แดนสรวงหลบได้แค่พอเฉียดๆ เขาร้องว้ากดังลั่นพลางตะเกียกตะกายหนี ส่วนมะลิ พอไม้อันเก่าพ้นมือไป ตาก็กวาดไปเห็นไม้อันใหม่พอดี วิญญาณหนุ่มชักเห็นท่าไม่ดีจึงรีบห้าม
“เดี๋ยวก่อน นี่ฉันไม่ได้มากวนอะไรเธอนะ” เขารีบตะโกนบอกก่อนที่เธอจะเดินไปคว้าไม้นั่นไว้ “ฉันแค่เห็น...เอ่อ...มีคนมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านเธอ เอากระดาษอะไรมาเสียบไว้”
“บุรุษไปรษณีย์น่ะสิ” เจ้าหล่อนเปลี่ยนเป้าหมายจากท่อนไม้เป็นคู่กรณี เธอพุ่งเข้าไปหา กระชากคอเสื้อเขา เขย่าๆ จนอีกฝ่ายหัวคลอน “เรื่องแค่นี้มีเหรอนายจะดูไม่ออก นายจงใจเข้าฝันมาก่อกวนฉันชัดๆ!”
“โทษฉันไม่ได้นะ...เป็นเพราะรูปนั่นต่างหาก”...รูปที่เขาเห็นวันแรกที่ตามมะลิมาที่บ้าน รูปในกรอบสีขาวที่เธอพยายามซ่อนไว้
อาจเพราะมีเรื่องมากมายให้คิด มะลิจึงลืมไปเสียสนิทว่ากรอบรูปที่ซ่อนไว้ใต้หมอนหายไปไหน ในวันนั้นหลังจากที่รศนาร่ำๆ จะกลับบ้านหลังจากที่รู้ว่าแดนสรวงตามมาด้วย หญิงสาวจึงเดินไปส่งเพื่อนที่ป้ายรถ บังเอิญกับที่มารดากลับมาที่บ้านพอดี ท่านเห็นห้องลูกสาวรกแถมฝุ่นหนา เจ้าตัวก็เอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมเก็บกวาดจึงจัดการทำความสะอาดให้ พอเห็นอะไรอยู่ผิดที่ผิดทางก็นำไปวางคืนที่เดิม แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมกรอบรูปจึงมาอยู่ใต้หมอน...แต่ท่านไม่ใช่คนช่างซักอยู่แล้ว
มะลิไม่ทันได้สังเกตว่ากรอบรูปกลับมาวางอยู่ที่ชั้นหนังสือ ส่วนแดนสรวงก็ไม่ทันได้มองเพราะมัวแต่กังวลเรื่องณภัทร เพิ่งจะมาสังเกตเอาก็วันนี้ และรูปนั่นก็ทำให้เขาพอจะนึกอะไรออกจนอยากปลุกเจ้าของห้องมาคุยด้วย พอเข้าใกล้ เธอก็พูดดันดักไว้เสียก่อน...“ขอนะพี่แดน อย่าเพิ่งมากวนกันตอนนี้ ขอพักหน่อยเถอะ”
เขาตัดสินใจไม่รบกวนเธอ หากในอกรู้สึกว่าอยากคุยด้วยมากๆ เท่านั้น...แล้วจู่ๆ ก็มาโผล่ตรงนี้เฉยเลย
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะเก็บรูปฉันไว้ด้วย”
มะลิรีบแย้งว่าที่เก็บไว้ไม่ใช่เพราะมีรูปเขา เธออยากฉีกทิ้งเสียด้วยซ้ำ มันเป็นรูปที่รศนาถ่ายมาให้เมื่อวันกีฬาของมหาวิทยาลัย เพื่อนรู้ว่าเธอแอบชอบหนึ่งหนุ่มในกลุ่มนั้น พอได้โอกาสจึงทำทีเป็นเดินผ่านเก้าอี้ม้าหินที่สามหนุ่มนั่งประจำ ยกกล้องขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ” สามหนุ่มก็เลยหันมายิ้มใส่กล้อง ไม่นึกสงสัยอะไร เพราะรศนาเป็นเด็กสาวร่าเริงและคุยกับใครๆ ไปทั่วอยู่แล้ว
ไม่ต้องเป็นรูปเดี่ยวหรอก แค่นี้ก็พอใจแล้ว...มะลิเก็บรูปนั้นไว้อย่างดี จับใส่กรอบวางไว้บนโต๊ะในห้องนอน กระทั่งเกิดเรื่องเกิดราวกัน ว่าจะทิ้งอยู่หลายที แต่เดี๋ยวก็ลืมบ้าง เสียดายภาพบ้าง ครั้นจะฉีกรูปนายแดนสรวงออกคนเดียว อีตานี่ก็ดั๊น...นั่งอยู่ตรงกลางเสียอีก เธอจึงย้ายมันไปวางไว้ตรงชั้นหนังสือรกๆ ให้พ้นหูพ้นตาหน่อย
“แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของนาย” เธอทำเสียงแข็งสู้เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง คำพูดของเขา เธอยังจำได้ขึ้นใจ เหตุการณ์วันนั้นก็ไม่เคยลืม “นายเอาแต่ถามว่าทำไมฉันถึงเกลียดขี้หน้านายนัก ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าฉันไปทำอะไรให้ นายถึงเอาฉันไปพูดเสียๆ หายๆ กับเพื่อนนายแบบนั้น”
24 เมษายน...ตอนนั้นเธอเพิ่งปี 2 ส่วนแดนสรวงและเพื่อนๆ ขึ้นชั้นปีที่ 3 เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นที่โต๊ะม้าหิน ทั้งสามหนุ่มอยู่กันพร้อมหน้า ส่วนเธอกับรศนานั่งอยู่ไม่ไกล เพราะโต๊ะประจำของเธอกับโต๊ะประจำของเขาอยู่ห่างกันไปแค่ไม่เท่าไหร่
เธออดหลับอดนอนเพื่อทำของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ อดทนทำงานฝึมือที่ตัวเองไม่ถนัดอยู่เป็นเดือน คิดถ้อยคำอวยพรที่จะเขียนลงในการ์ดใบเล็กเป็นวันๆ ก่อนจบลงที่คำว่า สุขสันต์วันเกิด และคำอวยพรพื้นๆ แบบที่เห็นได้จากการ์ดที่ขายตามร้านค้าทั่วไป
มะลิรอเวลาให้รุ่นพี่คนนั้นแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน แต่สามหนุ่มตัวติดกันเป็นตังเม เธอได้ยินหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “ไปโรงยิมกันดีกว่า”
“ฉันว่าแกเรียกพี่เขามาคุยเถอะ ขืนรอให้เขาแยกกับเพื่อนออกมาเองมีหวังต้องรอหมดวัน”
คำแนะนำของรศนา ทำให้เธอตัดสินใจเดินตามสามหนุ่มไปแบบห่างๆ ระหว่างที่เดินตามก็รวบรวมพลังใจไปด้วย เธอไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่น การให้ของขวัญใครสักคนมันยุ่งยากวุ่นวายแบบนี้ไหม แต่สำหรับเธอ...ให้ตายเถอะ มันยากเสียจนแทบอยากจะล้มเลิกความคิดแล้วส่งทางไปรษณีย์แทนให้รู้แล้วรู้รอด
ทำเสียให้มันจบๆ ไปมะลิ กล้าๆ หน่อย...เธอบอกตัวเองหนที่ร้อย...แค่เรียกพี่เค้าออกมาคุยแป๊บเดียว ให้ของขวัญวันเกิดคนที่เคยให้ความช่วยเหลือเธอ มันจะไปยากอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกประทับใจใครสักคนขึ้นมาจริงๆ เขามีน้ำใจกับเธอหลายหน เคยไปส่งเธอถึงบ้านในวันฝนตกเพราะเห็นว่าเธอไม่มีร่ม เคยอาสาสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้เมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องกระดาษเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นทำยังไง เคยให้เธอยืมหนังสือที่อยากอ่าน แต่ค่าขนมที่มีไม่พอซื้อ (เพราะดันเอาไปซื้อเล่มอื่นหมดแล้ว) และยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเขาช่างใจดีกับเธอนัก
หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นาน หญิงสาวสาวเท้าเข้าไปใกล้ ระยะห่างน้อยลงเรื่อยๆ ตอนนี้มันใกล้พอจะได้ยินบทสนทนาของสองหนุ่มที่เดินกอดคอกันตามหลังเพื่อนอีกคน
“คิดผิดคิดใหม่ได้นะ” เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้น ทั้งคู่คุยอะไรกัน แต่ประโยคแรกที่มันกระทบเข้าหูเธอเป็นเสียงของแดนสรวง เขากอดคอโกศลในขณะที่อินทัชเดินนำหน้า “ตัวก็สั้น หุ่นก็ตัน แถมเคยได้ยินมีเพื่อนโรงเรียนเก่าเล่าๆ กันว่าไม่ค่อยเต็ม”
“แปลกดีออก” โกศลว่าพลางหัวเราะ “ไม่ค่อยเจอเด็กแบบนี้ว่ะ น่าสนใจดี”
“เฮ้ย คิดดีๆ มะลิไม่เหมาะกับแกหรอก” เธอแทบไม่อยากก้าวตามเมื่อได้ยินชื่อตัวเองชัดเต็มหู คนปากเสียยังไม่หยุดห้าม “เท่าที่คุยอยู่ตอนนี้ ยังรถไฟชนกันไม่พออีกเรอะ”
ไม่รู้ว่าระหว่างความรู้สึกอยากตั๊นหน้านายแดนสรวงกับมุดดินหนี อะไรมีมากกว่ากัน แต่ทันทีที่อินทัชซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าหันมา และสายตาปะทะเข้ากับเธอพอดี เธอก็ตัดสินใจได้ทันที...มุดดินหนีดีกว่า
อันที่จริงเธอไม่ได้มุดดินหรอก ก็แค่หันหลังวิ่งหนีมาดื้อๆ จากนั้นก็ไม่ไปป้วนเปี้ยนตรงโต๊ะม้าหินอีกเลย และเมื่อไหร่ก็ตามที่แดนสรวงเข้ามาใกล้ แสดงตัวเป็นมิตรราวกับรุ่นพี่ที่แสนดี หรือแม้แต่บังเอิญเดินสวนทางกัน เธอก็มักจะรู้สึกขนลุกและหยุดปากเอาไว้ไม่ได้
หน้ากากของเขามันน่ารังเกียจ เห็นแล้วขยะแขยงชอบกล
ความโกรธกรุ่นในใจจางลงบ้างตามระยะเวลา แต่ จาง กับ หาย มันคนละอย่างกัน นานวันเข้ากลายเป็นไม่รู้สึกยินดียินร้าย เดินสวนกันได้ แค่อย่ามาแกว่งปากใกล้ๆ เป็นพอ รุ่นพี่ที่สนิทกลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก พอเข้าหน้ากันไม่ติดกับแดนสรวง ก็เลยกลายเป็นพลอยห่างกับอีกสองหนุ่มไปด้วย
หลังจากมีรศนาเป็นเพื่อนสนิท มนุษยสัมพันธ์ของเธอดีขึ้น มะลิกล้าเปิดใจ พูดคุยกับคนอื่นๆ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างนับว่าก้าวหน้า หากพอเมื่อเธอพร้อมเปิดใจรับแดนสรวงเป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ที่สนิทพอจะพูดคุยได้ เขากลับหักหลังเธอด้วยถ้อยคำใจร้ายอย่างที่คนเป็นเพื่อนไม่ควรจะพูดถึงกัน เขาทำให้เธอหมดศรัทธาในตัวเขา แม้จะไม่เคยอกหัก แต่เธอก็คิดว่าความรู้สึกนั้นคงไม่ต่างกับที่กำลังเป็นอยู่สักเท่าไหร่
เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เอง...
“เรื่องนี้นี่เอง” วิญญาณหนุ่มถอนหายใจ (อย่างน้อยท่าทางเขาก็ดูคล้ายจะทำแบบนั้น) “พอเธอพูดถึงฉันเลยนึกขึ้นมาได้ วันนั้นไอ้ทัชไม่เห็นพูดอะไรเลย แค่บอกว่า อย่าไปว่ามะลิแบบนั้น เท่านั้นเอง ถ้ามันสะกิดบอกกันสักหน่อย ฉันจะได้ไปอธิบายกับเธอตั้งแต่แรก” สุดท้ายกลายเป็นโยนความผิดไปให้เพื่อนเสียได้
คนฟังฟังแล้วได้แต่เงียบ...อย่าไปว่ามะลิแบบนั้น...งั้นเหรอ ฟังดูดีชะมัด เธอบังคับตัวเองไม่ให้เผลอยิ้มออกมา ย้อนไปว่า “จะไปโทษพี่ทัชได้ยังไง ถ้านายปากไม่เสียตั้งแต่แรก เรื่องก็ไม่เกิด”
คำก็ปากเสีย สองคำก็ปากเสีย หนอย ยัยเด็กนี่ ”น้อยๆ หน่อยมะลิ เธอเด็กกว่าฉันตั้งปีนะ” พูดจบก็โดนอีกฝ่ายจ้องกลับตาเขียว พอรู้ว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ จึงใช้วิธีตัดพ้อแทน “ฉันนี่มันทำคุณบูชาโทษจริงๆ แค่เพราะไม่อยากให้เธอเสียใจเพราะไอ้สนแท้ๆ”
“พี่สนเนี่ยนะ?”
แดนสรวงกับโกศลเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย จึงรู้นิสัยมันดีว่าเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้แถมยังไวไฟ เด็กกว่าแก่กว่าจีบดะไม่เลือก ด้วยความที่รูปร่างหน้าตาดี ถึงแม้ไม่รวยล้นแต่ฐานะก็ไม่ได้แย่ มีรถขับพาสาวไปไหนต่อไหนได้สบาย แถมเจ้าตัวยังขยันบริหารเสน่ห์ ต่อให้ไม่เข้าหาใคร วันดีคืนดีก็เป็นฝ่ายถูกสาวๆ เข้าหาเสียเอง
แต่ละคนที่เลือกควง มีแต่สาวสวย หุ่นดี ดาวคณะ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายหยอดเล็กหยอดน้อยกับสาวๆ ที่เขามองว่า “พอไปวัดไปวาไหว”
หนึ่งในนั้น...ก็ยัยเด็กประหลาดตรงหน้าเขานี่แหละ
ไม่รู้ว่าซื่อหรือเซ่อ แต่มะลิมักมองข้ามการหยอดเล็กหยอดน้อยของโกศลไปได้อย่างน่าแปลกใจ เธอกลายเป็นของยากในสายตาเขา “ยากๆ นี่แหละ สนุกดี” โกศลว่า “เอ๊ะ หรือบางทีอาจจะแกล้งเก๊กใจแข็งไปอย่างนั้นเอง”
“เด็กมันซื่อ นายอย่าไปยุ่งเลย” แดนสรวงออกปากปรามเพื่อน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้นึกจริงจัง อันที่จริงถ้ามีอินทัชมาช่วยกันห้ามด้วยอีกแรงก็คงได้ผลกว่า แต่เพราะโกศลเองก็รู้ข้อเท็จจริงข้อนี้ อินทัชเป็นคนจริงจังจนหนุ่มเจ้าสำราญเกรงใจ จึงเลือกที่จะคุยเรื่องสาวๆ กับแดนสรวงแค่คนเดียว
ขืนเอาไปเล่าให้อินทัชฟัง ก็กลายเป็นปากมากอีก...แดนสรวงจึงได้แต่พยายามปรามเพื่อนด้วยตัวเอง
อาจเป็นเพราะโกศลหมั่นชวนรุ่นน้องคุย ด้วยเรื่องสัพเพเหระในหัวข้อที่เธอชอบ ไม่ว่าจะเป็นทีมบาสเกตบอล (เขาเคยเห็นเพื่อนนั่งหาข้อมูลทีมลอสแองเจลีสเลเกอร์สเมื่อได้รู้ว่าทีมนี้เป็นทีมโปรดของมะลิ ทั้งที่วันๆ เห็นมันดูแต่บอล) หรือเพลงจากวงโอเอซิส (ปกติเห็นบ่นว่าหนวกหู) ทำให้มะลิพูดคุยกับโกศลบ่อยขึ้นจนเขาชักห่วงว่ารุ่นน้องจะเผลอเอนเอียงเข้าทางนายสนไปแล้ว เขาไม่ห่วงโกศลเพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ยังไม่เคยเห็นหมอนี่จริงจังกับใคร ที่มาหยอดมะลิเหมือนแค่อยากเอาชนะเท่านั้น ในขณะเดียวกัน เด็กซื่ออย่างมะลิอาจไม่ทันเหลี่ยมผู้ชาย มันอาจเป็นรักแรกของเธอเสียด้วยซ้ำ เขาอดสงสารไม่ได้หากเธอต้องผิดหวัง
“ถ้าฉันห้าม เธอก็คงไม่ฟัง หรือถ้าบอกไปตรงๆ ก็คงเหมือนขายเพื่อน เลยใช้วิธีพูดให้มันเลิกสนใจเธอไปเอง” เห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งฟังตาปริบๆ ไม่พูดไม่จา เขาเลยว่าต่อ “ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงไม่สนใจ ยิ่งพวกไฟแรงที่ชอบเล่นหูเล่นตาใส่มันฉันยิ่งไม่อยากไปเกี่ยว แต่พอเป็นเธอ...หน้าซื่อๆ ไม่ค่อยทันคน เห็นแล้วสงสาร”
“สงสาร...ฉันเนี่ยนะน่าสงสาร” มะลิแทบจะทึ้งผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดใจ...ไม่สิ ทึ้งผมนายแดนสรวงน่าจะดีกว่า สะใจดี “นายทำแบบนี้เพราะต้องการกันฉันออกจากพี่สน นายคิดว่าฉันชอบพี่สนงั้นเหรอ” โอ๊ย...ตาเบื๊อกเอ๊ย
ใจหนึ่งนึกขอบคุณ แต่อีกใจกลับโมโห นี่เขาเห็นเธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ถึงได้คิดว่าแค่ผู้ชายหน้าหล่อๆ นิสัยเจ้าชู้ไก่แจ้มาหยอดนิดหยอดหน่อยแล้วจะหลงกลง่ายๆ เธออาจจะใสซื่อ (?) ไปบ้าง แต่ไม่ได้หูหนวกตาบอดถึงขนาดไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของคาสโนว่าตัวพ่ออย่างโกศลหรอกนะ
“ก็ดูเธอเล่นด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ฉันรู้นะ เธอเคยให้หนังสือหมอนั่นด้วย” เขาอธิบายเมื่อเห็นเธอทำหน้างง “หน้าปกโหดๆ แบบที่เธอชอบอ่าน ใหม่กิ๊ง มันอวดว่าเธอให้มันมา”
“ไม่มีทาง” เธอตอบทันควัน เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยให้ของหนุ่มหน้าไหน ส่วนของขวัญที่เคยตั้งใจจะให้...เอาเข้าจริงตอนนี้เธอลืมแล้วด้วยซ้ำว่าเอาไปซุกไว้อยู่หลืบไหนในห้อง ภาพในหัวที่เธอนึกออกตอนนี้คือหนังสือปกสีดำ ภาพนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนเธอร้องอ๋อ “ไอ้ที่เล่มสีเหลืองหม่นๆ หน้าปกเป็นตัวอักษรสีขาวกับดำตัวใหญ่ๆ แล้วมีภาพบานประตูเหล็กถูกกระสุนยิงใส่ใช่ไหม” เธอว่าต่อเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าและบอกว่า...อะไรทำนองนั้นมั้ง ฉันก็จำไม่ค่อยได้ มันนานแล้ว “เล่มนั้นพี่สนขอยืมฉันไปต่างหาก ยังอ่านไม่จบเลยด้วย” หนอย...จนป่านนี้ยังไม่คืน ส่วนเธอก็ลืมไปเสียสนิท น่าโมโหที่เจ้าตัวเอาไปโม้ว่าเธอให้อีก มันน่านัก
“ถ้าเธอไม่สนใจนายสน แล้วหลังๆ เธอไปป้วนเปี้ยนแถวโต๊ะพวกฉันบ่อยๆ ทำไม” เขาทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอตอบว่า ก็โต๊ะที่ฉันนั่งประจำมันอยู่ตรงนั้นนี่ยะ แดนสรวงมองเธอตาโต ยกมือกอดอกราวกับป้องกันตัวเอง “หรือว่า...ฉันงั้นเหรอ”
ขนลุกเกรียว...หมอนี่กล้าดียังไงถึงได้คิดแบบนั้น “ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ” น้ำเสียงที่เค้นออกมาบ่งบอกอารมณ์คนพูดได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่วิญญาณหนุ่มรู้สึกเหมือนเห็นท่อนไม้ปริศนาโผล่มาใกล้ๆ มือเธออีกแล้ว
“โอเค ไม่ใช่ไอ้สน ไม่ใช่ฉัน งั้นใครล่ะ ไอ้ทัชเหรอ”
สำหรับคนที่ไม่สนิทกัน อินทัชไม่ใช่คนที่น่าเข้าใกล้นักโดยเฉพาะกับผู้หญิง เพื่อนเขาคนนี้เป็นคนขี้รำคาญ ไม่ชอบเอาใจใคร คร่ำเคร่งแถมยังชอบทำหน้าเหมือนถูกสต๊าฟไว้อยู่บ่อยๆ พูดตรงจนบางครั้งดูแรง แต่ถึงอย่างนั้น พอพูดถึงอินทัช คนที่เอาแต่พูดเอาๆ ท่าทางเกรี้ยวกราดตลอดเวลาก็ถึงกับสงบปากสงบคำ ก้มหน้าเด็ดหญ้าแก้ขวย
“ไอ้ทัชเหรอ...มันเนี่ยนะ” แดนสรวงอุทานตาโต แทบไม่อยากเชื่อ ที่ไม่อยากเชื่อไม่ใช่เพราะคนที่ชอบอินทัชคือมะลิ แต่เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีสาวที่ไหนมาถูกใจนายสากกะเบืออย่างมันเลยต่างหาก
ท่าทางพิลึกๆ ของหญิงสาว ที่เอาแต่หลบตา ตอบแทนได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก
ร่างบางตอบพลางยิ้มสวย “ไม่เป็นไรค่ะ” และแสดงน้ำใจด้วยการช่วยสาวน้อยแปลกหน้าเก็บหนังสือ ในระหว่างที่รศนาใช้สายตา “แสกน” เพื่อหาเรื่องคุย กระทั่งกวาดตาไปเจอกับพวงกุญแจลายดอกไม้ที่แขวนอยู่กับกระเป๋าใบเล็ก...ไอ้นี่ก็ได้วะ
“อุ๊ย พวงกุญแจน่ารักจัง” เจ้าตัวพยายามปรับระดับเสียงไม่ให้กระดี๊กระด๊าเกินงาม เดี๋ยวอีกฝ่ายจะตกใจจนไม่กล้าคุยด้วย
พวงกุญแจนั้นทำจากดินญี่ปุ่น ปั้นเป็นรูปช่อบูเก้ทรงกลม ดอกเป็นสีชมพูอ่อนสลับขาว ดูแล้วเข้ากันดีกับกระเป๋าสะพายสีขาว จะว่าไป...ผู้หญิงคนนี้ทั้งตัวมีอยู่แค่สองสี ไม่ชมพูก็ขาว ดูเป็นสาวหวานโดยแท้ “ขอโทษนะคะ พี่ซื้อจากที่ไหนเหรอคะ หนูเคยเห็นรูปในอินเตอร์เน็ตแต่ไม่รู้ว่าหาซื้อได้ที่ไหน อยากได้มากๆ เลยค่ะ”
“อันนี้น้องพี่ให้มาค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปซื้อมาจากที่ไหน” บังเอิญสายตาทันเห็น “น้อง” ที่ว่ากำลังเดินใกล้เข้ามา “เจ้าตัวมาพอดี เดี๋ยวจะถามให้นะคะ”
น้องคนที่ว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวพรรณออกคล้ำแดด หน้าตาดูคมคายไทยแท้และคุ้นตา เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนส์ขายาว สีหน้าของเขาเรียบเฉยเสียจนเดาอารมณ์ไม่ถูก “พี่ณดา มาทำอะไรที่นี่”
“มาห้องสมุดจ้ะ พี่ภัทรก็มา” เธอว่าพลางชี้ไปยังชายชุดดำซึ่งยังยืนอยู่ที่เก่า “แล้วพลล่ะ มาทำไม”
“ผมก็เรียนโทที่นี่เหมือนกัน อย่าลืมสิ” เขาตอบ เริ่มหันมาสนใจรศนา “แล้วน้องคนนี้...”
‘น้องคนนี้’ แนะนำตัวเองแบบมึนๆ เดี๋ยวนะ...ตกลงเธอคนนี้ชื่อณดา ส่วนคนนั้นชื่อภัทร...หนุ่มมาดเข้มเมนอินแบล็คคนนั้นเนี่ยนะ!
“จริงสิ พี่มีเรื่องจะถาม” น้ำเสียงหวานช่วยเรียกสติ แต่ตอนนี้รศนาไม่อยากคุยอะไรแล้ว เธออยากวิ่งไปรายงานเรื่องที่เพิ่งรู้สดๆ ร้อนๆ ให้มะลิฟังมากกว่า “พลไปซื้อพวงกุญแจนี่มาจากที่ไหนเหรอ น้องนาเขาสนใจ อยากได้เหมือนกัน”
รศนาไม่ทันได้ฟังว่าตกลงพวงกุญแจรูปช่อบูเก้หากซื้อได้จากที่ไหน ตอนนี้ใจคอเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ได้แต่ตอบค่ะๆ ไปแบบลวกๆ และรีบปลีกตัวออกมา “ขอบคุณนะคะ พี่ใจดีจัง แต่เดี๋ยวหนูขอตัวก่อน พอดีต้องรีบขึ้นไปเรียนแล้วค่ะ”
ตอนนี้แน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าตัวเองกับมะลิเข้าใจผิดมาตลอด คงเพราะทั้งคู่ยืนอยู่ใกล้กันในตอนแรก คนที่แดนสรวงยืนมองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์อย่างที่เพื่อนเล่า ไม่ใช่หญิงสาวรูปร่างบอบบางคนนี้แน่ คนนี้คือพี่ณดา ส่วนคนที่มาด้วยน่ะ พี่ภัทร
มิน่า...เธอถึงได้สดใส ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
มิน่า...ผู้ชายคนนั้นถึงแต่งดำทั้งตัว
ความจริงที่เพิ่งรู้ ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย แรกสุดรู้สึกมึนงงเหมือนโดนหมัดอัปเปอร์คัตใต้คาง ตามด้วยความสงสารจับใจเมื่อรู้ว่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้แดนสรวงและคนรักไม่อาจคบหากันได้ ถัดมาเป็นความรู้สึกกรุ่นๆ ในอก แม้จะเคยออกปากว่ากลัว แต่ครั้งนี้เจ้าหล่อนกลับนึกใจกล้า “มะลิ พี่แดนอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“ถามทำไม” อีกฝ่ายกระซิบถามเสียงเบา
“ฉันมีเรื่องอยากถามน่ะสิ”
“ตอนเรียนอยู่เนี่ยนะ” คนฟังทำตาโต “มาอยากคุยอะไรเอาตอนนี้”
แดนสรวงก็แสนดี พอเพื่อนเธอพูดถึงปุ๊บ เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างโต๊ะเธอปั๊บ “นามีอะไรจะคุยกับพี่หรือ”
มะลิไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อหลังจากที่เธอกับรศนาออกมาจากร้านค้าแล้ว เพราะหญิงสาวที่ชื่อณดายังเลือกของไม่เสร็จ ส่วนเธอเองก็ไม่รู้จะอยู่ทำอะไร ตอนนั้นในหัวว่างเปล่านึกอะไรไม่ออก เลยถอนทัพกลับมาตั้งหลักที่ห้องเรียนก่อน กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าปากกายังไม่ได้ซื้อก็เดินมาถึงห้องพอดี เธอมองสำรวจเขา...วิญญาณหนุ่มดูไม่เศร้าหมองเท่าเมื่อตอนอยู่ในร้านค้า แต่ท่าทางเขาไม่ค่อยอยากสบตาเธอมากนัก มะลิเข้าใจดี...เธอล่วงรู้ความลับที่เขาไม่อยากบอกใครเข้าเสียแล้ว
พิลึก...ถ้าจะให้เธอช่วย ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องบอก หรือไม่เธอก็ต้องรู้จนได้ จะปิดไปทำไมก็ไม่รู้
“ขอร้องล่ะ นายอย่าเพิ่งโผล่มาตอนนี้ได้ไหม ฉันเรียนอยู่ ไม่มีสมาธิ” มะลิส่งกระแสจิตบอก เพราะแน่ใจว่าหากพูดออกไปโต้งๆ นอกจากคนที่บังเอิญหันมาเห็นจะคิดว่าเธอบ้าแล้ว รศนายังจะซักแดนสรวง (ผ่านเธอ) ไม่จบแน่
“โอ๊ะ เก่งจัง ไม่ต้องพูดเธอก็คุยกับฉันได้นี่” ดูเขาค่อนข้างประหลาดใจ เพิ่งสังเกตว่าบางครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงเธอดังชัดอยู่ในหัวทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ขยับปากสักนิด ทีแรกนึกว่าคิดไปเองเสียด้วยซ้ำ “แบบนี้ก็เท่ากับว่าเธอจะคุยกับฉันเมื่อไหร่ก็ได้น่ะสิ ไม่ต้องรอให้พ้นหูพ้นตาคนก่อน”
หญิงสาวก้มหน้ามองสมุดราวกับกำลังตั้งใจเรียนอยู่ในขณะตอบคำถาม “ฉันคุยแบบนี้ได้แต่ไม่ชอบ มันปวดหัว” เธอไม่อยากป่วย เพราะตอนป่วยคลื่นมักแรงเป็นพิเศษ จูนติดเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณรายไหนเธอก็เห็นดะไปหมด ดังนั้น เวลาไม่สบายเธอจึงต้องลาพักอยู่บ้านแทนและใช้เวลาทั้งวันอยู่แต่ในห้อง (นอนล้วนๆ) ถึงจะชินตาแล้ว แต่ภาพบางภาพมันก็ไม่ได้น่ามองนักหรอก...ซึ่งนั่นก็มีผลไม่ค่อยดีนักกับการเรียนของเธอด้วย
โชคดีที่อาการปวดศีรษะของเธอกำเริบไม่บ่อยนัก เพราะเธอมักทำเป็นมองไม่เห็นดวงวิญญาณเหล่านั้นอยู่แล้ว นอกจากพวกเร่ร่อนหรือมาเพื่อขอส่วนบุญ เป็นคำขอร้องที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ได้ไม่ยาก หากไม่ลำบากอะไรเธอก็จะทำบุญไปให้
“นี่แก ฟังฉันอยู่หรือเปล่า” พอเห็นเงียบเข้า รศนาจึงใช้ปากกาจิ้มแขนกระตุ้น “ถามให้หน่อยสิ ตกลงเขามาหลอกฉันทำไม”
“หลอก? หลอกเรื่องอะไร” วิญญาณหนุ่มได้ยินเต็มหูประท้วงเสียงหลง ความเศร้ากระเจิงหายเพราะความตกใจมาแทนที่ “มะลิ ถามนาให้หน่อยสิ พี่ไปหลอกนาเรื่องอะไร”
อยากจะซัดสองคนนี้แรงๆ คนละที...ถ้าไม่ติดว่าอาจถูกมองเป็นตัวประหลาด คนกลางยกมือขึ้นปิดหู โชคร้ายที่เสียงของแดนสรวงที่เธอได้ยินดันไม่ได้ผ่านทางหู และรศนาก็ขยันจิ้มแขนเธอจนแทบจะเป็นรูอยู่แล้ว
“ทำไมเธอถึงไม่มีเซนส์บ้าๆ นี่แทนฉันนะ จะได้คุยกับพี่แดนเองเสียให้พอ” มะลิประชดเพื่อน ก่อนส่งกระแสจิตขู่วิญญาณหนุ่มที่ยังแง้วๆ อยู่ข้างๆ “ส่วนนาย ถ้าขืนยังโอ้เอ้อยู่ตรงนี้ ฉันจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยแล้วนะ”
“นี่ตกลงเธอยอมช่วยฉันแล้วเหรอ” แดนสรวงออกอาการลิงโลดอย่างไม่ปิดบัง พลังงานที่แผ่ออกมาทำให้รู้ว่าเจ้าตัวโล่งใจแค่ไหน เขาโผเข้าหาทำท่าจะกอด “ขอบใจนะมะลิ เธอนี่มันใจดีจริงๆ เลย”
คนใจดีเผลอหลุดปากร้อง “แว้ก” เสียงดังลั่น โต๊ะแลคเชอร์แคบเสียจนไม่รู้จะหนีไปทางไหนได้ แต่ก็ยังเผลอไถลตัวหลบวิญญาณหนุ่มจนโต๊ะเคลื่อนไปกระแทกโต๊ะข้างๆ ดังปังจนรศนาร้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อวิญญาณสัมผัสเธอ เธอมักจะรู้สึกทั้งวูบทั้งเบาโหวง ขนลุกซู่ในบริเวณที่ถูกตัว และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของดวงวิญญาณ ณ ขณะนั้น อันที่จริงเธอชินกับสัมผัสเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่ที่ดิ้นรนจะหนีให้ได้ เพราะนี่เป็นนายแดนสรวงต่างหาก
อี๊...กล้าดียังไงจะมากอดฉันยะ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะตรงนั้น” เสียงอาจารย์ที่กำลังใช้หมึกสีน้ำเงินกับแดงเขียนกระดานเป็นภาพกราฟในวิชาเศรษฐศาสตร์ถึงกับร้องทัก เมื่อเห็นลูกศิษย์มีทีท่าแปลกประหลาด คนหนึ่งร้องแว้กเสียงหลงแถมทำท่าเหมือนกระเถิบหนีอะไรบางอย่าง ส่วนอีกคนที่นั่งข้างๆ ร้อง เฮ้ย มะลิ แกเป็นอะไร วุ่นวายกันอยู่สองคน “มะลิ รศนา มีอะไรกัน”
คนหัวไวเห็นเพื่อนทำตาโตอ้าปากค้าง ดูท่าทางไม่ค่อยดี เลยแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แทนไปก่อน “หนูค่ะ...หนูตัวเบ้อเริ่ม วิ่งอยู่ใต้โต๊ะเมื่อกี๊”
เท่านั้นแหละ...ในห้องก็เกิดสถานการณ์โกลาหลขนาดย่อมๆ เสียงกรีดร้องของสาวๆ ดังลั่นเมื่อได้ยินคำว่าหนู บางคนกระโดดขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ บางคนกระทืบเท้าปังๆ ราวกับมันจะช่วยให้เจ้าหนูไม่กล้าเข้าใกล้ บางคนอาศัยจังหวะชุลมุนเดินหนีออกจากชั้นเรียนไปเสียดื้อๆ คนไม่กลัวก็หัวเราะกับท่าทางลนลานของเพื่อนจนตัวงอ
สองสาวมองตากันปริบๆ มีเพียงมะลิกับรศนาเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าหนูนั่นมีอยู่จริง คิดไม่ถึงว่าแค่การขายผ้าเอาหน้ารอดของตัวเองจะทำให้สถานการณ์วุ่นวาย
แถมดูท่า วันนี้อาจารย์ท่านจะทำการสอนวิชานี้ต่อไม่ได้ เพราะนักศึกษากระเจิงกันไปหมดเสียแล้ว
การใช้โทรจิตเกินขีดจำกัดของตัวเองให้ผลตอบแทนอย่างสาสม มะลินอนแซ่วลุกไม่ขึ้นในวันถัดมา เธอปวดศีรษะหน่วงหนักราวกับมีใครเอาหินก้อนใหญ่ๆ มาถ่วงไว้โดยที่ไม่มีไข้ อาการที่เธอเป็น เจ้าตัวเองก็อธิบายไม่ถูกว่าเพราะอะไร รู้แค่ว่าพักสักวันก็หาย และยาแก้ปวดต่างๆ ไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้แม้แต่น้อย
“แม่ต้องไปทำงานด้วยสิ พ่อก็ประชุมทั้งวัน หนูอยู่คนเดียวได้ไหม” คนเป็นแม่อดห่วงลูกสาวคนเดียวไม่ได้ มะลิเล่นไม่ยอมลุกจากเตียงเลยตั้งแต่เช้า ใช่ว่านี่เป็นครั้งแรก...แต่ครั้งที่เคยมีอาการแบบนี้เป็นวันที่ท่านหยุดอยู่บ้านพอดี หรือไม่สามีก็อยู่โยงเฝ้าบ้าน เพิ่งมีหนนี้เองที่ต้องปล่อยลูกสาวไว้ตามลำพัง
“อยู่ได้ค่ะแม่” เธอตอบงัวเงียทั้งที่ตายังปิด “นอนเยอะๆ เดี๋ยวก็หาย แม่ไปทำงานเถอะค่ะ”
“แม่ทำข้าวต้มไว้ให้ ทานเลยไหม จะได้ทานยา”
“ขอนอนอีกนิดเถอะค่ะแม่ กำลังสบายเลย” เธอฝืนลืมตาและยิ้มให้...สบายเสียที่ไหน หนักหัวจนลุกไม่ไหวแล้วต่างหาก “อีกเดี๋ยวหนูลงไปทานนะคะ”
ท่านไม่ต่อความยาว เพราะดูท่าลูกสาวจะอยากนอนต่อเต็มแก่ แค่บอกก่อนไปว่า “แม่ต้มข้าวต้มไว้หม้อใหญ่ หนูลงไปตักกิน แล้วอย่าลืมทานยาด้วยนะ”
เธอหลับตาต่ออยู่อีกพักใหญ่กว่าจะยอมฝืนขึ้นมากดโทรศัพท์ส่งข้อความบอกรศนาว่าวันนี้ลาป่วย ส่งเสร็จก็ปิดเครื่องทันทีเพราะไม่อยากถูกกวน ยังไม่ทันได้หลับดีก็สัมผัสได้ถึงพลังงาน...จะเป็นใครถ้าไม่ใช่นายแดนสรวง ยังดีที่ตอนนี้พลังงานที่แผ่ออกมาไม่ได้มืดมนมัวหมองเท่าตอนแรก หญิงสาวหมดแรงสู้รบต่อปากต่อคำ หนำซ้ำเวลานี้สภาพยังไม่เอื้อให้ช่วยใครที่ไหนได้ จึงเอ่ยเสียงเบา “ขอนะพี่แดน อย่าเพิ่งมากวนกันตอนนี้ ขอพักหน่อยเถอะ”
มะลิไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพที่เห็นคือท้องฟ้าสีฟ้าจัด โล่งๆ ไม่มีเมฆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีแดดมาแยงตา สายลมพัดเอื่อยเย็นสบาย เธอนอนอยู่บนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ต้นหญ้าสีเขียวสดสูงท่วม อาการปวดศีรษะในตอนแรกหายเป็นปลิดทิ้ง เธอสูดลมหายใจลึกและระบายมันออกมาแรงๆ ยืดแขนยืดขาให้หายเมื่อยล้า ผ่อนคลายเสียจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ เธอหลับตาและทำอย่างเก่าอีกครั้ง...สูดลมหายใจลึกและระบายมันออกมาแรงๆ ก่อนลืมตา...
“ทำอะไรน่ะ”
หญิงสาวเผลอร้องกรี๊ดสุดเสียงก่อนหมุนตัวหลบ เพราะทันทีที่ลืมตาอีกครั้ง เธอก็เห็นใบหน้าของนายแดนสรวงเข้าเต็มเปา ใบหน้านั้นกลับหัวเพราะเขาชะโงกมาจากทางด้านบนของเธอ เธอใช้ข้อศอกยันร่างขึ้นอย่างร้อนรน...โอ๊ย มีอะไรหลอนได้กว่านี้อีกไหม
“ร้องอะไรของเธอ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” แล้วนายไม่ใช่ผีหรือไง “ตกใจเสียจนโอเว่อร์ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอสักหน่อย แค่เห็นหายใจฟืดฟาดนึกว่าเป็นอะไรไป”
อ๊ากกก...หมอนี่นอกจากทำให้เธอหมดมู้ดแล้วยังมาป่วนให้อารมณ์เสียหนักกว่าเดิมอีก เธอถามเขาเสียงห้วน “นายมาทำไม”
มะลิค่อยๆ ทวนความจำ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งบอกเขาไปว่าอย่ากวน เธอต้องการพักผ่อนนี่นา
ใช่...เธอนอนอยู่ที่บ้าน อยู่ในห้องนอน...และนี่คงเป็นความฝัน
ไม่คงล่ะ ใช่เลยแหละ นี่เป็นความฝัน หนอย...ไอ้แดนสรวง!
มะลิมองซ้ายมองขวาหาสิ่งที่ต้องการ ท่อนไม้ปรากฏขึ้นราวกับสั่งได้ เธอคว้าท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับแขนผู้ชายล่ำๆ สักคนวิ่งไล่กวดนายตัวแสบที่มารบกวนเธอถึงในฝัน “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ากวน แค่ขอพักให้หายปวดหัวหน่อยก็ไม่ได้ใช่ไหม ตอนตื่นยังไม่พอหรือไง ต้องมากวนกันในฝันด้วย มากเกินไปแล้ว!”
แดนสรวงได้แต่ร้องเฮ้ยๆ วิ่งหลบซ้ายหลบขวา เจ้าหล่อนไม่เปิดโอกาสให้เขาอธิบาย ส่วนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าโดนท่อนไม้ยักษ์นั่นฟาดเข้าจะตายรอบสองหรือเปล่า เลยได้แต่เปิดแน่บท่าเดียว
“ลามปาม! นึกว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มายุ่งวุ่นวายกับฝันของคนอื่น” เธอเขวี้ยงท่อนไม้ยักษ์สุดแรง ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แดนสรวงหลบได้แค่พอเฉียดๆ เขาร้องว้ากดังลั่นพลางตะเกียกตะกายหนี ส่วนมะลิ พอไม้อันเก่าพ้นมือไป ตาก็กวาดไปเห็นไม้อันใหม่พอดี วิญญาณหนุ่มชักเห็นท่าไม่ดีจึงรีบห้าม
“เดี๋ยวก่อน นี่ฉันไม่ได้มากวนอะไรเธอนะ” เขารีบตะโกนบอกก่อนที่เธอจะเดินไปคว้าไม้นั่นไว้ “ฉันแค่เห็น...เอ่อ...มีคนมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านเธอ เอากระดาษอะไรมาเสียบไว้”
“บุรุษไปรษณีย์น่ะสิ” เจ้าหล่อนเปลี่ยนเป้าหมายจากท่อนไม้เป็นคู่กรณี เธอพุ่งเข้าไปหา กระชากคอเสื้อเขา เขย่าๆ จนอีกฝ่ายหัวคลอน “เรื่องแค่นี้มีเหรอนายจะดูไม่ออก นายจงใจเข้าฝันมาก่อกวนฉันชัดๆ!”
“โทษฉันไม่ได้นะ...เป็นเพราะรูปนั่นต่างหาก”...รูปที่เขาเห็นวันแรกที่ตามมะลิมาที่บ้าน รูปในกรอบสีขาวที่เธอพยายามซ่อนไว้
อาจเพราะมีเรื่องมากมายให้คิด มะลิจึงลืมไปเสียสนิทว่ากรอบรูปที่ซ่อนไว้ใต้หมอนหายไปไหน ในวันนั้นหลังจากที่รศนาร่ำๆ จะกลับบ้านหลังจากที่รู้ว่าแดนสรวงตามมาด้วย หญิงสาวจึงเดินไปส่งเพื่อนที่ป้ายรถ บังเอิญกับที่มารดากลับมาที่บ้านพอดี ท่านเห็นห้องลูกสาวรกแถมฝุ่นหนา เจ้าตัวก็เอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมเก็บกวาดจึงจัดการทำความสะอาดให้ พอเห็นอะไรอยู่ผิดที่ผิดทางก็นำไปวางคืนที่เดิม แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมกรอบรูปจึงมาอยู่ใต้หมอน...แต่ท่านไม่ใช่คนช่างซักอยู่แล้ว
มะลิไม่ทันได้สังเกตว่ากรอบรูปกลับมาวางอยู่ที่ชั้นหนังสือ ส่วนแดนสรวงก็ไม่ทันได้มองเพราะมัวแต่กังวลเรื่องณภัทร เพิ่งจะมาสังเกตเอาก็วันนี้ และรูปนั่นก็ทำให้เขาพอจะนึกอะไรออกจนอยากปลุกเจ้าของห้องมาคุยด้วย พอเข้าใกล้ เธอก็พูดดันดักไว้เสียก่อน...“ขอนะพี่แดน อย่าเพิ่งมากวนกันตอนนี้ ขอพักหน่อยเถอะ”
เขาตัดสินใจไม่รบกวนเธอ หากในอกรู้สึกว่าอยากคุยด้วยมากๆ เท่านั้น...แล้วจู่ๆ ก็มาโผล่ตรงนี้เฉยเลย
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะเก็บรูปฉันไว้ด้วย”
มะลิรีบแย้งว่าที่เก็บไว้ไม่ใช่เพราะมีรูปเขา เธออยากฉีกทิ้งเสียด้วยซ้ำ มันเป็นรูปที่รศนาถ่ายมาให้เมื่อวันกีฬาของมหาวิทยาลัย เพื่อนรู้ว่าเธอแอบชอบหนึ่งหนุ่มในกลุ่มนั้น พอได้โอกาสจึงทำทีเป็นเดินผ่านเก้าอี้ม้าหินที่สามหนุ่มนั่งประจำ ยกกล้องขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ” สามหนุ่มก็เลยหันมายิ้มใส่กล้อง ไม่นึกสงสัยอะไร เพราะรศนาเป็นเด็กสาวร่าเริงและคุยกับใครๆ ไปทั่วอยู่แล้ว
ไม่ต้องเป็นรูปเดี่ยวหรอก แค่นี้ก็พอใจแล้ว...มะลิเก็บรูปนั้นไว้อย่างดี จับใส่กรอบวางไว้บนโต๊ะในห้องนอน กระทั่งเกิดเรื่องเกิดราวกัน ว่าจะทิ้งอยู่หลายที แต่เดี๋ยวก็ลืมบ้าง เสียดายภาพบ้าง ครั้นจะฉีกรูปนายแดนสรวงออกคนเดียว อีตานี่ก็ดั๊น...นั่งอยู่ตรงกลางเสียอีก เธอจึงย้ายมันไปวางไว้ตรงชั้นหนังสือรกๆ ให้พ้นหูพ้นตาหน่อย
“แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของนาย” เธอทำเสียงแข็งสู้เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง คำพูดของเขา เธอยังจำได้ขึ้นใจ เหตุการณ์วันนั้นก็ไม่เคยลืม “นายเอาแต่ถามว่าทำไมฉันถึงเกลียดขี้หน้านายนัก ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าฉันไปทำอะไรให้ นายถึงเอาฉันไปพูดเสียๆ หายๆ กับเพื่อนนายแบบนั้น”
24 เมษายน...ตอนนั้นเธอเพิ่งปี 2 ส่วนแดนสรวงและเพื่อนๆ ขึ้นชั้นปีที่ 3 เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นที่โต๊ะม้าหิน ทั้งสามหนุ่มอยู่กันพร้อมหน้า ส่วนเธอกับรศนานั่งอยู่ไม่ไกล เพราะโต๊ะประจำของเธอกับโต๊ะประจำของเขาอยู่ห่างกันไปแค่ไม่เท่าไหร่
เธออดหลับอดนอนเพื่อทำของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ อดทนทำงานฝึมือที่ตัวเองไม่ถนัดอยู่เป็นเดือน คิดถ้อยคำอวยพรที่จะเขียนลงในการ์ดใบเล็กเป็นวันๆ ก่อนจบลงที่คำว่า สุขสันต์วันเกิด และคำอวยพรพื้นๆ แบบที่เห็นได้จากการ์ดที่ขายตามร้านค้าทั่วไป
มะลิรอเวลาให้รุ่นพี่คนนั้นแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน แต่สามหนุ่มตัวติดกันเป็นตังเม เธอได้ยินหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “ไปโรงยิมกันดีกว่า”
“ฉันว่าแกเรียกพี่เขามาคุยเถอะ ขืนรอให้เขาแยกกับเพื่อนออกมาเองมีหวังต้องรอหมดวัน”
คำแนะนำของรศนา ทำให้เธอตัดสินใจเดินตามสามหนุ่มไปแบบห่างๆ ระหว่างที่เดินตามก็รวบรวมพลังใจไปด้วย เธอไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่น การให้ของขวัญใครสักคนมันยุ่งยากวุ่นวายแบบนี้ไหม แต่สำหรับเธอ...ให้ตายเถอะ มันยากเสียจนแทบอยากจะล้มเลิกความคิดแล้วส่งทางไปรษณีย์แทนให้รู้แล้วรู้รอด
ทำเสียให้มันจบๆ ไปมะลิ กล้าๆ หน่อย...เธอบอกตัวเองหนที่ร้อย...แค่เรียกพี่เค้าออกมาคุยแป๊บเดียว ให้ของขวัญวันเกิดคนที่เคยให้ความช่วยเหลือเธอ มันจะไปยากอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกประทับใจใครสักคนขึ้นมาจริงๆ เขามีน้ำใจกับเธอหลายหน เคยไปส่งเธอถึงบ้านในวันฝนตกเพราะเห็นว่าเธอไม่มีร่ม เคยอาสาสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้เมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องกระดาษเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นทำยังไง เคยให้เธอยืมหนังสือที่อยากอ่าน แต่ค่าขนมที่มีไม่พอซื้อ (เพราะดันเอาไปซื้อเล่มอื่นหมดแล้ว) และยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเขาช่างใจดีกับเธอนัก
หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นาน หญิงสาวสาวเท้าเข้าไปใกล้ ระยะห่างน้อยลงเรื่อยๆ ตอนนี้มันใกล้พอจะได้ยินบทสนทนาของสองหนุ่มที่เดินกอดคอกันตามหลังเพื่อนอีกคน
“คิดผิดคิดใหม่ได้นะ” เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้น ทั้งคู่คุยอะไรกัน แต่ประโยคแรกที่มันกระทบเข้าหูเธอเป็นเสียงของแดนสรวง เขากอดคอโกศลในขณะที่อินทัชเดินนำหน้า “ตัวก็สั้น หุ่นก็ตัน แถมเคยได้ยินมีเพื่อนโรงเรียนเก่าเล่าๆ กันว่าไม่ค่อยเต็ม”
“แปลกดีออก” โกศลว่าพลางหัวเราะ “ไม่ค่อยเจอเด็กแบบนี้ว่ะ น่าสนใจดี”
“เฮ้ย คิดดีๆ มะลิไม่เหมาะกับแกหรอก” เธอแทบไม่อยากก้าวตามเมื่อได้ยินชื่อตัวเองชัดเต็มหู คนปากเสียยังไม่หยุดห้าม “เท่าที่คุยอยู่ตอนนี้ ยังรถไฟชนกันไม่พออีกเรอะ”
ไม่รู้ว่าระหว่างความรู้สึกอยากตั๊นหน้านายแดนสรวงกับมุดดินหนี อะไรมีมากกว่ากัน แต่ทันทีที่อินทัชซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าหันมา และสายตาปะทะเข้ากับเธอพอดี เธอก็ตัดสินใจได้ทันที...มุดดินหนีดีกว่า
อันที่จริงเธอไม่ได้มุดดินหรอก ก็แค่หันหลังวิ่งหนีมาดื้อๆ จากนั้นก็ไม่ไปป้วนเปี้ยนตรงโต๊ะม้าหินอีกเลย และเมื่อไหร่ก็ตามที่แดนสรวงเข้ามาใกล้ แสดงตัวเป็นมิตรราวกับรุ่นพี่ที่แสนดี หรือแม้แต่บังเอิญเดินสวนทางกัน เธอก็มักจะรู้สึกขนลุกและหยุดปากเอาไว้ไม่ได้
หน้ากากของเขามันน่ารังเกียจ เห็นแล้วขยะแขยงชอบกล
ความโกรธกรุ่นในใจจางลงบ้างตามระยะเวลา แต่ จาง กับ หาย มันคนละอย่างกัน นานวันเข้ากลายเป็นไม่รู้สึกยินดียินร้าย เดินสวนกันได้ แค่อย่ามาแกว่งปากใกล้ๆ เป็นพอ รุ่นพี่ที่สนิทกลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก พอเข้าหน้ากันไม่ติดกับแดนสรวง ก็เลยกลายเป็นพลอยห่างกับอีกสองหนุ่มไปด้วย
หลังจากมีรศนาเป็นเพื่อนสนิท มนุษยสัมพันธ์ของเธอดีขึ้น มะลิกล้าเปิดใจ พูดคุยกับคนอื่นๆ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างนับว่าก้าวหน้า หากพอเมื่อเธอพร้อมเปิดใจรับแดนสรวงเป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ที่สนิทพอจะพูดคุยได้ เขากลับหักหลังเธอด้วยถ้อยคำใจร้ายอย่างที่คนเป็นเพื่อนไม่ควรจะพูดถึงกัน เขาทำให้เธอหมดศรัทธาในตัวเขา แม้จะไม่เคยอกหัก แต่เธอก็คิดว่าความรู้สึกนั้นคงไม่ต่างกับที่กำลังเป็นอยู่สักเท่าไหร่
เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เอง...
“เรื่องนี้นี่เอง” วิญญาณหนุ่มถอนหายใจ (อย่างน้อยท่าทางเขาก็ดูคล้ายจะทำแบบนั้น) “พอเธอพูดถึงฉันเลยนึกขึ้นมาได้ วันนั้นไอ้ทัชไม่เห็นพูดอะไรเลย แค่บอกว่า อย่าไปว่ามะลิแบบนั้น เท่านั้นเอง ถ้ามันสะกิดบอกกันสักหน่อย ฉันจะได้ไปอธิบายกับเธอตั้งแต่แรก” สุดท้ายกลายเป็นโยนความผิดไปให้เพื่อนเสียได้
คนฟังฟังแล้วได้แต่เงียบ...อย่าไปว่ามะลิแบบนั้น...งั้นเหรอ ฟังดูดีชะมัด เธอบังคับตัวเองไม่ให้เผลอยิ้มออกมา ย้อนไปว่า “จะไปโทษพี่ทัชได้ยังไง ถ้านายปากไม่เสียตั้งแต่แรก เรื่องก็ไม่เกิด”
คำก็ปากเสีย สองคำก็ปากเสีย หนอย ยัยเด็กนี่ ”น้อยๆ หน่อยมะลิ เธอเด็กกว่าฉันตั้งปีนะ” พูดจบก็โดนอีกฝ่ายจ้องกลับตาเขียว พอรู้ว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ จึงใช้วิธีตัดพ้อแทน “ฉันนี่มันทำคุณบูชาโทษจริงๆ แค่เพราะไม่อยากให้เธอเสียใจเพราะไอ้สนแท้ๆ”
“พี่สนเนี่ยนะ?”
แดนสรวงกับโกศลเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย จึงรู้นิสัยมันดีว่าเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้แถมยังไวไฟ เด็กกว่าแก่กว่าจีบดะไม่เลือก ด้วยความที่รูปร่างหน้าตาดี ถึงแม้ไม่รวยล้นแต่ฐานะก็ไม่ได้แย่ มีรถขับพาสาวไปไหนต่อไหนได้สบาย แถมเจ้าตัวยังขยันบริหารเสน่ห์ ต่อให้ไม่เข้าหาใคร วันดีคืนดีก็เป็นฝ่ายถูกสาวๆ เข้าหาเสียเอง
แต่ละคนที่เลือกควง มีแต่สาวสวย หุ่นดี ดาวคณะ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายหยอดเล็กหยอดน้อยกับสาวๆ ที่เขามองว่า “พอไปวัดไปวาไหว”
หนึ่งในนั้น...ก็ยัยเด็กประหลาดตรงหน้าเขานี่แหละ
ไม่รู้ว่าซื่อหรือเซ่อ แต่มะลิมักมองข้ามการหยอดเล็กหยอดน้อยของโกศลไปได้อย่างน่าแปลกใจ เธอกลายเป็นของยากในสายตาเขา “ยากๆ นี่แหละ สนุกดี” โกศลว่า “เอ๊ะ หรือบางทีอาจจะแกล้งเก๊กใจแข็งไปอย่างนั้นเอง”
“เด็กมันซื่อ นายอย่าไปยุ่งเลย” แดนสรวงออกปากปรามเพื่อน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้นึกจริงจัง อันที่จริงถ้ามีอินทัชมาช่วยกันห้ามด้วยอีกแรงก็คงได้ผลกว่า แต่เพราะโกศลเองก็รู้ข้อเท็จจริงข้อนี้ อินทัชเป็นคนจริงจังจนหนุ่มเจ้าสำราญเกรงใจ จึงเลือกที่จะคุยเรื่องสาวๆ กับแดนสรวงแค่คนเดียว
ขืนเอาไปเล่าให้อินทัชฟัง ก็กลายเป็นปากมากอีก...แดนสรวงจึงได้แต่พยายามปรามเพื่อนด้วยตัวเอง
อาจเป็นเพราะโกศลหมั่นชวนรุ่นน้องคุย ด้วยเรื่องสัพเพเหระในหัวข้อที่เธอชอบ ไม่ว่าจะเป็นทีมบาสเกตบอล (เขาเคยเห็นเพื่อนนั่งหาข้อมูลทีมลอสแองเจลีสเลเกอร์สเมื่อได้รู้ว่าทีมนี้เป็นทีมโปรดของมะลิ ทั้งที่วันๆ เห็นมันดูแต่บอล) หรือเพลงจากวงโอเอซิส (ปกติเห็นบ่นว่าหนวกหู) ทำให้มะลิพูดคุยกับโกศลบ่อยขึ้นจนเขาชักห่วงว่ารุ่นน้องจะเผลอเอนเอียงเข้าทางนายสนไปแล้ว เขาไม่ห่วงโกศลเพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ยังไม่เคยเห็นหมอนี่จริงจังกับใคร ที่มาหยอดมะลิเหมือนแค่อยากเอาชนะเท่านั้น ในขณะเดียวกัน เด็กซื่ออย่างมะลิอาจไม่ทันเหลี่ยมผู้ชาย มันอาจเป็นรักแรกของเธอเสียด้วยซ้ำ เขาอดสงสารไม่ได้หากเธอต้องผิดหวัง
“ถ้าฉันห้าม เธอก็คงไม่ฟัง หรือถ้าบอกไปตรงๆ ก็คงเหมือนขายเพื่อน เลยใช้วิธีพูดให้มันเลิกสนใจเธอไปเอง” เห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งฟังตาปริบๆ ไม่พูดไม่จา เขาเลยว่าต่อ “ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงไม่สนใจ ยิ่งพวกไฟแรงที่ชอบเล่นหูเล่นตาใส่มันฉันยิ่งไม่อยากไปเกี่ยว แต่พอเป็นเธอ...หน้าซื่อๆ ไม่ค่อยทันคน เห็นแล้วสงสาร”
“สงสาร...ฉันเนี่ยนะน่าสงสาร” มะลิแทบจะทึ้งผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดใจ...ไม่สิ ทึ้งผมนายแดนสรวงน่าจะดีกว่า สะใจดี “นายทำแบบนี้เพราะต้องการกันฉันออกจากพี่สน นายคิดว่าฉันชอบพี่สนงั้นเหรอ” โอ๊ย...ตาเบื๊อกเอ๊ย
ใจหนึ่งนึกขอบคุณ แต่อีกใจกลับโมโห นี่เขาเห็นเธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ถึงได้คิดว่าแค่ผู้ชายหน้าหล่อๆ นิสัยเจ้าชู้ไก่แจ้มาหยอดนิดหยอดหน่อยแล้วจะหลงกลง่ายๆ เธออาจจะใสซื่อ (?) ไปบ้าง แต่ไม่ได้หูหนวกตาบอดถึงขนาดไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของคาสโนว่าตัวพ่ออย่างโกศลหรอกนะ
“ก็ดูเธอเล่นด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ฉันรู้นะ เธอเคยให้หนังสือหมอนั่นด้วย” เขาอธิบายเมื่อเห็นเธอทำหน้างง “หน้าปกโหดๆ แบบที่เธอชอบอ่าน ใหม่กิ๊ง มันอวดว่าเธอให้มันมา”
“ไม่มีทาง” เธอตอบทันควัน เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยให้ของหนุ่มหน้าไหน ส่วนของขวัญที่เคยตั้งใจจะให้...เอาเข้าจริงตอนนี้เธอลืมแล้วด้วยซ้ำว่าเอาไปซุกไว้อยู่หลืบไหนในห้อง ภาพในหัวที่เธอนึกออกตอนนี้คือหนังสือปกสีดำ ภาพนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนเธอร้องอ๋อ “ไอ้ที่เล่มสีเหลืองหม่นๆ หน้าปกเป็นตัวอักษรสีขาวกับดำตัวใหญ่ๆ แล้วมีภาพบานประตูเหล็กถูกกระสุนยิงใส่ใช่ไหม” เธอว่าต่อเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าและบอกว่า...อะไรทำนองนั้นมั้ง ฉันก็จำไม่ค่อยได้ มันนานแล้ว “เล่มนั้นพี่สนขอยืมฉันไปต่างหาก ยังอ่านไม่จบเลยด้วย” หนอย...จนป่านนี้ยังไม่คืน ส่วนเธอก็ลืมไปเสียสนิท น่าโมโหที่เจ้าตัวเอาไปโม้ว่าเธอให้อีก มันน่านัก
“ถ้าเธอไม่สนใจนายสน แล้วหลังๆ เธอไปป้วนเปี้ยนแถวโต๊ะพวกฉันบ่อยๆ ทำไม” เขาทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอตอบว่า ก็โต๊ะที่ฉันนั่งประจำมันอยู่ตรงนั้นนี่ยะ แดนสรวงมองเธอตาโต ยกมือกอดอกราวกับป้องกันตัวเอง “หรือว่า...ฉันงั้นเหรอ”
ขนลุกเกรียว...หมอนี่กล้าดียังไงถึงได้คิดแบบนั้น “ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ” น้ำเสียงที่เค้นออกมาบ่งบอกอารมณ์คนพูดได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่วิญญาณหนุ่มรู้สึกเหมือนเห็นท่อนไม้ปริศนาโผล่มาใกล้ๆ มือเธออีกแล้ว
“โอเค ไม่ใช่ไอ้สน ไม่ใช่ฉัน งั้นใครล่ะ ไอ้ทัชเหรอ”
สำหรับคนที่ไม่สนิทกัน อินทัชไม่ใช่คนที่น่าเข้าใกล้นักโดยเฉพาะกับผู้หญิง เพื่อนเขาคนนี้เป็นคนขี้รำคาญ ไม่ชอบเอาใจใคร คร่ำเคร่งแถมยังชอบทำหน้าเหมือนถูกสต๊าฟไว้อยู่บ่อยๆ พูดตรงจนบางครั้งดูแรง แต่ถึงอย่างนั้น พอพูดถึงอินทัช คนที่เอาแต่พูดเอาๆ ท่าทางเกรี้ยวกราดตลอดเวลาก็ถึงกับสงบปากสงบคำ ก้มหน้าเด็ดหญ้าแก้ขวย
“ไอ้ทัชเหรอ...มันเนี่ยนะ” แดนสรวงอุทานตาโต แทบไม่อยากเชื่อ ที่ไม่อยากเชื่อไม่ใช่เพราะคนที่ชอบอินทัชคือมะลิ แต่เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีสาวที่ไหนมาถูกใจนายสากกะเบืออย่างมันเลยต่างหาก
ท่าทางพิลึกๆ ของหญิงสาว ที่เอาแต่หลบตา ตอบแทนได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก
NLaT
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ย. 2559, 10:00:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ย. 2559, 10:00:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 834
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 >> |