พันธนา
สำหรับบางคน พันธนาการอาจเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ

แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5

พิมพ์ณดาตื่นเช้ากว่าปกติ เธอรู้ว่าวันนี้แม่ณีไม่อยู่บ้าน เพราะเมื่อวานท่านบอกไว้เมื่อตอนทานมื้อเย็นด้วยกัน หญิงสาวเตรียมข้าวต้มกุ้งใส่หม้อสแตนเลสเก็บความร้อนมาด้วย เดินข้ามถนนเล็กๆ ที่กั้นอยู่ระหว่างสองบ้าน ป่านนี้ทุกคนคงจะตื่นกันแล้ว
บ้านหลังนี้ไม่มีแม่บ้านประจำ มีเพียงเด็กที่จ้างไว้เพื่อมาทำความสะอาดวันต่อวัน ส่วนเรื่องอาหารการกิน ผู้เป็นแม่คอยดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยกเว้นบางวันที่ท่านมีธุระ ซึ่งหากพิมพ์ณดาไม่มีเรื่องเร่งด่วนรีบร้อนก็มักอาสามาดูแลเรื่องอาหารการกินให้สามหนุ่มแทนเสมอ...วันนี้ก็เช่นกัน

“สวัสดีค่ะ คุณพ่อ” หญิงสาวทักทายเสียงใส ในขณะที่อีกฝ่ายมาเดินชมสวนหน้าบ้าน มองผ่านประตูรั้วเห็นเธอกำลังตรงมาพอดีจึงมาเปิดประตูต้อนรับ ปริญญาเอ็นดูเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก เธอจึงคุ้นเคยกับท่านราวกับเป็นพ่อแท้ๆ “เห็นแม่ณีบอกว่าวันนี้จะไปทำธุระแต่เช้า หนูกลัวคุณพ่อจะหิว เลยทำมื้อเช้ามาให้ จะได้ทานก่อนไปทำงานค่ะ”

“รู้ใจจริง” ท่านว่า เมื่อเช้าศรีภรรยาทำอาหารเช้าแบบฝรั่งเอาไว้ให้ด้วยว่ามีเวลาไม่มากนัก แต่ไม่ค่อยถูกปากท่านสักเท่าไหร่ ทานไปได้แค่ครึ่งก็นึกอยากทานอะไรร้อนๆ พวกโจ๊กหรือข้าวต้มเหมาะกับตอนเช้าที่อากาศชักเริ่มเย็นๆ มากกว่า แล้วพิมพ์ณดาก็โผล่หน้ามาพอดี “สองคนนั้นยังไม่ลงมา คงอีกสักพักล่ะ”

เธอเดินถือหม้อสแตนเลสเข้าครัว เดี๋ยวเดียวก็ออกมาพร้อมข้าวต้มควันฉุยสองชามในถาดพร้อมเครื่องปรุง “ไม่รู้สองคนนั้นจะลงมาเมื่อไหร่ งั้นหนูทานเป็นเพื่อนคุณพ่อนะคะ” เธออาสาเองโดยไม่รอให้ชวน รู้ว่าท่านไม่ชอบนั่งทานข้าวคนเดียว
ปริญญามองหญิงสาวตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ทั้งที่ไม่ใช่ลูกในไส้ แต่กลับทำตัวให้ชื่นอกชื่นใจยิ่งกว่าลูกแท้ๆ...


ท่านเห็นเธอตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง...ตอนที่ยังใช้ชื่อกรดา นับย้อนหลังก็คงราวยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นเด็กหญิงเพิ่งสี่ขวบ ลินดา...เพื่อนของท่านและภรรยา พาเด็กหญิงมาแนะนำ

“ลูกของยัยลินไงล่ะ ชื่อรดา ตอนนี้ฉันรับมาอยู่ด้วยกันแล้ว”

ในความทรงจำ ลินรดาเป็นหญิงสาวสวยจัด รูปร่างระหงส์ ผิวพรรณขาวละเอียด ดวงตาของเธอโดดเด่นและดูราวกับเปล่งประกายออกมาได้ ในมหาวิทยาลัย เวลาที่เธอเดิน ทุกคนเป็นต้องเหลียวมอง และเมื่อไหร่ที่เธอยิ้ม...เธอจะได้ในทุกสิ่งที่เธอต้องการ เรียกได้ว่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พร้อมใจกันประเคน หวังเพียงเพื่อชนะใจ ซึ่งเธอเองก็รู้ดีในข้อนั้น

ลินดาเล่าให้ฟังว่า หลังจากจบมหาวิทยาลัย ลินรดาแต่งงานกับหนุ่มรุ่นน้องที่อายุห่างกันสามปี ชายคนนี้เข้าตำรา คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง แม้หน้าตาจะไม่ได้หล่อเหลา เรียกได้ว่าหากมองเพียงภาพลักษณ์ภายนอก ใช้คำว่าไม่คู่ควรก็คงไม่ผิดนัก แต่ตอนนั้นลินรดายืนยันกับพี่สาวและคนอื่นๆ ในครอบครัวว่ากิตติภณเป็นคนดี เป็นคนที่เธออยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด “ลินรู้สึกเป็นตัวของตัวเองเวลาได้อยู่กับเขา”

ชีวิตคู่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ภรรยาคนสวยกลายเป็นของตายหลังจากแต่งงานกันไปได้แค่สองปี ส่วนหนึ่งเพราะความเอาแต่ใจและ “เป็นตัวของตัวเอง” มากเกินไปจนไม่ฟังใครอื่นประสาคนที่ถูกตามใจมาตลอด ในขณะที่ความปากหวานของกิตติภณก็ทำให้เขาได้รับไมตรีจากสาวๆ ที่ทำงานด้วยกัน ปัญหาครอบครัวค่อยๆ สะสมจนลุกลามบานปลาย กว่าจะรู้ว่าทุกอย่างสายเกินแก้ไข เด็กหญิงกรดาก็อายุเข้าปีที่สี่แล้ว

ขณะนั้น ลินรดาได้พบกับชายหนุ่มอีกคน คนที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นสาวรุ่นอย่างตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ในขณะเดียวกัน กิตติภณเองก็เบื่อหน่ายความเอาแต่ใจของภรรยาได้ที่ แถมสาวๆ ที่เขาแอบไปก้อร่อก้อติกดันท้องขึ้นมาเสียอีก ลินรดาใช้ข้ออ้างนี้ขอแยกทางและกิตติภณก็แทบจะประเคนใบหย่าให้กับเธอ

ปัญหาของคนสองคนได้รับการแก้ไข ยกเว้นเด็กหญิงที่ยังยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อและแม่

ไม่ต้องฟ้องร้องเรียกสิทธิกันให้เสียเวลา กิตติภณซึ่งต้องรับผิดชอบลูกที่เกิดกับภรรยาใหม่ยอมตามแต่โดยดีเมื่ออดีตภรรยาออกปากว่าเด็กหญิงกรดาต้องอยู่กับเธอ เด็กหญิงเองก็ไม่ได้งอแงว่าอยากจะตามไปอยู่กับพ่อ...เธอโดนแม่กรอกหูอยู่ทุกวันว่าพ่อไม่ได้รักเธอ...และเหตุผลที่ท่านขอแยกทางกับแม่ช่วยตอกตะปูความเชื่อนั้นให้กับเธอเป็นอย่างดี

“พ่อรักหนูนะรดา แล้วพ่อจะมาเยี่ยมหนูบ่อยๆ” กิตติภณบอกกับลูกสาวในวันที่ขนของออกจากบ้าน

หลังจากจดทะเบียนหย่าเพียงไม่นาน ลินรดาก็ประกาศว่าจะแต่งงานใหม่กับหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษ ร้อนถึงลินดาผู้เป็นพี่สาวเมื่อรู้ว่าน้องจะแต่งงานและย้ายถิ่นฐานไปอยู่กับสามีใหม่

งานเลี้ยงจัดขึ้นแบบเรียบง่ายที่ร้านอาหาร เหมือนเป็นการเชิญบรรดาญาติพี่น้องมาร่วมรับรู้และแสดงความยินดีเท่านั้น ลินดาลากน้องสาวออกมาคุยหลังเลิกงาน

“ตกลงจะพายัยรดาไปอยู่ที่อังกฤษด้วยหรือ”

“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะพี่ดา” ท่าทางของเจ้าสาวรอบสองดูไม่ค่อยยินดีนักเมื่อเอ่ยถึง “ลินดูออกนะว่าลูกไม่อยากไป แต่ถ้าจะให้ลินส่งลูกไปอยู่กับไอ้พ่อเฮงซวยนั่นลินก็ไม่ยอมเหมือนกัน รดาเป็นเด็กไม่ค่อยแข็งแรง คนพรรค์นั้นคงเห่อแต่ลูกเมียใหม่จนไม่มาสนใจดูแล”

แกก็เหมือนกัน เห่อผัวใหม่จนลืมนึกถึงใจลูก ลูกป่วยกระเสาะกระแสะ ยังมีอารมณ์จะจัดงานเลี้ยงเปิดตัวผัวใหม่...ลินดาคิดอยู่ในใจ รู้ว่าไม่เป็นผลดีแน่หากเอ่ยปากไปตรงๆ “เอาอย่างนี้ ให้รดาอยู่กับพี่ที่เมืองไทยนี่แหละ หลานคนเดียว พี่ดูแลได้ แกว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยมาเยี่ยม”

“จะดีหรือพี่ดา” คำพูดลังเลขัดกับน้ำเสียงระรื่น ใจลินรดาไม่อยากพาลูกสาวไปด้วยอยู่แล้ว

สายตาของคนเป็นพี่ วูบหนึ่งมันทำให้ลินรดารู้สึกละอายใจ เป็นแม่แท้ๆ แต่กลับดิ้นรนอยากไสส่งลูกตัวเองไปอยู่กับคนอื่น ถึงแม้คนๆ นั้นจะเป็นพี่สาวก็ตามที หากความคิดนั้นมันก็แค่ชั่วแล่นสั้นๆ...เธอรักลูก แต่เมื่อลูกไม่อยากไป เธอก็ไม่บังคับ ผิดตรงไหนที่เธอให้กรดาได้อยู่ในที่ๆ อยากอยู่ อีกทั้งลินดาก็เป็นคนเสนอขอดูแลหลานสาวเองด้วย

สุดท้ายแล้ว เธอก็รักตัวเองมากกว่า...

สำหรับกรดา การย้ายมาอยู่กับป้าลินดาไม่มีปัญหาเพราะที่ผ่านมาเธอติดป้ามากกว่าติดแม่เสียด้วยซ้ำ เธอเรียกท่านว่าแม่ดา หลายหนที่รู้สึกว่าท่านต่างหาก ที่รักและเอ็นดูเหมือนเธอเป็นลูกจริงๆ

ลินดากับเด็กหญิงกรดาไปส่งลินรดากับสามีใหม่ขึ้นเครื่องที่สนามบิน เด็กหญิงเองก็ไม่ได้งอแงว่าอยากจะตามไปอยู่กับแม่...เธอโดนพ่อกรอกหูอยู่ทักวันว่าแม่ไม่ได้รักเธอ...และเหตุผลที่ท่านตัดสินใจแต่งงานใหม่ ย้ายไปอยู่อังกฤษกับสามี และยินดีให้เธออยู่กับแม่ดาโดยไม่มีทีท่าอาลัยอาวรณ์ช่วยตอกตะปูความเชื่อนั้นให้กับเธอเป็นอย่างดี

“แม่รักหนูนะรดา แล้วแม่จะกลับมาเยี่ยมหนูบ่อยๆ” ลินรดาบอกกับลูกสาวก่อนขึ้นเครื่อง เด็กหญิงรู้สึกคุ้นหูกับคำพูดนี้ เหมือนว่าเธอเพิ่งได้ยินจากผู้เป็นพ่อไปไม่นาน


เพราะร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด ตัวเด็กเกิดวันอังคารแต่กลับมีอักษรกาลกิณีนำหน้า หลังจากปรึกษากันอยู่นาน จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพิมพ์ณดา มีความหมายว่า สตรีผู้เป็นรูปแบบของผู้มีปัญญา ทุกคนเลิกเรียกเธอว่า รดา แต่เรียกเป็น ณดา ตามชื่อใหม่ที่ผู้ใหญ่เปลี่ยนให้

แม้จุดเริ่มต้นของชีวิตจะไม่ค่อยดีนัก แต่เด็กหญิงพิมพ์ณดาก็มีชีวิตที่ดีขึ้นมากหลังจากผ่านมรสุมลูกใหญ่ แม่ดาให้การศึกษา ให้ความรัก เลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี นอกจากแม่ดาแล้ว ยังมีคุณลุงปริญญา คุณป้าภีรณี ซึ่งอยู่บ้านฝั่งตรงข้าม แม่ดาแนะนำเธอให้กับพวกท่านทั้งสองเมื่อตอนที่เธอย้ายมาอยู่ด้วยใหม่ๆ และบอกว่าพวกท่านคือเพื่อนสนิทตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ส่วนบ้านหลังที่อยู่ปัจจุบัน แม่ดาก็ซื้อเพราะเพื่อนทั้งสองแนะนำว่าทำเลดี และเจ้าของขายต่อในราคาไม่สูงมากนัก เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกไม่มาก

แม่ดาเป็นสาวโสด...ท่านเคยเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยมีความรักกับหนุ่มรุ่นน้อง ด้วยวุฒิภาวะที่แตกต่างทำให้ไปกันไม่รอด จากวันนั้นท่านก็ยังไม่นึกสนใจใครคนไหน ทั้งยังไม่อยากกลับไปคบหากับหนุ่มคนเดิม ดูท่าทางท่านจะติดใจชีวิตสาวโสดเข้าเต็มเปา ยิ่งมีเธออยู่ด้วย ทุกอย่างจึงพอดีลงตัว ท่านไม่ต้องการใครมากไปกว่านี้แล้ว

สองบ้านผูกพันดูแลกันใกล้ชิดแม้จะแยกเป็นคนละบ้าน สนิทกันเสียยิ่งกว่าญาติ เธอพลอยเรียกคุณลุงกับคุณป้าว่าพ่อและแม่ตามที่ท่านบอกให้เรียก ท่านรักเธอเหมือนลูกแท้ๆ และบอกว่าพวกท่านอยากมีลูกสาวมานานแล้ว นอกจากพ่อและแม่ณีแล้ว เธอยังได้พี่ชายเพิ่มขึ้นอีกคน คนๆ นั้นคือณภัทร ด้วยวัยที่ห่างกันถึงห้าปี ณภัทรจึงเห็นเธอเป็นน้องน้อย เขารักและดูแลเธอเหมือนเป็นน้องแท้ๆ และเมื่อครั้งที่แม่ณีตั้งครรภ์ลูกชายคนเล็กซึ่งก็คือเด็กชายณพล เป็นช่วงที่พ่อปริญต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดด้วยเรื่องงาน เธอกับแม่ดาก็มาคอยช่วยดูแลแม่ณีไม่ได้ขาด

ชีวิตของพิมพ์ณดาเข้าที่เข้าทาง อบอุ่นกับความรักที่ได้รับจากคนรอบข้าง แม่ดาส่งเสียเธอจนเรียนจบปริญญาตรี มีหน้าที่การงานที่ดี แต่หลังจากนั้นแค่เพียงไม่นาน ข่าวร้ายก็มาเยือนเธออีกครั้ง

สัญญาณเตือนหลักๆ ของโรคหัวใจ ได้แก่ อาการแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น เป็นลมวูบ และขาบวม แม่ดามีอาการเหล่านี้ครบถ้วน หลังจากที่แพทย์วินิจฉัยและยืนยันอาการแล้ว ท่านก็ยังดูไม่ทุกข์ร้อนมากมาย สบายใจไปอย่างว่าตอนนี้พิมพ์ณดาเรียนจบแล้ว งานการก็มีทำ ดูแลตัวเองได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่ยังห่วงอยู่...ท่านอยากเห็นเธอเป็นฝั่งเป็นฝา และสำหรับท่าน ลูกชายคนโตของเพื่อนคือคนที่ไว้ใจได้ที่สุด

ทั้งพ่อ แม่ณี แม่ดา และณภัทร นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก พวกท่านไม่ทันสังเกตว่าเธอกลับมาจากที่ทำงานแล้วจึงไม่ทันได้ระวัง พิมพ์ณดาไม่รู้ว่าบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปในแบบไหนเพราะแอบหลบมุมยืนฟังอยู่หลังประตูโดยมีณพลที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกลมาร่วมวงดักฟังด้วย รู้แค่ว่าหัวข้อสนทนาคือการแต่งงานของเธอกับณภัทร แม่ดาต้องการมั่นใจว่าหากท่านไม่อยู่แล้ว จะมีใครสักคนดูแลเธอได้ หญิงสาวได้ยินแล้วรู้สึกขุ่นใจจนต้องข่มอารมณ์...งานแต่งงานที่เธอไม่ต้องการทั้งยังไม่ถามความสมัครใจ ส่วนการนิ่งเงียบของณภัทรก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธ เธอไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะสำคัญตรงไหน เธอดูแลตัวเองได้ และแม่ดาก็ต้องอยู่กับเธอไปอีกนานๆ พิมพ์ณดาตั้งใจว่าคืนนี้คงต้องคุยกับแม่ดาเรื่องนี้ให้ได้ แต่กว่าพวกท่านจะคุยกันเสร็จ กว่าจะจัดการธุระปะปังส่วนตัวเรียบร้อย แม่ดาก็ขึ้นห้องนอนไปเสียก่อน เธออยากให้ท่านพักผ่อนมากๆ จึงเลือกที่จะไม่กวน...ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้

ใครจะไปรู้ว่านั่นคือวันสุดท้าย...

แม่ดาจากไปในคืนวันนั้น...หลังจากพิมพ์ณดาเรียนจบได้แค่ปีเดียวด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน


รถประจำตำแหน่งมาเทียบถึงหน้าบ้านหลังจากทานข้ามต้มหมดชามพอดี คนขับรถกดแตรสั้นๆ ส่งสัญญาณว่ารถมาพร้อมแล้ว “ณดาติดรถพ่อไปทำงานด้วยกันไหมลูก”

หญิงสาวปฏิเสธ หกโมงครึ่งยังเช้าเกินไปสำหรับเธอเพราะที่ทำงานอยู่ห่างจากบ้านไปไม่ไกลนัก แถมยังเป็นทางผ่านตอนสองหนุ่มไปทำงานด้วย จึงอาจขอติดรถใครคนใดคนหนึ่งไปได้ ไม่ลำบากอะไร

เธอเดินไปส่งปริญญาหน้าประตู พอท่านออกไปทำงาน บ้านทั้งบ้านก็ดูเหมือนจะเงียบลงราวกับไม่มีคนอยู่ เด็กสาวที่จ้างมากำลังทำความสะอาดครัวนอก ในตัวบ้านชั้นล่างจึงมีแค่เธออยู่คนเดียว หญิงสาวเก็บจานชามใช้แล้วไปหลังบ้าน จัดการล้างเรียบร้อย มองเวลา...ใกล้เจ็ดโมงแล้ว ยังไม่มีใครลงจากห้องมาเลยสักคน ขืนช้าคงไม่ทันได้ทานอาหารก่อนไปทำงานแน่
เพราะว่าสนิทกันมาตั้งแต่เกิด เธอจึงคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้และเข้านอกออกในได้ราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่ง การเดินขึ้นชั้นสองของบ้านโดยไม่ต้องบอกใครก่อนก็กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วเช่นกัน

ชั้นบนถูกแบ่งเป็นสี่ห้อง ห้องนอนสามห้องมีห้องน้ำในตัวเสร็จสรรพ และอีกห้องหนึ่งถูกจัดเป็นห้องพระ เธอตรงไปที่ห้องในสุดฝั่งขวามือ...ห้องนี้เป็นห้องของณพล ตั้งท่าว่าจะเคาะประตูเรียก แต่นึกขึ้นมาได้ก่อนว่ารายนี้ลุกยาก อาจต้องใช้เวลาปลุกนานหน่อย...เรียกพี่ภัทรก่อนดีกว่า

ห้องของณภัทรอยู่ข้างๆ กัน เธอเคาะประตูเรียกสองสามครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา คนในห้องเงียบเกินไปจนอดห่วงไม่ได้ พักหลังๆ เขาเงียบ...เงียบจนบางครั้งเดาอารมณ์ไม่ถูก

เท่าที่รู้มาจากณพล ที่ณภัทรกลายเป็นแบบนี้เพราะสูญเสียเพื่อนสนิทไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอเองไม่รู้หรอกว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร รู้เพียงว่าเป็นเพื่อนสนิทและไม่เคยมาที่บ้านเธอจึงไม่เคยเห็นหน้า หญิงสาวรับสารแค่จากณพลและไม่คิดจะถามอะไรจากณภัทร ด้วยรู้ว่ายังเป็นเรื่องที่สะเทือนใจอีกฝ่ายอยู่

และนี่เป็นเหตุผลที่เธอขอแม่ณีไว้ “อย่าเพิ่งพูดเรื่องแต่งงานตอนนี้เลยค่ะ พี่ภัทรยังไม่สบายใจอยู่”

น่าแปลกที่จู่ๆ แม่ณีก็ยกเรื่องแต่งงานขึ้นมาพูดอีกครั้ง ท่านว่า ก่อนแม่ดาเสียได้สั่งเสียเอาไว้ว่าอยากให้เธอแต่งงานกับณภัทร ท่านจะได้หมดกังวลว่าหากไม่มีท่าน เธอก็ยังมีคนดูแล...แต่นี่มันผ่านมาตั้งสามปีแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นเวลาที่สภาพจิตใจของณภัทรไม่สู้ปกตินัก เธอดูออกว่าพี่ชายใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหม่อลอย ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบตัว เขาดูแลเธอราวกับเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ พิมพ์ณดาสัมผัสได้ว่าเขาไม่มีความสุข และไม่เชื่อว่าการแต่งงานจะทำให้เขามีความสุขขึ้นมาได้
แต่สิ่งที่เธอทำได้ ก็แค่บอกผลัดไปก่อน และได้แต่ภาวนาให้พวกท่านเลิกดึงเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก เธอกลัวที่จะต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธ

การจากไปของแม่ดากลายเป็นการย้ำบาดแผลในใจ โดยที่เธอเองก็ไม่ทันรู้ตัว...

เมื่อตอนยังเป็นเด็กหญิง เธอใช้เวลาอยู่กับแม่ดามากกว่าแม่แท้ๆ ท่านสอนให้เธอเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน สอนให้เธอทำตัวน่ารัก ผู้ใหญ่จะได้เมตตา เธอเชื่อฟังคำสอนของท่านทุกอย่าง แม่ดาจึงรักและรับดูแลเธอเมื่อยังเล็ก

ในขณะเดียวกัน เธอคงเป็นเด็กที่ไม่น่ารักสักเท่าไหร่ในสายตาพ่อแม่บังเกิดเกล้า เธอหน้างอทุกครั้งที่พวกท่านมีปากเสียงกัน เรียกร้องความสนใจที่ไม่เคยได้รับ ท่านทั้งสองถึงได้เลือกไปมีครอบครัวใหม่...พวกท่านเลือกที่จะทิ้งเธอไป

และเมื่อเติบโตเป็นหญิงสาว เธอตั้งใจจะปฏิเสธเรื่องแต่งงานกับณภัทร เพียงแค่คิดจะขัดใจแม่ดา...ท่านก็มาเสียชีวิตในวันเดียวกัน

อันที่จริง ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ปัญหาของผู้ใหญ่ซับซ้อนเกินกว่าเด็กจะเข้าใจ และการเกิดแก่เจ็บตายก็ไม่มีใครกำหนดได้ แต่หญิงสาวเจอเรื่องราวเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงทำให้ทุกอย่างฝังอยู่ในความทรงจำ ความเชื่อถูกปลูกขึ้นมาในหัวโดยที่เธอเองก็ยังไม่รู้ตัว...รู้เพียงว่าหากเธอขัดใจใคร คนๆ นั้นจะทิ้งเธอไป

แม้จะพยายามเข้มแข็งเท่าไหร่ แต่สุดท้าย เธอก็คือผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการความรักความเข้าใจไม่ต่างจากคนอื่นๆ การถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรอบและได้รับความรักมากมายจากคนรอบข้าง ใช่ว่าจะให้ผลดีเสมอไป ความรักนั้นกดดันให้เธอทำตามหัวใจคนอื่นมากกว่าหัวใจตัวเอง และเงียบในสิ่งที่ต้องการจะพูด

“พี่ภัทรคะ ดาเข้าไปได้ไหม”

ไม่มีเสียงตอบจากด้านใน...เธอขยับลูกบิดประตูพบว่ามันไม่ได้ล็อก จึงค่อยโผล่หน้าไปพร้อมส่งเสียง “พี่ภัทรคะ ดาขอเข้าไปนะ”

บรรยากาศในห้องดูมัวซัว ผ้าม่านทุกผืนถูกดึงปิดไว้ ไม่ใช่แค่ความมืดที่ทำให้มันดูเศร้าแต่เพราะบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาต่างจากเมื่อก่อน ไม่เคยคิดว่าการเสียเพื่อนไปคนหนึ่งจะมีผลกับณภัทรมากถึงขนาดนี้ เขาดูเหมือนกับคนหมดอาลัยตายอยาก เธอพยายามเป็นอย่างมากเพื่อทำให้เขาคลายเศร้า ทั้งชวนไปโน่นมานี่ ทั้งทำตัวร่าเริงเพื่อกระตุ้นให้เขาสดใสขึ้นมาบ้าง แต่ดูท่าจะไร้ผล เต็มที่เขาก็แค่ยิ้มให้เธอ ยอมไปไหนมาไหนด้วยแค่เพราะไม่อยากขัดใจ แต่ดวงตาเศร้าหมองที่มองมาบอกให้รู้สภาพจิตใจของเขาว่าไม่ได้ดีขึ้นด้วยเลย

เธอมองถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะ...ในนั้นมีหนังสือธรรมะที่เธอกับเพื่อนร่วมงานร่วมกันจัดพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ย้ำเขาว่าให้อ่านหนังสือที่เธอให้ เผื่อจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง ตอนนั้นณภัทรรับปาก แต่ตอนนี้เธอเห็นแล้วว่าเขาแค่รับของจากเธอไป แต่ไม่สนใจจะเปิดดูเลยด้วยซ้ำ เพราะหนังสือยังคาอยู่ในถุงพลาสติกเหมือนเดิม

“อ้าว พี่ณดา ไปทำอะไรในนั้น” ณพลเพิ่งแต่งตัวเสร็จและกำลังจะลงไปชั้นล่าง บังเอิญเห็นประตูห้องพี่ชายเปิดอยู่จึงเดินมาดู เห็นหญิงสาวยืนมองซ้ายมองขวาสำรวจห้องจึงทักขึ้น แม้ณดาจะเข้านอกออกในเป็นประจำ แต่น้อยครั้งที่จะเข้าไปถึงห้องนอน โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของห้องยังไม่ได้อนุญาต

“พี่ว่าจะมาตามพี่ภัทรไปทานมื้อเช้าน่ะ” เธอละความสนใจจากถุงพลาสติกใบนั้น น้อยใจหรือ...ไม่เลย เธอแค่ห่วงณภัทรมากกว่า เพราะไม่อยากให้เขาจมกับความเศร้ามากไปกว่านี้

“พี่ภัทรไม่อยู่หรอก ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ท่าทางช่วงนี้จะงานยุ่ง” ณพลปดหน้าซื่อ อันที่จริง พี่ชายไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวานต่างหาก เดาว่าคงไปขลุกอยู่ที่คอนโดตามเคย ชายหนุ่มจงใจเปลี่ยนเรื่องเผื่ออีกฝ่ายจะถามซักไซ้ “แล้วใจคอพี่จะไม่ไปเรียกผมทานมื้อเช้าบ้างเหรอ ใจร้ายจริง”

“ก็ว่าจะเรียกอยู่ แต่เราน่ะปลุกยาก พี่ก็เลยเดินมาเรียกพี่ภัทรก่อนน่ะสิ”
พิมพ์ณดาบอกให้ณพลรออยู่ที่ห้องอาหาร ส่วนเธอเข้าครัวไปจัดการตักข้าวต้มให้เขา พร้อมชงกาแฟดำให้อีกแก้ว ณพลเป็นคนติดกาแฟแต่ไม่ดื่มตอนร้อนจัด เธอจึงชงไปเสิร์ฟให้พร้อมกันเลย

“พี่ณดานี่ รู้ใจผมชะมัด” เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นข้าวต้มกับกาแฟควันฉุย “กว่าจะทานข้าวต้มหมด ก็ได้ดื่มกาแฟอุ่นๆ พอดี ถ้าได้กินแบบนี้ทุกเช้าก็คงดี ลาภปากแท้ๆ”

“ทะเล้นนัก” เธอลุกไปรินน้ำส้มจากตู้เย็นมาดื่ม พร้อมรินน้ำเปล่าใส่แก้วมาเผื่อคนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ จนเขาทัก...เต็มโต๊ะแล้วพี่ณดา ไม่ต้องยกอะไรมาให้แล้ว “ว่าแต่ตอนนี้พี่ภัทรเป็นยังไงบ้าง หายเศร้าบ้างหรือยัง”

คนเป็นน้องส่ายหน้า อาการของณภัทรยังห่างไกลจากคำว่าดีขึ้น เหมือนคนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขามองหน้าพี่ชายแล้วรู้สึกราวกับว่า คนตรงหน้าคงไม่สามารถมีความสุขได้อีกเลยตลอดชีวิต

ณภัทรเป็นคนมีความรับผิดชอบเรื่องงานสูง เพราะเชื่อเสมอว่ามีพนักงานอีกจำนวนมากที่เขาต้องดูแล ความเชื่อแบบนี้ทำให้ณพลแน่ใจว่าความเศร้าโศกของพี่ชาย ถึงมีผลกับการทำงานบ้างแต่ก็คงไม่ถึงขั้นหนักหนา สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเวลาที่เจ้าตัวอยู่คนเดียวและปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องที่ผ่าน ณภัทรพร่ำโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง...พ่อแม่ต้องผิดหวัง คนรักต้องตาย เมื่อไหร่ที่พิมพ์ณดารู้เรื่องนี้เข้าจะมองเขาแบบไหน...“นายก็ด้วยพล ขอโทษที่นายต้องมีพี่แบบนี้”...เขาไม่แน่ใจว่าพี่ชายตัวเองจะเข้มแข็งได้นานสักแค่ไหน

“ห่วงเหรอ” ณพลถามห้วน และได้การพยักหน้าแทนคำตอบ “ห่วงแต่คนอื่น แล้วตัวเองล่ะ”

คำถามเรียกความสนใจจากคนฟังได้ดี หัวคิ้วที่วิ่งหากันเมื่อครู่นี้คลายออก หากประโยคถัดไป ทำให้เธอต้องกลับมาขมวดคิ้วตามเดิม “วันก่อนที่คุยกับแม่เรื่องแต่งงานน่ะ ได้ยินนะ”

“สอดรู้” เธอเอ็ดเสียงขุ่น ไม่ได้ฉุนเพราะณพลแอบได้ยินสิ่งที่แม่ณีคุยกับเธอ แต่ฉุนเพราะเขาดันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดต่างหาก...ทั้งที่เธอไม่ค่อยอยากจะนึกถึงแท้ๆ

ดีนะที่ทานข้าวต้มพร้อมพ่ออิ่มไปก่อนหน้านี้ ไม่อย่างนั้นเธอคงอารมณ์บูดจนทานอะไรไม่ลงแน่

คนสอดรู้ยังไม่ยอมหยุด ถามต่อโดยไม่สนใจสีหน้าหงุดหงิดของคู่สนทนา “แล้วตอนนี้ยังคิดเหมือนกับตอนนั้นอยู่หรือเปล่า”

ณพลอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน เขาร่วมแอบฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่อยู่ข้างๆ พิมพ์ณดาเมื่อสามปีก่อน และยังจำได้ดี ตอนนั้นหญิงสาวแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอไม่ยินยอมทำตามคำของผู้ใหญ่

เขาพอใจในความฉุนเฉียวของเธอ ถึงอย่างนั้น ถ้าเจ้าตัวเอ่ยปากตกลง เขาคงพอทำใจยอมรับ จะให้ค้านอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายคือณภัทร แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว เขารู้ดีว่าณภัทรไม่มีทางรักผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาได้

พิมพ์ณดายังคงนั่งเงียบ ความเงียบของเธอกลายเป็นการเร่งให้เขารีบทานไปโดยปริยาย รอจนเขาทานข้าวต้มหมดชาม นำชามไปวางใส่อ่างล้าง จึงค่อยเอ่ยว่า “พี่ขอติดรถไปทำงานด้วยนะ” เป็นอันรู้กันว่าเธอไม่อยากตอบคำถามจากเขา

บางที ความคิดของคนตรงหน้าอาจเปลี่ยนไปจากเดิมแล้วก็เป็นได้



NLaT
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2559, 21:04:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ย. 2559, 21:04:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 860





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account