บังลังค์รักภูผา

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 9

ตอน 9
แมลงตัวน้อยส่งเสียงร้องต้อนรับราตรีกาล ที่คืบคลานเข้ามาปกคลุมไปทั่วหุบผาเหลือง หนึ่งในพื้นที่ของภูเขาดำ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นอยู่บนฟ้ากว้าง ท่ามกลางหมู่ดาวที่รายล้อม สายลมโชยแผ่วไล้ยอดไม้เรื่อยมาถึงคนที่กำลังเดินผ่านเรือนเล็กของลูกสาวท่านผู้นำ สองเท้าที่ก้าวเดินมาอย่างสม่ำเสมอผ่อนให้ช้าลง สายตาตวัดมองเข้าไปในเรือน แสงไฟเปิดสว่างให้รู้ว่ามีคนอยู่ แต่เขาไม่เห็นใครสักคน

หมอกละสายตามามองทางเท้า ก้าวเดินต่อไปทำหน้าที่สำรวจตรวจตรารอบหุบผา แต่เพียงเลี้ยวผ่านพุ่มไม้หนา สองเท้าก็ต้องหยุดยืน เมื่อคนที่มองหาโผล่ออกมายืนอยู่ไม่ห่าง ความยินดีปรากฏขึ้นในดวงตาเขาแล้วเลื่อนหายเมื่อร่างอรชรเดินเข้ามาใกล้ เขาก้มหน้าทักทายเล็กน้อย ก็จะเดินผ่านไป เพราะรู้ถึงการควรไม่ควรและไม่คู่ควรกับเธอด้วย

“ทานข้าวหรือยังคะ”

เสียงหวานที่ดังขึ้นหยุดเท้าเขาไว้ ปรายตามามองเพียงเล็กน้อยก็บอกให้รู้ “เรียบร้อยแล้วครับ”

“แล้วนี้จะไปไหนคะ”

“ไม่รู้เหรอครับ”

เดือนดาวยิ้มเยือนออกมาเล็กน้อย เมื่อถูกถามกลับ “ไม่ค่ะ” เธอบอกทั้งที่รู้และรู้ว่าที่เขาถามเพราะคิดว่าเธอรู้อยู่แล้ว แต่ยังถาม นั่นเพราะเธออยากจะคุยกับเขาต่างหาก

“ตรวจหุบเขาครับ”

“ทำไมต้องตรวจ มีอะไรผิดแปลกเข้ามา หรือกำลังจะเกิดขึ้นเหรอ”

หมอกนิ่งไปนิด ก่อนจะตอบออกมา “ไม่มีครับ”

“แสดงว่ามี” เธอบอกแล้วขยับเท้าก้าวเดินมายืนใกล้เขาอีก “การนิ่งก่อนตอบนั่นคือเหตุผล แล้วพอจะบอกได้ไหมว่ามีอะไร”

“ไม่มีจริงๆครับ”

“การตรวจตราหุบผา เป็นหน้าที่ๆต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยเข้มงวด ถึงกับออกตรวจตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืด แสดงว่ามีพิรุธ และอย่าบอกว่าไม่มีอะไรอีก ดาวไม่เชื่อค่ะ” เธอพูดดักเขาไว้ พร้อมจับตามองว่าเขาจะทำหน้ายังไงเมื่อเธอรู้ทัน แต่ไม่มีท่าทีใดออกมา มีความสุขุมนิ่งลึกเหมือนเดิม

“ผมขอตัวครับ”

บอกแล้วเขาก็ออกเดิน เดือนดาวหน้าเหวอไปเล็กน้อย รีบซอยเท้าไปดักหน้าไว้ ขึงตาใส่พร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจที่เขาเดินหนี “ให้ตอบคำถามค่ะ ไม่ใช่ให้เดินหนี”

“ผมบอกแล้ว”

“แต่นั่นคือการโกหก”

“แล้วคุณรู้อะไรมาละครับ ถึงว่าผมโกหก”

เจอคำถามนี้ เธอก็นิ่งไปบ้างเพราะจริงๆก็ไม่รู้อะไรเลย แค่สงสัยจากสิ่งที่เห็น จากการที่คอยมองเขาอยู่และเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียด ยามเดินออกมาจากเรือนหลังใหญ่ “ไม่รู้ค่ะ แต่ไม่อยากเป็นแค่ต้นไม้ ที่คนเดินผ่านมาแล้วมองผ่านไป อยากเป็นใครสักคนที่เขาสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องมากกว่า จะได้ไหม” เธอถามตรงๆความรู้สึกดีๆที่มีให้เขา แต่คำตอบที่ได้มา...

“ผมไม่คู่ควร”

“ขี้ขลาด” เธอฉุนโกรธขึ้นมา เมื่อบอกความรู้สึกตัวเองออกไปขนาดนี้แล้วเขายังนิ่งเฉย ทั้งๆที่เธอก็เห็นว่าเขามองเธออยู่เช่นกัน

“ผมไม่ได้ขี้ขลาด แต่รู้จักตัวเองดีต่างหาก ว่าเป็นใคร ทำอะไรได้แค่ไหน”

“แม้ว่าของสิ่งนั้นจะไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างนั้นเหรอ”

“ครับ เพราะถ้าเอื้อมมาไว้ แล้วไม่สามารถที่จะดูแลได้ ก็ควรจะปล่อยให้อยู่ที่เดิมดีกว่า”

เดือนดาวเหยียดริมฝีปากออกหยันตัวเอง แล้วถอยห่างออกมา เดินเงียบๆกลับไปที่เรือน เพราะคำพูดเขาทำร้ายความรู้สึกและศักดิ์ศรีของเธอ ซึ่งน่าสมเพชที่ทำตัวง่ายทอดสะพานให้ผู้ชายแล้วถูกปฏิเสธ...มันเจ็บ!

ส่วนคนที่ทำร้ายเธอก็เดินไปอีกทาง แม้ท่าทางจะยังสุขุมแต่หัวใจก็เกิดร่องรอยที่ไม่ต่างกัน...มันเจ็บ!
********
ประตูเรือนหลังเล็กถูกเปิดออก คนเปิดเดินเข้ามา ปิดประตูแล้วก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเศร้าเพราะหัวใจที่บาดเจ็บ จนไม่อยากขยับเขยื้อนตัวไปทางไหน กระทั่งเห็นคนเป็นแม่เดินถือจานผลไม้ตรงมาหา ก็รีบปรับสีหน้าให้เหมือนไม่มีอะไร ส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้กลางห้องรับแขก รับจานผลไม้หลายชนิดที่จัดอย่างสวยงามจากมือแม่มาวางบนโต๊ะตรงหน้า

“น่าทานจังค่ะ”
นางจันทรานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆพร้อมกับบอกว่า “ของบางอย่าง สวยแค่รูปแต่จูบไม่หอมนะ อะไรๆที่เห็นภายนอกว่าดี บางทีข้างในอาจจะไม่ดีด้วยก็ได้”

“แต่ผลไม้ของแม่ไม่เป็นแบบนั้นแน่ค่ะ เพราะแม่เลือกมากับมือ” ว่าแล้วเธอก็จิ้มสับปะรดทาน “หวานมากค่ะ” บอกแล้วก็จิ้มทานอีกชิ้น นางจันทรายิ้มอย่างพอใจที่ลูกชอบ แต่สายตานั้นมองเหมือนมีบางอย่างเคลือบแคลงอยู่

“แล้วถ้าบางอย่างที่แม่ไม่เลือก หนูยังจะกินไหม”

“กินค่ะ เพราะแม่ไม่สามารถเลือกให้หนูได้ทุกอย่าง บางอย่างหนูก็ต้องเลือกเอง”

“งั้นเมื่อกี้ที่หายไป คือการเลือกแล้วใช่ไหม”

มือที่จิ้มผลไม้ชะงักไปนิด ก็วางที่จิ้มค้างไว้บนจาน มองหน้าคนเป็นแม่ที่จ้องอย่างบอกให้รู้ว่า ได้เห็นว่าเธอไปทำอะไรมา เดือนดาวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆปล่อยออกมาเบาๆ ก็พูดออกมา “แม่เห็นเหรอคะ” เธอถามให้แน่ใจ

“ใช่ แล้วก็ไม่ชอบด้วย”

“ทำไมคะ”

“ไม่รู้จริงเหรอ” นางถาม แต่ลูกใช้ความเงียบเป็นคำตอบที่เดาได้ว่าคงจะรู้ แต่ไม่ยอมพูดออกมา นางจึงต้องพูดออกมาเสียเอง “เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว เพราะมันคือกาฝาก

“เขาเป็นลูกบุญธรรมของพ่อก็เปรียบเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่กาฝากค่ะ และแม่ก็ควรจะให้เกียรติเขา ไม่ควรจะเรียกจิกเขาแบบนั้น”

“ชอบมันแล้วซิ ถึงได้ออกรับแทนนะ” นางยังใช้คำพูดอย่างไม่สนใจคำทัดทานของลูก เดือนดาวก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บความรู้สึกใดๆเช่นกัน

“ใช่ค่ะ หนูชอบเขา”

“ใฝ่ต่ำ” เสียงคนเป็นแม่รอดไรฟันบอกความกรุ่นโกรธออกมา “มันไม่มีอะไรเป็นของตัวเองสักอย่าง แล้วจะเลี้ยงดูแลลูกได้ยังไง

“ถ้าแม่คิดอย่างนั้น หนูกับแม่ก็ไม่ต่างจากเขาเท่าไรหรอกค่ะ เพราะทุกวันนี้เราก็เหมือนกาฝาก ไม่มีอะไรสักอย่างเหมือนกัน”

“ไม่เหมือน ยังไงก็ไม่เหมือน” เสียงนางเริ่มแข็งขึ้น เมื่อรู้สึกว่าลูกเริ่มดื้อดึง “เพราะลูกเป็นลูกของผู้นำหุบผา มีสิทธิในทรัพย์สมบัติเท่ากับลูกอีกคนเหมือนกัน”

“แม่แน่ใจเหรอคะว่าหนูมีสิทธิ” ว่าแล้วก็ปรายตามองไปที่เรือนปูนหลังใหญ่ พร้อมกับพูดด้วยเสียงหยันๆ “คนเรือนโน้นเขาไม่เคยคิดเหมือนที่แม่คิดเลยนะคะ เขาเหยียดเราไม่ต่างจากอีกาเช่นกัน”

“แม่ไม่สนสองแม่ลูกนั่นหรอก สนแค่พ่อของลูกคนเดียวเท่านั้น ทำให้เขารักให้มากๆ แล้วลูกก็จะกลายเป็นหงส์สวยๆบินอยู่เหนือทุกคน และควรจะหาคนที่เหมาะสมมาเคียงคู่ไม่ใช่ไอ้กาฝากนั้น และแม่ขอสั่งอย่าไปยุ่งกับมันอีก”

“ค่ะ” เดือนดาวรับปากอย่างว่าง่าย นั่นเพราะเธอเพิ่งถูกเขาปฏิเสธมานั่นเอง และเริ่มจะเห็นเค้าลางของคำพูดที่เขาบอกว่า ‘ไม่คู่ควร’
*******
พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงสีเหลืองนวลเย็นจับตาคนที่นั่งมองอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงเรือนผู้พิทักษ์ภูเขาดำ เมฆสีดำเคลื่อนมาบดบังความงดงามนั้น จึงต้องละสายลงมาแต่ต้องเจอกับดวงตาของเจ้าของเรือน ที่จ้องหน้าอยู่เมื่อไรไม่รู้ แต่จำได้ว่า หลังจากที่เขาเดินออกจากห้องไป ไม่นานก็กลับมา สภาพที่เห็นนั่นคือเขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว และบอกให้เธอออกมาทานข้าว เพื่อจะได้ทานยา

อาหารทุกอย่างหมดไปในเวลาไม่นาน คนของพ่อบ้านจ้าวก็มาเก็บไป แต่ตัวเธอกับเขายังนั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารเช่นเดิม ขวัญชนกสบตาที่มองนิ่งอยู่ ความอึดอัดเกิดเมื่อเขาไม่พูดอะไรออกมา เธอก็บอกว่า “ฉันขอตัว”

“ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”

ความหมายของคำพูดเขาก็คือเธอยังไปไม่ได้ซินะ จึงถอนหายใจออกมาแผ่วๆ แล้วถามออกมา “เรื่องอะไรคะ”

“เลือดสีน้ำเงิน”

ลมหายใจของขวัญชนกหยุดไปเพียงเสี้ยววินาทีด้วยความหวั่นใจ แล้วปล่อยออกมาพร้อมทั้งพยายามทำสีหน้าให้นิ่งไว้ “ฉันตอบคุณไปแล้ว”

“แล้วยังไง” เขาถามเพราะสิ่งที่เธอพูดออกมาก่อนหน้านี้ มีแต่น้ำไม่มีเนื้อที่พอจะบอกได้ว่าคืออะไร “ฉันไม่ชอบอะไรที่มันคลุมเครือ อีกอย่างถ้ายังคิดจะให้ฉันช่วยพาออกไปจากที่นี่ ควรจะให้คำตอบที่มีประโยชน์มากกว่าคำพูดลอยๆที่บอกมา”

“หมายความว่าคุณยอมที่จะพาฉันออกไปจากที่นี่แล้ว”

“อยู่ที่คำตอบของเธอ”

ขวัญชนกนิ่งคิด แต่สิ่งอื่นใดไม่สำคัญเท่ากับ ‘ความไว้ใจ’ ที่ว่าเธอจะเชื่อใจเขาได้หรือเปล่า ก่อนหน้านี้ท่าทีของเขาไม่ได้เป็นแบบนี้เลย ทั้งหยาบคาย คุกคาม ไม่มีทีท่าที่จะอ่อนให้เธอสักนิด ทุกอย่างแข็งกร้าว กระด้าง ป่าเถื่อน แล้วจู่ๆจะเปลี่ยนไปเหมือนหน้ามือกับหลังมือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เธอคิดอย่างสงสัย แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเขากำลังหลอกเธอ

“ฉันไม่มีอะไรจะบอก”

“คิดดีแล้วเหรอ”

“คุณก็คงคิดดีแล้วเหมือนกันใช่ไหม”

“ใช่” เขาบอกโดยไม่สนใจคำถามที่ย้อนกลับมา กับสายตาที่จ้องบอกว่าเธอไม่ไว้ใจเขา “เลือดสีน้ำเงินคงสำคัญกับเธอมากซินะ ถึงไม่ยอมพูดอะไรออกมา และยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิต แต่โง่ไปนิดที่คิดแค่ด้านเดียว เพราะอีกด้านหนึ่งลืมคิดไปหรือเปล่าว่าคนที่อยากได้ตัวเธอไป มันทำไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งที่เธอไม่ยอมพูดออกมา”

‘คุณพ่อ’

ขวัญชนกเรียกหาท่านอยู่ในใจ สีหน้ากับแววตาเธอหวาดหวั่นด้วยความเป็นห่วงท่าน ยิ่งคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ถูกจับตัว และคำพูดของพวกมันที่ยังฝังอยู่ในใจเธอก็ยิ่งห่วง ที่สำคัญถ้าพวกมันหนีรอดไปจากเขตภูเขาดำได้ ก็จะไปหาคนที่บงการให้มาจับตัวเธอ เพื่อไปหาท่านแน่นอน แล้วเธอจะนิ่งเฉยให้พวกมันเอาชื่อเธอไปต่อรองกับท่าน ทั้งที่เธอไม่ได้อยู่ในกำมือพวกมันแล้วอย่างนั้นเหรอ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเพียงมันเอ่ยชื่อเธอออกไป คนเป็นพ่อจะต้องยอมทุกอย่างแน่นอน

ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน เมื่อคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี จะยอมให้คนเป็นพ่อเป็นอันตรายหรือจะยอมเสี่ยงเชื่อใจเขา เธอมองเขาอย่างชั่งใจ และไม่กี่อึดใจก็ถามออกมา “คุณรู้ใช่ไหมว่าเลือดสีน้ำเงินหมายถึงอะไร”

“สิ่งสูงสุด แต่ไม่แน่ใจว่าสำคัญที่สุดหรือเปล่า”

“ที่สุด เพราะท่านคือผู้ให้ชีวิต” เธอยอมรับออกมา เมื่อสิ่งใดก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของคนเป็นพ่อ “วันที่ฉันถูกจับ ฉันรู้แค่ว่าพวกมันทำตามคำสั่ง สั่งให้จับตัวฉันแต่ห้ามทำร้ายพ่อ แต่คำสั่งของใครนั้นฉันไม่รู้ รู้เพิ่มจากการที่ได้ยินพวกมันคุยกันว่า สิ่งที่ทำก็เพื่อ อำนาจ”

ภูผารับฟังด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มขึ้นคือการเก็บทุกรายละเอียดจากคำพูดเธอ ขบคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แล้วถามออกมา “คนที่ให้กำเนิดเธอเป็นใคร”

“คุณอยากรู้ไปเพื่ออะไร” ขวัญชนกไม่ยอมบอกให้ง่ายๆ เพราะความไว้ใจยังมีไม่เต็มร้อย ที่สำคัญเธอต้องปกป้องคนเป็นพ่อให้ถึงที่สุด

“การเชื่อมโยง” เขาบอก แต่เธอทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจ จึงพูดต่อว่า “ตอนนี้ภูเขาดำกำลังมีศึกภายใน ซึ่งเป็นจังหวะกับที่คนภายนอกอย่างเธอโผล่เข้ามาพอดี และไม่ได้เข้ามาแบบธรรมดา แต่มีรอยเลือดตามมาด้วย”

“คุณหมายถึงไอ้โม่งคนนั้นเหรอ ฉันไม่รู้จักมัน และที่รู้ก็บอกคุณไปแล้ว ว่าคนที่มันต้องการสร้างรอยเลือดให้ก็คือคุณไม่ใช่ฉัน”

“ก็ใช่ แต่มันเข้ามาในเขตภูเขาดำได้ยังไง นั่นต่างหากที่ฉันสงสัย”

ขวัญชนกนิ่งไป เพราะไม่รู้และคิดไม่ออกเช่นกัน แต่...เธอมองหน้าคมอย่างไม่ไว้ใจ เมื่อคิดบางอย่างออก “คุณสงสัยฉันเหรอ”

“ฉันมีสิทธิจะคิดทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ แต่อะไรก็ไม่แน่นอน เมื่อฉันยังไม่รู้จักเธอดีพอ คำพูดที่บอกอาจจะเป็นการโกหกก็ได้จริงไหม ที่สำคัญรอยเลือดนั้นมาพร้อมกับเธอ และต่อไปมันอาจจะไม่ใช่แค่รอยเลือด แต่อาจจะหมายถึงชีวิต และอาจจะไม่ใช่แค่ฉัน แต่เป็นคนสำคัญของภูเขาดำ”

เธอหรี่ตาลงเมื่อต้องใคร่ครวญแต่ไม่ถามว่าคนสำคัญของภูเขาดำคือใคร เพราะตอนนี้ใครก็ไม่สำคัญกับเธอเท่ากับเขา ซึ่งต้องปกป้องเธอ ที่ยอมเป็นผู้หญิงของเขาแล้วๆถ้าเขาเป็นอะไรไป เธอจะทำยังไง ต้องกลายเป็นเชลย ที่ใครสามารถจะลากมาพาไปทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งย่ำยีร่างกาย อย่างที่เขาเคยบอกไว้

ความกลัวปรากฏขึ้นในแววตา แต่ก็เช่นเคยที่เธอเก็บกดไว้ด้วยเลือดสีน้ำเงินที่มีอยู่เต็มตัว แต่ที่ห่วงเพิ่มขึ้นมาอีกก็คือชีวิตคนเป็นพ่อ แค่หาตัวเธอไม่พบก็ทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว ถ้าพบว่าเธอมีสภาพเป็นอย่างนั้น ท่านจะเสียใจแค่ไหน...ดวงตากลมสวยตวัดขึ้นสบตาคมที่มองอยู่ ก็พูดออกมาตรงๆว่า

“ฉันพูดความจริง ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคุณ”

“แล้วจะบอกได้หรือยัง ว่าพ่อเธอเป็นใคร”

“ท่านไม่เกี่ยวกับคนพวกนั้น”

“ใครจะรับประกัน ในเมื่อตัวเธอเองก็ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง และต้องติดอยู่ที่นี่ จะรู้เรื่องนอกจากนี้ได้ยังไง สิ่งที่จะทำได้ก็คือตอบคำถามของฉันมา”

“ถ้าฉันบอก ฉันก็อยากให้คุณรับปากอะไรสักอย่างได้ไหม”
“ว่ามา”

“ส่งข่าวเรื่องของฉันให้ท่านรู้ และไม่ว่าการเชื่อมโยงนั้นจะเป็นยังไง ก็ต้องบอกฉันด้วย”

‘ฉลาด’ ภูผาชมการต่อรองของเธออยู่ในใจ แล้วพูดออกมาว่า “ฉันให้ได้แค่การเชื่อมโยง ส่วนเรื่องส่งข่าวนั้นคงให้ไม่ได้”

“เพราะอะไรคะ”

“เพราะฉันไม่อยากชักศึกไหนๆเข้ามาในภูผาดำอีก หรือคิดว่าถ้าพ่อเธอรู้เขาจะอยู่เฉยๆ ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย สำหรับพ่อลูกเปรียบเหมือนชีวิต ฉะนั้นแค่เพียงได้รู้ข่าวเพียงนิดเดียว ก็ต้องทำทุกวิธีต้องหาทุกเส้นทาง เพื่อที่จะมาหาเธอ และเมื่อเขาทำเขาอาจจะไม่ได้อะไรกลับไป แม้แต่ชีวิตของตัวเอง”

หัวใจเธอวาบหายกับความจริงที่หลงลืมไปชั่วขณะ ว่าภูเขาดำที่เธออยู่นั้นไม่ใช่ที่พักตากอากาศที่ใครจะเข้ามาแล้วเดินออกไปได้ง่ายๆ แม้เพิ่งจะมาอยู่ แม้ยังไม่รู้อะไรเลย แต่สิ่งแรกที่เธอโดนตั้งแต่ถูกพาตัวเข้ามาคือความโหดร้ายป่าเถื่อนที่เธอแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แล้วถ้าคนเป็นพ่อบุกเข้ามา แม้ท่านจะมีอำนาจ มีลูกน้องที่จะสั่งได้ แต่สุดท้ายก็คงเป็นอย่างที่เขาว่า

“ฉันแค่อยากให้ท่านรู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ต้องการที่จะนำศึกใดๆมาที่นี่ทั้งนั้น และไม่อยากให้ท่านเสียเปรียบคนที่บงการพวกที่มาจับตัวฉันด้วย ฉันขอตัว” เธอบอกเมื่อคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดหรือร้องขออะไรอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น เสียงทุ้มห้าวก็ดังขึ้นว่า

“แล้วฉันจะคิดดู แต่ทั้งหมดนั้นมันขึ้นอยู่กับคำตอบของเธอ ว่าจะบอกฉันได้หรือยัง”

“รั้วของชาติ พันโทอัศวิน อัศวหิรัญ”
******

ยามดึกสงัดเสียงแมลงที่ออกหากินกลางคืนส่งเสียงร้องดังระงมไปทั่วพื้นป่า กระท่อมชายป่าในหุบผาเหลืองแทบจะกลืนหายไปกับความมืด ถ้าไม่มีแสงจันทราที่ทอแสงสว่างส่องลงมาก็แทบจะมองไม่เห็น ชายสามคนผลัดเปลี่ยนเดินวนเวียนเป็นเวรยามเฝ้าอยู่รอบกระท่อม ท่าทางของทั้งสามคนไม่ได้ระแวดระวังอะไรมากมาย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนที่เฝ้าอยู่นั่นไร้พิษสง แต่ทั้งสามคนไม่รู้เลยว่ากำลังถูกจับตามองอยู่

ไอ้โม่งกำลังหาทางที่จะหนีออกไปจากกระท่อมหลังนี้ แม้จะยังบาดเจ็บอยู่ แต่อาการก็ดีขึ้นพอสมควรแล้ว มันลุกขึ้นมาแอบมองไอ้พวกที่เฝ้าอยู่ ผ่านช่องเล็กๆของผนังกระท่อมมาพักหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะเล็ดรอดออกไป ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าพรวดพราดออกไป แถมอาวุธก็ไม่มีขณะที่พวกมันมีกันครบมือ แน่นอนว่าจบเห่ ทางรอดก็จะกลายเป็นทางตายทันที

‘จะทำไงดี’
คำถามดังขึ้นมาในสมอง แล้วถอยกลับมานั่งครุ่นคิดอยู่บนแคร่ ยังไงคืนนี้มันก็ต้องหนี จะอยู่แกล้งทำเป็นจำอะไรไม่ได้ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะคำพูดที่ได้ยินพวกมันยืนคุยกันหน้ากระท่อม ‘ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ก็กลบร่องรอยมันเสีย’ นั่นอันตรายเกินกว่าจะอยู่ต่อให้พวกมันจับได้ ที่สำคัญ ‘คนที่สั่งการ’ รอมันอยู่ และป่านนี้คงจะรู้แล้วว่างานที่สั่งมันมานั่น...ล้มเหลว

มันกวาดตามองไปรอบกระท่อม แม้จะไม่มีแสงสว่างเพราะตะเกียงถูกดับไป แต่ความมืดไม่ได้เป็นอุปสรรค เมื่อมันจำได้ดีว่ามีอะไรวางอยู่ตรงไหนบ้าง ก็ลุกขึ้นเดินไปแอบมองลอดช่องเดิมดูไอ้เวรสามตัว คนหนึ่งนั้นยืนห่างจากสองคนไปพอสมควร ความคิดบางอย่างก็เกิดขึ้นมา ก้มลงหยิบก้อนดินที่พื้นกระท่อมขึ้นมาครูดกับผนังกระท่อมสลับกับเคาะให้เกิดเสียงกุกๆกักๆ

ไอ้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดหยุดชะงักทันทีที่ได้ยิน มันมองมาที่กระท่อมอย่างสงสัย และยืนมองอยู่อย่างนั้นกระทั่งอีกคนเห็นว่ามันยืนนานผิดสังเกตก็เดินเข้ามาถาม “มีอะไร”

“กูได้ยินเสียงกุกกักในกระท่อม”

“หูฝาดไปหรือเปล่า”

“ไม่ มึงลองเงียบแล้วตั้งใจซิ”

มันทำตามที่เพื่อนบอกทันที คนที่เฝ้าดูอยู่ก็ยิ้มอย่างสมใจและทำเสียงกุกๆกักๆให้พวกมันได้ยินชัดๆ จากนั้นก็เดินไปยืนแอบอยู่ข้างหน้าต่าง มองขึ้นไปบนฟ้าที่พร่างดาว เพียงเมฆลอยมาบดบังแสงจันทร์ มันก็ปาก้อนดินออกไปนอกกระท่อม

“สวบ”

ไอ้เวรสองคนหันไปมองที่มาของเสียง ความมืดทำให้ไม่เห็นอะไร แต่ความสงสัยมีอยู่เต็มเปี่ยม แล้วหันมามองหน้ากัน จากนั้นมันคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นมาทำสัญญาณว่าจะแยกไปดูที่กระท่อม ส่วนอีกคนก็ให้ไปดูที่เสียงดังสวบเมื่อกี้ ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินแยกกันไปดู

คนที่เดินมาที่กระท่อมเปิดประตูออก โดยไม่รู้ว่ากำลังมีฆาตกรรออยู่ เพียงโผล่หน้าเข้าไป ก็มีท่อนแขนมาล็อกที่คอ แล้วบิดพิฆาตคอมันอย่างชำนาญ ชีวิตมันก็หมดลมหายใจทันที แล้วปิดประตูกระท่อมก่อนลากร่างมันไปแอบไว้ข้างแคร่ ปลดอาวุธทั้งมีดและปืนของมันมาเป็นของตัวเอง ก็เดินไปแอบมองอีกคนที่อยู่ห่างออกไป ไม่มีท่าทีสงสัยใดๆ ก็มองไปที่อีกคนที่ยังเดินวนหาที่มาของเสียง

รอยยิ้มเหี้ยมๆผุดขึ้นที่มุมปาก แล้วใช้หน้าต่างเป็นทางออก อาศัยความมืดค่อยๆย่องไปยืนซุ่มดักรอไอ้คนที่เดินวนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ซึ่งไม่เจออะไรก็เดินกลับมา เพียงผ่านต้นไม้ใหญ่ไปแค่ก้าวเดียว ก็มีท่อนแขนแกร่งมาล็อกที่คอ มันตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ดิ้น ได้สู้ ได้หันหน้าไปมองว่าใครลอบทำร้ายมัน ก็สะดุ้งเฮือกเพราะถูกมีดแทงจากด้านหลังทะลุหัวใจ ตัวมันแข็งขืนแล้วอ่อนยวบลงมา

ฆาตกรดึงมีดออกมาทันทีที่แน่ใจว่าวิญญาณมันหลุดออกจากร่างไปแล้ว เหวี่ยงตัวมันทิ้งไปอย่างไม่สนใจ แล้วมองไปที่อีกคน ซึ่งดูเหมือนว่ามันเริ่มจะสงสัยที่ไม่เห็นเพื่อนมันอีกสองคนเดินวนไปให้เห็น ก็ใช้แผนเดิม เดินไปดักซุ่มรอแทนที่จะรีบหนีไป เพราะถ้าปล่อยมันไว้ ก็เหมือนปล่อยอีกาคาบข่าวไปบอกนายมัน การหนีคืนนี้ก็จะมีอุปสรรค พวกมันต้องพลิกหุบผาล่าตัวมันกลับมาแน่ๆ และแน่นอนเหลือเกินว่ามันต้องถูกทรมานอย่างแสนสาหัสที่หลอกพวกมันไว้ ก่อนจะฆ่าทิ้ง

ไอ้เวรที่ไม่รู้ว่าเพื่อนสองคนไปยมบาลแล้ว มองมาทางที่เห็นเพื่อนยืนอยู่ครั้งสุดท้าย แต่มองมาคราวใดก็ยังไม่เห็นเพื่อนสักที จึงเดินมาดู โดยไม่รู้ว่ากำลังเดินมาหาความตาย ฆาตกรที่รออยู่จ้องอย่างเลือดเย็น กระทั่งมันเดินมาใกล้ ท่าทีที่ไม่มีความระมัดระวังเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ กว่าจะรู้ตัว ฆาตกรก็โผล่มาอย่างกระชั้นชิดพร้อมปืนจ่อเข้าที่หน้าอก

ตัวมันแข็งทื่อไม่กล้าขยับด้วยความกลัว ขณะสายตาจ้องหน้าไอ้คนถือปืน แต่ก็เห็นแค่เงาลางๆเพราะความมืด จึงต้องถามออกมา “แกเป็นใคร”

“คนที่พวกมันมึงเฝ้าอยู่ไง”

สีหน้ามันออกอาการคาดไม่ถึง แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่รู้ว่ามันเป็นเชลยที่สำคัญ ห้ามตาย ห้ามหายไปจากหุบผาเด็ดขาด จึงถูกสั่งให้มาเฝ้า อีกอย่างเท่าที่รู้มันเจ็บหนักอยู่นี่น่า แต่ที่เห็นเหมือนมันปรกติ แล้วตวัดสายตามองหาเพื่อนอีกสองคน คนที่จ้องอยู่เหยียดริมฝีปากออกหยันแล้วบอกว่า

“ไม่ต้องหา”

มันใจหายวาบโดยไม่ถาม ก็พอจะรู้ว่าเพื่อนสองคนคงไปพบยมบาลแล้ว ไม่งั้นไอ้เลวนี้คงไม่ออกมายืนถือปืนจี้หน้าอกมันอยู่แบบนี้ “ต้องการอะไร”

ฆาตกรยิ้มเหี้ยมๆ แล้วใช้มีดเป็นคำตอบ ปักลงบนกลางหัวมัน “อ้าก” มันร้องได้แค่นั้น ตาก็เหลือกตัวก็กระตุก เลือดค่อยๆซึมไหลออกลงมาที่หน้า ตัวก็ค่อยๆทรุดลงนอนชักไม่กี่อึดใจ ก็แน่นิ่งถึงแก่ความตาย มือสังหารมองอย่างเฉยเมย แล้วก้มลงค้นตัวมัน เอามีดของมันมาแทนมีดที่ปักอยู่บนหัวมัน เพราะหนทางข้างหน้ายังจะต้องใช้มีดจัดการกับขวากหนามอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ คนที่ฝากรอยแผลไว้บนตัวมัน

อาวุธมีด เพชฌฆาตที่เงียบและร้ายไม่น้อยกว่าปืน การที่มันเลือกใช้มีดจัดการกับไอ้สามคนนี้ ก็เพราะว่ามีดนั้นไม่มีเสียง ส่วนปืนนั้นลั่นไกออกไปเมื่อไร เสียงที่ดังขึ้นในความเงียบอาจจะได้ยินไปถึงหูพวกมัน แม้กระท่อมหลังนี้จะตั้งอยู่ห่างๆก็ตามมันเก็บมีดไว้ แล้วเดินข้ามร่างที่ตายไปแล้ว หายไปในความมืดราวกับคนรู้จักเส้นทางในหุบผาเขียวเป็นอย่างดี
******
ภูผายืนกอดอกพิงเสาระเบียงเรือน มองดวงดาราที่พร่างพรายอยู่เต็มท้องฟ้า หลังจากที่เธอให้คำตอบก่อนจะไปนอน เขาก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม นั่นเพราะชื่อของเลือดสีน้ำเงินที่เธอบอกนั้น เป็นคนที่เขารู้จัก แม้จะไม่ใช่เป็นการส่วนตัวหรือสนิท แต่เขาก็ได้ยินชื่อมาบ้าง...รั้วของชาติที่รักษาแผ่นดินได้อย่างสมเกียรติ ดูแลอธิปไตยยิ่งกว่าชีวิต ไม่หวั่นต่อสิ่งใด ไม่อ่อนข้อให้กับพวกชิงหมามาเกิด เพื่อทำลายถิ่นที่อยู่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

เขาเฝ้าดูอยู่ห่างๆ เพราะเขตภูเขาดำกับอธิปไตยที่ท่านดูแลอยู่นั้น ไม่ได้ห่างกันมากนัก และต่างก็ไม่เคยที่จะก้าวล้ำให้เกิดปัญหา ต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันและอยู่ร่วมกันมาด้วยดี แต่... เขาหันไปมองห้องนอนของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เธอที่เป็นลูกสาวของท่านอาศัยอยู่ จากสิ่งที่เธอบอกถ้าเป็นความจริงทั้งหมด มันเกิดจากอะไร ใครเป็นคนบงการ และต้องการอะไร

‘ความแค้นหรือผลประโยชน์’

คิดแล้วเขาก็เหยียดริมฝีปากออกหยัน ไอ้คนบงการ ไม่ว่ามันจะทำไปเพราะอะไร ถ้ามันรู้คงจะเจ็บใจที่แผนต้องล้มเหลว ผู้หญิงที่เกือบจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ ถูกเขาช่วงชิงมา และไอ้ลูกน้องที่ทำงานพลาด ถ้าหนีออกไปจากภูเขาดำไปบอกมันได้ ก็คงต้องเจ็บตัวแล้วต้องหวนกลับมาที่นี่อีก ซึ่งเขาก็ให้ผู้พิทักษ์ตามรอยและรอการกลับมาของพวกมันอยู่ รวมถึงไอ้โม่งนั้นด้วย

วันนี้สองผู้นำที่เขาเห็น ทั้งสองคนไม่มีท่าทีที่ตกใจ ไม่มีพิรุธใดๆ เมื่อเขาเอ่ยถึงรอยเลือด แต่จะปักใจเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้เด็ดขาด เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจว่าไอ้โม่งนั้นต้องเป็นคนของหนึ่งในสามผู้นำหุบผาแน่นอน เพราะถ้าไม่ใช่คงไม่ปิดบังหน้าตาตัวเอง แต่มันปิดแสดงว่าเขาอาจจะรู้จักมัน ที่สำคัญการที่มันมุ่งตรงมาเพื่อที่จะฆ่าเขานั้น จะเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ปัดขวากหนามให้นายที่เหยียบมันอยู่ ขึ้นไปสู่บัลลังก์ภูเขาดำ

ภูผาทิ้งความคิดไว้แค่นี้ ก็เดินไปที่ห้องนอน เปิดประตูออกเดินผ่านเข้าไปแล้วก็ปิด ความมืดไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะแสงจันทราที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้เขาเห็นร่างอรชรที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง แล้วคิดถึงคำขอร้องของเธอ ซึ่งเขายังจะให้ไม่ได้ตอนนี้

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะเอนตัวนอนเคียงข้างเธอ ลมหายใจที่สม่ำเสมอของเธอ บอกให้เขารู้ว่าเธอคงหลับลึกแล้ว คงเป็นเพราะยาที่พ่อบ้านจ้าวจัดไว้ให้ เพื่อให้เธอได้พักมากๆ เขาพลิกตัวนอนตะเคียง มองใบหน้างามที่เข้ามารบกวนจิตใจบ่อยๆ ริมฝีปากอิ่มที่เผยขึ้นนิดๆ ถูกเขาลิ้มลองและฉกฉวยหาความหวานมาแล้ว ปลายนิ้วเขายกขึ้นมาจนเกือบจะแตะที่เรียวปากอิ่ม ก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ต้องการที่จะทำแบบนั้น แต่ร่างกายกลับทำเหมือนไม่รู้ตัว

“บ้าจริง”

เขาพึมพำออกมาเบาๆ แต่แทนที่ร่างกายจะเชื่อฟังสมองกลับเชื่อฟังหัวใจ ปลายนิ่วแกร่งจึงแตะเรียวปากอิ่ม ลูบไล้แผ่วๆ ความเนียนนุ่มนั้นกลายเป็นความเย้ายวนให้เขาก้มหน้าลงไปหา แล้ว ...ภูผาขบกรามเข้าหากันแน่น เมื่อเขาชักจะปล่อยหัวใจเลยเถิด ซึ่งไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย

‘เธอทำอะไรกับเขา’

คำถามนี้ดังขึ้นในใจ แต่ไม่มีคำตอบ เพราะตลอดเวลาที่ใกล้ชิดเธอ มีแต่เขาทำ ไม่ใช่เธอทำ แล้วดึงมือออก พลิกตัวนอนหงาย ข่มจิตใจให้นิ่งทำสีหน้าให้เรียบให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์ที่เฉยชาดุจเดิม

ยามรุ่งสางของวันต่อมา สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ามดไต่ขึ้นมาจากรังเป็นแถวเป็นแนวไปตามต้นไม้ใบหญ้า สกุณาตีปีกโผผินบินมาเกาะกิ่งไม้ใกล้เรือนผู้พิทักษ์มือหนึ่ง ส่งเสียงร้องจิ๊บๆปลุกให้คนที่นอนหลับสนิทมาตลอดคืน ต้องกะพริบตาก่อนจะลืมตื่นขึ้นมา เรียวปากอิ่มแย้มยิ้มเพราะถูกใจเสียงอันไพเราะของนกน้อย แต่แล้วก็นิ่งค้างเมื่อสายตาเห็นใบหน้าคมที่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ลมหายใจถูกกลั้นไว้ ก่อนจะปล่อยแผ่วออกมาพร้อมกับมองดูว่า ทำไมเธอถึงมานอนอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ แล้วก็ได้คำตอบเพราะเขามาหนุนหมอนใบเดียวกันนั่นเอง ก็จะยกหัวออกจากหมอนที่หนุนอยู่ทันที แต่...

“อย่าขยับ”

เสียงที่ดังขึ้นทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทอยู่ ทำให้เธอเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย หรุบตาจะมองปลายจมูกเขา แต่กลับไปหยุดนิ่งที่รอยแผลเป็นเส้นเล็กๆ ความสงสัยผุดขึ้นมาว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วต้องหยุดความคิดไว้เมื่อเสียงเขาดังขึ้นมาอีกว่า “สว่างแล้วเหรอ”

“ยัง”

“พูดให้เพราะให้สมกับมีเลือดสีน้ำเงินอยู่เต็มตัวหน่อย”

“เอาแต่ใจ” เสียงเธอดังงุบงิบออกมา แล้วหน้าก็เหวอ ปากก็ค้าง เพราะ...

“ไม่เอาเธอก็บุญแล้ว”

เสียงเขาดังขึ้นพร้อมดวงตาที่เปิดขึ้นมา ขวัญชนกขึงตาใส่บอกความไม่พอใจทันที แล้วยกหน้ายกตัวจะลุกขึ้นแต่วงแขนเขากลับวาดมารัดตัวเธอไว้ เธอมองอย่างตกใจ และจับแขนเขาออกพร้อมกับบอกว่า “ปล่อย”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ยกตัวขึ้นเลื่อนหน้าขึ้นไปแนบหน้าผากเธอ แก้มเธอ ซอกคอ แล้ว... “จะทำอะไร” เธอถามอย่างตกใจพลางผลักตัวเขาออก แต่เหมือนผลักหินเพราะไม่ขยับเลยสักนิด แล้วแนบหน้าตรงอกด้านซ้ายของเธอ ซบนิ่งอยู่ไม่กี่อึดใจ ก็ยกหน้าขึ้นมาบอกว่า

“วัดไข้ ความร้อนไม่มี แต่หัวใจเต้นแรง น่าจะวัดอีกรอบ”
*****

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2559, 10:38:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2559, 10:38:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1834





<< ตอน 8   ตอน 10 >>
แว่นใส 16 ก.ย. 2559, 18:15:17 น.
เขาวัดไข้กันตรงนั้นเหรอ


Zephyr 23 ต.ค. 2559, 16:32:47 น.
วัดได้เซะซี่จุงเบยยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account