บังลังค์รักภูผา

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 10

ตอน 10
“คนบ้า”

เธอแว้ดเสียงดัง ผลักตัวเขาออกเต็มแรงก็ถดถอยตัวไปนั่งหน้าแดงอยู่ปลายเตียง แต่สายตามองหน้าคมอย่างขุ่นเคือง ซึ่งคนถูกมองก็ขยับตัวไปนั่งพิงหัวเตียง ยกมือขึ้นกอดอก มองใบหน้างามที่แดงรับอรุณยามเช้า แสงอาทิตย์ขึ้นตรงขอบฟ้าให้สกุณาตีปีกร้องรับขับขาน ไพเราะเสนาะมาเข้าหู

ขวัญชนกรู้สึกเขินกับการมองของเขา ยกมือขึ้นลูบแขนพลางหลบตาคม แต่แล้วตวัดกลับไปสบตาเขาใหม่ เมื่อคิดถึงคำพูดที่เขาบอกเธอไว้เมื่อคืนนี้ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อยเพราะความลังเลที่เกิดขึ้นมาว่าจะถามเขาดีหรือไม่ สุดท้ายเธอก็ถามออกมา

“คุณคิดหรือยัง”

“คิดแล้ว” เขาบอกโดยไม่มีปฏิกิริยาสงสัย เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าสำหรับเธอตอนนี้ไม่มีเรื่องใดที่จะสำคัญไปกว่าเลือดสีน้ำเงิน

“แล้วคิดว่าไงคะ” คำพูดเธอเปลี่ยนไปเมื่อเขารับรู้ความเป็นมาของเธอแล้ว อีกอย่างก็ไม่อยากให้เขาว่าไปถึงสายเลือดของเธออีก

“ไม่”

คำตอบของเขา ทำลายความหวังของเธอจนหมดสิ้น ใบหน้างามเศร้าลง แต่ไม่มีการต่อว่าเขา เพราะเข้าใจเหตุผลที่เขาบอกไว้เมื่อคืนแล้ว แต่เธอก็จะไม่สิ้นหวังตราบลมหายใจยังอยู่ “แล้วฉันจะต้องทำยังไง คุณถึงจะเปลี่ยนใจ”

“เอาใจฉันให้มากๆอย่าขัดใจ แม้กระทั่ง...” เขาใช้สายตาสื่อคำพูด

แก้มของขวัญชนกระเรื่อขึ้นมา เมื่อเห็นสายตาที่กวาดมองตัวเธอ หัวใจสั่นหวิว จนต้องกัดริมฝีปากข่มเอาไว้ พร้อมกับทำใจให้ยอมรับ และชินกับการที่ต้องตกเป็นผู้หญิงของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกลัว กลัวความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากหัวใจ แต่เกิดขึ้นมาเพราะอารมณ์และความต้องการของเขาเท่านั้น

“ฉันขอเวลาได้ไหมคะ”

“เวลาที่จะเกิดขึ้นเหรอ ถ้าใช่ ขอบอกว่าไม่ได้ แต่ฉันจะให้เวลาในการเรียนรู้และทำความคุ้นเคยกับฉัน และฉันจะได้คุ้นเคยกับเธอ”

“หมายความว่าไง”

“ฉันจะไม่บังคับ แต่เธอก็ห้ามปฏิเสธเมื่อฉันต้องการ แต่จะไม่เกินเลยถ้าเธอไม่เต็มใจ”

ฟังดูดี เหมือนเขามีน้ำใจ เห็นใจ แต่แท้ที่จริงแล้วคือความโหดร้ายที่เลือดเย็นที่สุด เพราะคนที่เสียเปรียบก็คือเธอ แต่ก็ต้องยอม เมื่อทางเลือกที่ดีกว่านี้ไม่มีเลย “แล้วนอกเหนือจากที่ฉันต้องเอาใจคุณแล้ว ฉันจะต้องทำอะไรอีก”

“ดูแลเรือนของฉัน นอกจากนั้นพ่อบ้านจ้าว คงจะบอกเธอได้ เธอรู้จักเขาแล้วใช่ไหม คนที่รักษาไข้และทำแผลให้นะ และเดี๋ยวฉันจะพาไปพบคนคนสำคัญของภูเขาดำ”

“บอกได้ไหมคะว่าใคร”

“ผู้เฒ่าโพธิ์ ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ”
*******
ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นตามวัฏจักรของธรรมชาติ แสงความร้อนปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งรวมถึงอาคารห้าชั้น ที่ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจของเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนแห่งนี้ด้วย ชายต่างวัยสองคนเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าอาคาร มองสายน้ำพุที่พุ่งขึ้นกลางบ่อน้ำขนาดเล็ก มีปลาตัวเล็กสีสันสวยงามว่ายวนไปมา ความเย็นใจน่าจะเกิดขึ้นกับทั้งสองคน แต่แปลกที่ไม่มีเลย

“สวัสดีค่ะ มาติดต่อขอพบใครคะ”

ประชาสัมพันธ์สาวสวยเดินผ่านประตูอัตโนมัติออกมาถามทั้งสองคน ที่เห็นยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเป็นครู่แล้ว เปิดยิ้มให้อย่างยินดีที่จะช่วยเหลือตามหน้าที่การงานที่ได้รับการอบรมและเรียนรู้มาอย่างดี เพียงขอให้บอกมาเท่านั้น ชายที่มีอายุมากกว่าปรายตามองคนที่หนุ่มกว่า เป็นการบอกให้เป็นคนตอบ ซึ่งก็พูดออกมาว่า

“ท่านประธาน”

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ก็เอ่ยถามออกมา “นัดท่านไว้หรือเปล่าค่ะ”

“เปล่า แต่ช่วยแจ้งท่านว่าคนทำงานมาพบ”

หญิงสาวมองชายทั้งคู่ ความไม่ไว้ใจนั้นเกิดขึ้นในใจ แต่น้ำเสียงกับสายตาที่บอกถึงความเคารพต่อเจ้านายเธอนั้น ทำให้ต้องถอยเดินผ่านประตูกลับมาที่เคาน์เตอร์ที่ทำงาน ยกโทรศัพท์รายงานไปที่หน้าห้องของท่าน แล้วไม่นานก็ได้คำตอบกลับมา “ค่ะ จะรีบพาไปเลยค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินออกมาหาชายทั้งคู่ ยิ้มให้เล็กน้อย ก็บอกว่า “เชิญทางด้านนี้ค่ะ”

ทั้งคู่เดินตามหญิงสาวที่ก้าวนำเข้าไปในอาคาร ขึ้นบันไดไปที่ชั้นบนสุด เดินต่อไปยังห้องที่เปิดค้างไว้ ให้ทั้งสองคนเข้าไปนั่งรอ ก็ปิดประตูแล้วเดินกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง...

ภายในห้องสีขาว ซึ่งจากลักษณะที่มีโต๊ะกับเก้าอี้วางอยู่นั้นบอกให้รู้ว่าเป็นห้องประชุม ชายสองคนนั่งสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ คนหนึ่งนั่นคือไอ้เหิม อีกคนคือพรานขอม สายตาของทั้งคู่ไม่ได้นิ่งเหมือนท่าทาง มันหวั่นไหวด้วยความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับคนที่มันมาหา

สีหน้าของไอ้เหิมเคร่งเครียด ยิ่งคิดความกลัวก็เพิ่มมากขึ้น ครั้นจะหนีก็ไม่ใช่ทางออก เพราะมันรู้แก่ใจว่าคนที่มันมาหา ไม่มีทางปล่อยให้มันลอยนวล ต้องถูกตามล่าแน่นอน เมื่อเขามีอำนาจล้นเมืองนี้ จึงต้องมาเผชิญหน้า เพื่อแก้ไขความผิดเผื่อจะต่อลมหายใจให้ชีวิตออกไปอีกนิด

หลังจากออกจากป่ามาได้ ชีวิตสบายขึ้นจริงๆได้นอนบนฟูก ได้กินอาหารดีๆ แต่จิตใจนั้นเหมือนอยู่บนกองเพลิง เพราะงานที่ล้มเหลวนั้นเป็นเหมือนชะงักที่ปักอยู่บนหลังให้ปวดแสบปวดร้อน หาความสุขไม่ได้เลย จึงพาตัวมาที่นี่ดีกว่าถูกลากตัวมา

“ทำไมมึงไม่ปล่อยข้าไป ทำไมต้องลากข้ามาด้วย” พรานขอมถามขึ้น เมื่อไม่อาจจะทนอยู่กับความอึดอัดที่บีบคั้นจิตใจ

“ก็บอกแล้วไง ว่าติดร่างแหเดียวกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันรับผิดชอบซิ อีกอย่างคนที่จะจ่ายเงินมึงไม่ใช่กู ถ้ามึงไม่มาแล้วจะได้เงินได้ยังไง”

“มึงหาคนมาหารความผิดมากกว่า” เสียงพรานขอมเยาะออกมาอย่างรู้ดี “เงินมันจะได้เมื่องานมันสำเร็จ แต่นี้งานล้มเหลว แค่ชีวิตก็เอาให้รอดก่อนเถอะ”

“เข้าใจดีแล้วไม่น่าจะถาม หรือต้องการความแน่ใจ แต่กูไม่ทวนซ้ำหรอกนะ รอดูก็แล้วกัน”

สิ้นคำพูดของไอ้เหิมก็มีคนเดินผ่านประตูเข้ามาทันที เป็นชายร่างสูงสวมชุดสูทสีดำ ผิวสีขาว ใบหน้าคมเข้าขั้นหล่อ สายตามีอำนาจ มองปราดไปที่ทั้งสองคน ที่นั่งอยู่ แล้วแย้มริมฝีปากยิ้มให้ แต่คนที่ได้เห็นรอยยิ้มไม่ได้มีความรู้สึกยินดีเลย กลับรู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง

ร่างสูงเดินมานั่งไขว้ห้างบนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะ เอนตัวพิงพนักด้วยท่าทีที่สบายๆ แล้วมีชายในชุดซาฟารีอีกสองคนเดินมายืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ สองมือไพล่กันไว้ข้างหลัง สายตาจับจ้องที่หน้าของไอ้เหิมกับพรานขอม ซึ่งแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวั่นๆ ไอ้เหิมรีบยกมือขึ้นไหว้ พรานขอมก็ต้องทำตามทั้งที่อายุมากกว่าคนที่ไหว้

“สวัสดีครับคุณอาชวิน”

ไอ้เหิมเอ่ยชื่อคนที่ไหว้ ชายหนุ่มผู้กุมเศรษฐกิจของเมืองนี้ แทนคนเป็นพ่อที่ตายไปเมื่อปีก่อน งานทุกอย่างที่ท่านสร้างไว้จึงถูกเขาสานต่อ และหนึ่งในนั้นก็คือการสร้างอำนาจไว้ขยายอิทธิพลเพื่อเป็นฐานการเมืองในภายภาคหน้า มันรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นลูกน้องมือดีของคนเป็นพ่อมาก่อนนั่นเอง มันลดมือลงแล้วก็ถามออกมา

“สบายดีนะครับ”
“สบายดี แต่ถ้าจะดีกว่านี้น่าจะมีข่าวดีมาให้ฉันด้วย แต่...” คิ้วเข้มบนใบหน้าคมเลิกขึ้น “มันผิดเวลาที่ตกลงกันไว้ไปหลายวัน นั่นแสดงว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม แล้วพอจะบอกฉันหรือเปล่าว่าคืออะไร” เสียงถามเรื่อยๆเหมือนการพูดคุยกันธรรมดา แต่คนฟังกลับหวั่นเกรงทุกครั้งที่ได้ยิน เพราะพอจะรู้กิตติศักดิ์กันอยู่ว่าท่าทีที่เห็นนั้นคือการหลอกตา

“ใช่ครับ มีคนมาช่วงชิงคนที่คุณต้องการตัวไป”

“ใคร”

“คนของภูเขาดำ”

ดวงตาที่จ้องมองหรี่ลง เพราะชื่อที่ได้ยินนั้น เขาก็พอได้ยินมาเหมือนกันว่าพวกมันหวงแหนถิ่นที่อยู่มากแค่ไหน ใครที่บุกรุกเข้าไป ชีวิตไม่ดับดิ้นก็สูญหายไปชั่วนิรันดร “งานที่ฉันให้แกไปทำ อยู่ห่างจากไอ้คนพวกนั้นตั้งมากมาย แล้วทำไมพวกมันถึงได้เข้ามาแส่”

ไอ้เหิมปรายตาไปมองพรานขอมที่นั่งเงียบอยู่ทันที แววตาของพรานเลิกลั่กอย่างหวาดหวั่น ยิ่งเห็นสายตาของอาชวินมองมา เหงื่อก็ซึมขึ้นที่หน้าผาก “พรานขอม คนนำทางและนำไปสู่ความล้มเหลวครั้งนี้ครับ” ไอ้เหิมบอกออกไปอย่างที่บอกไว้แล้วว่างานนี้มันจะไม่ยอมตายคนเดียวเด็ดขาด จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“ขอ ขอโทษครับคุณอาชวิน” เสียงพรานขอมตะกุกตะกักออกมา

“ฉันเกลียดคำนี้จัง และเกลียดพอๆกับคนที่ทำให้งานฉันผิดพลาด”

ไอ้เหิมเสียววาบไปทั้งใจ เพราะคำพูดนี้หมายถึงตัวมัน ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้ยินก็ให้รู้สึกกลัวจนตัวแทบสั่น “ผม ผมขอโอกาสแก้ไขสักครั้ง ได้ไหมครับ”

“แกจะทำยังไง”

“หาตัวตายตัวแทน”

“ว่ามา”

“แม้เราจะไม่ได้ตัวเธอมา แต่เราก็สามารถหาใครสักคนมาแทนเธอ และก่อนหน้าที่เราจะเจอผู้หญิงที่คล้ายเธอ คุณก็เอาชื่อของเธอไปต่อรองกับพ่อของเธอ เรียกร้องผลประโยชน์ที่ต้องการไปพลางๆก่อน เพราะทางนั้น” ไอ้เหิมไม่เอ่ยชื่อพันโทอัศวินออกมา เพราะไม่ไว้ใจพรานขอมพอที่จะให้รู้เรื่องทั้งหมด “ไม่มีทางรู้เด็ดขาด ว่าเธอถูกไอ้พวกภูเขาดำจับตัวไป ป่านนี้คงคิดว่ายังอยู่ในมือเรา”

“น่าสนใจ แต่แกแน่ใจนะว่าทางนั้นไม่รู้”
“ครับ เพราะไอ้พรานขอมเคยได้ยินมาว่า ไอ้พวกภูเขาดำไม่เคยปล่อยเชลยที่จับได้ไว้สักคน ไม่ฆ่าทิ้งก็ใช้งานเยี่ยงทาส”

“แต่เราคงจะหลอกทางนั้นไม่ได้นาน”

เสียงเปรยนี้ ทำให้พรานขอมเห็นช่องทางที่จะเอาตัวรอดทันที จึงรีบเสนอว่า “งั้นผมจะพยายามหาทางไปเอาตัวเธอมาให้เร็วที่สุด”

“พูดง่ายแต่ทำยาก” น้ำเสียงนั้นดูถูก แต่พรานขอมไม่ยี่หระ เมื่อเป็นทางเดียวที่จะทำให้มีลมหายใจอยู่ต่อไป

“ไม่ยาก ถ้าคุณจะสนับสนุนทั้งอาวุธและคน ถล่มพวกมันให้ราบคาบ ที่สำคัญ ถ้าทำสำเร็จก็เหมือนคุณมีสมบัติมหาศาล เพราะภูเขาดำเต็มไปด้วยทรัพยากรที่มีค่า ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ อุดมสมบูรณ์ชนิดที่ชาตินี้คุณจะหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”

“ผมเห็นด้วยครับ” ไอ้เหิมสนับสนุนออกมา เพราะถ้าอาชวินเห็นด้วยมันก็จะรอดจากวิกฤต ซ้ำยังพลิกให้เป็นโอกาสรอดตัวด้วย “อีกอย่างถ้าแผนที่คุณมี มันสำเร็จขึ้นมา คุณก็เหมือนยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกสองตัว เพราะคุณสามารถใช้อำนาจของทางนั้นเป็นใบเบิกทางขึ้นไปอีกทางก็ได้ครับ”

อาชวินนิ่งคิดตามคำพูดของทั้งสองคนและค่อนข้างจะเห็นด้วย สิ่งที่เขาต้องการจะทำคือการเปิดเส้นทางลำเลียงของผิดกฎหมาย ทั้งอาวุธและไม้เถื่อนของเถื่อน เป็นแผนการตั้งแต่พ่อของเขายังอยู่ แต่ท่านเสียไปเสียก่อน เขาจึงสานต่อ และเมื่อโอกาสมาถึงก็ส่งไอ้เหิมพร้อมลูกน้องอีกหลายคนไปจัดการ ไม่คิดสักนิดว่าจะพลาด ไม่งั้นป่านนี้ไอ้เสืออย่างพันโทอัศวินกลายเป็นลูกไก่ในกำมือเขาไปแล้ว

ที่จริงแล้วเขาไม่อยากจะใช้แผนนี้ แต่เมื่อส่งคนไปทาบทามแล้วถูกปฏิเสธมาตลอด แม้จะเสนอเงินให้มากมายแค่ไหน ก็ไม่อาจจะซื้อเลือดสีน้ำเงินในตัวมันได้เลย เขาจึงต้องจัดการกับเลือดในอกมันแทน

“ตกลง แกสองคนไปทำตามที่พูดมา และหวังว่าจะสำเร็จ แต่ถ้าพลาดอีกครั้ง ไม่ต้องให้ฉันบอกซ้ำนะว่าแกจะเจอกับอะไร ถ้าไม่อยากตายเพราะลูกน้องของฉัน ก็ฆ่าตัวเองเสีย”

“ครับ ขอบคุณครับคุณอาชวิน” ทั้งสองคนพากันรับปาก แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งออก ที่รอดพ้นมาจากความตาย

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ และมีค่าเหนื่อยให้แกสองคน เพื่อที่จะได้มีแรงไปทำงานให้ฉัน ให้สำเร็จ” ว่าแล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้ ขยับเสื้อสูทเล็กน้อย ก็สั่งให้ไอ้เหิมเดินตามไปเอาค่าเหนื่อยที่ห้องทำงาน ส่วนพรานขอมให้นั่งรออยู่ที่เดิม

ไอ้เหิมเดินเข้ามายืนตัวลีบอยู่ในห้องทำงานอันโอ่อ่าของอาชวิน ซึ่งหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน มาส่งให้ถึงมือของมัน ซึ่งรีบยกมือขึ้นไหว้แล้วรับมาถือไว้ แต่ยังไม่เดินออกไป เพราะคนให้เงินมีคำถามให้ตอบ

“ไอ้พรานขอมนั้นไว้ใจมันได้มากแค่ไหน แกถึงเอามันมาร่วมงาน”
“ครึ่งๆครับ แต่แผนของเราต้องใช้มันนำทาง คงต้องเลี้ยงไว้ต่อไป แต่ผมคิดว่าจะยังไม่ออกไปล่าตัวเธอจะรอการเจรจาจากคุณอาชวินก่อน”

“หมายความว่าไง”

“ผมคิดว่าถ้าตอนนี้ออกไป แม้เราจะเอาคนไปมาก แต่คงจะสู้ไอ้พวกภูเขาดำไม่ได้ อาจจะเสียคนไปเปล่าๆ รอให้คุณเจรจาให้สำเร็จ เราก็จะได้กองกำลังที่ใครก็ต่อกรไม่ได้ ที่สำคัญกองกำลังที่มีกฎหมายอยู่ในมือ ดีกว่ากองกำลังเถื่อนๆอย่างพวกเราแน่นอนครับ ให้พวกเขาไปเป็นหนังหน้าไฟ แล้วเราค่อยเก็บผลประโยชน์ดีกว่าครับ”

“แต่ถ้าทำอย่างนั้น เราจะได้ลูกสาวมันมา”

“ให้พวกมันสู้กันแล้วเราค่อยตลบหลัง ดีไหมครับ”

อาชวินนิ่งคิด แล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก็ดี แต่ระหว่างที่รอแผนก็ดูแลไอ้พรานแก่นั้นให้ดี เพราะขึ้นชื่อว่าพราน ส่วนมากก็มักจะเจ้าเล่ห์ ลิ้นสองแฉกไว้ใจไม่ค่อยได้ ให้มันทำหน้าที่ของมันไป แต่อย่าให้รู้แผนของฉันเด็ดขาด และแกก็ทำได้ดีที่ไม่เอ่ยชื่อคนที่อยู่ในแผนฉันออกไปให้มันรู้ แต่ถ้ามันรู้มากขึ้นมาเมื่อไร และหักหลังเราขึ้นมา ก็ไม่ต้องปล่อยมันไว้”

“ครับ”

“ไปได้แล้ว”

ไอ้เหิมยกมือไหว้แล้วเดินออกมาจากห้อง ส่วนอาชวินก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน คิดแผนที่จะต่อรองผลประโยชน์กับพันโทอัศวิน... เร็วนี้ได้เจอกับเขาแน่ๆ
*******
ม้าสีดำตัวใหญ่ควบเต็มฝีเท้ามาที่เรือนของผู้นำหุบผาเขียว สีหน้าคนที่นั่งอยู่บนหลังมันนั้นไม่สู้ดี กำเชือกที่ใช้บังคับมันให้เปลี่ยนฝีเท้าเป็นเหยาะย่างกระทั่งหยุดที่หน้าเรือน ก็รีบลงจากหลังมัน เดินเร็วๆขึ้นไปบนเรือน เวธิกาที่เดินถือจานผลไม้เพื่อจะนำไปให้คนเป็นพ่อที่อยู่ในห้องทำงาน หันมาเห็นเข้า ก็เดินตรงมาหา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีคำถามถามออกมาเสียก่อน

“ท่านผู้นำอยู่หรือเปล่าครับคุณเว”

“อยู่ค่ะ หมอมีอะไรหรือคะ”

“เรื่องสำคัญครับ ขอคุณเวไปแจ้งท่านว่าผมมาหาได้ไหมครับ”

เวธิกายิ้มว่าได้ แล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของคนเป็นพ่อ ทั้งที่สงสัยว่าเรื่องสำคัญที่ทำให้หมอมีใบหน้าทุกข์ร้อนได้ขนาดนี้ นั่นเป็นเรื่องอะไร ไม่นานก็เดินกลับมาเชิญหมอให้ไปพบได้ ส่วนตัวเองก็เดินไปหาคนเป็นแม่ ที่นั่งจัดดอกไม้อยู่บนเก้าอี้ตรงมุมระเบียงเรือน มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงากับสายลมที่พัดมาให้คลายร้อน เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆท่าน แล้วบอกเล่าเรื่องที่เพิ่งได้เจอมาให้รู้

นางนารีรับฟังแต่เพราะไม่ชอบยุ่งเรื่องของสามีเหมือนเช่นเคย จึงบอกว่า “อย่าไปสนใจเลย”

“ไม่ได้ซิค่ะ แม่อย่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นักซิ เราต้องรู้อะไรไว้บ้าง จะได้ไม่ดูโง่ในสายตาคนอื่นนัก โดยเฉพาะผู้หญิงที่พ่อชอบไปหาเศษหาเลย”

“รู้แล้วยังไงจ๊ะ ต้องทุกข์ใจเหมือนที่ลูกเป็นอยู่ตอนนี้ แล้วมีประโยชน์อะไรบ้าง สู้ไม่รู้เสียยังดีกว่า สบายใจดี” นางว่าพลางปักดอกกุหลาบสีขาวลงในแจกัน “อีกอย่างคนที่มาหาพ่อเป็นหมอ คงไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกกังวลอยู่ อาจจะมีใครเป็นอะไรก็ได้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น สีหน้าหมอน่าจะดีกว่านี้นะคะ หรือจะเป็นเรื่องของเขา หมอจึงรีบมาส่งข่าวให้พ่อรู้”

มือจับดอกไม้ของคนเป็นแม่ชะงักไปนิด เพราะรู้ว่าเขาที่ลูกเอ่ยออกมานั่นเป็นใคร ผู้พิทักษ์มือหนึ่งผู้ชายที่ลูกของนางสนใจอยู่ แต่ทำเหมือนไม่สนใจ จัดดอกไม้ต่อไป แต่แอบจับสังเกตลูกอย่างละเอียด “เขาไหนจ๊ะ” นางถามออกมาเหมือนไม่รู้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มใจ

“ภูผา ผู้พิทักษ์ของผู้ครองบัลลังก์ไงค่ะ” เธอตอบโดยไม่รู้ว่าถูกคนเป็นแม่จับตาดูอยู่ “ก่อนหน้านี้ที่เวได้ยินพี่เวหากับพิชิตเขาคุยกัน ว่าหายตัวไปนะคะ”

“ก็อาจจะเป็นไปได้ และอาจจะได้รับเจ็บหนักกลับมา หมอถึงต้องมาคุยกับคุณพ่อเสียเอง”

สีหน้าของเวธิกากังวลออกมาทันที และหันหน้าไปมองทิศทางที่หมออยู่ ใจนั้นอยากจะลุกไปแอบฟังหรือถามให้รู้ว่าใช่หรือไม่ แต่เกรงคนเป็นแม่จะสงสัยเพราะเคยถามว่าเธอชอบเขาหรือไม่มาแล้ว จึงต้องทนนิ่งทั้งที่ใจห่วงใยไปสารพัด

ขณะที่ในห้องทำงานของผู้นำหุบผา หมอยืนหน้าเครียดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สบตาของท่านผู้นำที่มองมา และยังมีสายตาของเวหาที่นั่งคุยงานกับคนเป็นพ่อก่อนหน้านี้ มองมาอย่างใคร่รู้เช่นกัน “มีอะไรก็ว่ามาหมอ ยืนนิ่งอยู่นานแล้วนะ หรือว่าไอ้โม่งนั้นจำได้ทุกอย่างแล้ว จึงรีบมาบอกด้วยตัวเอง”

“ไม่ ไม่ใช่ครับ” เสียงของหมอเต็มไปด้วยความเครียด และมีเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผาก ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่เรื่องที่จะพูดนั้นมันคอขาดบาดตาย และอาจจะทำให้ตัวมีอันตรายหรือตายทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ได้

“แล้วเรื่องอะไร ถึงได้หน้าตื่นมาหาฉันถึงที่นี่”

แววตาของหมอไหวด้วยความกลัว แล้วค่อยๆพูดกุกๆกักๆออกมาทั้งๆที่ไม่ใช่คนติดอ่าง “เรื่อง เรื่องไอ้โม่งนั้นแหละครับ เมื่อ เมื่อเช้าหมอก็ไปตรวจมันตามปรกติ แต่พอไปถึง ไม่เจอมันเจอแต่คนของเราที่เป็นศพไปแล้ว และมันก็หายตัวไปด้วย”
“อะไรนะ!!!”

เสียงผู้นำดังขึ้นอย่างตกใจ ลุกจากเก้าอี้ถลันออกมายืนตรงหน้าหมอ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด “พูด อีก ที ซิ” เสียงรอดไรฟันดังออกมาทีละคำ สั่นประสาทหมอให้กลัวจนตัวแทบสั่น เวหาที่ได้ฟังก็ลุกขึ้นมายืนข้างๆ สายตาสองพ่อลูกจ้องมาที่หมอจนแทบจะพูดไม่ออก แต่ก็ต้องพูดแบบติดๆขัดๆออกมา

“อย่าง อย่างที่ได้ยิน ยินนั่นแหละครับ”

“ระยำ” วิหคสบถออกมา เดินลิ่วไปที่ประตูห้องพร้อมกับสั่งลูกชาย “ตามพิชิตให้ไปที่กระท่อม”

“ครับ” เวหารับคำแล้วรีบเดินตามออกไป ส่วนหมอปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไม่โดนอะไร แล้วรีบสาวเท้าเดินตามออกไปเช่นกัน

เวธิกาที่แอบมายืนรอพบหมอ มองตามม้าสี่ตัวที่วิ่งไล่หลังตามกันไปอย่างสงสัย ว่าทำไมทุกคนมีทีท่าเคร่งเครียดและรีบเร่งกันอย่างนั้น หมอที่เธอคิดจะเรียกไว้ถามเรื่องที่สงสัยอยู่ก็เรียกไว้ไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจและคิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้ได้รู้เรื่องของคนที่แอบชอบอยู่ดี

ม้าสี่ตัวที่วิ่งไล่หลังกันมาหยุดหน้ากระท่อมชายป่า คนที่นั่งอยู่บนหลังมันเหวี่ยงตัวตามๆกันลงมา วิหคกราดตามองไปรอบกระท่อม ซึ่งไม่มีความผิดปรกติใดๆก็หันมามองเวหา พิชิต และคนสุดท้ายหมอ ซึ่งรีบเดินนำทั้งสามคนเข้าไปในกระท่อม ดูศพแรก

“คอหักครับ”

พิชิตเข้าไปตรวจดู แล้วหันมาพยักหน้าให้นายว่าเป็นจริงตามที่หมอบอก จากนั้นหมอก็พาไปดูอีกสองศพ สภาพที่เห็นสร้างความแค้นให้ทั้งสามคน โดยเฉพาะผู้นำสีหน้าแววตาเหี้ยมเกรียมขึ้นมา เพราะถูกลูบคมอย่างแรง รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั้น ไม่คิดว่าไอ้คนที่เลื่อนลอยจำอะไรไม่ได้ หลอกเขาเสียสนิท แม้กระทั่งหมอที่ดูแลอาการป่วยของคนทั้งหุบผาก็ยังเสียท่ามัน เขาตวัดสายตาไปมองหมอ ซึ่งก็รีบก้มหน้าหลบตา ก่อนจะเย็นวาบไปทั้งตัวเพราะเสียงที่เค้นออกมา

“มันน่าฆ่าทิ้งเสียจริงๆ”

“ขอ ขอโทษครับนาย”

วิหคได้แต่กัดฟันดังกรอด ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นที่เสียรู้ ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของเขาที่คุยกัน ไม่รู้ว่ามันได้ยินไปมากน้อยแค่ไหน ถ้ามันเอาไปพูดต่อ หรือบอกคนที่เหยียบอยู่บนหัวมันซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้าไม่เกี่ยวกับภูเขาดำก็แล้วไป แต่ถ้าเกี่ยวทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาก็ต้องพังไปหมด เขาขบกรามข่มอารมณ์ที่อยากจะระเบิดออกมาจนหนังหน้ากระตุก

เวหาที่ได้รู้ได้เห็นทุกอย่างก็คิดไม่ต่างจากคนเป็นพ่อ ส่วนพิชิตนั้นเขามีแต่ความแค้น จึงเสนอความคิดออกมา “จะให้ล่าตัวมันไหมครับ มันอาจจะยังไปไม่ไกล”

“มันไปไกลแล้วต่างหาก ถ้ามันมีฝีมือขนาดนี้ คงไม่โง่หลงอยู่ในป่า และตบตาเราได้สำเร็จหรอก”

“แต่ยังไงก็ต้องตามนะครับพ่อ แกะรอยมันให้ได้ ถึงจะไม่ได้ตัวกลับมา แต่บางทีเราอาจจะได้รู้ว่ามันเป็นใคร ทำงานให้กับใคร จะได้ตั้งรับได้ถูก”

ผู้นำหุบผานิ่งคิดเพียงนิด ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เลื่อนสายตามามองคนสนิท ก็สั่งทันที “เอาคนของเราออกไปจัดการปูพรมได้เลย และห้ามหยุดจนกว่าจะได้ร่องรอยของมัน”

“ครับ” พิชิตรับคำ แล้วรีบสาวเท้าเดินไปที่ม้า เหวี่ยงตัวขึ้นหลังมันได้ก็บังคับให้วิ่งออกไป

สองพ่อลูกมองตามไปเพียงแวบเดียว เวหาก็ตวัดสายตามามองหมอ สั่งให้ไปหาคนมาจัดการกลบซากคนที่หมดลมหายใจไปแล้ว ซึ่งก็รีบลนลานไปทำตามคำสั่งดีกว่ายืนให้ถูกลงทัณฑ์... เมื่อลูกน้องห่างไปหมดท่านผู้นำกับลูกชายก็หันมาสบตากันด้วยความกังวล เพราะไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จะส่งผลอะไรในอนาคตบ้าง

บนยอดภูเขาดำ กลางโถงเรือนของผู้ครองบัลลังก์ ผู้เฒ่าโพธิ์นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวใหญ่ ด้านข้างมีพ่อบ้านจ้าวยืนคอยรับใช้อยู่เช่นเคย ส่วนตรงหน้าคือผู้พิทักษ์มือหนึ่งกับหญิงสาวที่เข้าพามาพบ เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเขายืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่มีการถามว่าเธอเป็นใคร เพราะก่อนหน้านี้ได้รับการบอกกล่าวแล้ว เหลือแค่ท่านจะประกาศรับรองเป็น... ผู้หญิงของผู้พิทักษ์เท่านั้น

ถึงอย่างนั้นสายตาของท่านผู้เฒ่าก็มองหญิงสาวอย่างละเอียด ท่านั่งตัวตรง สีหน้าแววตา บอกถึงความเข้มแข็งและไม่หวั่นเกรงกับอะไรง่ายๆ สร้างความพอใจให้ท่านอยู่เงียบๆ แววตาฉายความปราณีออกมาให้ขวัญชนกใจชื่น เพราะตอนที่เขาบอกว่าจะพามาพบผู้เป็นใหญ่สูงสุดนั้น ภาพที่เธอวาดไว้คือน่ากลัว ยิ่งกว่าเขาที่เธอได้เจอมาหลายสิบเท่า

“ฉันรู้เรื่องของหนูมาบ้างแล้ว และหนูก็คงจะรู้จักที่นี่บ้างแล้วเหมือนกัน ไม่กลัวใช่ไหม” เสียงท่านผู้เฒ่าเนิบนาบออกมาอย่างน่าฟัง

“กลัวค่ะ”

“ภูผาทำให้กลัวหรือไง”

“เปล่าค่ะ แต่การที่ต้องมาอยู่ในที่ๆไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ความกลัวย่อมเกิดขึ้นเสมอ”

“นั่นซินะ แต่ถ้าเราชนะความกลัวได้ ก็จะทำให้เราเข้มแข็ง ซึ่งหนูก็ผ่านมาได้อย่างน่าชื่นชม” บอกแล้วท่านก็ยิ้มและพูดต่อว่า “ความเป็นอยู่ไม่ว่าที่ไหน ถ้าเรารู้จักที่จะอยู่ อยู่ให้เป็น ก็เป็นสุขใจได้ทั้งนั้น ส่วนคนที่กลัวส่วนมากแล้วอยู่ไม่เป็นหรือไม่ก็ไม่อยากอยู่ ที่ภูเขาดำความจริงแล้วไม่มีอะไรน่ากลัว คนกลัวกันไปเองทั้งนั้น”
“เพราะอะไรคะ”

“กิเลสของคน”

ขวัญชนกเข้าใจสิ่งที่ท่านพูด แม้จะยังไม่รู้แจ้งไปเสียทุกอย่าง แต่ใจของคนที่ละกิเลสไม่ได้นั้นน่ากลัวจริงๆ และที่เธอต้องเป็นอยู่แบบนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะคำๆนี้ก็ได้

“แต่หนูไม่ต้องกังวลอยู่ให้สบาย อาจจะแปลกๆไปบ้างในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานก็คงจะชิน”

“ถ้าหนูไม่อยู่ได้ไหมคะ” เธอถามออกมาอย่างระวัง แต่ไม่มีรอยหวั่นไหวในแววตา เพราะเป็นความหวังแม้จะมีความเสี่ยงรวมอยู่ด้วย แต่ก็ดีกว่านิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย

“หมายความว่าไง ไม่อยากอยู่กับภูผางั้นเหรอ”

“หนูอยากกลับบ้านค่ะ”

ผู้เฒ่าโพธิ์ยิ้มอย่างเข้าใจ เพราะถ้าเป็นตัวท่านเอง ที่ต้องเป็นไม้แปลกป่า ก็คงมีความอยากไม่ต่างกัน แล้วก็บอกว่า “ฉันเข้าใจความรู้สึกของหนูนะ แต่หนูเป็นคนของภูผา การตัดสินใจจึงเป็นของเขา”

ขวัญชนกขยับปากเหมือนจะแย้ง ว่าทำไมต้องให้เขาตัดสินใจ ในเมื่อท่านเป็นใหญ่สุด เพียงแค่ท่านสั่ง เขาก็ต้องทำ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะการดื้อรั้นกับคนที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย แม้ท่าทีจะดูดี มีน้ำใจแต่จิตใจในส่วนลึกนั่นเล่า อาจจะต่างกับหน้าตา ดีไม่ดีเธออาจจะไม่ได้อยู่ดี ก็ได้

“ระหว่างที่อยู่ที่นี่ นอกจากภูผาแล้ว ฉันจะให้พ่อบ้านจ้าวดูแลหนูด้วย อยากได้อะไรหรือต้องการอะไร ก็บอกเขาได้ แต่หนูเพิ่งฟื้นตัวมา พักอีกหน่อยแล้วค่อยมาดูกันว่าหนูจะทำอะไรได้บ้าง”

“ขอบคุณค่ะ”

ขวัญชนกยกมือไหว้ หลังจากนั้นผู้เฒ่าโพธิ์ก็อนุญาตให้ภูผาพาเธอกลับไปพักได้ ทั้งสองคนลงจากเรือนไปไม่นาน ผู้พิทักษ์คนหนึ่งก็มีข่าวมาถึงผู้ครองบัลลังก์ ภูผาไม่ได้ข่าวนี้แต่บนทางเดินที่ร่มรื่นด้วยร่มเงาของแมกไม้ เขาก็ได้เจอกับข่าวนี้ด้วยตัวเอง

ดวงตาคมกริบมองผู้ที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งความแปลกใจก่อเกิดขึ้นในแววตาทั้งสามคน ก่อนจะเลื่อนไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างตัวเขา และต่างก็สงสัยว่า...ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

พยัคผู้นำหุบผาแดง พนาลูกชาย และเสือคนสนิท เก็บความรู้สึกอยากรู้นั้นไว้ แล้วท่านผู้นำก็เอ่ยออกมาว่า “ฉันมาพบท่านผู้เฒ่า แต่ไม่คิดว่าจะได้พบผู้พิทักษ์มือหนึ่งที่บอกว่าหายไปจากยอดเขา ข่าวที่เกิดขึ้นกลายเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ไม่มีความเป็นจริงซินะ”

“ท่านอยากให้เป็นจริงไหม”

“หึๆๆ” ท่านผู้นำหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วบอกว่า “สำหรับข้าแล้วไม่ และเป็นความสัตย์จริงและดีใจที่เจ้ายังอยู่”

“ขอบคุณครับ และหวังว่าท่านจะรักษาสัตย์ที่พูดไว้ด้วย เชิญท่านไปพบท่านผู้เฒ่าได้เลย”

ผู้นำหุบผาแดงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก็เดินนำลูกชายกับลูกน้องไปทันที แต่มีเพียงเสือเท่านั้นที่เดินตามไป พนานั้นยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าภูผา ซึ่งก็เดาได้ว่าคงมีเรื่องจะพูดกับเขา แต่คำถามแรกที่ดังออกมา ผิดไปจากที่คิดไว้เล็กน้อย

“เธอเป็นใคร”

“แล้วแต่จะคิด”

“สำคัญละซิ”

“ว่าเรื่องที่อยากพูดมาดีกว่า”

คำตอบโต้เฉียบคมสมกับเป็นผู้พิทักษ์มือหนึ่ง พนาตวัดสายตาไปมองหญิงสาวที่ยืนเงียบอยู่ ซึ่งมองเขาอย่างไร้แววหวั่นใดๆเห็นแต่ความสงสัยว่าเขาเป็นใคร ผิดไปจากคนที่เพิ่งได้พบเจอ ที่ส่วนใหญ่จะมีท่าทางเกรงๆ แม้แต่คนในภูเขาดำเอง ที่รู้จักเขาก็ยังมีความรู้สึกนี้แต่เธอไม่มีเลย และการยืนนั้นก็บอกความทระนงในตัวเองไม่น้อย

“ฉันพูดไปแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบ”

“ผู้หญิงของภูผาค่ะ” เสียงหวานดังออกมาอย่างชัดเจน พนาอึ้งไปเพราะคาดไม่ถึง ก่อนจะยิ้มให้แล้วยื่นมือมาตรงหน้าขอทักทาย

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ขวัญชนกหรุบตามองมือที่ยืนมา แต่ไม่ยื่นมือไปจับ เอ่ยออกมาเพียงแค่ว่า “ยินดีค่ะ ขอตัวนะคะ” พูดจบเธอก็เดินตรงไปยังเรือนเจ้าชีวิต สิ่งที่ทำไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากรู้จักเขาหรืออยากจะเสียมารยาท แต่เพราะฐานะที่เป็นอยู่ของเธอตอนนี้ ไม่สมควรที่จะพูดคุยให้ความสนิทกับใครทั้งสิ้น
พนามองตามไป เขาไม่มีความเก้อหรือไม่พอใจเธอ แต่รู้สึกเห็นใจ เพราะเสียงที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของภูผานั้น เศร้ามาก อีกอย่างตำแหน่งที่เธอได้มา เขาก็พอจะรู้ว่ามาจากอะไร พนาดึงสายตากลับมามองคนที่ยืนนิ่งเหมือนชื่อ เขาอยากจะถามให้เคลียร์ แต่มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า และที่สำคัญไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของเขากับคนตรงหน้าที่ไม่มีใครรู้ และเมื่อไม่มีใคร เขาก็สามารถคุยอย่างเปิดเผย

“ข่าวที่ว่านายหายไป สรุปแล้วเป็นยังไง”

“เรื่องจริง”

“เกิดอะไรขึ้น”

“ผู้หญิงของฉันคือเหตุ”

ว่าแล้วภูผาก็เล่าให้ฟัง ไม่มีการปิดบังเพราะความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ผูกพันกันมานาน ในอดีตเด็กกำพร้าอย่างเขา จะเที่ยวซุกซนไปที่ไหนก็ไม่มีใครว่า ไม่มีใครห่วง ทุกพื้นที่ในภูเขาดำเขาไปมาหมดไม่มีความกลัว เจอใครก็ยิ้มก็ไหว้ อ่อนน้อมเข้าหา แต่เมื่อมีภัยหรือถูกกลั่นแกล้ง เขาสู้ยิบตา และไม่สนใจว่าจะเป็นใคร เก่งหรือใหญ่มาจากไหน ถ้าทำร้ายเขา เด็กชายสู้ไม่ถอย แล้วเขาก็ได้เจอกับเด็กชายอีกสองคน

หนึ่งในนั้นคือคนตรงหน้า เด็กที่มีพ่อเป็นผู้นำหุบผา ไม่ชอบต่อสู้แต่ชอบออกมาเล่นซนข้างนอก และถูกลั้นแกล้งบ่อย ๆ แต่ใจเด็ด ใจแข็ง อดทนต่อการถูกแกล้ง แต่เด็กอย่างเขาที่ไม่ยอมและไม่ชอบการเอาเปรียบกัน มาเจอเข้าก็เข้าปกป้อง ออกหน้า กระทั่งกลายเป็นความผูกพันที่แน่นเหนียว และเกี่ยวก้อยสัญญากันตามประสาเด็กว่าจะเก็บเป็นความลับ และจะช่วยกันดูแลที่นี่ แล้วใครจะคิดว่าสัญญาอันนั้นยังอยู่ และถือเป็นสัจจะกันจนถึงทุกวันนี้
********


ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ย. 2559, 07:40:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ย. 2559, 07:40:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1790





<< ตอน 9   ตอน 11 >>
แว่นใส 20 ก.ย. 2559, 11:13:38 น.
ดีนะยังมีเพื่อนอยู่


พอใจ 25 ก.ย. 2559, 12:03:28 น.
เพิ่งตามมาอ่านค่ะ
ภูผายังเหลือเพื่อนแท้อยู่ใช่ไหม?


Zephyr 23 ต.ค. 2559, 17:07:52 น.
ยังมีเพื่อนแท้อยู่ ดีจังดลย
นึกว่าจะโดดเดี่ยว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account