อรุณสวัสดิ์หัวใจ # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
ความรักก่อให้เกิดความทุกข์ และรักที่เป็นไม่ได้ทุกข์ยิ่งกว่า
ตากับยายหล่อหลอมให้หลานสาวมีวิธีคิดอย่างคนพอเพียง
แต่บุญก็พา วาสนาก็ส่ง ให้เธอเป็นไปเกินกว่าที่ใจปรารถนา..

ไกล สุดเอื้อมมือถึง ไกล อยู่ถึงฟ้ากั้น
ไกล ไปหลายคืนวัน ไย รักมิกรายจากใจ

รักคือการแบ่งปัน รักคือการห่วงใบ รักคือการเสียสละ และรักคือการช่วยเหลือ

"ฉันไม่ได้แย่งเธอมาจากใคร เพียงแต่ว่าฉันทำตามที่ใจฉันเรียกร้องเท่านั้น
ถึงฉันจะเหลวไหลไปตามประสา แต่วันหนึ่งฉันก็รู้ว่าฉันควรหยุดที่ใคร"..

ดุจบ่วง ร้อยรัด ดวงใจ
ยิ่งแก้ ยิ่งพันใจ ยุ่งเหยิง
ยิ่งหนี ยิ่งตามติด ยากหลบ
พบคน ที่หัวใจ วางไว้ ใช่เลย

"ฉันรักเธอตั้งแต่เห็นหน้า เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นเนื้อแท้จากข้างใน ฉันก็รักเธอยิ่งขึ้น หัวใจของฉันเพรียกหาผู้หญิงดีพร้อมคนหนึ่ง แล้วฉันจะปล่อยเธอไปได้อย่างไร"
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 7

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่าน เมื่อคืน ทางโรงพิมพ์((แบบปริ้นท์ออนดีมาน) นำหนังสือตัวอย่างมาให้ผมดู ตอนนี้ผมกำลังตรวจตราอีกรอบ ซึ่งอยากให้หนังสือเล่มนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุดและอยากให้คนที่รักสายบัว รักหนังสือเล่มนี้เช่นเดียวกันกับผม..อย่างไร สนใจ อรุณสวัสดิ์หัวใจฉบับ พอกเก็ตบุ๊ค ก็อีเมล์สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้นะครับ f_nakhon@hotmail.com

และที่เมล์มาแล้วโอนเงินมาแล้ว ก็ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หนังสือคงได้ต้นเดือน พ.ค.ครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ..


7.

“สายบัว…บัว” เสียงเรียกดังก้องแข่งกับเสียงรถด้วยความดีใจ ทำให้สายบัวที่กำลังสาวเท้าไปตามฟุตบาทต้องหันหลังกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครร้องเรียก ใบหน้าที่อมทุกข์เพราะเรื่องหัวใจก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที

“เฮ้ย ดิน ดิน ดินจริง ๆ ด้วย”

สายบัวกรากเข้าไปหาชายหนุ่มที่รีบวิ่งลงจากสะพานลอยมาหาเช่นกัน

“เรียนที่รามเหมือนกันรึ”

“ไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลยนะบัว อยู่ที่ไหน ทำอะไร เป็นอย่างไรบ้าง” แววตาของดนุสรณ์เป็นประกายเหมือนเคย เขาพูดพลางดึงข้อมือของสายบัวให้พ้นจากผู้คนมากมายที่ใช้สะพานลอย

เมื่อเห็นว่าถึงที่ควรหยุดคุยกันได้ถนัดแล้ว ดนุสรณ์ก็จ้องหน้าสายบัว ในดวงตาคู่นั้น สายบัวคุ้นเคย รู้ว่าดินมีใจให้ตนตั้งแต่ชั้นประถมด้วยซ้ำ

“โลกกลมจริง ๆ” เมื่อได้สติ ดนุสรณ์ หรือดิน เป็นฝ่ายแก้เขิน

“ปีไหน” สายบัวถามคืน

“รหัส 43 แล้วบัวล่ะ”

“43 เหมือนกัน บัวมาเรียนต่อที่ กศน. จนจบหกแล้วก็มาต่อที่นี่เทอม 2 คือไปเรียนพิมพ์ดีดเก็บวิชาชีพมาเทียบโอน ก็เลยเร็ว จนทันดิน”

“คณะอะไร”

“ตอนแรกลงคณะบริหาร เรียนไปๆ แล้ว มันยาก ไม่เข้าใจในหลายๆ วิชา ตอนนี้ก็คิดว่า น่าจะย้ายคณะไปเรียนอะไรที่มันเหมาะสมกับหัวสมองของบัว”

“ดินช่วยได้ ไปที่โรงอาหารไหม กินข้าวไปด้วย คุยกันไปด้วย เดี๋ยวเราเป็นเจ้ามือให้”

ดนุสรณ์เรียนเก่ง ตั้งแต่อยู่ที่บ้านนอก ดนุสรณ์สอบได้ที่หนึ่งตลอดมา ไม่แปลกที่ผู้ใหญ่บ้านจะภูมิอกภูมิใจในตัวดินหนักหนา และคุยไว้จนทั่วว่าสักวันลูกชายจะนำชื่อเสียงมาให้วงศ์ตระกูลและหมู่บ้าน

แววตาของดนุสรณ์บอกอะไรหลาย ๆ อย่าง ดีใจ และ สุขใจ ที่ได้เห็นคนตรงหน้าอีกครั้ง สายบัวแก้เขินด้วยการมองนั่นมองนี่ไป เล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางตักอาหารราคานักศึกษาเข้าปาก

“บัวยังชอบกินน้ำพริกกะปิไข่ชะอมเหมือนเคยเนอะ”

“ก็ของมันอร่อย เคยไปกินพิซซ่ากับเพื่อนแล้วมันเลี่ยนๆ ก็เลยหันกลับมาของไทย ๆ”

“เคยคิดเปลี่ยนใจบ้างไหม” คำพูดนั้นของดนุสรณ์เหมือนมีนัยยะอื่นด้วย

“เคยคิด แต่ไม่เปลี่ยนใจ” สายบัวตอบติดตลก แต่หน้าตาของดนุสรณ์นั้นเจื่อนลงด้วยความผิดหวัง

“เออ บัวคงต้องรีบกลับบ้าน เพราะเป็นเพียงคนรับใช้” สายบัว ต้องการให้ดินรู้ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยด้อยค่าเหมือนเคย คู่สนทนาถอนหายใจออกมา “บัวยังไม่มีใครใช่ไหม”

“อือ บัวยังไม่มีใคร แต่กาหลงมันลูกสองคนแล้วนะ มันส่งไปให้แม่มันเลี้ยงที่บ้านตากฟ้า”

“ถ้าดินไม่ได้เรียนต่อคงจะเป็นพ่อคนไปแล้วเหมือนกัน”

ดนุสรณ์พูดถึงอนาคตที่วาดหวัง เรียนนิติศาสตร์สู่เส้นทางอัยการ ผู้พิพากษา สำหรับสายบัว ไม่มีผังชีวิต ทำให้มันจบไปวันๆ ทำอะไรไปเพื่อใคร? บางที เธอนั้นหมดกระจิตกระใจอ่านหนังสือ มันไม่ได้อยากได้ใคร่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นดี ๆ ไปเพื่อใคร

“บัว เป็นอะไรใจลอย” เสียงของดนุสรณ์ดึงสติของสายบัวกลับมา

“ดิน มีแฟนหรือยัง”

“ยัง ก็” ยังไม่ทันที่ดินจะพูดจบ สายบัวก็รีบพูดแทรกขึ้น

“บัวอยากแนะนำใครสักคนให้ดินได้รู้จัก สวยนะ นิสัยดีด้วย เรียนรามด้วยกัน บัวรู้จักมาตั้งแต่เรียน กศน. แล้วนะขยันด้วยล่ะ”

“แต่ ดินยังเหมือนเดิมกับบัวนะ แล้วบัวก็บอกเองว่าให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ บัว ดินถามอะไรหน่อยเถอะ ดินมันไม่ดีตรงไหน” น้ำเสียงและแววตาของดนุสรณ์หม่นลง

“ดิน” สายบัวพูดได้แค่นั้น ถ้าดินเป็นเหมือนเธอ สายบัวรู้ว่ามันเจ็บปวดเพียงไหนไยเธอจะไม่เข้าใจไอ้อาการรักเขาข้างเดียวนี่ล่ะ

“ให้โอกาสดินบ้างนะบัว บัวยังไม่มีใครใช่ไหม”

“ไปเถอะบัวอิ่มข้าวแล้ว” สายบัวไม่ตอบประเด็นนั้น เธอรีบลุกขึ้น ถือหนังสือ แล้วรีบลุกออกมาจากโต๊ะอาหาร

สายบัวเดินลิ่ว ๆ จุดมุ่งหมายคือป้ายรถเมล์ ดนุสรณ์ไม่ได้เดินตามมา หญิงสาวเหลียวหลังกลับไปมองพบว่าเขาถือหนังสือยืนจังก้าอยู่กลางแดด มองเธอเช่นกัน หยุดเพื่อใคร่ครวญ

ตรงนี้ถึงตรงนั้นมีสายใย

อีกไม่นานใยนั้นจักขาดลง

เธอและเขาจะต้องยืนอย่างทระนง

คงเป็นเพื่อนร่วมทางเจ็บปวด



ชมรมศิลปะ สามารถดึงความทรงจำของสายบัวมาเก็บบันทึกไว้ เริ่มจากการฝึกลายเส้น ใช้สีร้อนสีเย็น แสงเงา ดังนั้นสายบัวจึงปล่อยอารมณ์ให้จมดิ่งอยู่กับคุณหมอโกมุท

“วาดรูปดอกบัวสีแดงอีกแล้ววาดรูปดอกอื่นไม่เป็นหรืออย่างไร…”

“เป็นซิ” แต่พลังสร้างสรรค์งานศิลป์นั้นสายบัวรู้ว่ามาจากตรงไหนของหัวใจ


ก้านบัวบอกตื้นลึก ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดบอกคำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้าย แสลงดิน

แล้วสายบัวก็วาดรูปดอกแค ดอกโสน ช่อข้าวฟ่าง ดอกข้าวโพด ชนิดใครเห็นก็รู้ว่า ศิลปิน เติบโตมาจาก ณ ถิ่นใด

เธอชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ๆ เรียนเป็นเรื่องเป็นราวทำให้เชิดหน้าชูตา เพื่อนฝูงห้อมล้อม อาจารย์ออกปากชม ก็ตอนอยู่ ม. 3 โชคดีที่มีโอกาสมาอยู่ชมรมนี้ จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว เธอมีความฝัน แม้มันยังไม่บรรเจิด แต่เธอก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันลงตัว

‘เจ็บจนลงตัว’

เป็นคนต้องฝึก ฝึกกับคนแก่ที่โตมากับจารีตประเพณีแบบชาวพุทธแท้ ๆ หล่อหลอมกายและใจจนเป็นเธอ มีเสน่ห์ในแบบที่หาได้ยากในเด็กสาวปัจจุบัน

เรื่องใส่บาตรในตอนเช้า บัดนี้เธอสามารถรวมตัวกันในบรรดาคนรับใช้ ตั้งโต๊ะส่วนในที่สุดท้ายได้ แม้มันจะเป็นอาหารที่ผลัดเปลี่ยนกันจัดหามาตามอัตภาพ แต่เธอก็ปลื้มใจที่ตายาย พ่อแม่ ได้มีข้าวทิพย์กินทุกวัน ใจคิดเรื่องที่ทำให้อิ่มใจ มือก็ตวัดวาดรูปไปด้วย

“ใครครับ”

“คนรู้จักค่ะ”

ผู้ชะโงกหน้ามาดูถอยหลังออกมา ถอนหายใจอย่างแรง สายบัวมีเกราะกำบังใจ ไม่สามารถให้ใครผ่านเข้าไปได้

“แฟนหรือครับ”

“คนมีพระคุณ”

“ยังหนุ่มอยู่เลย พี่ชายหรือครับ”

คนมาขายขนมจีบสายบัว รู้หมดแล้ว ว่าจะนำเสนออย่างไร และจะต้องตอบว่าอย่างไร เงียบคือสิ่งที่ดีที่สุด

“สายบัว กินข้าวโว้ย ไอ้รูปดอกไม้ดอกไร่และผู้ชายคนหน้าตาดีเกินคนน่ะเก็บเอาไว้ก่อน สุขใจ แต่กายมันจะพังเอานา”

ถ้ามาแบบนี้ ถึงไหนถึงกัน ยอมให้ตบหัวแล้วก็ลูบหลัง แต่สายบัวก็จะลูบหลังแล้วตบหัวคืนบ้าง

ปีสองแล้ว เกรดออกมาเป็นที่น่าพอใจ คือผ่าน ไม่เคยตกยกบอร์ด จึงเป็นเครื่องยืนยันให้คุณชวนชมได้รู้ว่า ตั้งใจมาเรียนจริง ๆ ไม่ได้เหลวไหลไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ดังนั้นจึงมีเวลาที่จะทำกิจกรรมมากขึ้น ทำกิจกรรมย่อมรู้จักผู้คนและวิถีการอยู่รอดในสังคม

“ไปเที่ยวด้วยกันไหม”

“ที่ไหน”

“ทะเล”

“มีใครไปบ้าง” ใครในที่นี้หมายถึง คนที่คิดไม่ซื่อ คิดมากกว่าคำว่า รุ่นน้อง หรือเพื่อน

“ถ้ามี ‘ขัตติยะ’ เธอจะไม่ไปใช่ไหม แล้วทำไมไม่ให้โอกาสมันบ้างล่ะ มันดีนะ ครอบครัวดี หน้าตาดี การศึกษาก็ดี”

สายบัวยกมือห้ามปราม

“แต่สายบัวคงไม่คู่ควรกับเขาหรอก สายบัวลูกกำพร้า เป็นเพียงคนรับใช้ในบ้าน มาจากตระกูลต่ำต้อย เพียง ‘เพียรกสิกรรม’ ตัวดำ ใจดำ”

“ข้อหลังพี่เห็นด้วย แต่หมดสมัยศักดินาแล้วน้อง”

“อย่าเลยพี่ บอกให้เขาไปหาผู้หญิงที่ดีกว่าน้องเถอะ นะ”

“บอกมันเอง”

“เคยบอกไปแล้ว แต่เขาไม่ฟัง”

“ตัดรักมันไม่ง่ายหรอกบัวเอ๊ย มันก็ต้องสู้ยิบตานั่นแหละ ใช่ไหม”

“ค่ะ ต้องสู้ให้ยิบตา” ปากตรงกับใจ แต่เธอนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าจะสู้เพื่อคุณหมอในแบบไหน เส้นทางนั้นมีแต่คำว่า ‘ผิด’ และ ‘โง่’ ทำตัวให้ดีเข้าไว้ เป็นดีที่สุด ที่เหลือก็สุดแต่โชคชะตาฟ้าประทานมาให้

ตราบใดที่หัวใจไม่บอกว่า ‘ใช่’ เธอก็จะยังไม่เปลี่ยนใจ ไปรักใครเด็ดขาด ก็รักมันเป็นแรงใจไม่ใช่หรือ เดินทางมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะเขา ‘คนมีบุญคุณ’

“กูบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับบัวมึงก็ไม่เชื่อ” เป็นเสียงของขัตติยะที่แทรกผ่านความเงียบเข้ามา

“กูละสงสารมึงจริง ๆ ไอ้ยะ นึกจีบผู้หญิงทั้งทีเขาก็ไม่เล่นด้วย ไม่คิดลองจีบผู้ชายบ้างหรือ”

“อ้วก นี่มึงพูดเป็นนัยอะไรหรือเปล่า”

แล้วคนทั้งคู่ก็ชกต่อยกันหยอกเย้ากัน สายบัวทำงานไปเรื่อย ๆ ความสุขของเธออยู่ตรงนี้ ภาพวาดจินตนาการ คนปรารถนาดีต่อกันและเพื่อนที่รู้ใจอย่างวิลาวัลย์และคนที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างดิน กับพี่ขัตติยะ

“บัว” สายบัวหันไปตามเสียงร้องเรียกอันคุ้นเคย

“ว่าไงวิ”

พูดยังไม่ทันขาดคำ สายบัวก็พบอีกคนยืนยิ้มร่าอยู่คู่กัน

“ไปกินข้าวกันบัว วันนี้ดินเลี้ยง” สายบัวมองหน้าวิลาวัลย์ อยากให้คนทั้งคู่ทำความสนิทสนมกันมากขึ้น อยากให้ดินยอมรับกับ ‘ตำหนิ’ ของวิลาวัลย์ได้

“บัวอิ่มแล้ว”

“ไปเถอะนะ หมกมุ่นมากไปก็ไม่ดี”

แล้ววิลาวัลย์ก็ลากสายบัวออกจากชมรมศิลปะไปจนได้ เมื่อเดินพ้นจากตึกสายตาของวิลาวัลย์ก็ปะทะกับเจ้าของรถหรู ซึ่งกำลังลงจากรถแล้วปิดประตู

“บัว คุณอารักษ์ เห็นไหม มาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

“ไม่เห็นอยากรู้เลย” สายบัวปฏิบัติอย่างที่พูดได้จริง ๆ หญิงสาวและดินคนบ้านอยู่ตากฟ้าเดินเร็วจนวิลาวัลย์ต้องรีบก้าวเท้ายาวจนเหมือนคนกำลังวิ่ง

“ฉันเหนื่อยนะ จะไปตามฟายที่ไหนกัน”

“ออกกำลังกายหน่อยจะได้กินข้าวได้เยอะ ๆ วันนี้ดินเลี้ยงไม่ใช่หรือ เจ้าภาพกระเป๋าหนักต้องกินให้เรียบ”

ถึงแม้จะคงสถานะไว้แค่เพื่อน แต่สายตาของดินที่มองมาทางสายบัวนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“กินได้ก็กินดิ แต่เป็นในโรงอาหารเท่านั้นนะ” นิสัยคนบ้านเดียวกัน เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ก็เหมือน ๆ กัน คือต้องรู้จักประมาณตนเอง เพราะพระครูที่โรงเรียนพร่ำสอนเสมอว่า ‘กินแค่อิ่ม นอนแค่หลับ และอยู่แค่ตาย’

“บัว พี่ขัตติยะเป็นไงบ้าง”

“ถอยออกไปแล้ว คงเบื่อคนไม่สวยแล้วเล่นตัวเก่งอย่างฉันมั้ง” คำพูดนั้นของสายบัวคล้ายส่งสัญญาณช่วยเหลือใครบางคน

สายบัวรู้ว่าวิลาวัลย์นั้นชอบดิน แต่ว่าดินนั้นไม่ได้ชอบวิลาวัลย์แบบคนรัก ดินเคยบอกสายบัวว่า

“ดูเขาสูงเกินไปสำหรับดินนะ เหมือนมีเส้นบาง ๆ กั้นดินกับวิ คงเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละบัว”



ขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งรับประทานอาหารแล้วต่างคนต่างโม้ถึงเรื่องความยากของวิชาที่ได้ลงทะเบียนเรียน สายบัวก็เห็นคุณอารักษ์เดินมาสั่งอาหาร ยืนรอแล้วถือมานั่งในที่ตรงกันข้ามกับสายบัว เมื่อนั่งแล้วก็ทำเป็นไม่ได้สนใจว่ามีใครนั่งอยู่ก่อนแบบคนส่วนใหญ่ปฏิบัติกัน ที่ตรงไหนว่างสะดวกรีบกินแล้วก็รีบออกไป

“สวัสดีค่ะ คุณอารักษ์” วิลาวัลย์เป็นฝ่ายร้องทักก่อน

“สวัสดีครับคุณวิโลกกลมจริง ๆ เลยครับ”

“มาทำอะไรคะ”

“ไม่เห็นอยากรู้เลย” สายบัวเปรยขึ้นมาแทรกการสนทนาอันสุภาพนั้น

“ผมมาหาเพื่อนผมครับ”

“เรียนคณะไหนคะ” วิลาวัลย์ยังไม่เลิกโปรยเสน่ห์ ก็อย่างนี้ซิน่า ดินถึงว่า ไม่มีทางทันวิลาวัลย์อย่างแน่นอน สายบัวส่งสายตาเขียวเข้ายุติบทสนทนาของวิลาวัลย์กับอารักษ์ แต่หาเป็นผล

“ไม่ได้เรียนครับ เป็นอาจารย์พิเศษ”

สายบัวแทบสำลักน้ำส้มปั่นที่กำลังดูดลงคอ

“เป็นอะไรบัว” ดินรับมุกนั้นขึ้นมาเสียอีก

“คือบัวคิดว่าคนอื่นเขาได้ดิบได้ดีเป็นครูบาอาจารย์กันแล้วแต่ แต่เจ้านายของบัวนี่ซิ”

“บัว” วิลาวัลย์ปรามสายบัวบ้างเมื่อเห็นว่ากำลังจาบจ้วงเจ้านายสุดหล่อซึ่งทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่สนใจว่าใคร ๆ ที่เดินไปเดินมามองไฮโซหนุ่มเป็นตาเดียวกัน

“ปะวิ ดิน อิ่มแล้วก็ไปตามทางของเรา ทางของคนใช้” สายบัวว่าให้แล้วก็ลุกขึ้น เมื่อลุกเร็ว ๆ จึงทำให้ต้นขาชนกับโต๊ะอย่างจัง

“ดีสมควร” คนที่กำลังนั่งเคี้ยวข้าวพูดขึ้นมาเบา ๆ พอให้ได้รู้สึกเจ็บใจเล่น

“วันนี้กลับบ้านหรือเปล่า” ขณะสายบัวจะหมุนตัวกลับเขาก็รีบถามขึ้น

“ทำไมรึคะ” อดถามคืนไม่ได้เช่นกัน

“ก็แค่อยากบอกให้เธอรู้ว่า เธอเป็นเด็กในบ้าน เป็นเด็กคุณชวนชม ได้ข่าวว่าส่งเสียให้เรียนก็เลยอยากรู้ว่าทำงานคุ้มเงินเขาบ้างหรือเปล่า ก็เท่านั้น”

พูดจบคุณอารักษ์ก็ลุกขึ้นพร้อมกับยกแก้วอัดลมสีดำขึ้นมาดูดแล้วยักคิ้วเข้าใส่ สายตานั้นกวนประสาทเหมือนเคย สายบัวอยากจะกรี๊ดใส่เสียจริง แต่นึกถึงว่าตนเป็นใครแล้วเขาเป็นใคร กับคนที่เขาเอ่ยถึงเป็นใคร สายบัวจำต้องสงบปาก

“ทราบค่ะเจ้านาย คนอย่างสายบัวไม่เคยลืมข้าวแดงแกงร้อนของใครหรอก ใครดีมาดีตอบใครร้ายมาก็ร้ายตอบ”

“จริงอ่ะ”

“ไปบัว ไปก่อนนะคะคุณอารักษ์ ดินไป” แล้วสายบัวก็ถูกวิลา
วัลย์ลากออกมาข้างนอกด้วยความหงุดหงิด คุณอารักษ์พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรนะ ก็คุณชวนชมปล่อยให้เธอเป็นอิสระมากขึ้น งานในบ้านน้อยลง และก็เพิ่มเงินเดือนเพื่อให้คล่องต่อการไปเผชิญโลก จริง ๆ เธอก็ไม่ได้อยากได้เพราะเงินเก่า เงินเก็บใหม่ก็ถือว่ามากพอให้ตัวเองเรียนจนจบได้สบาย ๆ อยู่แล้ว

‘รับไปเถอะ ฉันเก็บมันมานาน เบ่งบานเป็นดอกเบี้ย ยังไม่รู้จะไปใช้ตรงไหนหมด ฉันว่าเธอน่าจะมีโอกาสไปไกลกว่าที่ฉันคิดไว้ บางทีไม่แน่นะ สายบัว ไม่แน่ ความฝันของเธออาจจะเป็นจริงก็ได้’

‘รู้ได้ไง’

‘ฉันมั่นใจอย่างไรก็ไม่รู้ ความรักมันก็มีพลานุภาพของมัน ถ้าเธอปักใจจะรักเขา เพราะมันทำให้เธอมีพลังเพื่อทำให้ชีวิตมันดีขึ้น ๆ มันก็น่าจะรักเขานะ’

‘แอบไปดูภาพวาดของดิฉันมาแน่ ๆ เสียมารยาทจัง’

‘เอ๊ะแม่นี่ ก้าวร้าวใหญ่แล้ว ยอมรับว่าเสียมารยาท’

‘ก็สอนบัวเองนี่’

‘ภาพดอกบัวสีแดงสดบาน ชูช่อด้วยก้านบัวรับแสงสว่างจากพระอาทิตย์ ปริศนาในหัวใจคนวาด’

คุณชวนชมเข้าใจ อย่างที่เธอตั้งใจไว้ เธอชอบอะไรแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน และตั้งราคาแต่ละภาพไว้ไม่แพง เพราะไม่อยากให้ใครได้แต่ฝัน ว่าอยากจะมี แต่อยากให้ได้ เมื่อเห็นว่าต้องการ

บ้างก็ว่าค่าของมันจะลดลง

เชยชมเพียงชั่วคราว ดีกว่า สูงสุดเอื้อมมือถึง มันทุกข์เสียมากกว่าสุข

‘ถ้าฉันแก่เฒ่าลงไปอย่าทิ้งฉันละกัน’

‘เหงาไหมคะ’

‘ไม่เหงาหรอก มีเรื่องให้ทำตลอด เธอก็เห็น นี่แม่กระแตมันก็ออกเหย้าออกเรือนไปแล้ว ก่อนจะไป มันก็ดี ยังมีใจไปเอานังส้มเช้งมาให้ใช้ แต่ดูท่าแล้ว คงจะเอาดียาก’

พูดถึงกระแตคนสองคนก็อมยิ้มให้กัน วันนั้นกระแตพาเพื่อนชายคนที่สายบัวคุ้นเคยเข้าบ้าน ป้าละเอียดถึงกับเต้นเร่า ๆ หลานสาวผู้เคยเป็นกำลังของครอบครัวที่บ้านนอกจะขอออกเรือนไปกินอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่ามีหรือคนเป็นผู้ใหญ่จะเห็นดีเห็นงาม

แต่ไม้เด็ดที่กระแตหยิบมาใช้ก็คือ

‘ก็หนูมีอะไรกับเขาไปแล้วนี่ จะให้ทำอย่างไร’

สุดท้ายก็ต้องเลยตามเลย แล้วก็ปล่อยให้กระแตไปตาม ‘ยถากรรม’

‘หัวเราะเยาะเขาระวังตัวเองบ้างเถอะสายบัว วันหนึ่งถ้าเธอทำอย่างแม่กระแตฉันตีตาย จริง ๆ นะ’

‘ดิฉันคงไม่กลับมาขอหรอกค่ะ หายลับเข้ากลีบเมฆไปเลย’

รู้ว่าคุณชวนชม มองตนเหมือนลูกเหมือนหลาน ปรารถนาดีและหวังฝากผีฝากไข้กันยามแก่ตัวลง

และสุดท้ายของการสนทนาก็คือ เรื่องสายตาของอารักษ์ที่มองตนนั้นเปลี่ยนไป

‘ระวังตัวไว้บ้างแล้วกัน ไม่จำเป็น ก็อย่าขึ้นข้างบนตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน’

คุณชวนชมมักจะออกไปแก้เหงา ด้วยการรำพัดกับกลุ่มเพื่อน ๆ ส่วนคุณผู้หญิงก็มีงานต้องให้ออกทั้งกลางวันและกลางคืน นาน ๆ จึงเห็นทำตัวสบาย ๆ อยู่บ้าน แม้กระนั้นก็ยังมีเครื่องทรงเต็มยศ

ส่วนลูกชายคนที่มีเรื่องจุกจิกกับเธอเป็นประจำนั้นก็ยังเหมือนเดิม เดี๋ยวมาอยู่บ้าน มาป่วนแล้วก็หายไป กลับมาอีกทีก็มีอะไรจุกจิกมาหยอกมาแหย่เธอได้เรื่อย

ส่วนวันนี้เขามีจุดประสงค์กับการพูดอย่างนั้นทำไมนะ สายบัวยังไม่เข้าใจ




วันนั้นสายบัวแยกกับดินและวิลาวัลย์ ด้วยเทศนาของวิลาวัลย์กัณฑ์ใหญ่ทีเดียว

“ทำไมเธอกล้าพูดกับเขาอย่างนั้นละบัว นึกถึงหน้าตาอันแสนดีของเขาบ้างซิ”

“ไม่ ไม่อยากนึก ฉันนึกถึงเขาฉันก็จะเห็นแต่เรื่องอุบาทว์ เธอคิดดูนะวิ เขาแกล้งฉันนะ” สายบัวนึกถึงตอนที่เธอขึ้นไปเก็บกวาดชั้นบนกับส้มเช้ง แล้วก็ได้ยินเสียงซีดซาดดังออกมาจากในห้อง จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเขาจงใจดูหนังโป๊ เพื่อแกล้งเธอ สำหรับเธอนั้น พอรู้ทางแก้ แต่เด็กอย่างส้มเช้งล่ะมันจะเป็นอย่างไร เขาคิดรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำขึ้นมาหรือเปล่า พออดรนทนรอให้เขาเปิดห้องให้ทำความสะอาดไม่ไหว เธอก็เคาะเรียกเสียงดัง พอเข้าไปใช่ว่าจะปิดยังเปิดทิ้งไว้ เพียงปิดเสียงเท่านั้นเอง แค่คิดจะเล่าก็แขยงปากแล้ว

“แกล้งอย่างไรบ้างล่ะ” สายตาคนถามยิ้ม ๆ

“แกล้งอย่างไง ก็ เหอะ แกล้งก็แกล้ง แล้วฉันก็ไม่ให้อภัยด้วย เขาเคยเสนอซื้อตัวฉัน 500 บาท”

“เธอโกรธเพราะมันแค่ห้าร้อยบาทใช่ไหม”

สายบัวตีเพี๊ยะเข้าให้ที่ปลายแขนของวิลาวัลย์

“บัวฉันได้กลิ่นแปลก ๆ อย่างไรก็ไม่รู้นะ ไม่แน่นะเจ้านายเธอ
อาจจะชอบเธอก็ได้”

“ชอบที่ไหนกัน เขาพนันกันกับเพื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ละคนเธอก็เคยเห็นนี่วิ ปากอย่างกับชักโครกสกปรกโสมมไม่รู้คบหากันได้อย่างไร ถึงว่าคนมันเกเรไม่ได้สนใจเรียน เพื่อนก็เลยมีแต่ประเภทนั้น ผิดกับคุณหมอ”

“ยังไม่เลิกละเมออีกนะเธอ บอ อา ปอ บาป สะ-กด เป็นไหมจ๊ะ แต่เอ๊ะ เธออย่าลืมซิ เพื่อนเขาที่เป็นอาจารย์พิเศษในรามนั่นก็มีนะ อย่าลืมนะบัว เขาน่ะเด็กไฮสกูลนะจ๊ะ เขาเกเรตอนโตใช่ว่าตอนเยาวเรศแรกรุ่นน่ะ พวกเขาไม่ได้ผ่านกระบวนการฝึกอย่างเป็นระบบจากบราเดอมานะ แล้วก็อย่าลืมพื้นฐานของคน มันอยู่ที่ตอนปฐมวัย ฉันมั่นใจอย่างไรก็ไม่รู้ว่าคุณอารักษ์เนี่ยไม่ธรรมดา เพียงแต่วันนี้เขาแสวงหาบางอย่างในตัวเองก็เท่านั้น”

“ตัวชอบเขาซิ แล้วดินที่ให้ฉันเป็นแม่สื่อให้ล่ะ”

“โอ๊ะ ระดับวิลาวัลย์ ใครทำให้ฉันพอใจได้ก่อน หรือฉันคลิกกับใครได้ลงตัวก่อนฉันก็เลือก คน ๆ นั้นแหละจ้ะ”

“ตั้งปณิธานไว้อย่างนี้ซิมันถึง” แล้วสายบัวก็สงบคำที่คิดจาบจ้วงเพื่อนไว้ในปาก

“ไปแล้วนะวิ ฉันจะบอกเขาให้แล้วกันว่าเธอสนใจเขา น้ำมันกับไฟใกล้กันคงมันส์หยด”

ขณะที่สายบัวคนขายาวซึ่งอยู่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดปล่อยผมให้ยาวสยายไปกับแผ่นหลัง กำลังเดินหอบกระเป๋าและอุปกรณ์วาดภาพกลับบ้าน พลันเสียงแตรรถก็ดังไล่หลังติด ๆ กัน สายบัวหันหลังกลับไปแล้วทำตาเขียวเข้าใส่

“ไปกับพี่ไหมจ๊ะน้องสาว”

สายบัวแยกเขี้ยวให้แล้วก็ทำท่าจะยกนิ้วกลางข้างซ้าย แต่สติระลึกได้ก่อนว่าไม่งาม เธอจึงเพียงตอบไปว่า

“ไปหาเอาข้างหน้าเถอะพี่”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2554, 11:17:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 11:17:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 2594





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
mottanoy 6 เม.ย. 2554, 12:00:59 น.
เอชักมีลุ้นแฮะ


ก้อนอิฐ 6 เม.ย. 2554, 15:58:42 น.
คุณอารักษ์ออกน้อยจังเลย...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account