น้ำค้างเปื้อนสี

'เพชร' ของสูงค่าที่ใครๆ ต่างหมายปอง

ชีวิตของ ‘เธอ’ จึงถูกเจียระไนเพื่อให้เป็นเพชรน้ำงามที่สุดที่เจ้าของจะได้อวดใครๆ

แต่กว่าจะเป็นเพชรต้องผ่านความร้อน ชีวิตคนเล่า ต้องผ่านความทุกข์สักเพียงไหน เมื่อคนคนหนึ่งหวังให้เพชรเปรอะเปื้อนโคลนตม



หากในวันที่เพชรอับแสง 'เขา' จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของเพชร และต่อให้เพชรมีรอยร้าว เธอก็ยังเป็นเพชรเม็ดเดียวในใจที่เขาปรารถนาจะครอบครอง


Tags: ดราม่า แอบรัก รักต้องห้าม สะท้อนสังคม

ตอน: บทที่ ๒





"พ่อ ยัยหนึ่งนี่เป็นหลานแท้ๆ ของคุณแอ๊วหรือ หน้าไม่เหมือนกันเลย"

ดัสกรวางช้อนไอศกรีมหลังบุตรชายถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และเขาคิดว่าต้องตอบคำถามนี้ยาวพอสมควร

"ใช่ คุณหนึ่งเป็นลูกสาวของน้องสาวคนเดียวของคุณแอ๊ว เป็นหมออยู่ที่ขอนแก่นนู่น พ่อคุณหนึ่งก็เป็นหมอ แต่เพิ่งเสียพร้อมกันเพราะรถคว่ำหรือรถชนนี่แหละ"

"โห"

ดรัณไม่ได้ตกใจกับอุบัติเหตุ แต่รู้สึกเหลือเชื่อประสาเด็กที่คิดว่าอาชีพแพทย์เป็นเรื่องไกลตัว

"แกรู้เปล่าว่าคุณหนึ่งหมายมั่นจะเป็นหมอเชียวนะเว่ย"

"ถึงว่าล่ะ ทำตัวอวดฉลาดยังไงไม่รู้"

"ถ้าแกทำอย่างเขาไม่ได้ แกก็ต้องเกาะติดคุณหนึ่งไว้นะไอ้รัน" ผู้เป็นพ่อเตือนแกมขู่ "เกิดฉันกับคุณแอ๊วเป็นอะไรไป อนาคตแกลำบากแน่ เผลอๆ ต้องกลับไปอยู่ต่างจังหวัดกับย่าแกนู่น เข้าใจความหมายใช่ไหม"

เข้าใจ... เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งเดี๋ยวนี้เองว่าพ่อพาเขามาอยู่ด้วยทำไม ดรัณรู้สึกเจ็บลึก ในใจอยากดิ้นเร่าเหมือนเด็กยามถูกฝืนใจ เขาไม่ชอบยัยนั่น เจ้าหล่อนไม่ใช่เพื่อนในแบบที่เขาคบหา ไม่อยากแม้แต่ให้ใครมองเห็นตนกับเจ้าหล่อนรู้จักกัน

เด็กชายผลักถ้วยไอศกรีมออกทั้งที่ยังกินไม่หมด ท่าทางกระฟัดกระเฟียดนั้นทำเอาดัสกรอยากเตะมันสักป้าบ มันคิดว่าตัวเองวิเศษมาจากไหนถึงทำเป็นรับไม่ได้ ในเมื่อทุกบาททุกสตางค์ที่มันใช้ก็มาจากเงินที่เขาได้มาด้วยวิธีการเดียวกันทั้งสิ้น

"อย่ามาทำท่าทางอย่างนี้นะ พ่อไม่ชอบ" เขากดเสียงหนักให้รู้ว่าเอาจริง

ดัสกรคว้าใบเสร็จบนโต๊ะไปจ่ายเงิน ก่อนเดินกลับมาผลักศีรษะบุตรชายให้ลุกตาม

"ไม่กินก็ลุก จะได้ไปรอรับน้อง"

ดรัณลุกตาม หาไม่แล้วพ่อคงตีเขากลางห้างได้จริงๆ เมื่อวันนี้ไม่มีกุสุมามาด้วย

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะยัยนั่นคนเดียว คิดแล้วแค้นใจนัก เขาจะต้องทำให้หล่อนไม่มีความสุขในบ้านเช่นเดียวกันกับตนให้ได้

พลันดรัณก็นึกอะไรได้ขึ้นมา...

"พ่อ ผมอยากได้กีตาร์ เอาแบบไฟฟ้า ต่อแอมป์ด้วยนะพ่อ"

ดัสกรผินมองลูกชายวัยรุ่น มันเปลี่ยนเรื่องปุบปับจนพ่อตามไม่ทัน

"เอาไปทำไร"

"ก็... เอาไปซ้อมไงพ่อ ที่เรียนๆ ไปน่ะ"

ผู้เป็นพ่อพยักหน้าเห็นดีด้วย ถ้าเด็กหญิงน้ำหนึ่งได้เปียโนหลังใหม่ กุสุมาก็คงให้ในสิ่งที่ลูกของเขาต้องการได้เช่นกัน

ดัสกรโอบไหล่ลูกพลางตบบ่าที่มันรู้จักคิดได้ เขาเห็นประตูกระจกของโรงเรียนสอนภาษาเปิดออก บรรดานักเรียนเริ่มทยอยออกมา หนึ่งในนั้นคือเด็กหญิงผิวซีด รูปร่างผอมเพรียว ดัสกรลดเสียงบอกบุตรชายขณะเด็กหญิงกำลังเดินตรงมาหาพวกตน

"วันไหนคุณแอ๊วมารับ แกพูดแบบเมื่อกี้อีกทีนะไอ้รัน"

ดรัณมองพ่อยิ้มแย้มทักทายหลานสาวของคนรัก เรื่องปั้นหน้าเห็นจะไม่มีใครเก่งเท่าพ่อของเขาจริงๆ โดยเฉพาะสีหน้าของเขาที่ฉายชัดว่าเซ็งเต็มที

"หิวเปล่าครับคุณหนึ่ง แวะทานไอศกรีมก่อนไหม"

"ไม่หิวค่ะ" น้ำหนึ่งตอบด้วยความเกรงใจเสียมากกว่า ก่อนถามถึงป้าของตน "ป้าล่ะคะคุณกร"

"ป้าคุณหนึ่งท้องเสียครับเลยให้ผมมารับคนเดียว กลับไปจัดการคุณป้าเลยนะครับ"

ดรัณมองรอยยิ้มขันที่พ่อกับเด็กหญิงมีให้แก่กัน ดูเหมือนพ่อจะเข้ากับใครได้เสียหมด แม้แต่เด็กซึมกะทืออย่างเจ้าหล่อนก็ตาม

เขาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งโดยไม่พูดไม่จา ใจลอยละลิ่วกลับไปหาเครื่องเล่นเกมที่บ้านเสียแล้ว เมื่ออยู่ในห้องลำพังนั่นแหละจึงจะพบความสุข



ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่อาจส่งผลต่อชายหนุ่มที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ ดัสกรมองหุ่นกำยำของตนซึ่งสะท้อนในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความพึงพอใจ กล้ามเนื้อเป็นมัดเป็นลอนสมกับที่เขาหมั่นดูแลตัวเอง

ชายหนุ่มบรรจงทาครีมต่างๆ บนใบหน้าซึ่งโกนหนวดเคราทุกวัน นอกจากร่างกายแล้วเขายังดูแลผิวพรรณอย่างดี ใบหน้าของชายวัยสามสิบหกจึงอ่อนเยาว์กว่าวัย

ดัสกรปิดกระปุกครีมเมื่อมองเห็นคนบนเตียงเริ่มขยับตัว เขาก้าวไปกุมมือกุสุมาใต้ผ้าห่มผืนหนา ไต่ถามถึงอาการด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"เป็นไงบ้างครับพี่ ดูสิ ผมบอกให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่ไป"

"หายแล้วน่า แค่เพลียนิดหน่อย"

สาวใหญ่ยิ้มสุขใจที่มีคนเป็นทุกข์เป็นร้อนไปกับตน เมื่อเธอกางแขนออกเล็กน้อย ร่างหนาก็โน้มลงมาอย่างรู้งาน กุสุมาจิกปลายเล็บกับต้นแขนของเขาทุกครั้งที่เขาสัมผัสตำแหน่งที่เธอพอใจ

เมื่อตลบผ้าห่มออก ลมหายใจของชายหนุ่มก็สะดุดทุกครั้งเมื่อเห็นร่างอวบอิ่มในชุดนอนซีทรู กุสุมายังสาวกว่าวัยมาก อาจเพราะเจ้าหล่อนไม่มีลูกด้วยกระมัง นับเป็นโชคดีของเขาที่ไม่ต้องทนหลับนอนกับผู้หญิงเหี่ยวๆ หย่อนคล้อยตามวัย

เขาตั้งใจสร้างความสุขให้เธออย่างที่กุสุมาจะต้องเต็มอิ่มเพราะเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะนั่นหมายถึงความสำคัญที่เขามีต่อเธอ

"พี่แอ๊วเผลอใส่ชุดแบบนี้ออกไปนอกห้องไม่ได้นะครับนี่" เขาเปรยโดยมีร่างอวบอัดในชุดนอนกอดเกยกับอกตน

"ฮื้อ ทำไม"

"โธ่ ก็บ้านเรามีเด็กๆ แล้วสิครับ"

กุสุมาหัวเราะเสียงพลิ้ว กลับมาแจ่มใสเหมือนได้ยาดี

"ทำไม หวงพี่หรือหวงลูกล่ะ"

ดัสกรลอบกลอกตาให้กับคนสำคัญตนเช่นนั้น อยากตอบเหลือเกินว่าเขาอายแทน

"ผมห่วงพี่ต่างหากล่ะครับ เกิดคุณหนึ่งมาเห็นเข้า"

นั่นสินะ เด็กอย่างน้ำหนึ่งจะไปรู้อะไรเรื่องสรีระหรือความต้องการของมนุษย์ และเธอก็ยังต้องการรักษาความรักความนับถือจากหลานคนเดียว

"ขอบใจนะที่เตือน"

เธอตบลงบนอกคนรักเบาๆ ก่อนลุกขึ้นนั่งรวบผมเมื่อแสงของวันใหม่ทอดผ่านผ้าม่านบางเข้ามา พร้อมกับที่ดัสกรรู้ตัวว่าจวนได้เวลาเข้านอนจริงๆ ของเขาเสียที



ในชีวิตของดรัณไม่เคยได้สิ่งใดมาง่ายๆ ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษอย่างเช่นวันเกิด เขาก็ไม่เคยได้รับของขวัญใดๆ เลย แต่เพียงมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงเดือน ดรัณได้มีโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นเครื่องแรก มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เกมรุ่นใหม่ที่อยากได้ และ...กีตาร์ไฟฟ้า ทั้งหมดนี้มันมากกว่าที่เขาจะกล้าคิดอยากได้มาเป็นของตน

เด็กชายกรีดปิ๊กลงบนเส้นสายซึ่งขึงตึง แล้วก็ต้องหลับตารับฟังเสียงก้องกังวานที่ดังผ่านลำโพงตั้งพื้นออกมา มันให้เสียงดังสะท้อนเข้าไปถึงใจดีชะมัด ถูกใจเขายิ่งกว่ากีตาร์ตัวที่เรียน

"เคลิ้มเชียวนะ"

เสียงพ่อดึงสติเขากลับมา เมื่อเห็นสายตาเยาะหยันคู่นั้น ดรัณก็ให้ร้อนเห่อบนใบหน้าชอบกล

"หายเคลิ้มแล้วก็ลงไปขอบคุณคุณแอ๊วอีกที"

"ผมขอบคุณแล้ว"

"ก็ให้มันเป็นกิจจะลักษณะกว่านั้น" ดัสกรลากเสียงบอกอย่างอ่อนใจ "ไป ตามลงมา"

เด็กชายยอมตามพ่อไปอย่างไม่อาจขัด แต่เพียงก้าวลงบันไดมาก็แว่วเสียงเปียโนพลิ้วหวานเป็นทำนองเพลงคลาสสิก มันสิ้นสุดลงเมื่อเขาลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายพอดี พร้อมกับเสียงชื่นชมผู้บรรเลงจากพ่อของเขาและกุสุมาดังขึ้นแทน

"เพลงนี้ผมเคยได้ยินที่ห้องอาหารโรงแรมกับคุณแอ๊ว คุณหนึ่งเล่นได้เพราะไม่แพ้กันเลยครับ"

ดัสกรวางมือบนไหล่ทั้งสองข้างของกุสุมา ขณะที่สาวใหญ่ยืนเกาะเปียโนสีขาว มองหลานสาวอย่างชื่นชม

"นั่นสิ ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยเรียนมาหรอก"

"จริงๆ ค่ะ" น้ำหนึ่งตอบกลั้วหัวเราะ "พ่อเป็นคนสอนหนึ่งจริงๆ พ่อเคยบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นหมอ พ่อก็อาจเป็นนักดนตรีนี่ล่ะค่ะ"

กุสุมามองค้อนสีหน้าเปี่ยมสุขของคนที่เล่าถึงพ่อ หากเด็กหญิงไม่ทันสังเกตเห็น ด้วยสายตาแลเลยไปเห็นดรัณยืนอยู่ปลายบันไดเสียก่อน

"พี่รัน เล่นกีตาร์ให้ฟังหน่อย"

เด็กชายรู้สึกเก้อกระดากเมื่อสายตาทุกคู่หันมาเห็นว่าเขามีตัวตน ก่อนความอายจะเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองน้ำหนึ่ง ไม่สนว่ารอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ซื่อบริสุทธิ์

เขาก้าวช้ามาพนมมือไหว้ขอบคุณกุสุมาอีกครั้ง ต่างจากตอนที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านและทราบข่าวดี ตอนนั้นเขารีบเอ่ย รีบขึ้นห้องไปดูของเล่นใหม่

"ขอบคุณครับคุณแอ๊ว"

กุสุมาวางมือบนศีรษะเด็กหนุ่มที่สูงเกือบเท่าตน กดศีรษะอีกฝ่ายมากอดกับอกไวๆ แล้วก็ต้องหัวเราะเสียงพลิ้วเมื่อจงใจหันไปสบตาขุ่นๆ ของคนรักที่มองมา

ตรงข้ามกับดรัณที่เขินอายจนไม่กล้าสบตาใคร ก้อนเนื้อในอกเขาเต้นแรงสูบฉีดเลือดลมให้รุ่มๆ ในกาย กลิ่นน้ำหอมที่สาบเสื้อของสาวใหญ่ยังติดจมูก แม้เมื่อกุสุมาจะยักย้ายตัวเองไปจากห้องนั่งเล่นแล้วก็ตาม

"พี่รัน เล่นกีตาร์ให้ฟังหน่อย"

เสียงเล็กๆ ซึ่งเอ่ยรบเร้าดึงสติของดรัณกลับมาอีกครั้ง มองรอบตัวจึงรู้ว่าในห้องเหลือเขากับยัยเด็กผมเปียแค่สองคน แค่คิดว่าเขายืนบื้อไม่รู้ตัวอยู่ตรงนี้ตั้งนานสองนาน เด็กชายก็พลอยโมโหตัวเอง

"ไว้เธอได้ฟังแน่"

คำตอบนั้นซ่อนความนัยบางอย่าง หากน้ำหนึ่งไม่รู้ตัวจึงฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ได้รับมิตรภาพกลับมา

"จริงนะ"

"จริง" ดรัณตอบเสียงเรียบ "แล้วก็เลิกเรียกเราว่าพี่ซะที เราไม่มีน้องอย่างเธอ"

รอยยิ้มสดใสค่อยเจื่อนลงจนหน้าเบ้ทีเดียว ในชีวิตของเด็กหญิงน้ำหนึ่ง รุจิประภาส บุตรสาวของนายแพทย์ชินกรและแพทย์หญิงแก้วกานต์ รุจิประภาส ล้วนแต่เป็นที่รักของเพื่อน เป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่ ไม่เคยมีใครทำท่าหมางเมินเหมือนเกลียดชังเธอเท่านี้เลย

น้ำหนึ่งอยากกลับบ้าน ไม่อยากได้แล้วไม่ว่าจะเปียโนหลังใหญ่หรือตุ๊กตา เธอแค่อยากกลับไปเป็นลูกของพ่อแม่ แวดล้อมด้วยคนที่รักตนก็พอ



กุสุมารับรู้ได้ถึงกระแสความไม่พอใจของคนที่ปิดประตูห้องตามเข้ามา กระนั้นเธอก็แสร้งทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นท่าทีของคนรักหนุ่ม ยังคงยืนถอดตุ้มหูเพชรอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ

"อุ๊ย"

สาวใหญ่ทำทีสะดุ้งตกใจเมื่อถูกสวมกอดจากข้างหลัง อ้อมแขนรัดรึงแน่นกว่าครั้งไหนๆ บ่งบอกแรงอารมณ์ของอีกฝ่าย เสียงสูดหายใจหนักๆ ของเขาสร้างความรัญจวนใจแก่เธอ

"อะไรกันจ๊ะกร พี่จะอาบน้ำ" เธอแสร้งถามทั้งที่เป็นผู้จุดอารมณ์เขาเอง

"พี่แกล้งผม" เขาบอกเสียงขุ่น

กุสุมาหัวเราะเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว ค่อยหมุนตัวไปเผชิญหน้าชายหนุ่มพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายทีละเม็ดอย่างอ้อยอิ่ง เมื่อช้อนตาขึ้นสบตากับดัสกร ดวงตาคู่งามก็เผยอำนาจยั่วเย้าคนมอง

"รู้ว่าพี่แกล้งแล้วจะโกรธทำไมเล่า กร"

ดัสกรงันไปกับคำตอบรับง่ายๆ อันที่จริงเขาไม่ได้โกรธเธอเท่ากับหวงและห่วงลูก แต่จะให้บอกออกไปเช่นนั้นคงผิดหูคนหลงสำคัญตัวเองเป็นแน่

"ไม่ได้โกรธนี่ครับ แต่ผมไม่ชอบให้พี่ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหน"

"กับลูกเธอด้วยน่ะหรือ เด็กแค่นั้นเอง" กุสุมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานง้องอน

"กับใครก็ไม่ชอบทั้งนั้นครับ ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจพี่ แต่ผมไม่ไว้ใจคนอื่นมากกว่า"

สาวใหญ่ยิ้มกระหยิ่ม เธอจิ้มปลายนิ้วชี้หมุนวนกลางหน้าอกเขา ลูบไล้ไรขนบางอย่างหลงใหลในเรือนกายนี้

"ก็ถ้าเธอดีกับพี่แบบนี้ พี่ก็มีแค่เธอคนเดียวนี่แหละกร"

ดัสกรหลุบตามองผู้ที่กอดซบกับอกของเขา แทนที่จะโล่งใจกับวาจาและการกระทำของเศรษฐีนีม่าย เขากลับอึดอัดใจขึ้นมา

แน่นอนว่าเขาจะดีต่อเธอ ซื่อสัตย์ต่อเธอ ในเมื่อเขาเลือกวางอนาคตทั้งหมดไว้ในบ้านหลังนี้ แต่คำพูดของกุสุมาเมื่อครู่นี้ก็ทำให้รู้ว่าเธอไม่มีความรักความผูกพันใดๆ ต่อเขา นอกจากความหลงใหลในร่างกายที่เติมเต็มความต้องการให้แก่เธอ เท่านั้นเอง



บนชั้นสี่ของห้างสรรพสินค้าใหญ่ใช่เพียงแต่เป็นแหล่งรวมของร้านอาหารต่างๆ หากยังเป็นแหล่งกวดวิชาและกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย เด็กเล็กย่างวัยรุ่นและเด็กวัยรุ่นจำนวนมากสามารถเรียนหรือหาร้านนั่งเล่นเพื่อรอเวลาเรียนอยู่ที่นี่ โดยที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่แค่มาส่งและปล่อยลูกหลานจัดการกับชีวิตตนเอง รวมทั้งดรัณกับน้ำหนึ่งเช่นกัน

ดรัณยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าสถาบันสอนภาษา เมื่อเขาปดคุณครูที่โรงเรียนดนตรีว่าไม่ค่อยสบาย ตนจึงได้ออกมาก่อนหมดเวลาเรียน ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องมาดักรอน้ำหนึ่งเพื่อขอความร่วมมือจากเธออีกคน

สิบนาทีให้หลังเขาก็เห็นเด็กหญิงผมเปียในชุดเอี๊ยมกระโปรงยีนส์เดินพ้นหัวมุมโรงเรียนดนตรีออกมา เธอโบกมือให้เด็กผู้หญิงผมสั้นเท่าติ่งหูซึ่งเดินแยกไปอีกทาง ก่อนจะมุ่งหน้าตรงมายังสถาบันสอนภาษาที่ต้องเรียนเป็นวิชาต่อไป

น้ำหนึ่งชะงักเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างประตูกระจก หลังจากที่เขาพูดจาใจร้ายกับเธอวันนั้น น้ำหนึ่งก็ไม่เคยเป็นฝ่ายพูดกับเขาอีกเลย

แล้วเขามายืนยิ้มแป้นตรงนี้ทำไม

"อ้ะ น้ำ"

ดรัณส่งนมปั่นที่ตนซื้อมาติดสินบนให้เด็กหญิง หากเธอเอาแต่เมียงมองอย่างสับสนระคนสงสัย จนเขาต้องดึงมือเล็กมารับแก้วไป

"ยังไม่ได้กินหรอกน่า ซื้อมาให้"

"ขอบคุณค่ะ"

น้ำหนึ่งรับมาด้วยสีหน้าดีขึ้นบ้าง คิดไปว่าเขาอาจง้องอนตน

"ยังไม่เข้าเรียนใช่เปล่า ไปนั่งตรงนู้นกัน"

ตรงนู้นที่ว่าเป็นม้านั่งไม้ มีม้านั่งสี่ตัวตั้งอยู่รอบโคนต้นปาล์มเป็นที่นั่งพัก เมื่อเหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีจะเข้าเรียน น้ำหนึ่งจึงเดินตามเขาไป

"อร่อยไหม" ดรัณถามคนที่แทบไม่ปล่อยหลอดจากปาก

เด็กหญิงพยักหน้าหงึก ก่อนจะนึกได้ว่าควรแบ่งเขาดื่มบ้าง เธอยื่นแก้วออกไป

"ไม่เอาอ่ะ ถ้าชอบกินเรามีข้อแลกเปลี่ยน ถ้าไม่ทำเรียกว่าคนขี้โกง" ดรัณได้ทียื่นเงื่อนไข

"พี่..." น้ำหนึ่งยั้งคำต่อไปไว้ได้ทัน "เอ่อ จะให้หนึ่งทำอะไร"

ดรัณซ่อนยิ้มในหน้า ดวงตาเขาเต้นระริกขณะเอ่ยความต้องการออกไป

"เราอยากว่ายน้ำ เย็นนี้ว่ายเป็นเพื่อนหน่อย"

"ได้สิ หนึ่งชอบว่ายน้ำ เย็นดี" น้ำหนึ่งตอบรับด้วยความเต็มใจ

ดีใจเสียอีกที่จะได้มีเพื่อนเล่น ว่ายกับผู้ใหญ่น่ะไม่สนุกหรอก

"ชวนคุณแอ๊วด้วยนะ"

"อื้ม ก็ได้ แต่ถ้าป้าไม่อยากว่ายหนึ่งว่ายเป็นเพื่อนเอง"

ดรัณมองคนที่ขันอาสาอย่างเหม็นเบื่อ คงคิดว่าเขาอยากเป็นเพื่อนเล่นกับเธอกระมัง เร็วไปสิบปีล่ะที่คิดอย่างนั้น

เด็กชายลุกยืนเมื่อหมดธุระของตน อีกสองชั่วโมงนั่นแหละกว่าพ่อหรือคุณแอ๊วจะมารับ เขามักใช้เวลาระหว่างรอน้ำหนึ่งเรียนภาษาด้วยการเตร็ดเตร่ตามร้านขายหนังสือการ์ตูน ไม่ก็ยืนชมภาพยนตร์ที่ร้านขายแผ่นหนังมักเปิดฉายทั้งวัน

"อ้อ แต่อย่าบอกใครนะว่าเราชวน เธอต้องบอกว่าเธออยากว่ายน้ำเอง"

"ทำไมล่ะ"

ดวงตากลมมองสบมาอย่างไร้เดียงสา ท่าทางอย่างนั้นยิ่งสร้างความหงุดหงิดใจแก่ดรัณ เรียกว่าร้อนตัวก็ไม่ผิด

"ถามมาก ไม่อยากเล่นด้วยก็เพราะอย่างนี้ไง" เขากระแทกเสียงตอบ

น้ำหนึ่งได้แต่มองตามผู้ที่คว้ากระเป๋าสะพายจากไปด้วยความงุนงง ไม่กี่นาทีก่อนเขายังยิ้มให้เธออยู่เลย แต่แล้วก็กลับหงุดหงิดใส่ตนเหมือนเดิม ตั้งแต่เกิดมาน้ำหนึ่งไม่เคยเจอใครฉุนเฉียวเท่าเขาเลย

ถ้าเขารำคาญที่เธอพูดมาก แล้วมาชวนว่ายน้ำทำไม เด็กหญิงได้แต่คิดด้วยความไม่เข้าใจ



น้ำหนึ่งชักไม่อยากทำตามแผนการของดรัณแล้วเมื่อนึกถึงเวลาที่เขาพูดไม่ดีกับเธอ เธอรู้ว่าเขาร้อนใจเมื่อเธอยังคงนิ่งเฉย ดรัณใช้หัวเข่ากระแทกเข่าเธอขณะนั่งรถมาด้วยกัน ทว่าท่าทางยุกยิกของเด็กๆ บนเบาะหลังไม่อาจรอดพ้นสายตากุสุมาไปได้

"ยัยหนึ่ง ตารัน แกล้งอะไรกันล่ะลูก"

"เจ้ารัน แกล้งน้องรึ เดี๋ยวเถอะ" ดัสกรสำทับเสียงดุ

"เปล่าสักหน่อยพ่อ" ดรัณรีบปฏิเสธ ก่อนฉวยโอกาสเอ่ยเสียเอง "คุณหนึ่งน่ะสิอยากว่ายน้ำ แต่ไม่กล้าชวนคุณแอ๊วเอง เกี่ยงให้รันพูด"

คนโกหกไม่วายหันไปขึงตาปรามหากน้ำหนึ่งคิดจะเฉลยความจริง เด็กหญิงสะบัดหน้าไปอีกทางจนหางเปียเหวี่ยงเกือบโดนคนที่นั่งข้างกัน

"เอาสิยัยหนึ่ง กลับไปเปลี่ยนชุดเลยนะ เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน" กุสุมาอนุญาตพร้อมกับชวนลูกชายคนรักด้วย "รันด้วยนะจ๊ะ ออกกำลังกายน่ะดีนะ จะได้มีกล้าม ขี้คร้านสาวๆ จะกรี๊ด"

ดรัณดีใจเมื่อได้ยินคำตอบดังนั้น เขายักคิ้วใส่ยัยเด็กขี้โกง รู้งี้ไม่ง้อเสียแต่ทีแรกก็ดี

เด็กชายดีใจจนลืมความโกรธผู้ที่ไม่ยอมทำตามแผนการ ทันทีที่รถจอดสนิทในโรงรถข้างตัวบ้าน เขาก็รีบก้าวเร็วขึ้นห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เมื่อนึกได้ว่าตนอาจดูเริงร่าเกินไป ดรัณจึงรีรอให้น้ำหนึ่งเป็นฝ่ายลงไปที่สระก่อน

ทว่าคนใจร้อนไม่ทันใจ เขาเปิดประตูเข้าไปเร่งเธอ แล้วก็ได้เห็นเด็กหญิงในชุดกระโปรงเอี๊ยมตัวเดิมนั่งเป่าลูกบอลพลาสติกอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ

"ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดเนี่ย" เขาโวย

"หนึ่งจะเป่าลูกบอลก่อน"

"มานี่ เราเป่าเอง เธอน่ะรีบไปเปลี่ยนชุดเลย"

ดรัณฉวยแทบจะกระชากพลาสติกแฟบๆ มาจากมือเด็กหญิง เขาทำเสียงรังเกียจน้ำลายเจ้าหล่อนซึ่งติดที่จุกพลาสติกพลางก้าวไปดึงทิชชู่มาเช็ดแรงๆ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาจริงเอาจังกับการเป่าลูกบอลให้เธอ น้ำหนึ่งจึงยอมเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ กลับออกมาอีกครั้งลูกบอลก็ลอยมากระแทกศีรษะ ตัวการวิ่งเร็วออกไปเสียแล้ว

"พี่รัน! นายรัน! หยุดนะ!"

เด็กหญิงตะโกนพลางวิ่งตาม ไม่ใส่ใจว่าตนไม่ได้สวมเสื้อคลุมปกปิดร่างกาย รวมทั้งดรัณเช่นกัน

"ไอ้พี่รัน! หยุด มาให้หนึ่งปาบอลใส่เลยนะ!"

"หยุดให้โง่สิ"

เสียงหัวเราะของคนที่เหนือกว่าดังก้องโถงของบ้าน ดรัณกระโดดทีเดียวข้ามบันไดสองขั้นสุดท้าย เขาวิ่งเร็วไปยังสระว่ายน้ำข้างตัวบ้านก็เห็นพ่อกับคุณแอ๊วรออยู่

จู่ๆ เด็กชายก็นึกอายขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนตนเองตัวเล็กลงเป็นเด็กสามขวบ เมื่อกุสุมามองเขาอย่างเอ็นดู

ดรัณเลื่อนสายตามองเรือนกายกำยำของพ่อที่กำลังลูบไล้ทาครีมบนแขนให้สาวใหญ่ แม้พ่อจะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำไว้หลวมๆ กระนั้นช่องว่างระหว่างสาบเสื้อก็เผยให้เห็นกล้ามหน้าอกและลอนบางๆ บนหน้าท้องที่เขานึกอิจฉาท่านขึ้นมา กุสุมาคงชอบแบบนี้เช่นกัน ไม่ใช่เด็กผอมแห้งอย่างเขา

"นี่แน่ะ!"

เสียงตะโกนอย่างอาฆาตแค้นดังขึ้นเบื้องหลัง ก่อนที่ดรัณจะนึกได้ว่าตนเพิ่งสร้างศัตรูกับใคร ลูกบอลเป่าลมก็ลอยหวือมากระแทกท้ายทอยเขาอย่างแม่นยำ

"ตายแล้วยัยหนึ่ง" กุสุมาอุทานตกใจเมื่อเห็นเด็กชายล้มลง

เธอวิ่งมาประคองบุตรชายของคนรัก ปัดเนื้อตัวซึ่งอาจมีแผลด้วยความตกใจ หารู้ไม่ว่าการกระทำเหล่านั้นทำเอาหัวใจหนุ่มน้อยโลดแรง

แม้ความจริงดรัณจะล้มลงไปเองเพราะเสียหลักจนได้แผลถลอกที่ฝ่ามือ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าผลลัพธ์นั้นคุ้มค่ากับการเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้

"อย่าเพิ่งเล่นน้ำเลยนะ ทำแผลก่อน สระบ้านเราเองจะเล่นเมื่อไรก็ได้"

เสียงเอ่ยใกล้ๆ หู ลมหายใจที่รินรด ส่งผลให้คนเจ็บพยักหน้าคล้อยตาม

"เดี๋ยวผมทำแผลให้ครับพี่ เมื่อกี้บอกคนงานไปเอากล่องยามาแล้ว" ดัสกรเอ่ยขึ้นบ้าง

"จ้ะ ไปตารัน เข้าบ้านก่อน"

น้ำหนึ่งมองตามป้าและคนรักของท่านพาเด็กชายเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกผิด เธอไม่ได้ตั้งใจให้เขาเจ็บตัว ก็แค่แกล้งเล่นเหมือนที่เขาแกล้งเธอบ้างเท่านั้น

เด็กหญิงตามทุกคนไปที่ห้องนั่งเล่น ขณะที่ดัสกรเพิ่งทำแผลให้ลูกของเขาแล้วเสร็จ สายตาทุกคู่จึงหันมองเธอเป็นตาเดียว

"หนึ่งขอโทษค่ะ หนึ่งไม่ได้ตั้งใจ" เด็กหญิงพนมมือ "หนึ่งขอโทษค่ะป้า ขอโทษค่ะคุณกร"

"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหนึ่ง ผมเข้าใจ เด็กๆ เล่นกันก็แบบนี้" ดัสกรไม่ติดใจใดๆ

"หนึ่งต้องขอโทษตารันจ้ะ ไม่ใช่ป้า"

ดรัณแทบยืดอกเมื่อกุสุมาเข้าข้างตน เขาซ่อนรอยยิ้มของผู้ชนะไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ก่อนน้ำหนึ่งจะเดินมาใกล้พลางเอ่ยขอโทษตน

"ขอโทษนะ หนึ่งไม่ได้ตั้งใจ"

"ไม่เป็นไร" เขายิ้มให้ใบหน้าเหยเกของอีกฝ่าย "ไม่เป็นไรจริงๆ แค่นี้เอง จิ๊บๆ"

สำหรับดรัณ เหตุการณ์เมื่อครู่นี้มันคุ้มกับการที่ถูกยัยเด็กลามปามเอาคืนตน มันทำให้เขาได้ใกล้ชิดกุสุมา ได้รู้ว่าผิวของผู้หญิงนุ่มเพียงไร

................................................

บทนี้มายาวเลย ไม่รู้คนอ่านจะเหนื่อยอ่านไหม แหะๆ
ตอนหน้าเด็กๆ จะไปโรงเรียนกันแล้วค่ะ มาติดตามว่ารันจะก่อเรื่องอะไรไหมนะคะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2559, 15:50:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2559, 15:50:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 971





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account