ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน

ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน


อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย


พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน


ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร


ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา



เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น



หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย



หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา



และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช


ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์

ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 14

มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑๔

“เสด็จแม่เชิญเจ้ามาที่นี่หรือ?”

กระแสรับสั่งถามจากเจ้าชายเพชกัลดาราเมชผู้บัดนี้ดำรงตำแหน่งผู้ปกครองร่วมกับพระบิดาพาให้ร่างนลินนาสั่นสะดุ้งประหนึ่งวัวสันหลังหวะ

“...เพคะ พระนางแทปปูติมีสาส์นเชิญหม่อมฉันให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนา”

สดับดังนั้นรอยแย้มสรวลก็ระบายอ่อนโยน “ดีแล้ว นันนาเองก็เป็นน้องสาวคนเดียวของข้า พวกข้าเติบใหญ่กันหมดแล้ว คงกลับไปเล่นกับนางเหมือนครั้งยังเด็กไม่ได้ เห็นเจ้ากับนางเข้ากันได้ดีเช่นนี้ ข้าก็โล่งใจ”

นลินนาแหงนมอง นิ่งฟัง ทราบดีว่า ลูกคนเล็กหากไม่อยู่ในวงล้อมอันอบอุ่นและถูกตามใจจนเสียคน ก็มักถูกทิ้งไว้เดียวดาย แต่เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาทรงโชคดีนักที่ประดาพระเชษฐาล้วนใส่พระทัย ผิดกับนลินนาที่เป็นลูกคนเดียว เธอไม่เคยต้องแบ่งปันกับใคร พอ ๆ กับคุ้นชินกับการได้อยู่ลำพัง

บัดนี้ความหวั่นกลัวจางหายสิ้น ครั้นเจ้าชายเพชกัลดาราเมชแย้มพระสรวล แลทรงพระดำเนินไปมีพระปฏิสันถารกับประดาปราชญ์ บัณฑิต แลขุนนางทั้งหลาย เธอผู้จำต้องก้าวตามอย่างช่วยไม่ได้จึงมีโอกาสพบปะกับบุคคลเหล่านั้นไปด้วย เนื่องจากในงานเลี้ยงเธอแทบไม่ได้สนทนากับผู้ใด นอกจากเชื้อพระวงศ์ชาวคัชดู

ปราชญ์ส่วนหนึ่งในราชสำนักคือ เด็กหนุ่มรูปงามชาวฮิบรูผู้ถูกกวาดต้อนมาจากเยรูซาเล็ม แม้จักถูกตราหน้าว่า เป็นเชลยสงคราม กระนั้นสถานะของพวกเขากลับดีกว่าที่นลินนาคิดไว้ พวกเขาแม้ต้องอาศัยอยู่ในนิคมชาวฮิบรูหรือนิคมชาวยิว แต่ก็มีสิทธิได้รับการศึกษา ทำมาค้าขาย ปลูกบ้านเรือนเป็นของตนเอง ประกอบกับรวมตัวกันไม่แตกกลุ่ม เลือกคู่ในหมู่ชนเดียวกัน สายเลือดของพวกเขาจึงเข้มข้น และนักศึกษามานุษยวิทยาสาวทราบดีเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันว่า บาบิลิมคือ ส่วนสำคัญในการสร้างชาวฮิบรูผู้ปราดเปรื่อง ชาวฮิบรูผู้ต่อไปจะมีอำนาจสั่นสะเทือนโลกา การถูกปลูกฝังความใฝ่รู้เช่นชาวบาบิลิมจักนำพาชาวฮิบรูให้เป็นชนชาติที่ทั่วโลกต้องหวาดกลัว ชนชาติที่พลิกฟื้นผืนแผ่นดินแห้งแล้ง ชนชาติที่เก่งฉกาจการค้าขาย แม้แต่ในศาสตร์มานุษยวิทยา นักคิดหลายคนยังเป็นชาวยิว โดยเฉพาะคาร์ล มาร์กซ์[1] และเอมิล เดอร์ไคม์[2] สองนักคิดผู้ขาดไม่ได้ในทฤษฎีเบื้องต้น

บาบิลิมมิได้รู้ตัวเลยว่า กำลังสร้างชนชาติอันแข็งแกร่งปราดเปรื่อง!

จบการมีพระปฏิสันถาร เจ้าชายเพชกัลดาราเมชก็เสด็จออกจากห้องเก็บเอกสาร นักศึกษาภาควิชามานุษยวิทยาสาวเดินตามไป ยังไม่เข้าใจว่า องค์รัชทายาทหนุ่มทรงเรียกเธอไว้ทำไม ฤาจักมีเรื่องจำเป็นต้องกล่าว แค่คิดอกก็สั่นขวัญแขวน

ทว่า...เจ้าของวรองค์สูงใหญ่อย่างชนเซมิติคกลับทรงซอกซอนไปตามเครือข่ายทางเดินอันวกวน กระทั่งบรรลุสู่ห้อง ๆ หนึ่งจึงประหลาดใจ ด้วยมันคลับคล้ายที่ประทับส่วนพระองค์ของกษัตริย์อาเคอร์ดูอานายิ่งนัก กระนั้นก็ตระหนักว่า ไม่ใช่ที่เดียวกัน แล้วมันคือที่ใด

“นี่คือ ส่วนพำนักของข้า”

หญิงสาวรับฟังงงงวย แล้วเหตุใดจึงพาเธอมาส่วนพำนักของพระองค์!

โครงสร้างส่วนพำนักของเจ้าชายเพชกัลดาราเมชกับกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาหาได้ต่างกันมากนัก โดยห้องทั้งหมดจักหันหน้าเข้าหาลานกว้างไร้เพดานเพื่อรับแสงตะวัน จากส่วนกลางนี้แลเห็นทั้งห้องทรงงาน ห้องทรงพระสำราญ ห้องบรรทม กระทั่งห้องสรงสนาน

ห้องที่เจ้าชายหนุ่มทรงนำเธอเข้าไปคือ ห้องทรงงาน ณ ที่นั้น ทหารองครักษ์นาม ซิน-มูบัลลิตได้ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ร่างนั้นถวายคำนับต่อเจ้าชายเพชกัลดาราเมช แล้วจึงเบือนมาคารวะแด่เธอผู้ดำรงตำแหน่งนักบวชแห่งอิชทาร์

ในห้องทรงงานอันสว่างด้วยแสงจากภายนอกนั้นมีช่องเก็บจารึกจากไม้สนซีดาร์หอมอวลอัดแน่นมิต่างโต๊ะทรงงานจากวัสดุเดียวกันซึ่งมีมัตติกาจารึกเรียงกอง เหนือพรมขนสัตว์กลางห้องคือ ชุดโต๊ะขนาดเล็กสำหรับประทับพักผ่อน บนโต๊ะโลหะประดิษฐ์ลายประณีตมีกระดานหมากเล่นค้างไว้ ลักษณะเกมกระดานของชาวเมโสโปเตเมียโบราณแทบมิต่างกับ ‘เซเนต’ เกมกระดานของชาวอียิปต์โบราณ แม้ด้านความงามก็แทบมิแผกกัน

“ใบบอกกับศุภอักษรที่ให้นำไปคัดลอกเป็นเช่นไรบ้าง ซิน-มูบัลลิต?” พระกระแสรับสั่งขององค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมดึงสตินลินนา

“ต้องรออีกสักพักพ่ะย่ะค่ะ แต่ชุดที่สั่งไปก่อนหน้านั้นจัดการเสร็จสิ้นเรียบร้อย หม่อมฉันจัดวางไว้ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”

องครักษ์หนุ่มนายนั้นกราบทูล จากนั้นจึงตบเท้าทูลลาจากไป ท่าทางเร่งร้อนคงเพราะมีธุระต้องจัดการแทบมิได้หยุดพัก

คล้อยหลังองครักษ์นายนั้น พระสุรเสียงเนิบช้าก็พาเธอสะดุ้ง

“เจ้านั่งเถิดนลินนา ข้าทราบมาจากเสด็จพ่อว่า เจ้าเป็นผู้เสนอเรื่องนั้นต่อเสด็จพ่อนั้นหรือ?”

จงใจรับสั่งว่า ‘เรื่องนั้น’ ราวต้องการเจาะจงประเด็น นลินนาทราบแล้วว่า เหตุใดองค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมจึงทรงพาเธอมายังที่แห่งนี้ ร่างเพรียวใจหายวาบ กระนั้นก็ยังทูลตอบอย่างสงบนิ่ง

“เพคะ หม่อมฉันเห็นว่า การกระทำเช่นนี้ย่อมดีกว่า ตอนนี้บัลลังก์แห่งบาบิลิมน่าเป็นห่วงนัก ชาวคัชดูมีเพียงหยิบมือ เมื่อเทียบกับชนส่วนมากซึ่งเป็นชนที่มาอยู่ก่อนหน้า ผู้ปกครองที่มีความสามารถและเด็ดขาดเป็นสิ่งจำเป็น”

นลินนากราบทูลตามจริง สถานการณ์ของบาบิลิมตอนนี้น่ากลัว ชาวคัชดูมีจำนวนเพียงหยิบมือ เมื่อเทียบกับชนชาติอื่นซึ่งผสมปนเป แม้บางตำราจะเรียกยุคสมัยนี้ว่า จักรวรรดิคาลเดียน หรือช่วงการปกครองภายใต้ราชวงศ์คาลเดียน ทว่า...ตามความเป็นจริง การปกครองภายใต้ราชวงศ์คาลเดียนสิ้นตั้งแต่รัชสมัยของกษัตริย์อเมล-มาร์ดุค พระราชโอรสในกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ ๒

แต่...เหตุใดผู้ปกครองจึงแปรเป็นกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา หล่อนมิเคยเอะใจ กระทั่งได้ใคร่ครวญจึงพิศวง

เจ้าชายเพชกัลดาราเมชสดับฟัง สีพระพักตร์เคร่งขรึม “เจ้าช่างดำริเหมือนพระอัยกาข้ายิ่งนัก”

หล่อนเบิกตาเชิงถาม เจ้าชายชาวคัชดูกำลังตรัสว่า เธอคิดเช่นเดียวกับกษัตริย์ผู้เกรียงไกรงั้นหรือ?

“เช่นไรหรือเพคะ?”

“พระอัยกาของข้า เนบูคัดเนสซาร์ก็ดำริเช่นนั้น พระอัยกาทรงแต่งตั้งพระบิดาของข้าขึ้นแทนโอรสองค์โตของท่าน แลให้เสด็จพ่ออภิเษกสมรสกับเสด็จแม่ซึ่งเป็นบุตรีของขุนพลชาวคัชดู เมื่อกระทำเช่นนี้เท่ากับว่า ทรงสามารถดำรงเชื้อสายคัชดูเอาไว้ ขณะเดียวกันก็มิได้ผิดใจกับทางเมเดส”

นลินนาเริ่มเข้าใจพระราชประสงค์ของกษัตริย์ผู้เกรียงไกร ทรงปรารถนาจักธำรงเผ่าพันธุ์ ขณะเดียวกันก็มิต้องการหมางใจกับพันธมิตรเดิม ด้วยหากทางเมเดสทราบว่า มีการปลดรัชทายาทที่มีเชื้อสายเมเดสลง เพื่อให้เจ้าชายพระองค์อื่นขึ้นครองบัลลังก์แทน ทางเมเดสย่อมคิดว่า บาบิลิมต้องการตัดความสัมพันธ์ เช่นนั้นมีหรือสงครามจะมิอุบัติ ทว่าสะกิดใจ ด้วยทราบว่า โอรสองค์โตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์คือ เจ้าชายอเมล-มาร์ดุค ครั้นสงสัย จึงทูลถามทันที “โอรสองค์โตหรือเพคะ?”

พระพักตร์แห่งว่าที่กษัตริย์บาบิลิมเคร่งขรึมยิ่ง “ใช่ เสด็จลุงของข้า อเมล-มาร์ดุค ทรงมีเชื้อสายเมเดสเช่นกัน ตามราชประเพณีโอรสองค์โตจักต้องเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ ทว่าในกรณีนี้...เสด็จลุงของข้าความคิดมิลงรอยกับพระอัยกานัก ซ้ำคำทำนายจากวิหารแห่งมาร์ดุคย้ำเตือนว่า หากเสด็จลุงของข้าได้สืบราชบัลลังก์ ความวุ่นวายจักกรายสู่บาบิลิม”

นลินนาขนลุกพอง ด้วยรู้ชะตากรรมว่า หลังจากกษัตริย์อเมล-มาร์ดุคครองราชย์เพียง ๒ ปีก็ถูกลอบปลงพระชนม์ แม้ยังไม่มีใครสามารถหาหลักฐานชัดเจน ทว่าจากบันทึกของเบรอสซุส นักเขียน นักดาราศาสตร์ และนักบวชแห่งมาร์ดุคผู้อยู่ในสมัยเฮเลนนิสติกของกรีกได้บันทึกไว้ว่า กษัตริย์อเมล-มาร์ดุคทรงเป็นนักปกครองผู้เผด็จการยิ่งนัก และจากบันทึกในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับพันธสัญญาเดิมแม้ไม่ระบุไว้มากนักก็พอทำให้ทราบว่า ทรงปลดปล่อยกษัตริย์เชลยเยโฮยาคีนแห่งอาณาจักรยูดาห์จากคุมขัง ซ้ำยังให้การยกย่องเทิดทูนเหนือกษัตริย์เชลยพระองค์อื่น หากบันทึกทั้งหลายเหล่านี้สัตย์จริง จึงมิแปลกเลยว่า ทำไมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงปลดพระโอรสองค์โตออกจากการสืบราชบัลลังก์ แลแสดงว่า ทวยเทพยังเมตตาบาบิลิม มิฉะนั้น ป่านนี้นครทวาราแห่งทวยเทพคงได้วุ่นวายราวกองเพลิง

พลันพระเนตรสีสนิมแลเห็นความหวาดหวั่นกังวลในเนตรคู่งาม ก็มีรับสั่งด้วยพระสุรเสียงปลอบประโลม “เรื่องนั้นเป็นอดีตไปแล้ว เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลย มีศุภอักษรกับใบบอกซึ่งส่งมาจากประเทศราชแลนครต่าง ๆ อยู่ เสด็จพ่อตรัสถึงเจ้าบ่อยนัก มีพระราชดำริว่า น่าจะให้เจ้าอ่านเอกสารอะไรพวกนี้บ้าง เผื่อจักมีข้อเสนอแนะทูลขึ้นไปอีก”

นลินนามองบุรุษผู้องอาจราวภูผาแลอบอุ่นราวดวงตะวัน คลี่แย้มอ่อนจาง น่าแปลก แม้หลายคราจักมีเรื่องว้าวุ่นหวาดหวั่น ทว่ายามใกล้ชิดองค์รัชทายาทแห่งบาบิลิม คล้ายความว้าวุ้นนั้นได้ถูกปัดเป่าไป

พระราชโอรสองค์โตแห่งกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาประทับตรงโต๊ะทรงงาน ทรงพระอักษรใบบอกแลศุภอักษรทั้งหลาย แลนำบางส่วนที่พระองค์ทรงพระอักษรแล้วมาให้เธออ่านต่อ นลินนาจมดิ่งลงสู่กองจารึก เมื่อจิตสงบ ความว้าวุ่นทั้งหลายอันพานพบมาจึงจางลง



เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาเสด็จกลับสู่ฝ่ายใน แลทรงพระดำเนินมายังที่ประทับแห่งพระมารดา จึงทอดพระเนตรพบพระมารดากำลังจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ ของฝ่ายใน ภาพพระมารดาวุ่นอยู่กับนางข้าหลวง แลสนมกำนัลทั้งหลาย ทำให้เจ้าหญิงพระองค์น้อยยิ่งปลดปลง พระพักตร์มุ่ย ดำริมิออกว่า หากต้องกระทำอย่างพระมารดาทุกทิวาจักสามารถทานทนได้หรือไม่

ฝ่ายพระนางแทปปูติครั้นทอดพระเนตรเห็นพระธิดาเดินมาคนเดียวก็ประหลาดพระทัย ยิ่งพระธิดาทำหน้ามุ่ยเช่นนี้ย่อมต้องมีอะไรมาแน่นอน จึงมีพระเสาวนีย์แก่นางข้าหลวงรวดเร็ว แล้วจึงเบือนไปมีรับสั่งกับพระธิดา

“ลูกเป็นอะไรหรือนันนา เหตุใดทำหน้าเช่นนั้น ท่านนลินนาเล่า?”

ครั้นได้ยินถ้อยตรัสถามจากพระมารดา เจ้าหญิงพระองค์น้อยจึงทูลตอบพระพักตร์มุ่ย “เสด็จพี่ซามูลาเอลน่ะสิเพคะ พอเห็นว่า ลูกพานลินนาออกไปเดินเล่นก็ว่าลูก สั่งให้ลูกกลับมา”

ทอดพระเนตรดังนั้น ก็แย้มสรวลระอาพระทัย “แล้วเจ้าพากันไปเดินเล่นไหนมาเล่า?”

สีพระพักตร์อึกอัก ก่อนจำทูลตอบ “ห้องเก็บเอกสารของฝ่ายหน้าเพคะ”

สดับดังนั้นก็อ่อนพระทัยทันที มิแปลกเลยที่จักโดนไล่มา “แล้วไยเจ้าพากันไปเดินเล่นถึงโน่น แม่ให้เดินแถว ๆ นี้มิใช่รึ? แล้วนี่ท่านนักบวชไปไหน เหตุใดไม่กลับมาด้วยกัน”

“อยู่กับเสด็จพี่ราเมชเพคะ” พระธิดาทูลตอบ สีหน้าคล้ายสงสัยด้วยปกติพระเชษฐามิเคยกระทำองค์ดั่งนี้ “ทีแรกลูกว่า จะพานลินนากลับมาด้วยกัน แต่เสด็จพี่ราเมชบอกว่า จักเสด็จไปส่งเอง ลูกว่าอะไรไม่ได้ จึงต้องกลับมาคนเดียว”

ครั้นแลเห็นว่า พระธิดาหงอยกลับมาเช่นนี้ก็ทรงสงสารปนเอ็นดู ทว่า...พระเนตรหลุบต่ำลง บางสิ่งสะกิดพระหทัย หากเป็นอย่างที่มีพระดำริจริง เค้าลางความยุ่งยากในอนาคตคงได้ก่อตัวขึ้นแล้ว





เมื่อได้อ่านใบบอกแลศุภอักษรบางส่วนที่เจ้าชายเพชกัลดาราเมชประทานมา นักศึกษามานุษยวิทยาสาวจึงเข้าใจสิ่งอันคอยค้ำจุนเศรษฐกิจส่วนหนึ่งของบาบิโลน ด้วยศุภอักษรหรือสาส์นจากประเทศราชนั้นล้วนแจงถึงกิจการต่าง ๆ ในอาณาจักร แลจำนวนบรรณาการที่ต้องส่งทั้งสิ้น ด้วยบาบิโลนก็เหมือนหลายอาณาจักรในยุคโบราณคือ ครั้นตีชิงดินแดนใดมาได้ก็จักประหารฤาไม่ก็นำกษัตริย์ดินแดนแห่งนั้นมาเป็นเชลย และแต่งตั้งชนท้องถิ่นให้ขึ้นปกครองแทนภายใต้นามของอาณาจักรตน สิ่งอันค้ำจุนเศรษฐกิจส่วนหนึ่งของบาบิโลนจึงมาจากบรรณาการเหล่านี้ โดยเฉพาะทรัพยากรมีค่าอย่างโลหะ ไม้ และงาช้าง ยิ่งเฉพาะไม้สนซีดาร์จากเมืองไทร์[3]อันสำคัญยิ่งในโครงการก่อสร้างของบาบิโลน แลอีกสิ่งที่สำแดงถึงความเกรียงไกรมั่งคั่งของกษัตริย์แห่งบาบิลิมนั่นก็คือ อาภรณ์สีม่วงไทเรี่ยน เนื่องด้วยสีม่วงในยุคโบราณนั้นนับว่า เป็นของสูงราคาและยังคงเป็นเช่นนี้ไปจนถึงยุคโรมันเรืองอำนาจ ด้วยสีม่วงไทเรี่ยนนั้นจำต้องสกัดสีจากหอยมิวเร็กซ์กว่าหมื่นตัวจึงจะเพียงพอต่อการย้อมสีครั้งหนึ่ง ซ้ำแทนที่ยิ่งซักยิ่งตากแดดสีจะยิ่งซีด แต่สีสันกลับสดใสยิ่งขึ้น อาภรณ์สีม่วงจึงสงวนไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นบรรณาการไม้สนซีดาร์แลอาภรณ์สีม่วงไทเรี่ยนจากเมืองไทร์จึงนับว่า มีค่าอย่างยิ่ง

นลินนาจึงตระหนักว่า คำว่า การเมืองนั้น กินความกว้างตั้งแต่การปกครองไปจนถึงไม้จิ้มฟัน

หลังทรงพระอักษรมานาน องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมก็ทรงดูท่าจะอ่อนเพลียเช่นกัน เธอไม่รู้ว่า จักสงสารดีหรืออะไรดี เมื่อเห็นว่า สิ่งที่เธอทูลขอกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาไป ทำให้เจ้าชายเพชกัลดาราเมชแทบมิได้หยุดพัก สิ่งใดต้องการพระราชวินิจฉัยจากกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ก็ย่อมต้องการพระวินิจฉัยจากเจ้าชายเพชกัลดาราเมชเช่นกัน จึงแลเห็นข้าราชการชั้นสูงเดินเข้าออกขวักไขว่ ยิ่งได้สดับคำถ่ายทอดของมหาเทพอีเอว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมชคือบุรุษผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพมาร์ดุค ความเชื่อมั่นจึงทบทวียิ่งขึ้น

มหาดเล็กยกกระดานหมากขึ้นเก็บ แล้วจึงอัญเชิญเครื่องคาวขึ้นถวายตามมาด้วยเครื่องหวาน พระวรองค์สูงใหญ่ผละจากโต๊ะทรงงานมาประทับตรงชุดโต๊ะกลางห้องเช่นเดียวกับเธอ เครื่องคาวล้วนเป็นอาหารจำพวกแกงแห้ง เนื้อสัตว์อบเครื่องเทศ ผักสด กับขนมปังธัญพืช ทานคู่กับเบียร์หรือไวน์ ทว่าเครื่องหวานพาให้นลินนาสนใจยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก หล่อนจับจ้องตาแป๋ว สนอกสนใจนักมิเคยเห็นขนมเช่นนี้ แม้จะอยู่ในวิหารมาสักพัก

ทรงเห็นว่า เธอสนใจเช่นนั้นจึงแถลงความ “นั่นขนมปังมะเดื่อ”

ร่างเพรียวตาแป๋ว ลักษณะมันค่อนไปทางเค้กมากกว่าขนมปัง รสชาติน่าจะหอมหวานชวนลิ้มลอง ทว่าต้องรอเสร็จจากเครื่องคาวก่อนจึงจะกินได้ นลินนาจึงใช้กลยุทธ์คือ กินเครื่องคาวน้อยหน่อยแล้วเปลี่ยนมากินเครื่องหวาน กลยุทธ์ใช้งานได้ดี บรรยากาศบนโต๊ะเสวยดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ หล่อนดื่มด่ำกับขนมปังมะเดื่ออย่างเอร็ดอร่อย มันหอมหวานยิ่งนัก เหมาะแก่การเก็บไว้กินยามเดินทางไกล มิน่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมชจึงตรัสเรียกว่า ขนมปัง ด้วยมันเป็นขนมปังมากกว่าขนมอย่างขนมจริง ๆ

หล่อนดื่มด่ำกับขนมปังมะเดื่อ จนไม่ทราบว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมชกำลังทอดพระเนตรตน

สายพระเนตรนั้นบ่งทั้งความสนพระทัย และความพิศวงพระทัย ทั้งความลับ แลความเปิดเผยในตัวสตรีเบื้องหน้าพระองค์

หลังเสวยเสร็จ พระวรองค์สูงใหญ่จึงทรงพระอักษรต่ออีกพัก จากนั้นจึงตรัสเรียกมหาดเล็กให้นำมัตติกาจารึกอันก่ายกองไปจัดหมวดหมู่ในช่องเก็บจารึกอย่างเป็นระบบระเบียบ หญิงสาวเริ่มนึกสภาพไม่ออกว่า หากมัตติกาจารึกมากขึ้นจักทรงนำไปเก็บไว้ที่ใด แต่...พระราชวังใต้นั้นมีจำนวนห้องถึง ๓๐๐ ห้อง คงจักมีสักห้องที่สามารถนำมัตติกาจารึกเหล่านี้ไปเก็บเพิ่มได้

ระหว่างกำลังก้มลงอ่านมัตติกาจารึกต่อนั้นเอง เจ้าชายเพชกัลดาเมชก็ประทับยืน รับสั่งว่า “ข้าจำต้องไปซ้อมแล้ว เจ้าจักอยู่ที่นี่หรือไม่ นลินนา?”

กระแสรับสั่งถามสร้างความสงกาในตัวเธอ “จะเสด็จไปซ้อมอะไรหรือเพคะ?”

นักบวชสาวฉงนนัก ตรัสแค่ซ้อมผู้ใดจะไปรู้

“บ่ายแล้ว ถึงกาลซ้อมอาวุธ หากเจ้าต้องการอยู่ที่นี่ก็ย่อมได้ ฤาไม่ก็ไปเดินเล่นในอุทยาน”

พลันได้ยินว่า ซ้อมอาวุธ ร่างบางก็แทบจะพลุ่งตัวขึ้นทันที นัยน์ตาวาว

“หม่อมฉันอยากไปดูการซ้อมอาวุธเพคะ”

มีพระสุรเสียงสรวลเล็ดลอดให้ได้ยิน นลินนาแย้มยิ้ม ตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่อันกำลังได้เผชิญ





การซ้อมรบเบื้องหน้าคือ สิ่งอันชวนสะท้านหวาดหวั่นพอ ๆ กับชวนตื่นตาตื่นใจ ความยิ่งใหญ่อลังการในภาพยนตร์เทียบไม่ได้กับสิ่งอันปรากฏเบื้องหน้าเธอ นลินนาเคยอ่านโคลงกลอนในวรรณคดี ทั้งการบรรยายฉากกรีฑาทัพแลการรบอันดุดันสะท้านสะเทือน ทว่าบัดนี้นลินนาเข้าใจแล้วว่า มันเป็นเช่นไร ด้วยเพียงเสียงฝีเท้ากระทืบลงปฐพีก็กระหึ่มสะท้านจนชวนนึกว่า ฟ้ากำลังถล่มลงมา

แม้เป็นเพียงการซ้อมรบ ทว่าเจ้าชายเพชกัลดาราเมชก็ทรงเข้าไปฝึกด้วยพระองค์เอง กองทัพแห่งอาณาจักรบาบิโลเนียถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างต้องพุ่งรบประจัญบานประหนึ่งเป็นการรบจริง เพื่อยามเกิดการปะทะกับศัตรูจริงจักได้ไม่ลุกลี้ลุกลน เนื่องจากมีประสบการณ์มา กระนั้นการศึกจริงโหดร้ายกว่าการฝึก ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ไม่มีสิ่งใดสามารถอยู่ภายใต้การควบคุมโดยสมบูรณ์

กองทัพแห่งอาณาจักรบาบิโลเนียได้รับอิทธิพลจากอัสซีเรียหรือซูบาร์ตู ชนชาติอันได้รับสมญานามว่า โรมันตะวันออก บาบิโลเนียเคยอยู่ภายใต้การปกครองของซูบาร์ตู หลายสิ่งหลายอย่างจึงได้รับการถ่ายทอดมา และการสงครามเป็นหนึ่งในนั้น

ท่ามกลางความวุ่นวายและอึกทึกอึงอลของการซ้อมรบในลานกว้างปราศที่กำบัง นลินนายืนอยู่บนเชิงเทินกับซิน-มูบัลลิต ทหารองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายเพชกัลดาราเมช จากเบื้องบนนี้จึงได้เห็นการซ้อมรบชัดเจน

“จักเข้าไปข้างในก่อนไหมขอรับ?” ซิน-มูบัลลิตเอ่ยถาม เมื่อแลเห็นว่า สตรีเบื้องหน้าดูจักตื่นตาระคนหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ภาพการประจัญบาน เสียงอาวุธเหล็กปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างบุกชุลมุน ทำให้ร่างแบบบางยิ่งหลงลืมว่า สิ่งเบื้องหน้าเป็นเพียงการซ้อม ขนาดจะตอบยังแทบไม่มีสติ

“ฉันอยากดูค่ะ” ตอบรัวเร็วไปจนมาคิดได้ว่า ดูเสียมารยาท ทว่าซิน-มูบัลลิตกลับขันนักบวชหญิงผู้ดูสนใจการศึกยิ่งนัก

นลินนาไม่สนใจสิ่งใด ด้วยบัดนี้การซ้อมเบื้องหน้าดึงดูดสติหล่อนไปสิ้น ภาพทัพอันจัดกระบวนเป็นแถวหน้ากระดานสองทัพประจัญกัน ภาพรถศึกบุกตะลุยเลี้ยวโค้งแหวกทำลายกระบวนทัพของอีกฝ่าย ครั้นเห็นอีกฝ่ายแตกฮือ ทหารราบหนักผู้ถือทวนโล่ก็รีบเข้าปะทะทันที ขณะทหารราบเบาก็คอยเป็นกำลังสนับสนุน ใช้หอก ธนู ตลอดจนเครื่องยิงกระสุน ลดภาระของทหารราบหนัก ส่วนทหารม้าก็ช่วยเสริมประสิทธิภาพของกองทัพได้ไม่น้อย ด้วยอาศัยความคล่องแคล่วปราดเปรียว เพราะมิได้มีข้อจำกัดแบบรถศึกในการบังคับตีโค้ง ขณะเดียวกันก็สามารถเห็นข้าศึกได้ในระยะไกลแตกต่างจากทหารราบ จึงสามารถกำจัดศัตรูในระยะไกลได้ ทว่าข้อเสียคือ หากเป็นการต่อสู้แบบประชิดตัว ทหารม้าจะเสียเปรียบทันที ทหารราบบางส่วนจึงจำต้องคอยระวังให้พลธนูบนหลังม้าเหล่านี้

ร่างเพรียวแทบยืนนิ่งไม่อยู่ ผิดกับซิน-มูบัลลิตซึ่งสงบนิ่ง ด้วยมีประสบการณ์ และเห็นจนเป็นเรื่องเคยชิน นัยน์ตาคมจึงเก็บเกี่ยวข้อมูลในการซ้อมรบครั้งนี้แทน เพื่อนำไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อไป

เจ้าชายเพชกัลดาราเมชประจำอยู่บนรถศึกคันหลัง ทำหน้าที่บัญชาการกองทัพ วิเคราะห์สถานการณ์ ดูความเป็นไปได้ แลออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ถ้อยคำต้องสั้น กระชับ เข้าใจง่าย และการสื่อสารในกองทัพเป็นสิ่งจำเป็น หากคลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว บางทีคือความหายนะของทั้งกองทัพ

ฝ่ายตรงข้ามเองก็มีแม่ทัพคอยบัญชาการอยู่เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างต้องควบคุมแลดึงศักยภาพของกองทัพตนออกมาใช้งานให้ได้มากที่สุด ความแม่นยำ เฉียบขาด และการพลิกแพลงจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เนิ่นนานการซ้อมรบจึงยุติลง นลินนาเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งที่ไม่ได้ซ้อมรบด้วย แต่กลับตื่นเต้น และใช้พลังงานไปเยอะ จนซิน-มูบัลลิตหันมากล่าวว่า

“ไปพักเถิดขอรับ วันนี้เทพชามาชฉายรัศมีแรงนัก ประเดี๋ยวจักเป็นลมเป็นแล้งไป”

ได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง หล่อนคงตื่นเต้นเกินไปจริง ๆ นี่ขนาดซ้อมรบหล่อนยังตื่นเต้นถึงเพียงนี้แล้วถ้ารบจริงเล่า คงไม่ต้องพูดกัน

หน่วยแพทย์ถูกเรียกตัวมาพยาบาลทหารที่บาดเจ็บ แม้เป็นการซ้อม ทว่าการเลือดตกยางออกเป็นเรื่องปกติอันเกิดขึ้นได้ของคนอาชีพนี้ นลินนานับถือในความอดทน เพราะขนาดเธอแค่โดนมีดบาด แม่บ้านยังพากันมะรุมมะตุ้มเป็นเรื่องใหญ่โต

ผู้บัญชาการของทั้งสองทัพต่างลงจากรถศึกแล้วทำความเคารพแก่กัน แม่ทัพของอีกฝ่าย มาบัดนี้นลินนาจึงสังเกตชัดว่า เขามีอายุพอสมควร กระนั้นก็คงความสุขุมน่าเกรงขาม แลนลินนาเชื่อว่า มันสมองของบุรุษผู้นั้นไม่ได้ชราตามอายุแน่นอน ด้วยเห็นว่า การบัญชาการรบเมื่อครู่ล้วนเฉียบคม การตัดสินใจอันรวดเร็ว ประสบการณ์อันถูกเคี่ยวกรำมาสำแดงชัดว่า บุรุษผู้นี้น่ากลัว แลเจ้าชายเพชกัลดาราเมชก็ให้ความเคารพบุรุษผู้นี้ยิ่งนัก

นลินนายังคงยืนอยู่ที่เดิม กระทั่งเห็นซิน-มูบัลลิตยาตราไปเข้าเฝ้าเจ้านายของตนจึงดำเนินตามไป นายทหารองครักษ์หนุ่มคำนับแก่เจ้าชายเพชกัลดาราเมช และแม่ทัพระดับสูงผู้นั้น จากนั้นจึงกราบทูลว่า

“การซ้อมรบครั้งนี้ค่อนข้างดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ แต่การถ่ายทอดคำสั่งอาจติดขัดอยู่บ้าง แลบางส่วนปฏิบัติตามคำสั่งช้าไป บางคราฝ่ายสนับสนุนเข้าไปช่วยไม่ทันท่วงที แล้วก็...”

จากนั้นก็มีข้อบกพร่อง ข้อดี ข้อเสียให้ฟังอีกไม่รู้จบ ผู้บัญชาการทั้งสองต่างรับฟังใจเย็น พากันคิดแก้หาหนทาง ทิ้งให้นลินนาได้เพียงยืนสงบนิ่งอยู่นอกวง รับฟังสิ่งเหล่านั้นไปด้วย รู้ว่า การทำงานสอดประสานกันนั้นสำคัญยิ่งนัก หากช้าแม้ก้าวเดียว ก็เท่ากับเสียทีแก่ศัตรู ตัดสินใจผิดแม้เพียงนิดเดียว ก็คือหนทางสู่หายนะ มันเต็มไปด้วยความกดดัน จนแค่ฟังก็แทบเวียนหัวแทน

“...ถ้าเช่นนั้นเราจักแก้ตามนี้ นำเรื่องนี้ไปอธิบายให้นายกองต่าง ๆ ฟังด้วย ให้นำไปปรับแก้ คราวหน้าจักได้ดียิ่งขึ้น ไปบอกด้วยว่า วันนี้ทุกคนทำได้ดีมาก”

ซิน-มูบัลลิตน้อมกายรับพระบัญชา แล้วไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วฉับไว นลินนาเบือนไปทางแม่ทัพระดับสูงผู้ทำหน้าที่บัญชาการทัพเมื่อครู่ หล่อนยิ้ม และโค้งศีรษะให้เขาเล็กน้อย และเขาก็ให้การคาวระแก่เธอเช่นกัน ทอดพระเนตรดังนั้น เจ้าชายแห่งบาบิลิมจึงตรัสแนะนำทั้งสองฝ่าย

“ท่านเนริกลิสซาร์ นี่นลินนา นักบวชจากวิหารเทพีอิชทาร์ ส่วนนลินนา นี่ท่านเนริกลิสซาร์ แม่ทัพระดับสูงของเรา ท่านสมรสกับเสด็จอาคัสซายาของข้า จึงถือว่า เป็นญาติข้าด้วย”

นลินนาทราบทันทีว่า เหตุใดเจ้าชายเพชกัลดาราเมชจึงให้ความเคารพแม่ทัพผู้นี้นัก ทว่าสิ่งอันชวนให้หล่อนตระหนกกลับมิใช่สิ่งนั้น หล่อนจะมิตระหนกเลยหากเนริกลิสซาร์มิใช่พระนามของขุนนางผู้ปลงพระชนม์กษัตริย์อเมล-มาร์ดุค แลปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งบาบิลิม

นลินนาใจเต้นระรัว จับจ้องแม่ทัพผู้นั้นตาค้าง สาบานเถิด หล่อนกำลังเห็นหนึ่งในผู้เป็นกษัตริย์แห่งบาบิลิมองค์เป็น ๆ ทว่าเจ้าชายเพชกัลดาราเมชก็เป็นว่าที่กษัตริย์เช่นกัน เหตุใดความยุ่งยากจึงได้บังเกิดขึ้นต่อหน้ารวดเร็วปานนี้

ท่ามกลางความสับสนงงงวยเช่นนั้นเอง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชจึงตรัสลาแก่พระญาติของพระองค์

“ถ้าเช่นนั้นหลานคงต้องขอลาก่อน” ตรัสพลางคำนับเล็กน้อย

“กระหม่อม” แม่ทัพเนริกลิสซาร์ทูลรับ พลางเบือนมาทางสตรีผู้ได้รับคำทำนายว่า เป็นศัสตราวุธแห่งสรวงสวรรค์

จักษุเฉียบคมจับจ้อง แลดูสตรีผู้ถือกำเนิดจากมหาเทพีแห่งการสงคราม มหาเทพีผู้งามพิลาส แลมีสมรภูมิเป็นลานร่ายรำ ครั้นพินิจดีจึงสะท้อนชัด สตรีนางนี้สามารถถ่ายทอดความงามจากเทวนารีได้โดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนไว้ด้วยความน่าเกรงขามแห่งพยัคฆา

ภายใต้ความงามสูงส่ง ศัสตราวุธได้ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ความแบบบางนี้

แม่ทัพใหญ่ตระหนัก นี่แหละคือ ศัสตราวุธอันแท้จริง ศัสตราวุธอันสามารถมลายล้างโลกาให้ราบเป็นหน้ากลอง

สิริร่างนั้นหายลับไปพร้อมวรองค์แกร่งดั่งภูผาขององค์รัชทายาทหนุ่ม ท่านแม่ทัพใหญ่คลี่ยิ้มอ่อนจาง หมุนหลังกลับไปพร้อมแสงอาทิตย์อัสดง





ด้วยต้องร่ำเรียนดาราศาสตร์ในยามราตรี นลินนาจึงทูลขอกลับทันที หลังเสร็จจากซ้อมรบ บัดนี้ความคิดในหัวหล่อนอึงอล สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฝ้าครุ่นคิดแต่เรื่องท่านแม่ทัพนาม‘เนริกลิสซาร์’

ทหารนำรถศึกออกมาตระเตรียม เจ้าชายเพชกัลดาราเมชตรัสว่า จักส่งเอกสารราชการต่าง ๆ มาให้ ด้วยในวิหารไม่มีเอกสารด้านการปกครองเท่าใดนัก จักพอมีก็แต่ด้านนิติศาสตร์เท่านั้น

รถศึกแล่นตะบึงออกตัว นลินนารู้สึกเสียมารยาทเล็กน้อยที่ไม่ได้ไปทูลลาพระนางแทปปูติและเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนา ความสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ร่างหล่อนแทบกระเด็นกระดอน หลายคราเกือบเซไปชนพระกรัชกายของเจ้าชายแห่งบาบิลิม

“หากเจ้ายืนลำบากจักเกาะข้าไว้ก็ได้” แม้จักเป็นเพียงกระแสรับสั่งราบเรียบ ทว่ากลับชวนให้ใจหล่อนเต้นอย่างแปลกประหลาด ทีแรกหล่อนหมายจักปฏิเสธ ทว่าพลันคิดอะไรอยู่ และร่างกระดอนอีกคำรบ จึงต้องเกาะชายพระภูษาไว้อย่างเสียไม่ได้ โชคดีระยะทางจากพระราชวังใต้มาวิหารแห่งมหาเทพีไม่ไกลนัก มิฉะนั้นหล่อนคงทนกับความกระอักกระอ่วนใจนานกว่านี้

ความกังวลยังคงพลุ่งพล่านในจิต นักบวชสาวเข้าสู่เขตวิหารมาแล้ว กระนั้นสมองยังคงคิดวนเวียน หากเธอเรียนอัสซีเรียวิทยาแต่แรกคงจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ภายในปีหนึ่งก็คงไม่ได้เรียนอะไรมากไปกว่าข้อมูลเบื้องต้น ร่างของนินซาโผล่พ้นความสลัวของวิหารออกมา ครั้นเห็นหน้าเธอเคร่งเครียดจึงเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าเป็นอะไรหรือนลินนา เหตุใดทำหน้าเครียดเช่นนั้น?”

คำถามของนินซายิ่งทำให้หล่อนกลัดกลุ้ม มองหน้าของนักบวชพี่เลี้ยงสาว จากนั้นนัยน์ตาจึงผุดประกายแน่วแน่ ตัดสินใจเด็ดขาด หล่อนควรจะเล่าทุกอย่างให้นินซาฟังเสียที





รถศึกเทียมจตุรอัสดรทะยานเข้าสู่พระราชวังใต้รวดเร็ว ก่อนอาการกระชากบังเหียนจักทำให้สี่อัสดรชะลอฝีเท้าลง องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมทรงโจนองค์ลงจากรถศึกคล่องแคล่ว ครั้นถึงห้องทรงงานส่วนพระองค์จึงทอดพระเนตรพบพระอนุชากำลังละเล่นหมากในกระดาน

“ไปส่งนลินนาเสร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ถ้อยทูลถามดังมาจากนาโบนัสซาร์ จึงรับสั่งเพียงว่า

“เสร็จแล้ว”

สดับเช่นนั้น พระอนุชาก็แผ่ยิ้มกว้าง “ถ้าเช่นนั้นเสด็จพี่ก็ไปสรงน้ำเถิดพ่ะย่ะค่ะ จักได้กลับมาจัดการหมากตานี้ให้จบเสียที”

ทรงพยักพักตร์เชิงรับ ทว่าไม่ทันย่างพระบาทออกจากห้องทรงงาน ตรัสเรียกมหาดเล็กให้มาเตรียมงานสรง พระอนุชาก็ทูลถามขึ้น ถ้อยทูลถามนั้น ยังให้พระวรองค์สูงใหญ่ถึงกับชะงัก

“แล้วเสด็จพี่ได้ตรัสถามเรื่องนั้นกับนลินนาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”

สีพระพักตร์แปรเป็นเคร่งขรึมทันควัน สูดพระอัสสาสะลึกยาว จากนั้นจึงตรัส

“ตราบใดที่นางยังไม่อยากบอกเอง ข้าก็จักไม่คาดคั้น ข้าเชื่อ...สักวัน นางจักต้องเป็นฝ่ายมากล่าวเอง”

เจ้าชายนาโบนัสซาร์แย้มพระสรวลกว้างทันควัน แลดูหมากในกระดานอันคงก้าวหน้าขึ้นอีกตาหนึ่ง





[1] Karl Heinrich Marx นักมานุษยวิทยาชาวเยอรมันเชื้อสายยิว เนื่องจากช่วงนั้นอยู่ช่วงปฏิวัติทางอุตสาหกรรม เกิดชนชั้นแรงงานเป็นจำนวนมาก ตลอดจนการกดขี่ ทฤษฎีของ Marx จึงมักกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างชนชั้น และผู้ที่ทำงานสมควรได้รับผลตอบแทนซึ่งก็คือ แรงงานไม่ใช่นายทุน ด้วยเหตุนี้ Marx จึงถือได้ว่า เป็นบิดาแห่งคอมมิวนิสต์


[2] David Émile Durkheim นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาสังคมวิทยาแห่งแรกในยุโรป นำหลักสถิติมาใช้ในการวิเคราะห์การฆ่าตัวตาย(Suicide) ซึ่ง Durkheim เชื่อว่า มาจากการไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม Durkheim เป็นผู้ปูทางการศึกษาสังคมอย่างมีส่วนร่วม และส่งผลต่อความคิดของสำนักโครงสร้างหน้าที่ในเวลาต่อมา

[3] Tyre หรือเมืองเซอร์รู(Ṣurru) ในภาษาอัคคัด เป็นเมืองท่าสำคัญของชาวคานาอัน หรือที่ชาวกรีกเรียกว่า ชาวฟินิเชียน ตั้งแต่ประมาณ ๑,๑๐๐ – ๖๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เป็นศูนย์กลางทางการค้ามาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะการค้าสีย้อมผ้าอันเลอค่าซึ่งก็คือ ผงย้อมสีม่วงไทเรี่ยน(Tyrian Purple) เเละไม้สนซีดาร์ ซึ่งใช้ในโครงการก่อสร้างเเละการต่อเรือ ในเทพปกรณัมของกรีกนั้น เมืองไทร์เป็นบ้านเกิดของเทพียูโรป้า(Europa) เจ้าหญิงผู้ถูกเทพซุสลักพาตัวไปเป็นชายา และชายาองค์นี้เองคือผู้เป็นที่มาของชื่อทวีปยุโรป


****************************************************************************************************************


สวัสดีค่า ขอโทษนะคะที่ห่างหายไปนาน ความจริงจะห่างหายไปนานกว่านี้ค่ะ แต่เผอิญเพื่อนบอกว่า คนอ่านรอนานแล้วนะ จริงๆ แล้วอยากเก็บข้อมูลมากกว่านี้อีกหน่อย แต่พอเขียนปุ๊บ ดันลื่นขึ้นมาทันที เพราะมีพล็อตอยู่แล้ว(ยอมรับค่ะ มันคือส่วนที่เพิ่มมา) เหลือแต่ตัวเซธ-เวเรทที่ยังไม่พร้อมค่ะ ตอนนี้ก็เป็นอีกตอนที่ข้อมูลแน่นมาก แต่พยายามเขียนให้เข้าใจง่าย รู้สึกเสียใจที่พระเอกนางเอกพูดน้อยทั้งคู่ บรรยากาศเลยคนละเรื่องกับเรื่องที่แล้วเลย แต่ยังไงเซธ-เวเรทก็รู้สึกชอบคู่นี้นะคะ เป็นคู่ที่แต่งแล้วอินจริงๆ มีอารมณ์หวามๆ ในอก น่ารักดีค่ะ

ป.ล. ในที่สุดเซธ-เวเรทก็ใกล้สอบกลางภาคแล้วค่ะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จะพยายามตั้งใจเรียนแล้วหาเวลาว่างมาเขียนนิยายให้ได้ ส่วนตัวก็อยากหาประสบการณ์เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ เผื่อจะได้มีอะไรใหม่ๆ มาลงในนิยายบ้าง ส่วนหนึ่งที่ได้ทำสมใจคือ เอาทฤษฎีที่เรียนมาเขียนบ้าง เเม้จะในเชิงอรรถก็เถอะ หวังว่า เซธ-เวเรทจะเขียนรู้เรื่องนะคะ ๕๕๕
















เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2559, 15:20:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2559, 15:20:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 838





<< แจ้งความคืบหน้า   เเจกหนังสือ >>
แว่นใส 26 ก.ย. 2559, 17:45:27 น.
ขอให้สอบผ่าน จบเร็ว ๆ นะ รออ่านอยู่


Zephyr 22 ต.ค. 2559, 19:01:18 น.
สู้ๆกับการสอบนะคะ
ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี
รออ่านนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account