In a day รอรักหลังวิวาห์
Tags: อาลี โมนา
ตอน: Chapter 12: Be unstable (สั่นคลอน)
Chapter 12: Be unstable (สั่นคลอน)
Thailand,
ในที่สุดวันที่ฉันรอคอยก็มาถึง หลังจากที่เขาบอกฉันว่าจะมาไทยตั้งแต่วันนั้นนี่ก็เลยมาจนเกือบจะสองเดือน เขาบอกว่างานมีปัญหานิดหน่อยจึงต้องเลื่อนวันเดินทาง แต่ไม่ว่าช้าหรือเร็ว วันนี้ก็มาถึง แต่ทั้งๆเป็นวันที่ฉันควรมีความสุขเพราะได้กลับบ้านพร้อมกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี แต่แล้วความรู้สึกดันสวนทางกันเพราะ
“มาไทยทีไรอัสนึกถึงวันที่เราสองคนมาเที่ยวด้วยกันทุกที แต่เอ่ ไม่รู้ว่าลียังจำมันได้รึเปล่า”
“ทำไมผมจะจำไม่ได้ละ”
“วาวพี่สองคนเคยมาเที่ยวไทยด้วยกันหรอ นี่ถ้าเราแวะสิงค์โปด้วยจะดีมากเพราะผมกับโมนาเซียนเรื่องนำเที่ยวเลยละ”
“จะว่าไปที่ฟาริทพูดก็น่าสนใจอยู่นะคะลี”
“เหอะ”
“พี่โมนา ทางนี้”
“มุมิน แล้วพี่มุนชิตละ”
“พี่มุนชิตไปกับพ่ออ่ะ เห็นว่ามีประชุมสำคัญ งานมารับเลยตกเป็นหน้าที่มินแทนไง”
“หรอ”
“เอ่อสวัสดีครับพี่อาลี สบายดีนะครับ”
“พี่สบายดี นายละ”
“ผมก็เหมือนกัน แล้ว คุ้นๆแหะ ใช่พี่ริทไหมครับ”
“ใช่แล้ว นี่จำพี่ได้ด้วย”
“ทำไมจะจำไม่ได้ละพี่ริท ก็ผมไปนอนห้องพี่ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมพี่โมนาที่สิงค์โปอ่ะ”
“ฮะฮ่ะฮ่า จริงสิ นี่วันหลังไปเที่ยวมาเลด้วยสิเดี่ยวพี่พาทัวร์เอง”
“โห จริงดิ”
“อะฮึ้ม เอิ่ม ลีคะอัสว่าเราไปกันเถอะคะ”
“คือผมต้องไปกับโมนานะ ส่วนคุณกับฟาริทผมจองเรื่องโรงแรมให้เรียบร้อยแล้ว”
“หมายความว่าเราจะแยกกันตรงนี้หรอลี”
“คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“แล้วเรื่องธุระละคะลี”
“เดี่ยวผมจัดการเอง คุณอยากมาเที่ยวไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่ แต่ลีคะ”
“อย่างอแงสิครับอัส นะ”
“เอางั้นก็ได้คะ”
“แล้วเจอกันครับ”
“คะลี”
เมื่ออัสมาและฟาริทขึ้นรถโรงแรมไปเรียบร้อยแล้ว ฉันกับเขาก็นั่งรถกลับโดยมีมุมินเป็นคนขับรถให้เราสองคน
สี่ล้อรถหยุดหมุนเช่นเดียวกับเสียงเครื่องยนต์ที่หยุดทำงานลง ฉันเปิดประตูก้าวลงจากรถ เราเดินเข้าบ้านด้วยกันโดยมีมุมิมเดินนำไปก่อนแล้ว ต้องยอมรับว่าฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกปลอดภัย รู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้กลับมาบ้านที่ฉันผูกพันมาตั้งแต่จำความได้ ก็อย่างที่เขาว่ากันว่า ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านตัวเอง
“คิดถึงแม่ที่สุดเลย มาโมนาขอกอดที”
“อื้อ ลูกแม่ดูสวยขึ้นนะเนี้ย”
“ฮะฮ่ะฮ่า”
“สวัสดีครับคุณแม่”
“จ๊ะลูก สบายดีไหมอาลี”
“สบายดีครับ คุณแม่ละครับ”
“แม่ก็เรื่อยๆตามประสาคนมีอายุแหละลูก”
“ผมว่าคุณแม่ยังดูสาวเลยนะครับ”
“ปากหวานจริงพ่อคนนี้ ไม่น่าละลูกสาวแม่ถึงรักขนาดนี้”
“พูดอะไรอย่างนั้นคะแม่ โมนาเข้าบ้านก่อนดีกว่า”
“เอ้าลูก โมนารอพี่เขาด้วยสิ”
“หึ ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไปกับคุณแม่ก็ได้ครับ”
“จ๊ะๆ จริงๆเลยโมนาเนี้ย สงสัยแกคงเขินอย่าไปถือสาน้องเลยนะ”
“ครับ”
ก็อกๆๆ
“โมนา”
“คะ”
“เห็นกระเป่าเอกสารของพี่ไหม”
“พี่ลีเป็นคนถือไม่ใช่หรอคะ”
“ก็ใช่แต่พี่หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าไปอยู่นกระเป๋าใบไหนรึเปล่า”
“ไม่มีนะคะเพราะน้องเอาของออกหมดแล้ว”
“หรอ เอ่ ไปลืมไว้ที่ไหนนะ เอกสารเกี่ยวกับธุระพรุ่งนี้ด้วยสิ”
“หรือเราลืมที่สนามบินคะ”
“ไม่น่าจะใช่ เพราะพี่จำได้ว่าพี่หยิบหมดทุกใบแล้ว”
ติ๊ดๆๆ
เขาหันหลังให้ฉันพร้อมสนทนากับคนในสาย
“ครับอัส”
......................
“จริงหรอครับ ผมนึกว่าผมลืมไว้ไหนซะอีก ขอบใจนะครับอัส เดี่ยวผมแวะไปรับ”
......................
“ครับ ไม่ลืมหรอกครับ เดี่ยวผมไปหา เช่นกันครับ”
“กระเป่าอยู่ที่อัส”
“คะ น้องได้ยินแล้ว”
“นี่แอบฟังพี่คุยหรอ”
“เปล่านี่คะ น้องลงไปช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า เดี่ยวคุณพ่อกับพี่มุนชิตจะกลับมาทานข้าวเย็นกับเราด้วย”
ฉันเดินออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกเจ็บลึกๆที่ใจ เหมือนมีใครเอามือมาบีบมัน ฉันได้ยินมันทุกประโยค แม้อาจจะฟังไม่ค่อยชัดแต่ฉันก็ได้ยิน ฉันพยายามจะไม่คิด แต่สมองมันไม่ฟัง ทั้งที่เขาและเธอเพิ่งแยกกันไม่กี่ชั่วโมงแต่กลับบอกว่า “อัสคิดถึงลีนะคะ” ฉันจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าเขาไม่ตอบกลับ แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างที่ฉันหวัง เป็นเขาเองที่ยอมรับว่า “เช่นกัน” แม้เขาจะไม่พูดคำนั้นออกมาแต่ก็ใช่ว่าฉันจะจับใจความไม่ได้ว่าเขาหมายถึงอะไร
“โมนา เป็นอะไรลูก”
“เปล่าคะแม่ แค่แสบตานิดหน่อย มาคะเดี่ยวหนูหั่นให้เอง แม่ไปพัดเนื้อเถอะคะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้แม่ฟังได้นะ”
“แม่ว่าหนูจะเป็นภรรยาที่ดีได้ไหม”
“ได้สิลูก ทุกอย่างอยู่ที่เนียต*และการกระทำที่ตั้งอยู่ในกรอบตามหลักศาสนาที่บัญญัติไว้ แม่เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นภรรยาที่ดีแล้วหรือยังเพราะไม่มีใครสามารถตัดสินเราได้ แม่รู้แค่ว่าทุกวันนี้แม่ไม่ทำให้พ่อของเราเป็นทุกข์หรือโกรธในการกระทำของแม่ และที่สำคัญแม่ได้ทำหน้าที่ของแม่เพื่อลูกๆแค่นี้แม่ก็สุขใจแล้ว”
“หนูจะเป็นภรรยาที่ดีให้ได้คะ”
...แม้จะต้องอดทนแค่ไหนก็ตาม แต่สักวันเขาจะต้องมองมาที่ฉัน เชื่อสิโมนา...ประโยคพวกนี้คงเป็นคำปลอบใจที่ดีให้ตัวฉันเองสินะ
“ชีวิตคู่มันก็แบบนี้แหละลูก ทะเลาะบ้าง ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง ยิ้มบ้าง ปะปนกันไป อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะอยู่ในโหมดไหนนานกว่ากัน ถ้าผิดใจกันหรือน้อยใจกันก็รีบปรับความเข้าใจกันนะ ปล่อยไว้นานๆจะเป็นการเพิ่มกำแพงให้สูงขึ้น และความห่างเหินก็จะยิ่งมากขึ้น เมื่อเป็นแบบนั้นก็ยากที่จะเข้าใจกัน”
“คะแม่”
“โมนา ผมไปธุระนะ”
ชึก
“โอ๊ย”
“โมนา”
เขารีบเดินเข้ามาหาฉันพร้อมหยิบทิชชูมากดเลือดที่เริ่มซึมออกมา
“เอ้าลูกระวังหน่อยสิ เห็นไหมบาดนิ้วเลย”
“คุณแม่ก็อยู่หรอครับ งั้นผมขอตัวไปทำธุระข้างนอกนะครับ”
“ส่วนเรา ทำอะไรก็ระวังหน่อยสิ พี่ไปก่อนนะ ไปนะครับคุณแม่”
เขาเดินออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าฉันเจ็บเพราะโดนมีดบาดหรือเจ็บเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้น้ำตาฉันค่อยๆไหลออกมาช้าๆ
“โมนา ร้องไห้ทำไมเจ็บมากหรอลูก”
“ฮึก อื่อ คะแม่เจ็บมาก หนูต้องอดทนใช่ไหมคะแม่”
“ไม่เอาลูกโตแล้วไม่ร้องนะ ใจเย็นๆนะลูก”
“คะ อื่อ”
ฉันเช็ดน้ำตาลวกๆ ฉันรู้ว่าแม่รู้ว่าฉันรู้สึกยังไง ฉันไม่เคยอ่อนแอหรือร้องไห้ต่อหน้าแม่แบบนี้มานานแค่ไหนก็ไม่รู้ โมนาที่เคยเข้มแข็ง สู้ อดทนและยิ้มต่อทุกสถานการณ์หายไปไหนแล้ว อาจเป็นเพราะฉันกำลังสับสน น้อยใจและรู้สึกอ่อนแอ ฉันถึงได้ร้องไห้ออกมาแบบนี้
19.00 PM.
“พี่อาลีโทรมาบอกว่าอาจจะกลับไม่ทันข้าวเย็น โมนาว่าเรากินกันเถอะคะ”
“แล้วมันไปไหนซะละ พี่ยังไม่ได้เจอเลย”
“เอ่อ เขาออกไปทำธุระ”
“ธุระอะไรจะสำคัญขนาดนั้น”
“.....................”
“เอาน่า มุนชิตก็ ไว้ถามเพื่อนเราเองไม่ดีกว่าหรอ”
“ก็มันเป็นสามีน้องอ่ะแม่ ธุระอะไรก็น่าจะบอกกัน”
“เอาเถอะๆพ่อว่ากินกันได้แล้วมัวแต่คุยกันเดี่ยวกับข้าวก็เย็นกันพอดี”
ทั้งที่คิดว่าเขาจะกลับมาทานข้าวเย็นด้วยกันกับครอบครัวฉัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เขาก็ยังคงเป็นเขาไม่เคยสนใจว่าฉันจะรู้สึกยังไง พยายามจะไม่คิดอะไร แต่ก็เหมือนจะทำไม่ได้ โอ้อัลลอฮได้โปรดชี้ทางให้บ่าวคนนี้ด้วยเถิด
“ขอโทษที่กลับช้าครับทุกคน”
“เอ้ามาๆพ่อนึกไว้แล้วเชียวว่าเราจะกลับมาทันทานข้าวเย็นด้วยกัน”
“ครับคุณพ่อ ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
“จ๊ะ มานั่งเถอะลูกกับข้าวเย็นหมดแล้ว”
“ครับคุณแม่”
เขานั่งลงข้างๆฉันก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้า
“แกไปไหนมาว่ะลี”
“ไปเอาเอกสารมา”
“ที่ไหน”
“ก็ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่”
“เออ มันที่ไหนละ”
“พี่มุนชิตนี่ถามอย่างกับตัวเองเป็นแฟนพี่อาลีอย่างงั้นแหล่ะ ดูพี่โมนาดิยังไม่ทันถามอะไรซักคำ”
“พี่ก็ถามแทนโมนาเลยไง กินข้าวไปเลยมุมิน”
“คร้าบบบพี่ชาย”
“ว่าแต่มานี่จะอยู่กี่วันละอาลี”
“คงจะอยู่ไม่นานเท่าไหร่ครับเพราะผมต้องกลับไปเคลียร์งานที่มาเลต่อ”
“แต่แม่ว่าน่าจะอยู่เที่ยวสักสามสี่วันนะ ไหนๆก็มาแล้ว”
“ใช่ จะรีบกลับทำไมบริษัทมึงคงไม่ล้มละลายหรอกกูว่า แล้วเราอ่ะโมนาว่าไง”
“แล้วแต่พี่อาลีนั่นแหล่ะ”
“ก็คงต้องดูอีกทีครับ”
ตอนนี้ฉันกำลังจะเข้านอนละ วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก ฉันอยากพักผ่อน แต่เอาจริงๆแล้วฉันอยากจะถามเขาว่าไปไหน ไปกับใคร แล้วไปทำอะไร ทำไมกลับมาช้า แต่พอคิดๆดูแล้วฉันไม่ควรจะเซ้าซี้เขามาก เพราะตอนนี้เขากำลังอ่านเอกสารการประชุมของวันพรุ่งนี้อยู่ ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วละ เพราะแม่บอกกับฉันว่า ฉันไม่ควรจะระแวงหรือคิดไปเองเพราะนั่นจะทำให้ชีวิตคู่ของเราไม่เป็นสุข
“จะนอนแล้วหรอ”
“อืม น้องรู้สึกเหนื่อยๆ”
เขาเดินมานั่งบนเตียงข้างฉันพร้อมดึงมือข้างที่โดนมีดบาดมาดู
“พี่อยากจะพูดอะไรไหม”
“อยากให้พี่พูดอะไร”
“....................”
“ยังเจ็บอีกไหม”
“....................”
“ว่าไง”
“...................”
“พี่ลีเป็นห่วงน้องรึเปล่า”
“..................”
“ว่าไงล่ะ”
“เรายังไม่ได้ตอบคำถามพี่”
“เจ็บ เจ็บมากด้วย”
“..................”
“ทำแผลแล้วใช่ไหม”
“พี่ลีเป็นห่วงน้องไหม”
“แล้วนี่บาดลึกหรือเปล่า”
“....................”
“คะ นิดหน่อย น้องจะนอนแล้ว”
ฉันดึงมือที่เขาจับอยู่พร้อมหลับตาลง เพราะยังไงเขาก็คงไม่ตอบคำถามของฉันอยู่ดี
จุ๊บบ
เขาก้มลงจูบหน้าผากฉันพร้อมกระซิบบอก
“เป็นห่วงเสมอ”
แล้วเขาก็ลุกไปปิดไฟพร้อมเสียงประตูที่ปิดลง
เนียต* = การตั้งจิตใจแน่วแน่ต่อการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยใจบริสุทธิ์
Thailand,
ในที่สุดวันที่ฉันรอคอยก็มาถึง หลังจากที่เขาบอกฉันว่าจะมาไทยตั้งแต่วันนั้นนี่ก็เลยมาจนเกือบจะสองเดือน เขาบอกว่างานมีปัญหานิดหน่อยจึงต้องเลื่อนวันเดินทาง แต่ไม่ว่าช้าหรือเร็ว วันนี้ก็มาถึง แต่ทั้งๆเป็นวันที่ฉันควรมีความสุขเพราะได้กลับบ้านพร้อมกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี แต่แล้วความรู้สึกดันสวนทางกันเพราะ
“มาไทยทีไรอัสนึกถึงวันที่เราสองคนมาเที่ยวด้วยกันทุกที แต่เอ่ ไม่รู้ว่าลียังจำมันได้รึเปล่า”
“ทำไมผมจะจำไม่ได้ละ”
“วาวพี่สองคนเคยมาเที่ยวไทยด้วยกันหรอ นี่ถ้าเราแวะสิงค์โปด้วยจะดีมากเพราะผมกับโมนาเซียนเรื่องนำเที่ยวเลยละ”
“จะว่าไปที่ฟาริทพูดก็น่าสนใจอยู่นะคะลี”
“เหอะ”
“พี่โมนา ทางนี้”
“มุมิน แล้วพี่มุนชิตละ”
“พี่มุนชิตไปกับพ่ออ่ะ เห็นว่ามีประชุมสำคัญ งานมารับเลยตกเป็นหน้าที่มินแทนไง”
“หรอ”
“เอ่อสวัสดีครับพี่อาลี สบายดีนะครับ”
“พี่สบายดี นายละ”
“ผมก็เหมือนกัน แล้ว คุ้นๆแหะ ใช่พี่ริทไหมครับ”
“ใช่แล้ว นี่จำพี่ได้ด้วย”
“ทำไมจะจำไม่ได้ละพี่ริท ก็ผมไปนอนห้องพี่ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมพี่โมนาที่สิงค์โปอ่ะ”
“ฮะฮ่ะฮ่า จริงสิ นี่วันหลังไปเที่ยวมาเลด้วยสิเดี่ยวพี่พาทัวร์เอง”
“โห จริงดิ”
“อะฮึ้ม เอิ่ม ลีคะอัสว่าเราไปกันเถอะคะ”
“คือผมต้องไปกับโมนานะ ส่วนคุณกับฟาริทผมจองเรื่องโรงแรมให้เรียบร้อยแล้ว”
“หมายความว่าเราจะแยกกันตรงนี้หรอลี”
“คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“แล้วเรื่องธุระละคะลี”
“เดี่ยวผมจัดการเอง คุณอยากมาเที่ยวไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่ แต่ลีคะ”
“อย่างอแงสิครับอัส นะ”
“เอางั้นก็ได้คะ”
“แล้วเจอกันครับ”
“คะลี”
เมื่ออัสมาและฟาริทขึ้นรถโรงแรมไปเรียบร้อยแล้ว ฉันกับเขาก็นั่งรถกลับโดยมีมุมินเป็นคนขับรถให้เราสองคน
สี่ล้อรถหยุดหมุนเช่นเดียวกับเสียงเครื่องยนต์ที่หยุดทำงานลง ฉันเปิดประตูก้าวลงจากรถ เราเดินเข้าบ้านด้วยกันโดยมีมุมิมเดินนำไปก่อนแล้ว ต้องยอมรับว่าฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกปลอดภัย รู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้กลับมาบ้านที่ฉันผูกพันมาตั้งแต่จำความได้ ก็อย่างที่เขาว่ากันว่า ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านตัวเอง
“คิดถึงแม่ที่สุดเลย มาโมนาขอกอดที”
“อื้อ ลูกแม่ดูสวยขึ้นนะเนี้ย”
“ฮะฮ่ะฮ่า”
“สวัสดีครับคุณแม่”
“จ๊ะลูก สบายดีไหมอาลี”
“สบายดีครับ คุณแม่ละครับ”
“แม่ก็เรื่อยๆตามประสาคนมีอายุแหละลูก”
“ผมว่าคุณแม่ยังดูสาวเลยนะครับ”
“ปากหวานจริงพ่อคนนี้ ไม่น่าละลูกสาวแม่ถึงรักขนาดนี้”
“พูดอะไรอย่างนั้นคะแม่ โมนาเข้าบ้านก่อนดีกว่า”
“เอ้าลูก โมนารอพี่เขาด้วยสิ”
“หึ ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไปกับคุณแม่ก็ได้ครับ”
“จ๊ะๆ จริงๆเลยโมนาเนี้ย สงสัยแกคงเขินอย่าไปถือสาน้องเลยนะ”
“ครับ”
ก็อกๆๆ
“โมนา”
“คะ”
“เห็นกระเป่าเอกสารของพี่ไหม”
“พี่ลีเป็นคนถือไม่ใช่หรอคะ”
“ก็ใช่แต่พี่หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าไปอยู่นกระเป๋าใบไหนรึเปล่า”
“ไม่มีนะคะเพราะน้องเอาของออกหมดแล้ว”
“หรอ เอ่ ไปลืมไว้ที่ไหนนะ เอกสารเกี่ยวกับธุระพรุ่งนี้ด้วยสิ”
“หรือเราลืมที่สนามบินคะ”
“ไม่น่าจะใช่ เพราะพี่จำได้ว่าพี่หยิบหมดทุกใบแล้ว”
ติ๊ดๆๆ
เขาหันหลังให้ฉันพร้อมสนทนากับคนในสาย
“ครับอัส”
......................
“จริงหรอครับ ผมนึกว่าผมลืมไว้ไหนซะอีก ขอบใจนะครับอัส เดี่ยวผมแวะไปรับ”
......................
“ครับ ไม่ลืมหรอกครับ เดี่ยวผมไปหา เช่นกันครับ”
“กระเป่าอยู่ที่อัส”
“คะ น้องได้ยินแล้ว”
“นี่แอบฟังพี่คุยหรอ”
“เปล่านี่คะ น้องลงไปช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า เดี่ยวคุณพ่อกับพี่มุนชิตจะกลับมาทานข้าวเย็นกับเราด้วย”
ฉันเดินออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกเจ็บลึกๆที่ใจ เหมือนมีใครเอามือมาบีบมัน ฉันได้ยินมันทุกประโยค แม้อาจจะฟังไม่ค่อยชัดแต่ฉันก็ได้ยิน ฉันพยายามจะไม่คิด แต่สมองมันไม่ฟัง ทั้งที่เขาและเธอเพิ่งแยกกันไม่กี่ชั่วโมงแต่กลับบอกว่า “อัสคิดถึงลีนะคะ” ฉันจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าเขาไม่ตอบกลับ แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างที่ฉันหวัง เป็นเขาเองที่ยอมรับว่า “เช่นกัน” แม้เขาจะไม่พูดคำนั้นออกมาแต่ก็ใช่ว่าฉันจะจับใจความไม่ได้ว่าเขาหมายถึงอะไร
“โมนา เป็นอะไรลูก”
“เปล่าคะแม่ แค่แสบตานิดหน่อย มาคะเดี่ยวหนูหั่นให้เอง แม่ไปพัดเนื้อเถอะคะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้แม่ฟังได้นะ”
“แม่ว่าหนูจะเป็นภรรยาที่ดีได้ไหม”
“ได้สิลูก ทุกอย่างอยู่ที่เนียต*และการกระทำที่ตั้งอยู่ในกรอบตามหลักศาสนาที่บัญญัติไว้ แม่เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นภรรยาที่ดีแล้วหรือยังเพราะไม่มีใครสามารถตัดสินเราได้ แม่รู้แค่ว่าทุกวันนี้แม่ไม่ทำให้พ่อของเราเป็นทุกข์หรือโกรธในการกระทำของแม่ และที่สำคัญแม่ได้ทำหน้าที่ของแม่เพื่อลูกๆแค่นี้แม่ก็สุขใจแล้ว”
“หนูจะเป็นภรรยาที่ดีให้ได้คะ”
...แม้จะต้องอดทนแค่ไหนก็ตาม แต่สักวันเขาจะต้องมองมาที่ฉัน เชื่อสิโมนา...ประโยคพวกนี้คงเป็นคำปลอบใจที่ดีให้ตัวฉันเองสินะ
“ชีวิตคู่มันก็แบบนี้แหละลูก ทะเลาะบ้าง ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง ยิ้มบ้าง ปะปนกันไป อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะอยู่ในโหมดไหนนานกว่ากัน ถ้าผิดใจกันหรือน้อยใจกันก็รีบปรับความเข้าใจกันนะ ปล่อยไว้นานๆจะเป็นการเพิ่มกำแพงให้สูงขึ้น และความห่างเหินก็จะยิ่งมากขึ้น เมื่อเป็นแบบนั้นก็ยากที่จะเข้าใจกัน”
“คะแม่”
“โมนา ผมไปธุระนะ”
ชึก
“โอ๊ย”
“โมนา”
เขารีบเดินเข้ามาหาฉันพร้อมหยิบทิชชูมากดเลือดที่เริ่มซึมออกมา
“เอ้าลูกระวังหน่อยสิ เห็นไหมบาดนิ้วเลย”
“คุณแม่ก็อยู่หรอครับ งั้นผมขอตัวไปทำธุระข้างนอกนะครับ”
“ส่วนเรา ทำอะไรก็ระวังหน่อยสิ พี่ไปก่อนนะ ไปนะครับคุณแม่”
เขาเดินออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าฉันเจ็บเพราะโดนมีดบาดหรือเจ็บเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้น้ำตาฉันค่อยๆไหลออกมาช้าๆ
“โมนา ร้องไห้ทำไมเจ็บมากหรอลูก”
“ฮึก อื่อ คะแม่เจ็บมาก หนูต้องอดทนใช่ไหมคะแม่”
“ไม่เอาลูกโตแล้วไม่ร้องนะ ใจเย็นๆนะลูก”
“คะ อื่อ”
ฉันเช็ดน้ำตาลวกๆ ฉันรู้ว่าแม่รู้ว่าฉันรู้สึกยังไง ฉันไม่เคยอ่อนแอหรือร้องไห้ต่อหน้าแม่แบบนี้มานานแค่ไหนก็ไม่รู้ โมนาที่เคยเข้มแข็ง สู้ อดทนและยิ้มต่อทุกสถานการณ์หายไปไหนแล้ว อาจเป็นเพราะฉันกำลังสับสน น้อยใจและรู้สึกอ่อนแอ ฉันถึงได้ร้องไห้ออกมาแบบนี้
19.00 PM.
“พี่อาลีโทรมาบอกว่าอาจจะกลับไม่ทันข้าวเย็น โมนาว่าเรากินกันเถอะคะ”
“แล้วมันไปไหนซะละ พี่ยังไม่ได้เจอเลย”
“เอ่อ เขาออกไปทำธุระ”
“ธุระอะไรจะสำคัญขนาดนั้น”
“.....................”
“เอาน่า มุนชิตก็ ไว้ถามเพื่อนเราเองไม่ดีกว่าหรอ”
“ก็มันเป็นสามีน้องอ่ะแม่ ธุระอะไรก็น่าจะบอกกัน”
“เอาเถอะๆพ่อว่ากินกันได้แล้วมัวแต่คุยกันเดี่ยวกับข้าวก็เย็นกันพอดี”
ทั้งที่คิดว่าเขาจะกลับมาทานข้าวเย็นด้วยกันกับครอบครัวฉัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เขาก็ยังคงเป็นเขาไม่เคยสนใจว่าฉันจะรู้สึกยังไง พยายามจะไม่คิดอะไร แต่ก็เหมือนจะทำไม่ได้ โอ้อัลลอฮได้โปรดชี้ทางให้บ่าวคนนี้ด้วยเถิด
“ขอโทษที่กลับช้าครับทุกคน”
“เอ้ามาๆพ่อนึกไว้แล้วเชียวว่าเราจะกลับมาทันทานข้าวเย็นด้วยกัน”
“ครับคุณพ่อ ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
“จ๊ะ มานั่งเถอะลูกกับข้าวเย็นหมดแล้ว”
“ครับคุณแม่”
เขานั่งลงข้างๆฉันก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้า
“แกไปไหนมาว่ะลี”
“ไปเอาเอกสารมา”
“ที่ไหน”
“ก็ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่”
“เออ มันที่ไหนละ”
“พี่มุนชิตนี่ถามอย่างกับตัวเองเป็นแฟนพี่อาลีอย่างงั้นแหล่ะ ดูพี่โมนาดิยังไม่ทันถามอะไรซักคำ”
“พี่ก็ถามแทนโมนาเลยไง กินข้าวไปเลยมุมิน”
“คร้าบบบพี่ชาย”
“ว่าแต่มานี่จะอยู่กี่วันละอาลี”
“คงจะอยู่ไม่นานเท่าไหร่ครับเพราะผมต้องกลับไปเคลียร์งานที่มาเลต่อ”
“แต่แม่ว่าน่าจะอยู่เที่ยวสักสามสี่วันนะ ไหนๆก็มาแล้ว”
“ใช่ จะรีบกลับทำไมบริษัทมึงคงไม่ล้มละลายหรอกกูว่า แล้วเราอ่ะโมนาว่าไง”
“แล้วแต่พี่อาลีนั่นแหล่ะ”
“ก็คงต้องดูอีกทีครับ”
ตอนนี้ฉันกำลังจะเข้านอนละ วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก ฉันอยากพักผ่อน แต่เอาจริงๆแล้วฉันอยากจะถามเขาว่าไปไหน ไปกับใคร แล้วไปทำอะไร ทำไมกลับมาช้า แต่พอคิดๆดูแล้วฉันไม่ควรจะเซ้าซี้เขามาก เพราะตอนนี้เขากำลังอ่านเอกสารการประชุมของวันพรุ่งนี้อยู่ ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วละ เพราะแม่บอกกับฉันว่า ฉันไม่ควรจะระแวงหรือคิดไปเองเพราะนั่นจะทำให้ชีวิตคู่ของเราไม่เป็นสุข
“จะนอนแล้วหรอ”
“อืม น้องรู้สึกเหนื่อยๆ”
เขาเดินมานั่งบนเตียงข้างฉันพร้อมดึงมือข้างที่โดนมีดบาดมาดู
“พี่อยากจะพูดอะไรไหม”
“อยากให้พี่พูดอะไร”
“....................”
“ยังเจ็บอีกไหม”
“....................”
“ว่าไง”
“...................”
“พี่ลีเป็นห่วงน้องรึเปล่า”
“..................”
“ว่าไงล่ะ”
“เรายังไม่ได้ตอบคำถามพี่”
“เจ็บ เจ็บมากด้วย”
“..................”
“ทำแผลแล้วใช่ไหม”
“พี่ลีเป็นห่วงน้องไหม”
“แล้วนี่บาดลึกหรือเปล่า”
“....................”
“คะ นิดหน่อย น้องจะนอนแล้ว”
ฉันดึงมือที่เขาจับอยู่พร้อมหลับตาลง เพราะยังไงเขาก็คงไม่ตอบคำถามของฉันอยู่ดี
จุ๊บบ
เขาก้มลงจูบหน้าผากฉันพร้อมกระซิบบอก
“เป็นห่วงเสมอ”
แล้วเขาก็ลุกไปปิดไฟพร้อมเสียงประตูที่ปิดลง
เนียต* = การตั้งจิตใจแน่วแน่ต่อการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยใจบริสุทธิ์
TheW
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2559, 16:03:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2559, 16:03:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 1137
<< Chapter 11: Also Sweet (ยังหวานอยู่) | Chapter 13: Ignore (มองข้าม) >> |