น้ำค้างเปื้อนสี
'เพชร' ของสูงค่าที่ใครๆ ต่างหมายปอง
ชีวิตของ ‘เธอ’ จึงถูกเจียระไนเพื่อให้เป็นเพชรน้ำงามที่สุดที่เจ้าของจะได้อวดใครๆ
แต่กว่าจะเป็นเพชรต้องผ่านความร้อน ชีวิตคนเล่า ต้องผ่านความทุกข์สักเพียงไหน เมื่อคนคนหนึ่งหวังให้เพชรเปรอะเปื้อนโคลนตม
หากในวันที่เพชรอับแสง 'เขา' จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของเพชร และต่อให้เพชรมีรอยร้าว เธอก็ยังเป็นเพชรเม็ดเดียวในใจที่เขาปรารถนาจะครอบครอง
Tags: ดราม่า แอบรัก รักต้องห้าม สะท้อนสังคม
ตอน: บทที่ ๓
๓
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ กุสุมายิ่งได้ตระหนักรู้ว่าการต้องดูแลเด็กสักคน วางอนาคต วางแนวทางชีวิตให้นั้นวุ่นวายเพียงใด
โรงเรียนที่กุสุมาพาเด็กทั้งสองมาสมัครเรียนเป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ลำพังน้ำหนึ่งนั้นผ่านเข้าเรียนช่วงชั้นใหม่โดยง่าย ทว่าเธอต้องเสียค่าฝากกับผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อให้ดรัณได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองร่วมกับนักเรียนของทางโรงเรียนซึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา
"จริงๆ ให้เจ้ารันมันเรียนโรงเรียนวัดโรงเรียนอะไรก็ได้นะครับพี่ พี่ไม่น่าต้องเสียเงินร่วมแสนแบบนี้เลย"
เขาล่ะเสียดายแทน ดัสกรต่อประโยคนั้นในใจหลังกลับออกมาจากโรงเรียน
"เอาน่า กรเคยบอกพี่เองไม่ใช่หรือว่าอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆ ที่นี่น่ะไม่น้อยหน้าใครหรอกนะ"
ชายหนุ่มกุมมือซึ่งวางบนตักเขาขึ้นมาจุมพิต เท่านี้ก็เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากสาวใหญ่ได้แล้ว
"เซี้ยวจริงกรนี่ ตั้งใจขับรถเถอะจ้ะ"
ท่าทางกระบิดกระบวยขวยเขินทำให้กุสุมาดูอ่อนเดียงสาลงมาในสายตาของน้ำหนึ่ง กระนั้นเด็กหญิงก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เหมาะไม่ควร จะด้วยอายุที่แตกต่างกันระหว่างป้ากับคนรัก หรือเพราะการแสดงความรักต่อกันอย่างเปิดเผยก็สุดรู้ เธออึดอัดทุกครั้งที่ต้องเห็นภาพเหล่านี้และได้แต่ทำเมินเหมือนตนไม่เห็นอะไร
ทันทีที่กลับถึงบ้าน น้ำหนึ่งก็ตรงขึ้นห้องเสมือนห้องสี่เหลี่ยมสีชมพูนี้ต่างหากที่เป็นบ้านของเธออย่างแท้จริง ไม่ใช่ห้องนั่งเล่น สระว่ายน้ำ หรือแม้แต่ระเบียงทางเดิน ที่ห้องนี้เธอมีเพื่อนใหม่คือตุ๊กตาล้นเตียงที่ป้าซื้อให้ แต่ก็ไม่มีตัวใดจะสนิทใจเท่าเจ้าตุ๊กตาหมีสีขาวที่เธอกอดมันทุกคืนตั้งแต่จำความได้ มันเป็นมากกว่าตุ๊กตา แต่เป็นเหมือนพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน
"น้องนุ่น เรามาแล้วนะ" เธอบอกมันราวกับเป็นความผิดที่ต้องทิ้งไป "วันนี้อยู่กับเพื่อนๆ สนุกไหม ไม่สนุกเหรอ ทำไมล่ะ น้องนุ่นคิดถึงพ่อกับแม่ใช่ไหม โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ หนึ่งอยู่ที่นี่กับน้องนุ่นนะ"
ความอึดอัดใจถูกระบายออกมาผ่านการพูดคุยกับตุ๊กตา น้ำหนึ่งไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนึกคิดที่เธอใส่ลงไปในตัวตุ๊กตาก็คือความรู้สึกของเธอ
"เฮ้ย ทำไรน่ะ คุยกับตุ๊กตาเหรอ"
เด็กหญิงรีบซ่อนตุ๊กตาไว้ข้างหลังเมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ดรัณสาวเท้าตรงมาพลางหรี่ตามองเหมือนเธอบ้าไปแล้วจริงๆ
"ไหนบอกว่าก่อนเข้าห้องคนอื่นต้องเคาะประตูไง"
"ช่วยไม่ได้ โง่เองที่ไม่รู้จักล็อกประตู"
น้ำหนึ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นเคือง อีกแล้วนะ เขาพูดจาไม่ดีกับเธออีกแล้ว
ทว่าดรัณหาได้สนใจใบหน้าบูดบึ้งของเด็กหญิงไม่ เขาโยนถุงชุดนักเรียนลงบนเตียงเดี่ยวสีขาว ก่อนจะก้าวไปหยิบถุงแบบเดียวกันที่วางอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ามาเปิดดู
"อย่าเอาชุดหนึ่งไปนะ"
เจ้าของห้องพยายามยื้อยุดถุงเสื้อผ้าตนไว้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงเด็กผู้ชายได้
"โอ๊ย ยัยบ้า เธอนั่นแหละหยิบถุงผิดมา ของเธออยู่บนเตียงนู่น"
น้ำหนึ่งยอมปล่อยมือ เธอรีบเปิดดูถุงชุดนักเรียนที่อีกฝ่ายนำมาโยนไว้ก็เห็นเป็นกระโปรงของตน
"ประสาท!"
เสียงปิดประตูดังปังไล่หลังคนที่ก้าวออกไป เด็กหญิงยกมืดอุดหูพลางย่นจมูกใส่ ก่อนจะหันมากอดปลอบตุ๊กตาที่เธอซ่อนไว้ได้ทัน
"เกือบไปแล้วน้องนุ่น อยู่ห่างคนใจร้ายไว้นะ หนึ่งว่าเขาโรคจิตแน่ๆ เลย"
เสียงเพลงซึ่งแว่วดังมาจากห้องนั่งเล่นส่งผลให้ดรัณชะลอฝีเท้า จากที่ตั้งใจจะลงมานำอาหารว่างขึ้นไปกินบนห้อง เขาเปลี่ยนใจเดินไปตามเสียงเพลง
ประตูห้องนั่งเล่นถูกเปิดทิ้งไว้ ทั้งคนในห้องและคนข้างนอกต่างมองเห็นกันได้ทันที ดรัณเห็นแล้วว่ากุสุมาอยู่ในห้องลำพัง สาวใหญ่ในชุดเดรสแขนกุดคอวีกำลังหมุนวนแก้วไวน์พลางปล่อยอารมณ์ไปกับเพลงสากลในอดีต
"ตารัน มีอะไรเปล่าจ๊ะ" กุสุมาทักขึ้นเมื่อหันไปเห็นเด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่หน้ากรอบประตู
"เปล่าครับ ผมลงมาเอาขนม"
"นี่ไง มาทานนี่ก็ได้ คนงานเอาพายสับปะรดมาให้ฉัน แต่ฉันอยากดื่มไวน์มากกว่า" กุสุมาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ดรัณยอมเดินเข้าไปในห้องซึ่งมีทั้งโทรทัศน์จอใหญ่ เครื่องเสียงชั้นดี มีลำโพงตามมุมห้องทุกทิศทาง ม่านพับพรางแสงถูกเลื่อนลงไว้ครึ่งหนึ่ง ลดความร้อนแรงของแสงจ้ายามบ่ายได้เป็นอย่างดี
เขานั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่ง ขณะที่สาวใหญ่นั่งเหยียดขาไปบนโซฟาเบดสีเทาอ่อน กระโปรงซึ่งร่นขึ้นมาเผยให้เห็นท่อนขาหนั่นแน่น เจ้าหล่อนคงไม่ทันระวังตัวจึงยังคงจิบไวน์และฮัมเพลงในลำคอแผ่วเบา
ดรัณแทบไม่รับรู้รสชาติของพายสับปะรดที่กินเข้าไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อกุสุมาชวนคุย สมองเขาก็คอยแต่คิดหาคำตอบที่จะทำให้เธอประทับใจ
"วันนี้พ่อเราเขาไปดูรถใหม่ รันบอกพ่อหรือเปล่าว่าอยากได้ยี่ห้อไหน"
"เปล่าครับ แต่พ่อเคยบอกว่าอยากได้บีเอ็มดับบลิว"
"บีเอ็มหรือ"
"แต่ผมชอบรถเอสยูวี จะได้ขับไปเที่ยวไงฮะ"
กุสุมาหัวเราะชอบใจ จะว่าไปก็เป็นความคิดที่ดีเมื่อรถเอสยูวีสามารถจุคนและสัมภาระได้มากกว่า แล้วที่บ้านนี้ก็มีแต่รถเก๋งเสียด้วยซี
"ไม่เลวนะ อยากไปเที่ยวสิท่า"
"ผมแล้วแต่คุณแอ๊วครับ" เขาตอบเขินๆ ที่ถูกรู้เท่าทัน
ดรัณจัดการกับของว่างคำสุดท้ายพลางคิดว่าจะหาเรื่องใดมาพูดคุยได้อีก เป็นกุสุมาที่หาคำตอบให้เขาเสียเองเมื่อเธอเรียกให้เขามารินไวน์
เด็กชายลุกไปหยิบขวดแก้วทึบแสงที่วางเอนกับแท่นไม้ มือของเขาสั่นน้อยๆ ขณะเทเครื่องดื่มลงในแก้วทรงสูงที่สาวใหญ่เกี่ยวนิ้วกับก้านแก้วไว้หลวมๆ
"อยากไปไหนล่ะ ทะเลไหม"
ได้ยินคำว่า 'ทะเล' คนที่ไม่เคยได้ไปเห็นทะเลจริงๆ สักครั้งก็หูผึ่ง ตาเป็นประกายทันที เขารีบย่อตัวนั่งกับพื้นข้างโซฟาเบด จับแขนกุสุมาไว้เหมือนตอนอ้อนย่าอย่างไรอย่างนั้น
"ไปทะเลจริงๆ นะฮะ จริงๆ นะฮะคุณแอ๊ว"
กุสุมามองท่าทางรบเร้าของเด็ก เธอไม่รำคาญเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับชอบความรู้สึกที่ตนสามารถกำหนดอนาคตของใครได้สักคน มันเป็นความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่จะสร้างทุกข์...หรือบันดาลสุขให้ใครอื่นได้
สาวใหญ่ค่อยเลื่อนมือออกจากการเกาะกุมมาลูบศีรษะเด็กชาย เธอมองสบนัยน์ตาดำขลับของเขา หารู้ไม่ว่าแววตาซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจและความมุ่งมั่นของตนสยบหัวใจดรัณให้เหมือนว่ามันจะไม่มีวันเต้นเพราะผู้หญิงคนใดได้อีก
"ฉันรักษาคำพูดเสมอ รันจะได้รู้เอง"
ดรัณเผลอซบหน้ากับหลังมืออุ่นจัดข้างนั้น ก่อนเขาจะขยับถอยเร็วจนเหมือนกระตุก เมื่อนึกได้ว่าตนลืมตัวแสดงความรู้สึกอ่อนไหวออกมา
เขาหลบตาสาวใหญ่ หากอีกฝ่ายเสียอีกกลับหัวเราะไม่ใส่ใจ เด็กชายแทบลุกหนีไปจากตรงนั้นด้วยความอับอาย เขารู้สึกบ้อท่า ทว่ากุสุมาก็คืนความมั่นใจให้เขาด้วยการตบลงบนบ่าของเธอ
"ไหนมาลองนวดซิ คนอยากไปทะเลก็ต้องทำคุณแลกเปลี่ยนกันหน่อย ฉันเมื่อยๆ ช่วงคอถึงไหล่ รันมาบีบนวดดู"
ดรัณลุกไปยืนซ้อนหล้งพนักโซฟาตัวยาว มือเรียววางทาบบนบ่าทั้งสองข้างของกุสุมาอย่างลังเล มันช่างต่างจากตอนนวดขาซึ่งเป็นตะคริวให้ย่ามากนัก เพราะตอนนี้เขาระวังมือไม้ไปหมด ไม่กล้าแม้แต่ออกแรงกดแรง
"อืม นั่นแหละ" กุสุมาผ่อนลมหายใจอย่างเป็นสุข "แรงอีกนิดซิตารัน"
ดรัณมองเปลือกตาซึ่งหลับพริ้ม มุมปากอิ่มเคลือบสีสดมีพรายยิ้มบางแต่งแต้มให้งดงามขึ้นอีก เขาแลเลยต่ำลงไปถึงลำคอระหงที่มือตนกำลังสัมผัส รับรู้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของผู้ที่ดื่มด่ำไปกับความผ่อนคลาย
สายตาซุกซนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันมองผ่านลงไปถึงบริเวณที่คอเสื้อเว้าลงไป หน้าอกเนียนน่าสัมผัสสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ เมื่อมองจากมุมบนเช่นนี้ย่อมเห็นไปถึงขอบชั้นในลูกไม้ มือยาวนวดต่ำลงไปถึงไหปลาร้า ดรัณกระหายใคร่สัมผัสมากกว่านั้นแต่ก็ต้องหักห้ามใจ
"พอ...พอไหมครับ" เขาถาม ก่อนที่อะไรๆ จะเกินเลยไปมากกว่านี้ "คุณแอ๊ว"
เด็กชายนิ่วหน้าเมื่อไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย กุสุมายังคงหลับตาพริ้ม หน้าอกสะท้อนขึ้นลงเล็กน้อยตามจังหวะการหายใจ
ดรัณค่อยเคลื่อนปลายนิ้วมือจากลาดไหล่มาสัมผัสผิวแก้มเปล่งปลั่ง แทบไม่มีริ้วรอยหรือหย่อนคล้อยตามวัยห้าสิบปีของเธอ เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาได้สัมผัสผิวสาว ไม่ใช่แค่ถูกเนื้อตัวเวลาเล่นกับเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกัน
เสี่ยงเหลือเกินที่ทำแบบนี้ เขารู้ แต่ภาพคนหลับไหลตรงหน้าก็เกินจะห้ามใจ มันอาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่คิดฝันมาตลอด ไอ้ที่ผู้ใหญ่เขาทำกันในหนัง ดรัณใคร่รู้และอยากลอง
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กชายโน้มลงมา ใกล้...พอที่จะหลงมึนเมาไปกับกลิ่นไวน์จากลมหายใจ ดรัณระวังอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เนื้อตัวของตนแตะต้องถูกสาวใหญ่ นอกจาก...ปากต่อปาก เป้าหมายที่เย้ายวนใจที่สุด
ดรัณหลับตาระงับความตื่นเต้นเมื่อกุหลาบบานอยู่ห่างไปเพียงนิ้ว หากความอ่อนด้อยประสบการณ์ก็ทำให้เด็กชายได้จูบซับเพียงปลายกลีบเท่านั้น หาใช่กลางเกสรไม่ แต่เพียงแค่นี้ก็ไม่มีความรู้สึกใดจะเทียบเท่าความตื่นเต้น หวามไหว และอิ่มเอิบใจที่ไหลบ่าอยู่ในตัวเขาอีกแล้ว กระทั่ง...
ดรัณถอนตัวขึ้นมา ภาพแรกที่เขาเห็นคือเด็กหญิงยืนอยู่หน้าประตู เธอเบิกตาโพลงราวสิ้นสติไปชั่วขณะ เว้นแต่ลูกตาเท่านั้นที่กลอกไปมา และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเห็นตนแล้วเช่นกัน น้ำหนึ่งจึงรีบวิ่งหนีขึ้นห้องทันที
"หยุด! หยุดนะ!" ดรัณตวาดเสียงกระซิบ
เขาวิ่งเร็วตามเธอขึ้นมาถึงข้างบน เมื่อเจ้าหล่อนกำลังจะงับปิดประตูห้อง เรี่ยวแรงมหาศาลของเด็กหนุ่มรุ่นพี่ก็กระชากประตูเปิดออกแล้วแทรกกายเข้าไป
"ออกไปนะ"
น้ำหนึ่งเพิ่งเคยรู้สึกกลัวจนตัวสั่นก็วันนี้ ยิ่งมองสบดวงตาวาวโรจน์ของผู้ที่ย่างสามขุมตรงมา เธอก็รู้ว่าเขาไม่ใช่เด็กๆ อย่างเธอแล้ว แต่เป็นแววตาของผู้ใหญ่ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เธอเคยพานพบมา
ร่างเล็กถอยไปชนโต๊ะหนังสือ เด็กหญิงมัวแต่ระวังตัวอยู่ให้ห่างจากเขาที่สุด เธอจึงไม่อาจปกป้องตุ๊กตาตัวรักบนเตียงที่ดรัณคว้ามันไป
"เอาคืนมานะ เอาคืนมา"
น้ำหนึ่งโถมกายจะยื้อแย่งน้องนุ่นกลับมา แต่ก็ไม่อาจสู้คนตัวโตกว่าที่ผลักเธอโซซัดโซเซครั้งแล้วครั้งเล่า
"หยุด! ฟังฉัน" ดรัณตะคอกออกคำสั่ง "ฉันจะคืนตุ๊กตาตัวนี้ก็ต่อเมื่อฉันแน่ใจว่าเธอจะไม่เอาเรื่องวันนี้ไปบอกใคร แต่ถ้าเธอเอาเรื่องวันนี้ไปฟ้องใครก็ตาม ไอ้ตุ๊กตาตัวนี้มันจะถูกตัดแขน ตัดขา ตัดคอ คอยดู!"
"ไม่! อย่าทำน้องนุ่น เอาคืนมา"
น้ำหนึ่งพยายามจะยื้อแย่งแม้สู้ไม่ได้และต้องเจ็บตัว เธอยื้อยุดชายเสื้อเพื่อนรุ่นพี่ แต่ก็ถูกเขาบีบข้อมือแรงราวคีมเหล็กและหนีเอาตัวรอดไปได้
เด็กหญิงร่ำไห้พลางทุบประตูทวงคืนตุ๊กตาของตน เธอทั้งเสียใจและโกรธ โกรธเกลียดเขาที่สุดในชีวิต ยังไม่นับรวมความรังเกียจในสิ่งที่เขากระทำกับป้าเมื่อครู่นี้อีกด้วย
น้ำหนึ่งทุบประตูแรงจนกำปั้นน้อยๆ เหมือนจะแตกร้าวเป็นเสี่ยง หากมันยังดังไม่เท่าเสียงกีตาร์แผดกังวานจากในห้องกลบเสียงของเธอ
"เป็นอะไรยัยหนึ่ง ตาแดงๆ ร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่สิท่า"
กุสุมาทักหลานสาวที่ลงมาร่วมมื้อเย็นเป็นคนสุดท้าย ตะบิดตะบวยจนต้องให้คนงานขึ้นไปตามถึงสองครั้ง
น้ำหนึ่งนั่งลงข้างดรัณทั้งที่ไม่อยากอยู่ใกล้เขาเลย คนใจร้ายใจดำ เขากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยลงได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าทำผิดต่อพ่อของเขา ต่อป้า และต่อเธอ
"รันเอาตุ๊กตาหนึ่งไป" เด็กหญิงฟ้องขึ้นกลางวง
กุสุมาเสจิบน้ำ เช่นเดียวกับดัสกรที่รวบช้อนส้อม สายตาคู่คมตวัดมองบุตรชายซึ่งนั่งตรงข้าม น้ำหนึ่งต้องเม้มปากกลั้นเสียงร้องเมื่อเท้าของตนถูกย่ำลงมาเต็มแรง
อดทนไว้น้ำหนึ่ง เธอต้องการน้องนุ่นคืนเท่านั้น เจ็บตัวแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร...
"เอาของคุณหนึ่งไปทำไมเจ้ารัน" ดัสกรขนาบเสียงเข้ม
"โธ่พ่อ ผมแค่แหย่เล่น" ดรัณตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตรงข้ามกับดวงตากร้าวกระด้างที่ตวัดมองเด็กหญิง "ขี้ฟ้องไปได้"
น้ำหนึ่งไม่กล้าสบตาคู่นั้น ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่ามันกำลังเผาเธอเป็นจุณ
"ยังอีก แกทำผิดแล้วไปว่าน้องได้เรอะ กินข้าวเสร็จแล้วเอาตุ๊กตาคืนคุณหนึ่งเชียวนะ"
"แต่หนึ่งอยากได้คืนเลยค่ะคุณกร" เด็กหญิงรู้ว่าเจรจากับใครง่ายกว่า
ทว่าดัสกรไม่ทันออกคำสั่งกับบุตรชาย กุสุมาก็ขัดขึ้นเสียก่อนด้วยถ้อยคำที่ทำเอาผู้เป็นหลานน้ำตาตกใน
"หนึ่งนี่ เดี๋ยวนี้เอาแต่ใจตัวเองใหญ่แล้ว ทุกคนเขากินข้าวกันอยู่ จะเอาอะไรให้ได้ดั่งใจตอนนี้ฮึ"
น้ำหนึ่งหลุบตามองจานข้าวทั้งน้ำตา ที่นี่...คำพูดของป้าก็เหมือนคำประกาศิต ไม่มีใครกล้าขัด แต่ถ้าไม่ได้ตุ๊กตาคืนต่อหน้าผู้ใหญ่ตอนนี้ เธอก็รู้ว่าตนคงไม่มีทางได้ตุ๊กตาคืนจากดรัณอีกเลย
"หนึ่งไม่อยาก...อยู่ที่นี่แล้ว" เธอโพล่งออกมาพร้อมกับสะอื้นฮัก
กุสุมาหันไปสบตากับคนรักเมื่อพบความยุ่งยากใจ ใครเลยจะคิดว่าเด็กโตจนจะขึ้นชั้นมัธยมอยู่รอมร่อจะมาร้องไห้โยเยเช่นนี้ ทั้งกุสุมาและดัสกรต่างก็ไม่เคยเลี้ยงเด็ก ผู้เป็นป้าลุกมาปลอบหลานก็แล้ว หากเด็กหญิงยังไม่หยุดร้องไห้
น้ำหนึ่งพยายามขืนกายจากอ้อมกอดป้า เธอไม่ต้องการอ้อมกอดปลอบโยน อ้อมแขนที่พร้อมปกป้องต่างหากที่เธอต้องการ วันนี้กอดของป้าไม่อุ่นอีกแล้ว น้ำหนึ่งไม่อยากได้ ไม่ต้องการ
"ไม่เอาน่ายัยหนึ่ง พ่อกับแม่เราก็ไม่อยู่แล้ว หนูจะไปอยู่กับใครได้"
กุสุมากดศีรษะหลานสาวมากอดแนบอก ยิ่งรู้สึกถึงแรงต่อต้านจากร่างแบบบาง เธอก็ยิ่งไม่ยอมให้แกพยศเอาชนะได้
"พ่อแม่เราสอนว่ายังไง คนเก่งต้องไม่ร้องไห้ใช่ไหม ถ้าหยุดร้องป้าจะพาไปเที่ยวทะเลน้า"
"หนึ่งไม่อยากไป"
"เอ๊ะ ยัยหนึ่งนี่" กุสุมาชักหงุดหงิด "อยู่ที่นี่ก็เหมือนมีทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย จะต้องการอะไรอีก หรืออยากเป็นเด็กกำพร้าอนาถาให้เขาดูแคลนฮึ"
"ไม่จริง! หนึ่งมีพ่อแม่แค่คนเดียว"
น้ำหนึ่งสลัดตัวหลุดจากอ้อมกอดในที่สุด เด็กหญิงวิ่งเร็วจี๋ขึ้นข้างบน รับไม่ได้กับความอยุติธรรมที่ตนได้รับจากโชคชะตา แล้วป้ายังหยิบยื่นมันให้แก่เธออีกคน
หนีขึ้นชั้นบนมาได้เด็กหญิงก็พยายามหมุนลูกบิดประตูห้องของดรัณ แต่เขาเหมือนนกรู้ล็อกห้องเอาไว้ เมื่อไม่ได้ดั่งใจเท้าเล็กจึงเตะประตูเต็มแรง มันไม่ได้ผลเธอก็รู้ เจ็บ... แต่ไม่มีอะไรจะเจ็บไปกว่าหัวใจที่โดนรังแก
กุสุมาอารมณ์เสียตลอดเย็นวันนั้น เธอถูกเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งมองว่าเป็นลูกไก่ในกำมือมาตลอดหักหน้า ยัยเด็กบ้า จองหอง อวดดีเหมือนแม่ไม่มีผิด อยากรู้เหมือนกันว่าจะดีได้สักกี่น้ำ คงไม่โชคดีได้รับแต่สิ่งดีๆ เหมือนแม่ไปตลอดหรอกนะ
หวนนึกถึงชีวิตของน้องสาวทีไรกุสุมาก็เจ็บลึกในอกทุกครั้ง เธอยังจำได้ดีถึงวันที่ตนต้องหยุดเรียนกลางคันทั้งที่เหลือปีสุดท้ายก็จะสำเร็จการศึกษาในคณะมนุษยศาสตร์ เมื่อน้องสาวคนเดียวสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้สำเร็จ ตอนนั้นครอบครัวของเธอไม่สามารถส่งเสียให้ลูกเรียนพร้อมกันถึงสองคนได้ พ่อกับแม่จึงไม่ลังเลใจที่จะหยุดส่งเสียเธอ
กุสุมาเสียใจและน้อยใจนัก และเมื่อสำรวจลึกลงไปเธอก็คับแค้นใจ หากก็ได้แต่ข่มมันไว้ เธอใช้วุฒิการศึกษาเท่าที่มีสมัครงานในตำแหน่งเสมียน ขณะที่แก้วกานต์มีความสุขกับการศึกษาเล่าเรียน สำเร็จเป็นหมอที่ใครต่างก็รักและนับหน้าถือตา
ฐานะทางบ้านเริ่มดีขึ้นเมื่อแก้วกานต์เป็นหมอเต็มตัว พ่อไม่ต้องทำงานเป็นคนขับรถ แม่เลิกรับจ้างเย็บผ้า แต่สำหรับกุสุมา...เธอต้องตื่นตีห้าเพื่อโหนรถเมล์และเบียดเสียดเป็นปลากระป๋องบนรถเมล์หลังเลิกงานเวลาหนึ่งทุ่มทุกวัน เธอยังกินเงินเดือนเสมียนเท่าเดิม
แก้วกานต์มีความรักและแต่งงานกับหมอหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน กุสุมาบอกไม่ถูกว่าตนดีใจหรือรู้สึกอย่างไรแน่เมื่อสมาชิกคนเล็กของบ้านประกาศว่าจะย้ายไปเป็นแพทย์ยังต่างจังหวัดหลังแต่งงาน เธอดีใจที่จะไม่มีน้องคอยแย่งความรักจากพ่อกับแม่ หากอีกนัยหนึ่ง กุสุมาต้องรับหน้าที่ดูแลพ่อแม่ซึ่งแก่ชราลำพัง
เธอไม่มีความรักอย่างใครเขาหรอก ผู้ชายที่เทียวไล้เทียวขื่อก็เป็นเพียงแค่คนขับรถส่งเอกสาร ขืนคบกันไปแล้ววันหนึ่งอีกฝ่ายถูกรถชนแข้งขาหัก เธอมิต้องเดือดร้อนเลี้ยงดูหรอกหรือ กุสุมาอยากมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้ แล้วฟ้าก็ประทานความช่วยเหลือมาในเวลาที่เธอต้องการ
คุณสากลเป็นเจ้านายเก่าของพ่อ อายุอ่อนกว่าท่านไม่กี่มากน้อย เธอเพิ่งได้รู้ว่าพ่อเป็นที่รักของเจ้านายก็เมื่อท่านล้มป่วย คุณสากลมาเยี่ยมเยียนด้วยตัวเองและช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลมาจำนวนหนึ่ง เมื่อท่านอาการทรุดลงจนถึงแก่ชีวิต เขาก็เสนอตัวเป็นเจ้าภาพในงานสวดพระอภิธรรมทุกคืน และยังได้ชักชวนให้เธอไปทำงานเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของเขา ตำแหน่งที่กุสุมามารู้ทีหลังว่ามัน 'ส่วนตัว' เพียงไร
เธอไม่รังเกียจที่เขาอายุมากกว่าและเคยมีภรรยาแล้วถึงสามคน ไม่มีใครทนความเจ้าชู้ของคุณสากลได้สักคน แต่เธอบอกตัวเองว่าต้องทนให้ได้ เมื่อเสียแล้วสิ่งที่ได้กลับคืนมาย่อมต้องคุ้มค่ากว่า อีกทั้งการอยู่ในฐานะภรรยาของเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังยกระดับชีวิตเธอให้สูงขึ้น สูงเสียจนลืมความน้อยเนื้อต่ำใจ คับแค้นใจในชะตาชีวิตเมื่อครั้งอดีตไปเสียสิ้น ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันนี้กระตุ้นเตือนให้รู้ว่าเธอไม่ได้เหนือกว่าน้องสาวอยู่อีกเรื่องหนึ่ง เธอยังแทนที่น้องในใจของน้ำหนึ่งไม่ได้
กุสุมาชะงักมือซึ่งลูบไล้โลชั่นไปบนเรียวแขน ดวงตาซึ่งจ้องตอบตนเองในกระจกเงาสะท้อนประกายวาวจัด ไม่มีร่องรอยความรัก ความเอ็นดูต่อหลานสาวสายเลือดเดียวกันหลงเหลืออยู่เลย
"รัน เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ได้ยินไหมเจ้ารัน"
ดัสกรเรียกลูกชายเสียงไม่เบานัก แข่งกับเสียงจากภาพยนตร์ที่ดังออกมาจากห้องลูกในตอนนี้ เขาต้องเคาะประตูแรงอีกสองทีกว่าเจ้าตัวดีจะเดินมาเปิดด้วยสีหน้าเซ็งๆ
ดัสกรอยากเตะมันสักป้าบ หากก็ทำเพียงกดรีโมตหยุดฉากต่อสู้บนหน้าจอไว้กลางคัน เขากวาดตามองรอบห้องซึ่งเริ่มรกด้วยแผ่นหนังแผ่นเกมที่เจ้าของไม่รู้จักเก็บ ได้แต่โคลงศีรษะกับความไม่เอาไหนของมัน
"ทำไมต้องล็อกห้อง พ่อเคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามล็อก"
"พ่อบอกยัยหนึ่งด้วยเปล่าล่ะ" ดรัณยอกย้อน
"หมายความว่าไง"
เด็กชายไหวไหล่ ไม่มีความหมายใดทั้งนั้นนอกจากเขาเห็นว่าพ่อเข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกของตน
"แล้วไหนตุ๊กตาคุณหนึ่ง คืนเขาไปซะ"
"คืนแล้ววว" ดรัณตอบเสียงยานคาง
เรื่องอะไรเขาจะบอกพ่อว่าตุ๊กตาหมีตัวนั้นนอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้เสื้อผ้านี่เอง
ดัสกรหรี่ตามองจับผิดลูกชาย ถ้ามันโกหกเขาแสดงว่าตบตาได้อย่างแนบเนียน แต่นอกจากเรื่องแกล้งกันประสาเด็ก ชายหนุ่มก็ไม่เห็นเหตุผลใดที่ลูกจะยังเก็บตุ๊กตาไว้กับตัวอีก มันคงคืนเจ้าของไปแล้วจริงๆ
ผู้เป็นพ่อทอดถอนใจพลางนั่งลงปลายเตียง เขายังไม่อยากกลับไปเผชิญกับภูเขาน้ำแข็งอย่างกุสุมาในตอนนี้ ตั้งแต่คบกันมา นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาเข้าหน้าเธอไม่ติด ราวกับมีเกราะเย็นเยียบที่สาวใหญ่ปิดกั้นตัวตน
"แกนะแก ไม่น่าแกล้งคุณหนึ่งจนได้เรื่อง คุณแอ๊วเลยพาลอารมณ์เสีย ที่พ่อไปดูรถมาวันนี้ก็เสียเปล่าสิวะ"
ดรัณมองแผ่นหลังของพ่อ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรมากกว่ากัน ระหว่างเสียดายแทนท่านหรือรังเกียจความเห็นแก่ได้
"ฉันชวนดูโบรชัวร์รุ่นที่ชอบ แกก็เปลี่ยนใจอยากได้รถเอสยูวี อะไรวะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยพูดถึง พอฉันพยายามเกลี้ยกล่อมก็หนีไปอาบน้ำเสียฉิบ"
หัวใจเด็กชายโลดแรง ไม่คิดว่ากุสุมาจะใส่ใจรับฟังความเห็นของเขาจริงๆ
"รถเอสยูวีก็ดีนี่พ่อ เท่ออก"
"ดี แต่ฉันไม่อยากได้ มันไม่โก้เท่าขับบีเอ็มซีรีส์ห้าหรอกเว้ย เด็กอย่างแกจะรู้อะไร ขับบีเอ็มใครเขาก็อยากนั่งด้วย ขืนขับรถเอสยูวีคันโตๆ เขาก็นึกว่ามากับครอบครัวปะไร"
"แล้วพ่ออยากให้ใครนั่งด้วยล่ะ" ดรัณย้อนถามฉุนๆ ที่พ่อพูดจาเหมือนดูแคลนเขา
ดัสกรหัวเราะในลำคอ ยังหรอก ตอนนี้ยังไม่มีใครที่เขาไว้ใจได้ถึงขนาดจะสานสัมพันธ์ลับ แต่ใครเล่าจะล่วงรู้อนาคต มันไม่แน่ไม่นอนเสมอไป
"คุยกับแกแล้วปวดหัวชะมัด ไปนอนล่ะ"
เด็กชายปัดมือที่พ่อเอื้อมมาหมายจะโยกศีรษะตน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาไม่ชอบสัมผัสจากพ่อ ดรัณบอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่เด็กที่จะรอรับความเอ็นดูจากใคร เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วต่างหาก และอีกไม่นานเขาก็จะเติบโตเทียบเท่าท่าน หรืออาจเหนือกว่าด้วยซ้ำไป
..........................................
อยากจะบอกว่าไรต์จำผิดว่าเด็กๆ จะไปโรงเรียนบทนี้
ขอแก้ตัวบทหน้านะคะ มาพบกับพวกเขาตอนเริ่มเป็นหนุ่มสาวกันค่ะ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ กุสุมายิ่งได้ตระหนักรู้ว่าการต้องดูแลเด็กสักคน วางอนาคต วางแนวทางชีวิตให้นั้นวุ่นวายเพียงใด
โรงเรียนที่กุสุมาพาเด็กทั้งสองมาสมัครเรียนเป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ลำพังน้ำหนึ่งนั้นผ่านเข้าเรียนช่วงชั้นใหม่โดยง่าย ทว่าเธอต้องเสียค่าฝากกับผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อให้ดรัณได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองร่วมกับนักเรียนของทางโรงเรียนซึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา
"จริงๆ ให้เจ้ารันมันเรียนโรงเรียนวัดโรงเรียนอะไรก็ได้นะครับพี่ พี่ไม่น่าต้องเสียเงินร่วมแสนแบบนี้เลย"
เขาล่ะเสียดายแทน ดัสกรต่อประโยคนั้นในใจหลังกลับออกมาจากโรงเรียน
"เอาน่า กรเคยบอกพี่เองไม่ใช่หรือว่าอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆ ที่นี่น่ะไม่น้อยหน้าใครหรอกนะ"
ชายหนุ่มกุมมือซึ่งวางบนตักเขาขึ้นมาจุมพิต เท่านี้ก็เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากสาวใหญ่ได้แล้ว
"เซี้ยวจริงกรนี่ ตั้งใจขับรถเถอะจ้ะ"
ท่าทางกระบิดกระบวยขวยเขินทำให้กุสุมาดูอ่อนเดียงสาลงมาในสายตาของน้ำหนึ่ง กระนั้นเด็กหญิงก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เหมาะไม่ควร จะด้วยอายุที่แตกต่างกันระหว่างป้ากับคนรัก หรือเพราะการแสดงความรักต่อกันอย่างเปิดเผยก็สุดรู้ เธออึดอัดทุกครั้งที่ต้องเห็นภาพเหล่านี้และได้แต่ทำเมินเหมือนตนไม่เห็นอะไร
ทันทีที่กลับถึงบ้าน น้ำหนึ่งก็ตรงขึ้นห้องเสมือนห้องสี่เหลี่ยมสีชมพูนี้ต่างหากที่เป็นบ้านของเธออย่างแท้จริง ไม่ใช่ห้องนั่งเล่น สระว่ายน้ำ หรือแม้แต่ระเบียงทางเดิน ที่ห้องนี้เธอมีเพื่อนใหม่คือตุ๊กตาล้นเตียงที่ป้าซื้อให้ แต่ก็ไม่มีตัวใดจะสนิทใจเท่าเจ้าตุ๊กตาหมีสีขาวที่เธอกอดมันทุกคืนตั้งแต่จำความได้ มันเป็นมากกว่าตุ๊กตา แต่เป็นเหมือนพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน
"น้องนุ่น เรามาแล้วนะ" เธอบอกมันราวกับเป็นความผิดที่ต้องทิ้งไป "วันนี้อยู่กับเพื่อนๆ สนุกไหม ไม่สนุกเหรอ ทำไมล่ะ น้องนุ่นคิดถึงพ่อกับแม่ใช่ไหม โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ หนึ่งอยู่ที่นี่กับน้องนุ่นนะ"
ความอึดอัดใจถูกระบายออกมาผ่านการพูดคุยกับตุ๊กตา น้ำหนึ่งไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนึกคิดที่เธอใส่ลงไปในตัวตุ๊กตาก็คือความรู้สึกของเธอ
"เฮ้ย ทำไรน่ะ คุยกับตุ๊กตาเหรอ"
เด็กหญิงรีบซ่อนตุ๊กตาไว้ข้างหลังเมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ดรัณสาวเท้าตรงมาพลางหรี่ตามองเหมือนเธอบ้าไปแล้วจริงๆ
"ไหนบอกว่าก่อนเข้าห้องคนอื่นต้องเคาะประตูไง"
"ช่วยไม่ได้ โง่เองที่ไม่รู้จักล็อกประตู"
น้ำหนึ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นเคือง อีกแล้วนะ เขาพูดจาไม่ดีกับเธออีกแล้ว
ทว่าดรัณหาได้สนใจใบหน้าบูดบึ้งของเด็กหญิงไม่ เขาโยนถุงชุดนักเรียนลงบนเตียงเดี่ยวสีขาว ก่อนจะก้าวไปหยิบถุงแบบเดียวกันที่วางอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ามาเปิดดู
"อย่าเอาชุดหนึ่งไปนะ"
เจ้าของห้องพยายามยื้อยุดถุงเสื้อผ้าตนไว้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงเด็กผู้ชายได้
"โอ๊ย ยัยบ้า เธอนั่นแหละหยิบถุงผิดมา ของเธออยู่บนเตียงนู่น"
น้ำหนึ่งยอมปล่อยมือ เธอรีบเปิดดูถุงชุดนักเรียนที่อีกฝ่ายนำมาโยนไว้ก็เห็นเป็นกระโปรงของตน
"ประสาท!"
เสียงปิดประตูดังปังไล่หลังคนที่ก้าวออกไป เด็กหญิงยกมืดอุดหูพลางย่นจมูกใส่ ก่อนจะหันมากอดปลอบตุ๊กตาที่เธอซ่อนไว้ได้ทัน
"เกือบไปแล้วน้องนุ่น อยู่ห่างคนใจร้ายไว้นะ หนึ่งว่าเขาโรคจิตแน่ๆ เลย"
เสียงเพลงซึ่งแว่วดังมาจากห้องนั่งเล่นส่งผลให้ดรัณชะลอฝีเท้า จากที่ตั้งใจจะลงมานำอาหารว่างขึ้นไปกินบนห้อง เขาเปลี่ยนใจเดินไปตามเสียงเพลง
ประตูห้องนั่งเล่นถูกเปิดทิ้งไว้ ทั้งคนในห้องและคนข้างนอกต่างมองเห็นกันได้ทันที ดรัณเห็นแล้วว่ากุสุมาอยู่ในห้องลำพัง สาวใหญ่ในชุดเดรสแขนกุดคอวีกำลังหมุนวนแก้วไวน์พลางปล่อยอารมณ์ไปกับเพลงสากลในอดีต
"ตารัน มีอะไรเปล่าจ๊ะ" กุสุมาทักขึ้นเมื่อหันไปเห็นเด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่หน้ากรอบประตู
"เปล่าครับ ผมลงมาเอาขนม"
"นี่ไง มาทานนี่ก็ได้ คนงานเอาพายสับปะรดมาให้ฉัน แต่ฉันอยากดื่มไวน์มากกว่า" กุสุมาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ดรัณยอมเดินเข้าไปในห้องซึ่งมีทั้งโทรทัศน์จอใหญ่ เครื่องเสียงชั้นดี มีลำโพงตามมุมห้องทุกทิศทาง ม่านพับพรางแสงถูกเลื่อนลงไว้ครึ่งหนึ่ง ลดความร้อนแรงของแสงจ้ายามบ่ายได้เป็นอย่างดี
เขานั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่ง ขณะที่สาวใหญ่นั่งเหยียดขาไปบนโซฟาเบดสีเทาอ่อน กระโปรงซึ่งร่นขึ้นมาเผยให้เห็นท่อนขาหนั่นแน่น เจ้าหล่อนคงไม่ทันระวังตัวจึงยังคงจิบไวน์และฮัมเพลงในลำคอแผ่วเบา
ดรัณแทบไม่รับรู้รสชาติของพายสับปะรดที่กินเข้าไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อกุสุมาชวนคุย สมองเขาก็คอยแต่คิดหาคำตอบที่จะทำให้เธอประทับใจ
"วันนี้พ่อเราเขาไปดูรถใหม่ รันบอกพ่อหรือเปล่าว่าอยากได้ยี่ห้อไหน"
"เปล่าครับ แต่พ่อเคยบอกว่าอยากได้บีเอ็มดับบลิว"
"บีเอ็มหรือ"
"แต่ผมชอบรถเอสยูวี จะได้ขับไปเที่ยวไงฮะ"
กุสุมาหัวเราะชอบใจ จะว่าไปก็เป็นความคิดที่ดีเมื่อรถเอสยูวีสามารถจุคนและสัมภาระได้มากกว่า แล้วที่บ้านนี้ก็มีแต่รถเก๋งเสียด้วยซี
"ไม่เลวนะ อยากไปเที่ยวสิท่า"
"ผมแล้วแต่คุณแอ๊วครับ" เขาตอบเขินๆ ที่ถูกรู้เท่าทัน
ดรัณจัดการกับของว่างคำสุดท้ายพลางคิดว่าจะหาเรื่องใดมาพูดคุยได้อีก เป็นกุสุมาที่หาคำตอบให้เขาเสียเองเมื่อเธอเรียกให้เขามารินไวน์
เด็กชายลุกไปหยิบขวดแก้วทึบแสงที่วางเอนกับแท่นไม้ มือของเขาสั่นน้อยๆ ขณะเทเครื่องดื่มลงในแก้วทรงสูงที่สาวใหญ่เกี่ยวนิ้วกับก้านแก้วไว้หลวมๆ
"อยากไปไหนล่ะ ทะเลไหม"
ได้ยินคำว่า 'ทะเล' คนที่ไม่เคยได้ไปเห็นทะเลจริงๆ สักครั้งก็หูผึ่ง ตาเป็นประกายทันที เขารีบย่อตัวนั่งกับพื้นข้างโซฟาเบด จับแขนกุสุมาไว้เหมือนตอนอ้อนย่าอย่างไรอย่างนั้น
"ไปทะเลจริงๆ นะฮะ จริงๆ นะฮะคุณแอ๊ว"
กุสุมามองท่าทางรบเร้าของเด็ก เธอไม่รำคาญเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับชอบความรู้สึกที่ตนสามารถกำหนดอนาคตของใครได้สักคน มันเป็นความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่จะสร้างทุกข์...หรือบันดาลสุขให้ใครอื่นได้
สาวใหญ่ค่อยเลื่อนมือออกจากการเกาะกุมมาลูบศีรษะเด็กชาย เธอมองสบนัยน์ตาดำขลับของเขา หารู้ไม่ว่าแววตาซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจและความมุ่งมั่นของตนสยบหัวใจดรัณให้เหมือนว่ามันจะไม่มีวันเต้นเพราะผู้หญิงคนใดได้อีก
"ฉันรักษาคำพูดเสมอ รันจะได้รู้เอง"
ดรัณเผลอซบหน้ากับหลังมืออุ่นจัดข้างนั้น ก่อนเขาจะขยับถอยเร็วจนเหมือนกระตุก เมื่อนึกได้ว่าตนลืมตัวแสดงความรู้สึกอ่อนไหวออกมา
เขาหลบตาสาวใหญ่ หากอีกฝ่ายเสียอีกกลับหัวเราะไม่ใส่ใจ เด็กชายแทบลุกหนีไปจากตรงนั้นด้วยความอับอาย เขารู้สึกบ้อท่า ทว่ากุสุมาก็คืนความมั่นใจให้เขาด้วยการตบลงบนบ่าของเธอ
"ไหนมาลองนวดซิ คนอยากไปทะเลก็ต้องทำคุณแลกเปลี่ยนกันหน่อย ฉันเมื่อยๆ ช่วงคอถึงไหล่ รันมาบีบนวดดู"
ดรัณลุกไปยืนซ้อนหล้งพนักโซฟาตัวยาว มือเรียววางทาบบนบ่าทั้งสองข้างของกุสุมาอย่างลังเล มันช่างต่างจากตอนนวดขาซึ่งเป็นตะคริวให้ย่ามากนัก เพราะตอนนี้เขาระวังมือไม้ไปหมด ไม่กล้าแม้แต่ออกแรงกดแรง
"อืม นั่นแหละ" กุสุมาผ่อนลมหายใจอย่างเป็นสุข "แรงอีกนิดซิตารัน"
ดรัณมองเปลือกตาซึ่งหลับพริ้ม มุมปากอิ่มเคลือบสีสดมีพรายยิ้มบางแต่งแต้มให้งดงามขึ้นอีก เขาแลเลยต่ำลงไปถึงลำคอระหงที่มือตนกำลังสัมผัส รับรู้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของผู้ที่ดื่มด่ำไปกับความผ่อนคลาย
สายตาซุกซนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันมองผ่านลงไปถึงบริเวณที่คอเสื้อเว้าลงไป หน้าอกเนียนน่าสัมผัสสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ เมื่อมองจากมุมบนเช่นนี้ย่อมเห็นไปถึงขอบชั้นในลูกไม้ มือยาวนวดต่ำลงไปถึงไหปลาร้า ดรัณกระหายใคร่สัมผัสมากกว่านั้นแต่ก็ต้องหักห้ามใจ
"พอ...พอไหมครับ" เขาถาม ก่อนที่อะไรๆ จะเกินเลยไปมากกว่านี้ "คุณแอ๊ว"
เด็กชายนิ่วหน้าเมื่อไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย กุสุมายังคงหลับตาพริ้ม หน้าอกสะท้อนขึ้นลงเล็กน้อยตามจังหวะการหายใจ
ดรัณค่อยเคลื่อนปลายนิ้วมือจากลาดไหล่มาสัมผัสผิวแก้มเปล่งปลั่ง แทบไม่มีริ้วรอยหรือหย่อนคล้อยตามวัยห้าสิบปีของเธอ เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาได้สัมผัสผิวสาว ไม่ใช่แค่ถูกเนื้อตัวเวลาเล่นกับเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกัน
เสี่ยงเหลือเกินที่ทำแบบนี้ เขารู้ แต่ภาพคนหลับไหลตรงหน้าก็เกินจะห้ามใจ มันอาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่คิดฝันมาตลอด ไอ้ที่ผู้ใหญ่เขาทำกันในหนัง ดรัณใคร่รู้และอยากลอง
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กชายโน้มลงมา ใกล้...พอที่จะหลงมึนเมาไปกับกลิ่นไวน์จากลมหายใจ ดรัณระวังอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เนื้อตัวของตนแตะต้องถูกสาวใหญ่ นอกจาก...ปากต่อปาก เป้าหมายที่เย้ายวนใจที่สุด
ดรัณหลับตาระงับความตื่นเต้นเมื่อกุหลาบบานอยู่ห่างไปเพียงนิ้ว หากความอ่อนด้อยประสบการณ์ก็ทำให้เด็กชายได้จูบซับเพียงปลายกลีบเท่านั้น หาใช่กลางเกสรไม่ แต่เพียงแค่นี้ก็ไม่มีความรู้สึกใดจะเทียบเท่าความตื่นเต้น หวามไหว และอิ่มเอิบใจที่ไหลบ่าอยู่ในตัวเขาอีกแล้ว กระทั่ง...
ดรัณถอนตัวขึ้นมา ภาพแรกที่เขาเห็นคือเด็กหญิงยืนอยู่หน้าประตู เธอเบิกตาโพลงราวสิ้นสติไปชั่วขณะ เว้นแต่ลูกตาเท่านั้นที่กลอกไปมา และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเห็นตนแล้วเช่นกัน น้ำหนึ่งจึงรีบวิ่งหนีขึ้นห้องทันที
"หยุด! หยุดนะ!" ดรัณตวาดเสียงกระซิบ
เขาวิ่งเร็วตามเธอขึ้นมาถึงข้างบน เมื่อเจ้าหล่อนกำลังจะงับปิดประตูห้อง เรี่ยวแรงมหาศาลของเด็กหนุ่มรุ่นพี่ก็กระชากประตูเปิดออกแล้วแทรกกายเข้าไป
"ออกไปนะ"
น้ำหนึ่งเพิ่งเคยรู้สึกกลัวจนตัวสั่นก็วันนี้ ยิ่งมองสบดวงตาวาวโรจน์ของผู้ที่ย่างสามขุมตรงมา เธอก็รู้ว่าเขาไม่ใช่เด็กๆ อย่างเธอแล้ว แต่เป็นแววตาของผู้ใหญ่ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เธอเคยพานพบมา
ร่างเล็กถอยไปชนโต๊ะหนังสือ เด็กหญิงมัวแต่ระวังตัวอยู่ให้ห่างจากเขาที่สุด เธอจึงไม่อาจปกป้องตุ๊กตาตัวรักบนเตียงที่ดรัณคว้ามันไป
"เอาคืนมานะ เอาคืนมา"
น้ำหนึ่งโถมกายจะยื้อแย่งน้องนุ่นกลับมา แต่ก็ไม่อาจสู้คนตัวโตกว่าที่ผลักเธอโซซัดโซเซครั้งแล้วครั้งเล่า
"หยุด! ฟังฉัน" ดรัณตะคอกออกคำสั่ง "ฉันจะคืนตุ๊กตาตัวนี้ก็ต่อเมื่อฉันแน่ใจว่าเธอจะไม่เอาเรื่องวันนี้ไปบอกใคร แต่ถ้าเธอเอาเรื่องวันนี้ไปฟ้องใครก็ตาม ไอ้ตุ๊กตาตัวนี้มันจะถูกตัดแขน ตัดขา ตัดคอ คอยดู!"
"ไม่! อย่าทำน้องนุ่น เอาคืนมา"
น้ำหนึ่งพยายามจะยื้อแย่งแม้สู้ไม่ได้และต้องเจ็บตัว เธอยื้อยุดชายเสื้อเพื่อนรุ่นพี่ แต่ก็ถูกเขาบีบข้อมือแรงราวคีมเหล็กและหนีเอาตัวรอดไปได้
เด็กหญิงร่ำไห้พลางทุบประตูทวงคืนตุ๊กตาของตน เธอทั้งเสียใจและโกรธ โกรธเกลียดเขาที่สุดในชีวิต ยังไม่นับรวมความรังเกียจในสิ่งที่เขากระทำกับป้าเมื่อครู่นี้อีกด้วย
น้ำหนึ่งทุบประตูแรงจนกำปั้นน้อยๆ เหมือนจะแตกร้าวเป็นเสี่ยง หากมันยังดังไม่เท่าเสียงกีตาร์แผดกังวานจากในห้องกลบเสียงของเธอ
"เป็นอะไรยัยหนึ่ง ตาแดงๆ ร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่สิท่า"
กุสุมาทักหลานสาวที่ลงมาร่วมมื้อเย็นเป็นคนสุดท้าย ตะบิดตะบวยจนต้องให้คนงานขึ้นไปตามถึงสองครั้ง
น้ำหนึ่งนั่งลงข้างดรัณทั้งที่ไม่อยากอยู่ใกล้เขาเลย คนใจร้ายใจดำ เขากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยลงได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าทำผิดต่อพ่อของเขา ต่อป้า และต่อเธอ
"รันเอาตุ๊กตาหนึ่งไป" เด็กหญิงฟ้องขึ้นกลางวง
กุสุมาเสจิบน้ำ เช่นเดียวกับดัสกรที่รวบช้อนส้อม สายตาคู่คมตวัดมองบุตรชายซึ่งนั่งตรงข้าม น้ำหนึ่งต้องเม้มปากกลั้นเสียงร้องเมื่อเท้าของตนถูกย่ำลงมาเต็มแรง
อดทนไว้น้ำหนึ่ง เธอต้องการน้องนุ่นคืนเท่านั้น เจ็บตัวแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร...
"เอาของคุณหนึ่งไปทำไมเจ้ารัน" ดัสกรขนาบเสียงเข้ม
"โธ่พ่อ ผมแค่แหย่เล่น" ดรัณตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตรงข้ามกับดวงตากร้าวกระด้างที่ตวัดมองเด็กหญิง "ขี้ฟ้องไปได้"
น้ำหนึ่งไม่กล้าสบตาคู่นั้น ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่ามันกำลังเผาเธอเป็นจุณ
"ยังอีก แกทำผิดแล้วไปว่าน้องได้เรอะ กินข้าวเสร็จแล้วเอาตุ๊กตาคืนคุณหนึ่งเชียวนะ"
"แต่หนึ่งอยากได้คืนเลยค่ะคุณกร" เด็กหญิงรู้ว่าเจรจากับใครง่ายกว่า
ทว่าดัสกรไม่ทันออกคำสั่งกับบุตรชาย กุสุมาก็ขัดขึ้นเสียก่อนด้วยถ้อยคำที่ทำเอาผู้เป็นหลานน้ำตาตกใน
"หนึ่งนี่ เดี๋ยวนี้เอาแต่ใจตัวเองใหญ่แล้ว ทุกคนเขากินข้าวกันอยู่ จะเอาอะไรให้ได้ดั่งใจตอนนี้ฮึ"
น้ำหนึ่งหลุบตามองจานข้าวทั้งน้ำตา ที่นี่...คำพูดของป้าก็เหมือนคำประกาศิต ไม่มีใครกล้าขัด แต่ถ้าไม่ได้ตุ๊กตาคืนต่อหน้าผู้ใหญ่ตอนนี้ เธอก็รู้ว่าตนคงไม่มีทางได้ตุ๊กตาคืนจากดรัณอีกเลย
"หนึ่งไม่อยาก...อยู่ที่นี่แล้ว" เธอโพล่งออกมาพร้อมกับสะอื้นฮัก
กุสุมาหันไปสบตากับคนรักเมื่อพบความยุ่งยากใจ ใครเลยจะคิดว่าเด็กโตจนจะขึ้นชั้นมัธยมอยู่รอมร่อจะมาร้องไห้โยเยเช่นนี้ ทั้งกุสุมาและดัสกรต่างก็ไม่เคยเลี้ยงเด็ก ผู้เป็นป้าลุกมาปลอบหลานก็แล้ว หากเด็กหญิงยังไม่หยุดร้องไห้
น้ำหนึ่งพยายามขืนกายจากอ้อมกอดป้า เธอไม่ต้องการอ้อมกอดปลอบโยน อ้อมแขนที่พร้อมปกป้องต่างหากที่เธอต้องการ วันนี้กอดของป้าไม่อุ่นอีกแล้ว น้ำหนึ่งไม่อยากได้ ไม่ต้องการ
"ไม่เอาน่ายัยหนึ่ง พ่อกับแม่เราก็ไม่อยู่แล้ว หนูจะไปอยู่กับใครได้"
กุสุมากดศีรษะหลานสาวมากอดแนบอก ยิ่งรู้สึกถึงแรงต่อต้านจากร่างแบบบาง เธอก็ยิ่งไม่ยอมให้แกพยศเอาชนะได้
"พ่อแม่เราสอนว่ายังไง คนเก่งต้องไม่ร้องไห้ใช่ไหม ถ้าหยุดร้องป้าจะพาไปเที่ยวทะเลน้า"
"หนึ่งไม่อยากไป"
"เอ๊ะ ยัยหนึ่งนี่" กุสุมาชักหงุดหงิด "อยู่ที่นี่ก็เหมือนมีทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย จะต้องการอะไรอีก หรืออยากเป็นเด็กกำพร้าอนาถาให้เขาดูแคลนฮึ"
"ไม่จริง! หนึ่งมีพ่อแม่แค่คนเดียว"
น้ำหนึ่งสลัดตัวหลุดจากอ้อมกอดในที่สุด เด็กหญิงวิ่งเร็วจี๋ขึ้นข้างบน รับไม่ได้กับความอยุติธรรมที่ตนได้รับจากโชคชะตา แล้วป้ายังหยิบยื่นมันให้แก่เธออีกคน
หนีขึ้นชั้นบนมาได้เด็กหญิงก็พยายามหมุนลูกบิดประตูห้องของดรัณ แต่เขาเหมือนนกรู้ล็อกห้องเอาไว้ เมื่อไม่ได้ดั่งใจเท้าเล็กจึงเตะประตูเต็มแรง มันไม่ได้ผลเธอก็รู้ เจ็บ... แต่ไม่มีอะไรจะเจ็บไปกว่าหัวใจที่โดนรังแก
กุสุมาอารมณ์เสียตลอดเย็นวันนั้น เธอถูกเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งมองว่าเป็นลูกไก่ในกำมือมาตลอดหักหน้า ยัยเด็กบ้า จองหอง อวดดีเหมือนแม่ไม่มีผิด อยากรู้เหมือนกันว่าจะดีได้สักกี่น้ำ คงไม่โชคดีได้รับแต่สิ่งดีๆ เหมือนแม่ไปตลอดหรอกนะ
หวนนึกถึงชีวิตของน้องสาวทีไรกุสุมาก็เจ็บลึกในอกทุกครั้ง เธอยังจำได้ดีถึงวันที่ตนต้องหยุดเรียนกลางคันทั้งที่เหลือปีสุดท้ายก็จะสำเร็จการศึกษาในคณะมนุษยศาสตร์ เมื่อน้องสาวคนเดียวสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้สำเร็จ ตอนนั้นครอบครัวของเธอไม่สามารถส่งเสียให้ลูกเรียนพร้อมกันถึงสองคนได้ พ่อกับแม่จึงไม่ลังเลใจที่จะหยุดส่งเสียเธอ
กุสุมาเสียใจและน้อยใจนัก และเมื่อสำรวจลึกลงไปเธอก็คับแค้นใจ หากก็ได้แต่ข่มมันไว้ เธอใช้วุฒิการศึกษาเท่าที่มีสมัครงานในตำแหน่งเสมียน ขณะที่แก้วกานต์มีความสุขกับการศึกษาเล่าเรียน สำเร็จเป็นหมอที่ใครต่างก็รักและนับหน้าถือตา
ฐานะทางบ้านเริ่มดีขึ้นเมื่อแก้วกานต์เป็นหมอเต็มตัว พ่อไม่ต้องทำงานเป็นคนขับรถ แม่เลิกรับจ้างเย็บผ้า แต่สำหรับกุสุมา...เธอต้องตื่นตีห้าเพื่อโหนรถเมล์และเบียดเสียดเป็นปลากระป๋องบนรถเมล์หลังเลิกงานเวลาหนึ่งทุ่มทุกวัน เธอยังกินเงินเดือนเสมียนเท่าเดิม
แก้วกานต์มีความรักและแต่งงานกับหมอหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน กุสุมาบอกไม่ถูกว่าตนดีใจหรือรู้สึกอย่างไรแน่เมื่อสมาชิกคนเล็กของบ้านประกาศว่าจะย้ายไปเป็นแพทย์ยังต่างจังหวัดหลังแต่งงาน เธอดีใจที่จะไม่มีน้องคอยแย่งความรักจากพ่อกับแม่ หากอีกนัยหนึ่ง กุสุมาต้องรับหน้าที่ดูแลพ่อแม่ซึ่งแก่ชราลำพัง
เธอไม่มีความรักอย่างใครเขาหรอก ผู้ชายที่เทียวไล้เทียวขื่อก็เป็นเพียงแค่คนขับรถส่งเอกสาร ขืนคบกันไปแล้ววันหนึ่งอีกฝ่ายถูกรถชนแข้งขาหัก เธอมิต้องเดือดร้อนเลี้ยงดูหรอกหรือ กุสุมาอยากมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้ แล้วฟ้าก็ประทานความช่วยเหลือมาในเวลาที่เธอต้องการ
คุณสากลเป็นเจ้านายเก่าของพ่อ อายุอ่อนกว่าท่านไม่กี่มากน้อย เธอเพิ่งได้รู้ว่าพ่อเป็นที่รักของเจ้านายก็เมื่อท่านล้มป่วย คุณสากลมาเยี่ยมเยียนด้วยตัวเองและช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลมาจำนวนหนึ่ง เมื่อท่านอาการทรุดลงจนถึงแก่ชีวิต เขาก็เสนอตัวเป็นเจ้าภาพในงานสวดพระอภิธรรมทุกคืน และยังได้ชักชวนให้เธอไปทำงานเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของเขา ตำแหน่งที่กุสุมามารู้ทีหลังว่ามัน 'ส่วนตัว' เพียงไร
เธอไม่รังเกียจที่เขาอายุมากกว่าและเคยมีภรรยาแล้วถึงสามคน ไม่มีใครทนความเจ้าชู้ของคุณสากลได้สักคน แต่เธอบอกตัวเองว่าต้องทนให้ได้ เมื่อเสียแล้วสิ่งที่ได้กลับคืนมาย่อมต้องคุ้มค่ากว่า อีกทั้งการอยู่ในฐานะภรรยาของเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังยกระดับชีวิตเธอให้สูงขึ้น สูงเสียจนลืมความน้อยเนื้อต่ำใจ คับแค้นใจในชะตาชีวิตเมื่อครั้งอดีตไปเสียสิ้น ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันนี้กระตุ้นเตือนให้รู้ว่าเธอไม่ได้เหนือกว่าน้องสาวอยู่อีกเรื่องหนึ่ง เธอยังแทนที่น้องในใจของน้ำหนึ่งไม่ได้
กุสุมาชะงักมือซึ่งลูบไล้โลชั่นไปบนเรียวแขน ดวงตาซึ่งจ้องตอบตนเองในกระจกเงาสะท้อนประกายวาวจัด ไม่มีร่องรอยความรัก ความเอ็นดูต่อหลานสาวสายเลือดเดียวกันหลงเหลืออยู่เลย
"รัน เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ได้ยินไหมเจ้ารัน"
ดัสกรเรียกลูกชายเสียงไม่เบานัก แข่งกับเสียงจากภาพยนตร์ที่ดังออกมาจากห้องลูกในตอนนี้ เขาต้องเคาะประตูแรงอีกสองทีกว่าเจ้าตัวดีจะเดินมาเปิดด้วยสีหน้าเซ็งๆ
ดัสกรอยากเตะมันสักป้าบ หากก็ทำเพียงกดรีโมตหยุดฉากต่อสู้บนหน้าจอไว้กลางคัน เขากวาดตามองรอบห้องซึ่งเริ่มรกด้วยแผ่นหนังแผ่นเกมที่เจ้าของไม่รู้จักเก็บ ได้แต่โคลงศีรษะกับความไม่เอาไหนของมัน
"ทำไมต้องล็อกห้อง พ่อเคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามล็อก"
"พ่อบอกยัยหนึ่งด้วยเปล่าล่ะ" ดรัณยอกย้อน
"หมายความว่าไง"
เด็กชายไหวไหล่ ไม่มีความหมายใดทั้งนั้นนอกจากเขาเห็นว่าพ่อเข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกของตน
"แล้วไหนตุ๊กตาคุณหนึ่ง คืนเขาไปซะ"
"คืนแล้ววว" ดรัณตอบเสียงยานคาง
เรื่องอะไรเขาจะบอกพ่อว่าตุ๊กตาหมีตัวนั้นนอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้เสื้อผ้านี่เอง
ดัสกรหรี่ตามองจับผิดลูกชาย ถ้ามันโกหกเขาแสดงว่าตบตาได้อย่างแนบเนียน แต่นอกจากเรื่องแกล้งกันประสาเด็ก ชายหนุ่มก็ไม่เห็นเหตุผลใดที่ลูกจะยังเก็บตุ๊กตาไว้กับตัวอีก มันคงคืนเจ้าของไปแล้วจริงๆ
ผู้เป็นพ่อทอดถอนใจพลางนั่งลงปลายเตียง เขายังไม่อยากกลับไปเผชิญกับภูเขาน้ำแข็งอย่างกุสุมาในตอนนี้ ตั้งแต่คบกันมา นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาเข้าหน้าเธอไม่ติด ราวกับมีเกราะเย็นเยียบที่สาวใหญ่ปิดกั้นตัวตน
"แกนะแก ไม่น่าแกล้งคุณหนึ่งจนได้เรื่อง คุณแอ๊วเลยพาลอารมณ์เสีย ที่พ่อไปดูรถมาวันนี้ก็เสียเปล่าสิวะ"
ดรัณมองแผ่นหลังของพ่อ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรมากกว่ากัน ระหว่างเสียดายแทนท่านหรือรังเกียจความเห็นแก่ได้
"ฉันชวนดูโบรชัวร์รุ่นที่ชอบ แกก็เปลี่ยนใจอยากได้รถเอสยูวี อะไรวะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยพูดถึง พอฉันพยายามเกลี้ยกล่อมก็หนีไปอาบน้ำเสียฉิบ"
หัวใจเด็กชายโลดแรง ไม่คิดว่ากุสุมาจะใส่ใจรับฟังความเห็นของเขาจริงๆ
"รถเอสยูวีก็ดีนี่พ่อ เท่ออก"
"ดี แต่ฉันไม่อยากได้ มันไม่โก้เท่าขับบีเอ็มซีรีส์ห้าหรอกเว้ย เด็กอย่างแกจะรู้อะไร ขับบีเอ็มใครเขาก็อยากนั่งด้วย ขืนขับรถเอสยูวีคันโตๆ เขาก็นึกว่ามากับครอบครัวปะไร"
"แล้วพ่ออยากให้ใครนั่งด้วยล่ะ" ดรัณย้อนถามฉุนๆ ที่พ่อพูดจาเหมือนดูแคลนเขา
ดัสกรหัวเราะในลำคอ ยังหรอก ตอนนี้ยังไม่มีใครที่เขาไว้ใจได้ถึงขนาดจะสานสัมพันธ์ลับ แต่ใครเล่าจะล่วงรู้อนาคต มันไม่แน่ไม่นอนเสมอไป
"คุยกับแกแล้วปวดหัวชะมัด ไปนอนล่ะ"
เด็กชายปัดมือที่พ่อเอื้อมมาหมายจะโยกศีรษะตน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาไม่ชอบสัมผัสจากพ่อ ดรัณบอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่เด็กที่จะรอรับความเอ็นดูจากใคร เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วต่างหาก และอีกไม่นานเขาก็จะเติบโตเทียบเท่าท่าน หรืออาจเหนือกว่าด้วยซ้ำไป
..........................................
อยากจะบอกว่าไรต์จำผิดว่าเด็กๆ จะไปโรงเรียนบทนี้
ขอแก้ตัวบทหน้านะคะ มาพบกับพวกเขาตอนเริ่มเป็นหนุ่มสาวกันค่ะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2559, 15:44:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2559, 15:44:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 996
<< บทที่ ๒ | บทที่ ๔ >> |