เล่ห์แฝงรัก
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว

ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”

และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
Tags: ครอบครัว,พ่อแม่ลูก,ซึ้ง,โรแมนติก

ตอน: บทที่ ๑




“แม่ฝนค้าบ!” เสียงเรียกร้องกระชั้นดังขึ้นทำให้วริษาสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เธอหันไปมองตามทิศที่ได้ยิน และริมฝีปากบางอิ่มก็แย้มยิ้ม ดวงตากลมใหญ่แต่โศกดูสดใสขึ้น

หนุ่มน้อยที่วิ่งมาหามีวัยไม่เกินหกเจ็ดขวบ เค้าใบหน้าดูคล้ายเธอไปหมดเสียทุกอย่าง จะยกเว้นก็แต่เพียง... นัยน์ตาไร้เดียงสาคู่นั้น มันทั้งเรียวยาวและดำขลับ ใช่... เธอมีตาสีน้ำตาลอมดำ มันไม่ใช่ดวงตาแบบเธอแต่... มันคล้ายกับดวงตาของใคร ใครบางคน

หัวใจเธอกระตุกจากความผิดพลาดในวันนั้นบัดนี้ได้ผ่านมาหลายปีแล้วกับอดีตอันเลวร้าย นัยน์ตากลมโตหม่นแสงลงเล็กน้อยในขณะที่เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อเม้มแน่น จากนั้นก็ได้แต่บอกตัวเองว่าช่างเถอะ พร้อมกับที่ได้ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป เธออ้าวงแขนออกรอเมื่อเด็กชายวิ่งใกล้เข้ามา ก่อนโอบรับร่างเล็กที่โถมเข้าหาไว้ในอ้อมกอด

“ไหน ขอแม่ฝนหอมแก้มหน่อยนะครับ ดูซิมอมไปทั้งตัวเลย”

เสียงทักหวานใส ถิรายุหัวเราะร่าเมื่อมารดาฝังปลายจมูกลงข้างแก้มอ่อนนุ่ม วริษาโอบลูกน้อยไว้แนบอกอย่างแสนรัก จากนั้นจึงคลายวงแขนออก

“ยุหิวคับ”

“โอเค” วริษาหัวเราะโยกศีรษะทุยเล็กๆ ที่คลุมด้วยกล่มผมหยักศกน้อยๆ ไปมา “พี่นิดอยู่ในบ้าน ไปดูเร็ววันนี้พี่นิดทำอะไรไว้”

“ของโปรดยุ” เด็กชายตาโตกระโดดเหย็งๆ วริษาตอบรับด้วยการพยักหน้า ก่อนหยุดนิ่ง เธอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า

“แต่เอ... ของโปรดแม่ฝนด้วย ไม่รู้จะหมดหรือยังน้า”

เด็กชายหน้างอทันที วริษาแกล้งทำมองไม่เห็นก่อนหอมแก้มนุ่มนิ่มทั้งสองข้างแรงๆ มือรุนแผ่นหลังเล็ก “ไปๆ ไปดูกันดีกว่า เอ้า! ช้าหมดอดด้วยนะ”

เท่านั้นถิรายุก็วิ่งกลับเข้าไปในตัวบ้านพลางตะโกนลั่นหาพี่เลี้ยงที่หลบเข้าไปในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังเล็กก่อนหน้านี้

วริษาถอนหายใจและโคลงศีรษะ รอยยิ้มยังประดับบนดวงหน้ารูปไข่ ก่อนความเศร้าจะเข้ายึดพื้นที่ในดวงตาคู่สวยอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสจึงเปลี่ยนเป็นขม

กี่ปีกันแล้วนะที่เธอหลีกหนีสังคมเมืองมาใช้ชีวิตในที่ๆ ไม่มีใครรู้จัก... ใช้ชีวิตเพียงลำพังกับลูกน้อยที่อยู่ในท้อง

ใช่ เธอไม่ใช่คนที่นี่ บ้านเกิดของเธอ พื้นเพของเธอไม่ใช่คนที่จังหวัดนี้ เธอเคยมีครอบครัว ครอบครัวอบอุ่นเล็กๆ ในเมืองหลวง แต่เงามืดก็เริ่มคืบคลานเข้ามาเมื่อพ่อแม่เธอเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุตอนเธออายุได้แค่สิบขวบ วริษามีพี่สาวหนึ่งคน ชื่อน้ำ วรรษชล จากวันนั้นเราสองพี่น้องก็ถูกดูแลโดยญาติฝ่ายบิดา

‘ไม่เป็นไร ฉันดูแลเด็กสองคนนี้ได้ ยัยน้ำรู้งานอีกอย่างโตแล้ว ส่วนยัยฝนก็อายุเท่าๆ กับเจ้าแสบที่บ้าน ให้ไปอยู่ด้วยกันจะได้ไปโรงเรียนทำอะไรๆ ด้วยกัน พี่น้องจะได้รักกันนะคะ’

คำหวานมีมาสม่ำเสมอ ลูกคะ ลูกขา บรรดาญาติฝั่งพ่อที่มีเยอะกว่าแม่ต่างแย่งตัวพวกเธอไปอยู่ด้วย แต่... หลังจากภายในไม่กี่ปี สมบัติของพ่อแม่ที่มีก็ถูกสูบไปจนหมด และพวกเธอก็กลายเป็นภาระ

วริษากับวรรษชลระหกระเหินอาศัยอยู่กับญาติคนนั้นทีคนนี้ที พวกเธอกลายเป็นตัวน่ารังเกียจไม่มีใครต้องการ

‘อาไร้! ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกพี่ นี่เด็กๆ ที่บ้านก็สองสามคนแล้ว ไหนจะที่เรียน ไหนจะข้าวปลาเสื้อผ้า โอ๊ย เยอะแยะยุบยับ พี่แน่ะมีกว่าฉันก็รับยัยฝนกับยัยน้ำไปดูเอาละกัน’

สุดท้ายทางออกก็คือ

‘นี่แน่ะ ให้ไปอยู่สถานสงเคราะห์เถอะ พวกเราๆ ก็ตึงมือหาเช้ากินค่ำ อยู่ที่นู่นแหละจะได้สบายกัน’

วริษแทบร้องไห้ เธอกอดวรรษชลไว้แน่น เราสองพี่น้องถูกลอยแพ แต่เหมือนโชคยังดี พี่สาวของแม่ ป้า... ญาติที่เหลือเพียงคนเดียวทางฝั่งมารดามารับพวกเธอไป

ญาติเพียงคนเดียวที่ไม่หน่ายหน้าหนีเมื่อต้องรับภาระดูแลเด็กหนึ่งคนกับสาวน้อยที่กำลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

วรรษชลเป็นเด็กดี รู้งานและขยัน การเลี้ยงดูมีผลเพราะพี่สาวของเธอเกิดมาในช่วงที่พ่อแม่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว แต่กับเธอ มันตรงกันข้ามด้วยความเป็นลูกคนเล็ก วริษาจึงถูกตามใจ เธอเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ อยากได้อะไรต้องได้และดื้อรั้นเป็นที่สุดและมันก็แก้ไม่หาย แม้เมื่อคุณป้าเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

วรรษชลกับวริษาได้รับสมบัติอันน้อยนิดนั้นไว้ต่อชีวิต โชคดีเหลือเกินที่ตอนนั้นวรรษชลทำงานแล้ว ส่วนวริษาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ชีวิตในสังคมใหม่ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ทำให้วริษารู้จักกับ ‘เขา’

เขาที่เธอรู้สึกว่าเป็นดั่งเจ้าชาย สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน เป็นสุภาพบุรุษเลิศเลอของสาวน้อยช่างฝัน

เขาเป็นพี่ชายของเพื่อน และเพียงแค่เห็นในครั้งแรก เธอก็ตกหลุมรักเขาในทันที... หัวใจที่ไม่เคยรู้จักกับคำว่ารัก ลุ่มหลงไปโดยไม่สนใจฟังคำเตือนของวรรษชลว่าผู้ชายคนนี้อันตราย...

การกีดกันไม่ให้คบหาทำให้วริษาเตลิด เธอทะเลาะกับพี่สาวเพียงเพราะคำว่า ‘รัก’ มันบังตา และวันนั้นก็เป็นวันที่เธอนึกเสียใจที่สุด วรรษชลกับพี่เขยประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตจากเธอไป ที่พึ่งสุดท้ายของเธอมีเพียงเขาและเธอก็ตกเป็นของเขาในเวลาต่อมาไม่นานนัก ด้วยรักลมๆ และความฝันแล้งๆ ที่มัน... ไม่มีตัวตน

รสรักในครานั้นยังตราตรึงอยู่ในใจมาจนบัดนี้ พอๆ กับความเจ็บช้ำที่เธอต้องเผชิญ

หลังเสร็จสมดั่งใจหมาย เขาหายตัวไป ทิ้งเธอไว้กับเศษเงินและข้อความสั้นๆ บนเศษกระดาษ


‘ค่าตัว’


มีเพียงแค่นั้น... แค่นั้นจริงๆ สำหรับคนที่สัญญาว่าจะมีอนาคตร่วมกัน คนที่พร่ำบอกว่ารัก และมันก็ทำให้เธอเข้าใจดีกับคำพูดของผู้ชายที่หวังแค่เพียงทำลายและย่ำยีศักดิ์ศรีของผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเพราะความเจ็บใจจากการถูกผู้หญิงอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของเธอเลือกที่จะมีอนาคตร่วมกับคนอื่นเท่านั้น

แต่เรื่องเลวร้ายมันมีมากกว่านั้น

เช้าวันเมื่อพบว่าถูกทิ้งไว้บนเตียง เธอซึ่งยังไม่ประสางุนงงกับเงินและข้อความนั้นมาก เธอต้องการพบเขาแต่ไม่รู้ว่าจะตามหาเขาได้ที่ไหน นอกไปเสียจากน้องสาวของเขา เพื่อนที่เธอคิดว่าสนิทที่สุด ได้ทำร้ายเธออย่างเจ็บแสบที่สุด

ทั้งสายตาเหยียดหยาม

คำประณามซ้ำเติม

‘อะไรกันฝน นี่เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่ ขอโทษเถอะถ้าเธอต้องการจะจับพี่ชายฉันน่ะนะก็ต้องบอกว่าเสียใจ คนอย่างพี่ณุ... ถ้าจะมีเมียต้องไม่ใช่คนอย่างเธอแน่ๆ แต่ถ้าชั่วครั้งชั่วคราวตามประสาคนโสดก็ว่าไปน่ะนะ อีกอย่างเธอก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่ณุตี ‘ค่าตัว’ เธอไว้ยังไง’

ยามนั้นเธออ่อนแอ เธอพ่ายแพ้ และไร้ค่า

วริษากลายเป็นตัวประหลาด เธอถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จากผู้หญิงด้วยกัน สายตาโลมเลียอย่างไม่ปิดบังจากเพศตรงข้ามที่แสดงความต้องการออกมาอย่างชัดแจ้ง

‘ไซด์ไลน์น่ะสิ ก็ว่าแล้วแบบนี้ไม่รอด’

‘แรดเงียบ!’

‘แบบนี้ลูกเขาผัวใครก็ไม่สนสินะ โถ พวกใจแตกขอแค่มีเงินจะให้แบท่าไหนยังไงก็ได้!’

‘เท่าไหร่นะ ถ้าสามพันฉันสู้ว่ะ!’

ทั้งในโลกโซเซียล ทั้งในความเป็นจริง เธอถูกประณามว่าขายบริการ วริษาแทบบ้า เธอถูกส่งข้อความถามถึงค่าตอบแทนในการที่จะได้เธอไปไว้บนเตียงอย่างโจ่งแจ้ง จะหันหน้าไปพึ่งใครก็ไม่มี

‘ตายแล้ว! งามหน้าจริงๆ ฉันว่าแล้วไหมล่ะ แกน่ะยัยฝนมันไม่รักดีเหมือนยัยน้ำ นี่พี่สาวตายไม่ทันไร แกก็มีผัวแล้ว!’

‘แล้วไงแกจะทำยังไง เกิดป่องขึ้นมาจะรับผิดชอบยังไงไหว นี่แค่เลี้ยงตัวของตัวแกเองก็ยังจะไม่รอด อย่างนี้ไม่ไหว ฉันให้อยู่ด้วยไม่ได้หรอก เด็กๆ มันจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง พอดีฉันได้อกแตกตาย!’

วริษาเคยคิดจะฆ่าตัวตาย เธอรู้มันบาปแต่สิ่งที่เจอก็เกินรับไหว หาก... เธอทำไม่ได้ เมื่อวันนั้น เครื่องทดสอบการตั้งครรภ์บ่งบอกว่าเธอมีใครอีกคนในชีวิต

วริษากัดฟันทน เธอตัดสินใจประกาศขายบ้าน ยอมถูกนายหน้ากดราคาและจากกรุงเทพฯ มาพร้อมกับเงินก้อนสุดท้าย หลบลี้หนีหน้าคนรู้จักมาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ทั้งๆ ที่ยังท้องอ่อนๆ ที่เชียงใหม่นี่ และนับจากวันนั้นเธอก็ไม่ได้เจอกับเขาอีกเลย เขา... พ่อของถิรายุ

วริษาพรูลมหายใจ

แต่ถึงอย่างไรช่วงเวลาลำบากเหล่านั้นมันก็ได้ผ่านไปแล้ว วันนี้เธอมีบ้านมีร้านเป็นของตัวเอง มีรายได้พอที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยคนสำคัญให้อยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องลำบาก วันนี้เธอเข้มแข็งและรู้จักปกป้องตนเองมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะลบเงาของผู้ชายคนนั้นออกไปจากชีวิตเธอ วริษาบอกตัวเอง... เธอต้องการเวลา

หญิงสาวหลับตาลงทอดถอนใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจจะตามลูกน้อยกลับเข้าไปในบ้าน เธอลุกขึ้นยืนเผยให้เห็นร่างสมส่วนน่ามองใต้เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์

ภาพนั้นน่ามอง และสวยงามน่าจับตายิ่ง

ใต้ซุ้มการะเวกที่เลื้อยคลุมเป็นหลังคาเยื้องมาด้านหน้าของตัวบ้านไม้ สาวสวยในวัยยี่สิบปลายๆ ที่ยืนอยู่ เมื่อถูกแสงแดดยามบ่ายแก่ส่องลอดช่องว่างลงมากระทบเช่นนี้ ดูคล้ายภาพวาด

ละม้ายนางไม้ปรากฏตัว

“เอ้า! จะทิ้งกันทั้งแม่ทั้งลูก”

นายตำรวจหนุ่มผู้ก้าวเข้าไปใกล้เอ่ยทัก และทำให้เจ้าของบ้านสะดุ้งจนสุดตัว เธอหันมามองเขา ดวงตายังเบิกโตแสดงว่ายังตกใจไม่หาย และทวีรัฐก็โคลงศีรษะหัวเราะออกมา

“เป็นอะไร ทำไมดูตกใจแบบนั้นล่ะ”

“โถ ก็พี่ทวีน่ะ” วริษาเปิดยิ้มท้ายที่สุด “แล้วไงคะ ฝนก็นึกว่าตายุกลับมาพร้อมกับรถโรงเรียนเสียอีก แล้วทำไมถึงกลายเป็นพี่ทวีได้”

“วันนี้ไม่ต้องเข้าเวร เลยไปรับเจ้าตัวแสบมาส่งคุณแม่ไง”

รอยยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวรีหยีลงทำให้ใบหน้าคมเข้มที่ควรจะดูดุนั้นละมุมลงอย่างน่าประหลาด วริษายิ้มตอบเขา

“ว่าไงจ๊ะ ทำไมเรียกแค่นี้ถึงกับสะดุ้ง”

“โถก็พี่ทวีน่ะเสียงดัง แล้วยังตัวใหญ่ยักษ์แบบนี้ใครจะไม่ตกใจ”

ชายหนุ่มยักไหล่ แถมยังเออออ “นั่นสิ แถมยังตัวดำอีกใช่ไหม”

วริษาหัวเราะและส่ายหน้า “ดูพูดเข้า ใครว่าค่ะแค่คล้ำเฉยๆ”

ทวีรัฐกลอกตา

“ขอบใจที่ช่วยพูดให้รู้สึกดีขึ้นนะ แต่ทำไมพี่รู้สึกไม่ต่างกันเลยล่ะ ไอ้ดำกับคล้ำเนี่ย”

ทั้งคู่หัวเราะขึ้นพร้อมกันก่อนออกเดินตรงไปยังตัวบ้านที่อยู่ไม่ไกล เสียงพูดคุยระหว่างทั้งคู่ลอยเลยตามสายลมเย็นเยียบของช่วงเปลี่ยนฤดู ซึ่งพัดกระหน่ำมาอย่างไม่ขาดสาย

มันเป็นสัญญานอย่างจะบอกว่าอีกไม่นานฤดูหนาวกำลังจะมา แต่สำหรับวริษา... เธอเหมือนติดอยู่ในฤดูหนาวมาตลอดเจ็ดแปดปีที่ผ่าน

แสงไฟค่อยๆ สว่างเรื่อเรืองขึ้นทีละดวงสองดวงเมื่อแสงสีส้มสุดท้ายทาบจับที่กลุ่มเมฆหนาสีดำคล้ำซึ่งปรากฏตัวขึ้น และเมื่อความมืดกลืนกินทุกสิ่ง บ้านไม้สีขาวก็กระจ่างไปด้วยแสงไฟมองดูคล้ายบ้านในเทพนิยาย ได้ยินเสียงหัวเราะดังแผ่วแว่วมาเป็นระยะ ยามเมื่อลมโบกโบย

ถิรายุหัวเราะร่ายามอยู่ในอ้อมแขนกว้างใหญ่ ทวีรัฐจั๊กจี้เด็กชายจนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก โดยมีวริษา และนิตาพี่เลี้ยงสาวมองอยู่และกำลังหัวเราะไปด้วย

“โอ้โฮ! ดูสิไอ้เราก็ว่าจะอาบน้ำให้เฉยๆ ที่ไหนได้พออาบเสร็จกลับมาลากเราลงไปคลุกกองแป้งเสียด้วยนี่ แสบนักนะไอ้ตัวเล็ก”

ถิรายุเบี่ยงหน้าทีทั้งๆ ที่หัวเราะเอิ๊กๆ เมื่อทวีรัฐแนบปลายคางสากๆ เข้ากับแก้มนุ่มนิ่ม เด็กชายใช้มือป้อมๆ ของตนดันใบหน้าใหญ่ๆ ของคนกอดออกห่างเพราะรู้สึกเจ็บ

“พอแล้วค่ะพี่ทวี เดี๋ยวหัวเราะเอิ๊กๆ แบบนี้ได้สะดุ้งตื่นร้องไห้”

“นั่นสิ” ทวีรัฐพึมพำเห็นด้วย พอรามือเด็กชายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ซึ่งคนเห็นก็ต่างยิ้มขำ

“แป้งเต็มเลยค่ะ เช็ดออกก่อนสิคะ”

วริษายื่นกระดาษทิชชู่เปียกส่งให้ ทวีรัฐยิ้มและรับมาเช็ดคราบแป้งที่ติดตามหนาตา หลังเขาไม่ฟังคำทัดท้านของเธอที่ห้ามไม่ให้เขาอาบน้ำให้กับถิรายุ จนต้องตกกระด้งแป้งไปกับเด็กชายด้วย

“นิดก็เตือนแล้วนะคะพี่ฝนว่าน้องยุน่ะ ชอบเล่นแป้ง แต่ผู้กองไม่ฟัง”

นิตาอายุเพียงยี่สิบสองปี หล่อนกำพร้าไม่มีที่ไป วริษาเจอกับหล่อนบนรถตอนกำลังเดินทางมาเชียงใหม่ ต่างคนต่างไม่มีที่พึ่ง เมื่อรู้ว่าตกชะตาไร้ญาติขาดมิตรเหมือนกัน เธอกับนิตาจึงตัดสินใจจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกันทั้งคู่ นิตาช่วยเธอดูแลถิรายุ หล่อนจึงเป็นเหมือนน้องสาวแล้วยังเป็นเหมือนครอบครัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเธอ

“สุดท้ายก็เลยขาวไปหมดทั้งตัวจนได้”

หล่อนบอกกลั้วหัวเราะ

จะว่าไปผู้หญิงอย่างนิตาไม่ใช่คนสวยแต่ก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ หล่อนมีผิวขาวเหลือง นัยน์ตาเรียวรี ร่างเล็กแบบบาง แต่ยิ้มทีโลกก็เหมือนจะสดใสไปด้วยรอยยิ้มของหล่อนทำให้คนมองสบายตาสบายใจ

“เอ้า! โดนรุม”

ทวีรัฐบอกพลางพยักพเยิดกับเด็กชาย วริษาหัวเราะและหันไปพูดคุยกับนิตาแทน นายตำรวจหนุ่มมองแม่ของเด็กชายด้วยแววตาที่ไม่เคยปิดบังซึ่งความรู้สึกลึกๆ ข้างในใจ

ใช่... เขารักเธอ อยากเริ่มต้นชีวิตกับเธอ แต่...

โอกาสนั้นเขายังไม่เคยได้รับมา เป็นได้แค่พี่ แค่เพื่อนก็เท่านั้น

เขาเคยออกปากแสดงความจำนงของตนที่ต้องการเข้ามาดูแลและปกป้องสองแม่ลูกไปมากกว่านี้... แต่ว่ามันมีกำแพง กำแพงของใครบางคนที่... ก็คงเป็นพ่อของถิรายุซึ่งขวางไว้ไม่ให้เขาข้ามไป

กี่ปีกันแล้วนะที่เขารู้จักกับเธอ... และกี่ปีกันแล้วล่ะ ที่เธอให้เขาได้แค่คำว่าเพื่อนและพี่ชาย หากความสัมพันธ์มากกว่านั้นที่เขาต้องการ วริษากลับปฏิเสธไม่เคยให้เขาได้รับมันเลยสักครั้ง

เขายังจำได้เมื่อตอนที่พบเธอครั้งแรก

วริษาอุ้มท้องลูกของตัวเองที่ไม่มีพ่อ... หล่อนดูเหมือนแก้วบางๆที่เพียงแค่แตะเบาๆ ก็จะแหลกสลายลงไป ทว่าแก้วบางๆ นั่นก็ช่างแข็งแรงเหลือ จากเงินเก็บก้อนเดียว วริษาสามารถทำให้มันงอกเงยได้ภายในเวลาหนึ่งปี อาจจะเป็นโชคของหล่อนก็ได้ที่ตอนนั้นในอำเภอนี้ยังไม่มีใครนึกถึงบริการรับจัดงานเลี้ยง วริษาเริ่มจากตรงนั้น กิจการของหล่อนดีวันดีคืน เพียงสามปีหล่อนสามารถเช่าซื้อที่พร้อมบ้านตรงนี้ และเปลี่ยนมันเป็นร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายต้นไม้ จากนั้นก็มุเรียนต่อจนจบปริญญาตรี พร้อมกับดูแลลูกน้อยประคับประคองมาจนถึงตอนนี้ ทวีรัฐลอบผ่อนลมหายใจ ดวงตาที่มองวริษาหม่นลงและเมื่อก้มมองถิรายุก็ยิ่งหมอง เด็กชายยังคงสำรวจนั่นนี่บนบ่าและหน้าอกของเขาอย่างซุกซนด้วยความสนใจใคร่รู้ ถิรายุเป็นเด็กฉลาด และเขารักเด็กชายเหมือนลูก อยากดูแล อยากปกป้องในฐานะพ่อ ถึงแม้ว่าเด็กชายจะเป็นลูกของใครก็ตาม... แต่เขาก็พร้อมจะรับเป็นลูกตัวด้วยความเต็มใจ เขารักวริษา และรักลูกของเธอ ปรารถนาจะอยู่ในฐานะพ่อ แต่ก็ไม่เคยได้เฉียดเข้าไปใกล้เลย

“เอ๊ะยังไง” เมื่อเบือนหน้าขึ้นมอง ทวีรัฐก็พบว่าวริษากำลังมองมาเขาเลิกคิ้วขึ้นละสายตาจากแม่เพื่อมองลูก “ยุครับ ดูสิแม่ฝนมองลุงใหญ่เลย” นายตำรวจเอ่ยในเชิงฟ้อง และเด็กชายก็มองมารดาของตัวเองพลางย่นคิ้วเข้าหากัน วริษาส่ายหน้าบอกกลั้วหัวเราะ

“มองก็ไม่ได้ใช่ไหม งั้นไม่มองแล้วค่ะไม่มอง”

“แน่ะ! มีงอน” ทวีรัฐเย้าและก้มลงคุยกับหลานชายกันสองคน

วริษามองแล้วถอนสายตากลับมายังคู่สนทนาของเธอ แต่แล้วก็นิ่งไม่เอ่ยอันใดอีก เมื่อได้เห็นสายตาของนิตาซึ่งกำลังมองทวีรัฐยามเผลอตัวอย่างชื่นชม

วริษาผ่อนลมหายใจน้อยๆ

เธอรู้ทวีรัฐเป็นคนเช่นไร และรู้อีกว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ เธอไม่เคยรังเกียจเขา เขาเป็นคนดีอีกคนที่เธอได้พบเจอ ทว่าเขาดีเกินไป ดีเกินกว่าอดีตเด็กสาวใจแตกอย่างเธอ

เกือบสองทุ่มที่ทวีรัฐลาวริษากลับบ้านพักในคืนนี้ เธอออกมาส่งเขาที่ประตูบ้านไม่ได้ออกไปส่งที่รถยนต์ซึ่งจอดไว้ที่โรงจอดรถใกล้รั้วบ้านด้านหน้าเหมือนทุกที จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนคอยจับตามองอยู่มานานแล้ว

“เจอแล้วครับนาย”

ชายเจ้าของเสียงห้าวลึกซึ่งเอ่ยรายงานผู้เป็นนายที่อยู่ปลายสายนั้นเรือนร่างสูงใหญ่ เขาสวมชุดสีทึบทึมและนั่งอยู่ในรถญี่ปุ่นสีดำคันเล็ก สายตายังจับไปยังบุคคลสองคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านสีขาวหลังน้อย

“คราวนี้ใช่แน่ครับ เธออาศัยอยู่ที่นี่กับเด็กชายและผู้หญิงอีกคน” พูดพลางเบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็นอยู่ และก้าวลงจากรถยนต์เดินไปเปิดฝากระโปรงหน้าราวกับว่าเครื่องยนต์มีปัญหา

“ดูเหมือนจะมีผู้ชายติดพันเธออยู่ครับ ร้อยตำรวจเอกทวีรัฐ โสภณ อายุสามสิบสามปี โสดเป็นคนพื้นที่ รู้จักกันตั้งแต่เธอย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่”

เขาปิดกระโปรงรถยนต์ลงเมื่อทวีรัฐถอยรถยนต์ออกมาและก้าวลงจากรถเพื่อจะปิดประตูรั้ว นายตำรวจหนุ่มหยุดยืนและมองจ้องตรงมาอย่างสังเกตสังกา เขาจึงก้าวขึ้นรถยนต์ ทำทีเป็นสตาร์ตเครื่องยนต์ พลางเอ่ยเสียงดังด้วยท่าทางหงุดหงิดหัวเสีย

“ใช่! รถฉันเสียอยู่ตรงนี้มาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว นายรีบมาก็แล้วกัน น่าโมโหชะมัดทั้งหลงทางแล้วยังรถมาเสียอีกนี่”

“ขอโทษ แต่มีอะไรให้ผมช่วยไหม”

ทวีรัฐเดินเข้าไปหาผู้ชายที่ทำท่าว่ารถยนต์จะเสีย และอีกฝ่ายก็มีท่าทีว่าคลางแคลง เขาจึงดึงบัตรประจำตัวออกมาให้ดู

“ผมเป็นตำรวจ ว่าแต่รถของคุณเป็นอะไร”

“อ๋อ รถผมสตาร์ตไม่ติดน่ะครับ พยายามแก้ไขแล้วแต่ก็เหลวเปล่านี่กำลังรอเพื่อนมารับ ติดต่อไปที่อู่แถวนี้แล้วแต่ก็ยังไม่มีใครมา”

“ให้ผมช่วยไหม”

แทนคำตอบคือการผายมือ ทวีรัฐจึงเข้าไปตรวจดูอีกครั้ง

ใช่ว่าเขารู้เรื่องเครื่องยนต์มากนักหรอก หากเขาไม่ค่อยไว้ใจที่เห็นชายแปลกหน้าคนนี้ในบริเวณบ้านของวริษามากกว่า ทวีรัฐลองเช็คเครื่องยนต์ดูและค่อนข้างเบาใจหลังพบว่ามันเสียจริง

“ท่าจะอาการหนัก ให้ผมไปส่งที่ไหนไหมครับคุณ”

“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวเพื่อนผมจะมารับ”

ชายแปลกหน้าอ้างถึงชื่อของอู่แถวนี้ว่ากำลังมาและเอ่ยขอบคุณ ทวีรัฐจึงขอตัว ก่อนกลับขึ้นรถยนต์และขับจากมา ส่วนชายคนนั้นก้าวกลับขึ้นรถยนต์อีกครั้ง เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเอ่ยต่อกับปลายสาย

“เรียบร้อยแล้วครับนายไม่มีปัญหา แล้วนายจะให้ผมทำอย่างไรกับเธอต่อไปดีครับ”






กิจวัตรประจำวันของวริษามักอยู่ที่ร้าน แต่ถ้าวันไหนเธอมีธุระข้างนอกหญิงสาวก็จะมารับถิรายุที่โรงเรียน ดังเช่นวันนี้

เกือบบ่ายสามก็ถึงเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนอนุบาลประจำอำเภอ วริษาขับเจ้ากะบะคันเก่าคู่ใจที่เพิ่งส่งของให้ลูกค้ามาจอดข้างกำแพงขาวคาดน้ำตาล เธอลงจากรถยนต์ตรงไปที่ประตูโรงเรียน หญิงสาวยกมือไหว้คุณครูที่ยืนประจำอยู่ ก่อนเปิดยิ้มกว้างเมื่อเห็นลูกชาย แสนซนเดินจูงมือกับคุณครูอีกท่านออกมาพลางหัวเราะร่า

ถิรายุกำลังพูดเจื้อยแจ้วกับคุณครูคนสวย แต่พอเห็นผู้เป็นแม่ เด็กชายก็ปล่อยมือคุณครู และวิ่งตรงมาหาตะโกนเรียกเสียลั่น

“แม่ฝนค้าบ!”

ผู้เป็นแม่ยิ้มทั้งสีหน้าและดวงตา หญิงสาวลดตัวลงนั่งยองๆ รอรับร่างเล็กๆ ที่โถมเข้ามาหานั่นเข้าไปกอดเสียเต็มแรงพลางหอมแก้มนุ่มนิ่มของลูกชายฟอดใหญ่ทั้งสองข้าง จากนั้นเธอจึงคลายอ้อมแขนแล้วยืดตัวขึ้นยืนแล้วอุ้มถิรายุขึ้นมาพลางเอ่ยเตือน

“ยุครับ หนูยังไม่ได้ลาคุณครูเลยนะครับ”

ถิรายุยิ้มแหยและยกมือขึ้นไหว้

“ยุจะกลับแล้วคับ คุณครูหวาน”

คุณครูหวานรับไหว้พลางโบกไม้โบกมือลาเด็กชาย วริษาวางลูกน้อยลงยืนก่อนจับจูงกันเดินตรงไปที่รถยนต์ และเช่นเคยดวงตาคู่หวานอมเศร้าไม่ได้แลสิ่งใดเลย ในสายตาของเธอมีเพียงบุตรชายที่กำลังพูดอยู่เท่านั้น และถ้าหากวริษาจะสนใจมองรอบๆ ตัวสักนิด เธอก็คงพบว่ามีรถสปอร์ตสีดำคันหรูจอดสนิทนิ่งอยู่นานแล้ว นานก่อนที่รถของเธอจะเข้ามาจอดเสียอีก ผู้ปกครองที่มารับบุตรหลานต่างมองกันเป็นตาเดียว เมื่อได้พบเจอกับความหรูหราที่แสนจะแปลกตาของพาหนะสุดแพงคันนั้น เพราะในชีวิตประจำวันไม่ค่อยจะได้พบเห็นมากนัก

วริษาเดินเลยรถยนต์คันนั้นมาแล้ว เมื่อประตูรถคันดังกล่าวเปิดออก พร้อมๆ กับร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิททั้งตัวก้าวลงมา ผิวเขาขาวจนเผือด รูปร่างเขาสูงใหญ่มองเห็นชัดว่าเป็นลูกครึ่ง ทั้งยังใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกที่ดึงความสนใจให้คนมอง

หากเขาหาได้สนใจไม่ เพราะภายใต้แว่นกันแดด นัยน์ตาเรียวยาวดำสนิทกวาดจับอยู่ที่วริษากับเด็กน้อย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างเจ้าตัวกำลังใช้ความคิด ริมฝีปากหยักได้รูปสวยเม้มเป็นเส้นตรง

การถูกมอง ถูกจ้องทำให้วริษารู้สึกตัว เธอหยุดเดินและเหลียวมองที่มาของสายตา ก่อนจะนิ่งขึงไป

ใช่... เขาหล่อเหลาน่ามอง แต่ว่านั่นใช่ความสนใจของวริษาที่มีต่อเขาไม่ ลมหายใจเธอสะดุด มือที่กำมือถิรายุเผลอกำแน่น ดวงตาคู่โศกมีแต่แววหวาดหวั่น เจ็บปวด

ทำไมวริษาจะจำเขาไม่ได้!

“แม่ฝนคับ ยุเจ็บ”

คำประท้วงทำให้เธอรู้สึกตัว วริษาก้มลงมองลูกน้อยเธอคลายมือและย่อตัวลงอุ้มถิรายุขึ้นมา และไม่แม้แต่จะมองชายคนนั้นอีก
เธอออกเดินอีกครั้งจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง ด้วยต้องการให้ถึงรถเร็วที่สุด และได้แต่หวังว่าเวลาที่ผ่านมาหลายปี ‘เขา’ จะเห็นเธอเป็นเพียงแค่เศษดินที่ขวางทางเดินจนต้องเตะทิ้ง หรือไม่ก็แค่ดอกหญ้าที่ขึ้นอยู่ข้างทางรอคอยให้คนเหยียบย่ำแล้วผ่านไป

วริษาภาวนา วอนขอ นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ...

“ฝน!”

แต่คำวอนของเธอกลับไม่เป็นจริง!

วริษาใจหายวาบ ขาที่ก้าวหยุดชะงักงันไปชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่เธอจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“ฝน!!”

เธอเริ่มออกวิ่ง หัวใจเต้นแรง ดวงตาสองข้างร้อนผ่าวและเกือบจะดิ้น เมื่อสุดท้ายถูกยึดต้นแขนไว้มั่น วริษาตัวแข็งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ยามกระชับอ้อมแขนกอดถิรายุไว้มั่น

“แม่ฝนคับคุณลุงคนนี้เรียกแน่ะคับ”

เด็กชายบอกมารดา เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้ยิน ถิรายุส่งยิ้มกว้างขวางแจ่มใสให้ ‘คุณลุง’ อย่างที่เคยได้รับการสอน

“แม่ไม่รู้จักหรอกลูก คุณลุงคงทักคนผิดน่ะ”

วริษาบอกเสียงเย็น พยายามระงับอาการเสียวแปลกๆ ในอกให้หยุดอยู่แค่นั้น สั่งใจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล แต่ว่าเมื่อจะเดินต่อก็ทำไม่ได้เมื่อเขายังไม่ยอมปล่อยเธอ

หญิงสาวหลับตาลงก่อนลืมขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาเมื่อตวัดมองมีแต่ความเย็นชา

“กรุณาปล่อยด้วยค่ะ คุณทักคนผิดแล้ว”

แทนคำตอบรับหรือการกระทำที่เธอต้องการ เขาถอนหายใจและถอดแว่นตาที่สวมอยู่ออก วริษาเม้มปากแน่นและสะบัดตัวออกห่างเมื่อเขายอมปล่อยมือในที่สุด เธอย่อตัววางถิรายุลงยืน มือกุมมือเล็กไว้มั่นก่อนพาเด็กชายออกเดิน ปล่อยให้ ‘คุณลุง’ ที่ลูกชายเรียกเมื่อครู่ มองตามมาอย่างเดียวดายอยู่แบบนั้นเพียงลำพัง







ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2559, 11:43:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2559, 11:43:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1573





<< บทนำ   บทที่ ๒ >>
ดังปัณณ์ 30 ก.ย. 2559, 11:45:22 น.
พาพี่ณุ หนูฝนมาส่งค่ะ ^O^

และ และ แหะๆ ฝาก E-BOOK ของเรื่องนี้ด้วยนะค้า https://goo.gl/g2pcqS

เจอกันใหม่พรุ่งนี้ วันนี้ไปแล้วค่า


teesaparn 30 ก.ย. 2559, 12:01:12 น.
อึยๆๆๆ เรื่องใหม่เย้อ


Zephyr 21 ต.ค. 2559, 20:20:09 น.
แน่ะๆๆๆ ทิ้งเค้าละจะกลับมาหารึ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account