เล่ห์แฝงรัก
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว

ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”

และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
Tags: ครอบครัว,พ่อแม่ลูก,ซึ้ง,โรแมนติก

ตอน: บทที่ ๒




เขาเจอตัวเธอแล้ว ในที่สุด... เขาก็ได้เจอ

ชิษณุพงษ์มองตามแผ่นหลังบอบบางที่ห่างออกไป สายตาเขาค่อยเลื่อนลงจับยังเด็กชาย ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มออกเพียงนิด

เด็กคนนั้น... เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

ชายหนุ่มละสายตาจากสองแม่ลูกที่กำลังกลับขึ้นรถยนต์ นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองเหล่าผู้คนที่มองจ้องมาอย่างไม่แยแส ราวกับว่าคนเหล่านั้นเป็นอากาศธาตุ เรือนร่างสูงใหญ่เดินกลับไปที่รถสปอรต์ของตัวเอง สายตาคมกริบกวาดมองเหล่าไทยมุงอีกครั้ง และคราวนี้ทุกคนต่างหลบตาเบือนหน้าหนี

ชิษณุพงษ์ดึงสายตากลับมา ปิดประตูรถ และขับตามรถกะบะคันเก่าของวริษาออกไป





เธอยังตกใจไม่หาย

ทั้งตัวเธอสั่น มือก็สั่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อขับรถออกมาจากหน้าโรงเรียนของบุตรชายได้ไกลพอดู หญิงสาวต้องบังคับตัวเองอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่สารถีให้ลูกนั่งอย่างเต็มกำลังจนเมื่อเห็นว่าห่างออกมาแล้วนั่นแหละ รถกระบะสีขาวถึงได้จอดลงตรงริมฟุตบาทนั่นเอง หญิงสาวซบหน้าลงตรงพวงมาลัยหลับตานิ่งเหมือนจะรวบรวมกำลังใจ จนถิรายุที่นั่งมาด้วยเอี้ยวตัวหันมามองปลดเซฟตี้เบลล์ออก แล้วคุกเข่าขึ้นลูบหลังผู้เป็นมารดาเอ่ยถามว่า

“แม่ฝนคับ ไม่สบายหรือเปล่าเราไปหาคุณหมอกันดีมั้ยคับ”

วริษาเงยหน้าขึ้นมองบุตรชายด้วยดวงตาแดงก่ำ เธอโอบอุ้มลูกน้อยกลับเข้ามาไว้ในวงแขน กลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องสูญเสียผู้เป็นแก้วตาดวงใจไป เพียงเพราะว่าได้ประสบพบกันกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง

วริษาอยากให้นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ ขออย่าให้ชิษณุพงษ์สงสัย หรือถ้าจะให้ดีก็คืออย่าให้เขาได้รู้ว่าก่อนจากมาเธอท้อง

“แม่ฝน กอดแน้นแน่น ยุหายใจไม่ออก”

ถิรายุบอกมารดา กระนั้นมือป้อมก็ยังลูบแผ่นหลังไปมากิริยาดังคล้ายเมื่อผู้เป็นแม่ปลอบ วริษาถอนอ้อมกอดและมองใบหน้าเท่างบน้ำอ้อยอย่างแสนรัก

“แม่ฝนไม่ฉะบาย”

“เปล่าจ้ะ แม่ฝนไม่เป็นอะไร”

เหมือนไม่เชื่อ มือน้อยป้อมสั้นจึงเอื้อมมาแตะตรงหางตาของเธอ ถิรายุขมวดคิ้วมุ่น

“แม่ฝนร้องไห้ ใครทำอะไลบอกยุมายุจะไปจัดการให้”

ท่าทางขึงขังของเจ้าตัวเล็กเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนเป็นแม่ มือเรียวที่ใหญ่กว่าที่ทำหน้าที่โอบอุ้มเลี้ยงดูมาทาบลงบนมือเล็กนั่นอย่างรักใคร่เสียงหวานค่อนข้างเครือเอ่ยตอบเบาๆ

“ฝุ่นเข้าตาจ้ะ ตอนนี้ออกแล้ว เรากลับบ้านกันเลยดีมั้ย”

“อ๋อ ฝุ่น ฝุ่นไม่ดีทำแม่ฝนล้องไห้ ต้องตีๆ”

วริษายิ้มรับเมื่อเห็นถิรายุตีมือไปมาในอากาศ เธอจัดแจงให้เด็กชายนั่งให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้ แต่พอกลับมาสตาร์ตเครื่องรถยนต์ที่ไม่รู้ว่าดับลงเมื่อไหร่ วริษาก็พบปัญหาอีกครั้งเมื่อรถคันเดียวของเธอเกิดงอแงขึ้นมา

“รออยู่นี่นะ แม่ฝนจะลงไปดูหน่อยทำไมเจ้าแก่ไม่พาเรากลับบ้าน” เด็กชายยิ้มรับพยักหน้าคอแทบหัก

วริษาเปิดประตูรถและก้าวลงไป กระโปรงรถเมื่อถูกเปิดมีไอน้ำพวยพุ่ง เธอถอนหายใจก่อนกลับเข้ามาหยิบโทรศัพท์มือถือติดต่ออู่เจ้าประจำให้มาลากเจ้าแก่ไปซ่อม และเพราะมัวแต่คุยกับปลายสาย เธอจึงไม่ทันได้เห็นว่าชิษณุพงษ์ขับรถเข้ามาจอดต่อท้ายรถของเธอ

“รถเสีย”

วริษาชะงักงันตัวแข็งทื่อ

“ฝนเรียกช่างหรือยัง”

สำหรับวริษา ไออุ่นที่แผ่ลามมาจากทางด้านหลัง มันร้อน ร้อนยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ที่ตกต้อง และเงาจากร่างสูงก็ผงาดง้ำ ราวกับเงาของซาตานร้ายจากขุมนรก

“ขอพี่...”

วริษาหมุนตัวกลับมา ก่อนตกใจเซถอยหลังเมื่อเขาอยู่ใกล้มากกว่าที่คิด เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีที่เธอได้สบตากับเขาอีกครั้งอย่างจังๆ ชิษณุพงษ์ยังเหมือนเดิม เขาไม่เคยเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนไปเลย

กระทั่งจิตใจดำมืดนั่นของเขาด้วย!

“ฝน”

ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มเรียกชื่อของเธอ

และเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในความสนใจของถิรายุ

เด็กชายมองมารดากับคุณลุงแปลกหน้าอย่างสงสัย มือป้อมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว แต่ยังรีๆ รอๆ ว่าจะเปิดประตูรถลงไปหรือไม่ และจากสายตาของเด็กชายทำให้วริษารู้สึกตัว เธอมองสบตากับลูกน้อย และหันหลังให้กับชิษณุพงษ์ออกเดินอ้อมด้านหน้าของรถไปยังประตูอีกฝั่ง แต่แล้วก็ยังถูกยึดต้นแขนไว้

“อย่ามายุ่งกับฉัน!”

เสียงสั่งลอดไรฟัน เธอสะบัดตัวออกพร้อมกับผลักให้เขาถอยห่าง แต่แล้วตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียหลัก วริษาผงะหงายจะล้มลงไปบนถนน มันเป็นจังหวะเดียวกับที่มีรถยนต์แล่นมา เสียงบีบแตรดังลั่น แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ทันเสียแล้ว หญิงสาวจึงได้แต่หลับตาลง

วินาทีต่อมาเสียงเบรกดัง กลิ่นล้อรถยนต์บดกับถนนเหม็นไหม้ เสียงคนกรีดร้อง เธอล้ม กระแทก... แต่ไม่เจ็บ หัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกจากอกด้วยความตื่นกลัว

เสียงพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ดังใกล้ วริษาที่ข่มความกลัวได้แล้วจึงกล้าลืมตาขึ้นมอง

เธอไม่ได้ถูกชน รถยนต์คันนั้นแฉลบไปข้างทางอีกฝั่ง และเธอก็กำลังอยู่ในอ้อมแขนกว้างใหญ่ของคนที่อุทิศตัวเป็นเบาะกันกระแทกให้ วริษาดึงตัวเองให้พ้นจากอ้อมกอดนั่น แต่แล้วชิษณุพงษ์กลับครางออกมาเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาเหยเก ริมฝีปากหยักเม้มแน่นดั่งพยายามสะกดกลั้นเสียงครางออกมา

“อย่าเพิ่งดิ้น”

เสียงสั่งบอกเบาๆ เมื่อผู้คนเริ่มเข้ามามุง

“แม่ฝน!”

วริษาเหลียวมอง พอเห็นถิรายุน้ำตาคลอยืนเก้กังอยู่ด้านหลัง เธอจึงรีบลุกออกจากตัวของชิษณุพงษ์ มือหนึ่งโอบลูกชายไว้ ก่อนเหลียวมองเขาที่กำลังประคองแขนตัวเองอยู่

ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง หัวใจที่เย็นชาไหวสั่นไปกับอาการไม่ปกติของเขา จนต้องละล่ำละลั่กถาม

“คุณ... คุณเจ็บตรงไหน”

เขาเจ็บเพราะช่วยเธอ และถ้าเมื่อครู่เขาช่วยไม่ทัน เธอก็คงจะกลายเป็นกองเศษผ้าขี้ริ้วข้างทางไปแล้ว ที่สำคัญถิรายุก็ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าที่หาอนาคตไม่เจอ ไร้พ่อ... ขาดแม่โดยแท้จริง

“ไม่... ไม่ได้เป็นอะไรมากนักหรอก”

คำตอบสวนทางกับอาการที่เห็น วริษาละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกแม้จะโกรธเกลียดเขา แต่...

“คุณเจ็บ... ไหนขอฉันดูหน่อย”

ครั้นได้ยินมารดาเอ่ยเอ่ยเช่นนั้น ถิรายุที่มองก่อนแล้วจึงได้บอก

“แม่ฝนคับ คุณลุงเจ็บที่แขน”

วริษาก้มมองตาม กำลังจะเอื้อมมือไปแตะแขนข้างที่เจ็บของเขา ทว่าพอเห็นว่าสายตาของชิษณุพงษ์กำลังจับที่ถิรายุ เธอก็ชะงักเหมือนจะได้สติกลับมา

“ลูกเรา...”

หัวใจวริษาเต้นแรง เธอเงยหน้ามองเขาเต็มตาและส่ายหน้า

“ไม่...ไม่ใช่ยุ... ยุไม่ใช่ลูกของคุณ”

เธอผละลุกขึ้นยืน ดันถิรายุไปยืนข้างหลัง

“ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้... แต่อีกเดี๋ยวรถพยาบาลก็คงจะมา คุณทนหน่อยแล้วกัน”

“ฝน” ชิษณุพงษ์ขมวดคิ้วเมื่อเธออุ้มลูกน้อยไว้ในวงแขน และตอนที่หญิงสาวกำลังจะผละไป ถิรายุที่กอดคอแม่แน่น ตาฉ่ำน้ำก็เอ่ย

“ขอบคุณคับที่ช่วยแม่ฝน”

วริษานิ่งไป เช่นเดียวกับชิษณุพงษ์ที่ได้สบตากับเด็กชาย แต่ไม่ทันจะให้ใครได้พูดอะไรต่อ หญิงสาวก็อุ้มเด็กชายก้าวจากมาไวๆ

เธอยอมเป็นคนใจร้าย เป็นคนไม่มีน้ำใจ

แต่ตอนนี้ ต่อหน้าเขา เธอไม่อยากให้ถิรายุอยู่ตรงนี้ต่อไป







นิตาสงสัยแต่ไม่กล้าถามว่าทำไม เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ววริษาดูลุกลี้ลุกลน และอย่างเมื่อครู่ก็เอ่ยชวนเธอแปลกๆ

‘นิด พี่ว่าเราไปอยู่ที่อื่นกันไหม เราย้ายไปอยู่แถวๆ ทะเลกันดีหรือเปล่า’

‘ทำไมคะพี่ฝน ถ้าย้ายเราจะมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก อีกอย่าง... กว่าเราจะไปเริ่มต้นใหม่ กว่าจะอยู่ตัว ใช้เงินมากเลยนะคะ’

เท่านั้นวริษาก็เหมือนจะนึกได้ เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่สุขสบายขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะมีเงินเก็บมากนัก นิตามีเงินในบัญชีอยู่ประมาณห้าหมื่น ส่วนวริษานั้นมีแค่หนึ่งแสน ส่วนเงินสดในร้านก็แค่ใช้จ่ายหมุนไปวันๆ เท่านั้น

“เป็นอะไรนะพี่ฝน”

หญิงสาวพึมพำ มองวริษาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะแคชเชียร์ตาจ้องมองไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตากลมโตหม่นมัวจนแทบไร้แวว ส่วนริมฝีปากสีเนื้ออ่อนในตอนนี้เม้มตรงแน่นอย่างกำลังครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่างที่ยุ่งยาก

“พี่นิด กุหลาบสีเขียวได้ไหมคับ ทำไมต้องมีแค่ใบไม้ที่เป็นสีเขียว” เสียงของถิรายุดึงเธอให้ละสายตาจากวริษา นิตามองเด็กชายพลางอมยิ้ม หลังกลับจากโรงเรียนเด็กชายอาบน้ำ รับประทานของว่างแล้วก็นั่งทำการบ้านอยู่เธอ

“ได้ซีครับ แต่ต้องไม่ใช่เขียวเข้มๆ เหมือนใบไม้นะ ไม่งั้นแยกไม่ออกแน่ๆ เลยว่าไหนดอกไม้ ไหนใบไม้”

ถิรายุยิ้มยิงฟันและก้มหน้าระบายสีต่อ นิตาเท้าคางกับโต๊ะญี่ปุ่นตามองจับเด็กชาย ตอนกลับมาเธอตกใจเมื่อถิรายุเล่าให้ฟังว่า

‘แม่ฝนเกือบถูกรถชนแน่ะคับ พอดีมีคุณลุงมาช่วยไว้ซะก่อน แม่ฝนเลยไม่เป็นอาไล แต่ว่าคุณลุงเจ็บน่าดูเลยนะพี่นิด ร้องเสียงดังจนยุตกใจไปด้วยแน่ะคับ’

แต่พอเธอเอ่ยปากถามวริษา หล่อนก็ตอบมาสั้นๆ แค่ว่า

‘เจ้าแก่เสียน่ะ พอดีพี่สะดุดจะล้ม รถวิ่งมา ได้คนช่วยไว้’

ทว่าเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันมีแค่นั้นจริงหรือ เพราะถ้ามีแค่นั้นแล้วทำไมเวลาถิรายุเล่าถึง ‘คุณลุง’ คนนั้น วริษาจึงได้มีท่าทีอึดอัด

นิตาผ่อนลมหายใจเมื่อเริ่มคิดเลอะเทอะ

หญิงสาวเหลือบมองไปยังวริษาอีกครั้ง คราวนี้วริษาสะดุ้ง ตาเบิกกว้าง นิตาจึงมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปหยุดยังประตูกระจกด้านหน้าที่ตอนนี้กำลังเปิดออก โมบายที่ติดไว้ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง

ลูกค้า?

นิตากำลังจะลุกขึ้นยืน แต่เพียงแค่วางมือลงบนโต๊ะและกำลังจะดันตัวขึ้น เสียงเก้าอี้ล้มก็ทำให้เธอชะงัก

วริษายืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ตาเบิกโต

“ฝน...”

ลูกค้าที่นิตาเข้าใจว่าใช่เอ่ยขึ้น ผู้ชายหล่อเหลาปานนายแบบคนนั้นสวมเชิ้ตแขนยาวแต่พับแขนขึ้น ข้อมือข้างหนึ่งของเขาพันผ้าสีขาว นิตาดึงสายตากลับมามองวริษาและก็พบว่าสีหน้าหล่อนไม่ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อนายสาวเอ่ยออกไป

“คุณมาทำไม กรุณากลับไปซะตอนนี้ร้านปิดแล้ว!”

ชิษณุพงษ์ไม่ตอบ เขาถอนหายใจเบี่ยงสายตาเหลียวไปมองยังเด็กชายที่เงยหน้าขึ้นมองสบตาด้วย ไม่กี่วินาทีถิรายุก็เปิดยิ้มกว้าง

“คุณลุงฮีโร่!”

สี่คำ เป็นสี่คำที่ทำให้วริษาก้าวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ เธอก้าวยาวๆ ตรงดิ่งมาหานิตาและลูกชาย

“นิดพาตายุกลับห้อง”

นิตาพยักหน้ารับและรีบทำตาม เธอเก็บเครื่องเขียนของเด็กชายและจูงมือป้อมไว้ “มาจ้ะยุ กลับห้องไปดูแอ๊นแมนกันดีกว่านะ”

แต่แรกเด็กชายมีท่าว่าจะดื้อ แต่พอนิตาเอาการ์ตูนเรื่องโปรดมาล่อก็ยิ้มและทำตามในทันที กระนั้นก็ยังหันมาส่งยิ้มแฉ่งให้กับคุณลุงฮีโร่

แล้วพอลับสายตา บรรยากาศภายในชั้นล่างก็ยิ่งกว่าอึมครึม วริษาก้าวถอยไปหยุดที่บันไดทางขึ้น ตามองชิษณุพงษ์อย่างระแวดระวังเต็มที่ เหมือนกับว่าถ้าเขาคลาดสายตาไป จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกระนั้นก็ไม่ปาน

ชายหนุ่มถอนหายใจ ตามองคนตัวเล็กแน่วแน่

“พอออกจากโรงพยาบาลพี่ก็ตรงมานี่...”

“คุณมีธุระอะไร” วริษาตัดบทไม่รอให้เขาได้พูดจบ

ชิษณุพงษ์โคลงศีรษะ “รู้ไหมพี่ตาม...”

“คุณ-มี-ธุระ-อะไร!”

“ได้” ชิษณุพงษ์ยอมแพ้ “ฝนนี่ไม่...” เคยเปลี่ยน คำนี้ยังค้างในลำคอเพราะวริษายังย้ำถาม

“คุณมีธุ--”

ชิษณุพงษ์ถอนหายใจ “นั่นลูกของเราใช่ไหม”

เขาขยับก้าวเข้ามาในร้าน และวริษาก็ก้าวถอยขึ้นบันไดไปหนึ่งขั้น เธอส่ายหน้าบอกเสียงแข็ง

“เปล่า... เขาเป็นลูกของฉันกับผู้ชายคนอื่น”

เธอตอบพร้อมจ้องตา แต่ชิษณุพงษ์หรี่ตามอง ใบหน้าติดจะเฉยชาในทีแรกของเขาเปลี่ยนเป็นบึ้ง

“อย่าโกหก!”

เขาก้าวเข้าไปใกล้เธออีกนิดและวริษาก็ขยับถอยหลังร่นขึ้นบันไดไปอีกขั้น

“ฉันไม่ได้โกหก! ยุเป็นลูกของฉันไม่ใช่ลูกคุณ!!”

ตอบไปแล้วก็แทบสะดุดหงายหลังเมื่อชิษณุพงษ์พุ่งปราดเดียวก็มาถึงตัวเธอ เขายึดต้นแขนเธอไว้ ดวงตาวาววับ แม้จะตกใจแต่วริษาก็เชิดหน้าขึ้นมองจ้องตากับเขา

“ปล่อย!!”

ไร้ประโยชน์ คำพูดของเธอไร้ค่า เพราะจากเพียงแค่กุมต้นแขน คราวนี้ชิษณุพงษ์ถึงกับรวบร่างเล็กเข้ามากอดไว้เสียแน่น วริษาดิ้นหนี เธอโวยวายบอกให้เขาปล่อย แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ เขากอดเธอไว้อย่างนั้น ปล่อยให้เธอออกฤทธิ์ได้ตามใจชอบ... ไม่นานแรงหยิกทึ้งก็ลดน้อยถอยลง เหลือเพียงแรงทุบแผ่วผิว

“อย่ามายุ่งกับฉัน ไปซะ ขอร้องล่ะ ไปให้พ้น”

เสียงหวานสั่นสะท้าน คล้ายเจ้าตัวกลั่นสะอื้นไว้เสียงจึงได้เครือขาดเป็นห้วงๆ ชิษณุพงษ์หน้าขรึมกระชับอ้อมแขนกอดแน่นเข้า บังคับกลายๆ ให้เธอซบหน้าลงกับอกเขา แต่วริษาก็ยังแข็งขืน

เธอเจ็บ เขารู้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้เจ็บน้อยไปกว่าเธอ

“คุณมาทำไมตอนนี้ มาเอาทำไมตอนนี้”

ชิษณุพงษ์ชะงัก อ้อมแขนคลายลงโดยไม่รู้ตัว วริษาดันแผงอกกว้างนั้นออกห่าง เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งดวงตาแดงก่ำ

“เจ็ดปี”

หญิงสาวพึมพำและส่ายหน้าช้าๆ ชิษณุพงษ์ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปสักนิด เขายังเย็นชาและ... มองไม่ออกเลยว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่ ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือเศร้า สีหน้าของเขาก็ยังเรียบเฉยไม่เปลี่ยน

“ที่ชีวิตฉันพังมาเจ็ดปี คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ”

ชิษณุพงษ์พูดไม่ออก แววตัดพ้อในดวงตาของเธอประณามเขาได้ดีกว่าคำพูดเป็นไหนๆ ก่อนนั้นเธอเคยมองเขาอย่างชื่นชม ใช่แค่หลงใหลแต่มีความนับถือและเชื่อมั่นอยู่ในนั้น

หากบัดนี้... ความรู้สึกมันได้เลือนหายไปหมดแล้ว

วริษายกมือขึ้นปาดหยดน้ำตาที่ซึมตรงหางตา เธอกะพริบตาถี่ๆ และเบือนหน้าหนี

“คุณกลับ--”

“พี่ฝนคะ พี่ฝน!” นิตาร้องเรียกลงมาจากชั้นบน น้ำเสียงเร่งร้อนนั้นทำให้ทั้งวริษาหันไปมอง ชิษณุพงษ์เบือนสายตาขึ้นไปยังเจ้าของเสียงที่วิ่งออกมาตรงบันไดขั้นบนสุด

“พี่ฝนน้องยุหอบอีกแล้วค่ะ!”






ใบหน้าซีดจนเกือบเขียว ท่าทางทุรนทุรายทรมานของถิรายุยังติดตาชิษณุพงษ์แม้เวลาจะผ่านมาเป็นชั่วโมงๆ แล้ว

‘เด็กแข็งแรงดีครับ ถ้าไม่นับโรคประจำตัวของแก เท่าที่ผมสืบได้แกป่วยเป็นโรคหอบหืด’

จากคำรายงาน ชิษณุพงษ์ไม่เคยนึกว่าถิรายุจะเป็นหนักขนาดนี้

ตอนนี้ถิรายุยังอยู่ในห้องไอซียู โรคประจำตัวของเจ้าตัวน้อยกำเริบและยาที่เคยใช้ก็ไม่ได้ผล ตอนนิตาวิ่งมาบอกวริษานั้น เราทั้งคู่หยุดทุกเรื่องไว้ตรงนั้น เขาวิ่งตามเธอขึ้นไปยังห้องนอนของเด็กชาย เด็กน้อยนอนเกร็งอยู่บนเตียงแล้ว นิตาวิ่งกลับลงมาโทรศัพท์หาโรงพยาบาล วริษาเข้าประคองเด็กชาย แต่เขากลัวจะไม่ทันการณ์จึงอุ้มถิรายุไปขึ้นรถพามาหาหมอโดยมีวริษาตามมาไม่ห่าง และจากโรงพยาบาลในตัวอำเภอถิรายุก็ถูกส่งตัวเข้ามารักษาในโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่อ

ชิษณุพงษ์ถอนใจยาวละสายตาจากประตูห้องฉุกเฉิน เพื่อเหลียวมองวริษาที่นั่งกุมมืออยู่กับนิตาใกล้ๆ กัน ใจที่เคยแข็งอ่อนยวบ เมื่อเห็นหยดน้ำตาที่ยังเหลือค้างที่หางตาของเธอ ดวงตาคู่สวยที่สุดที่เขาไม่เคยลืมหม่นและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและความกลัว

แน่นอน ตอนนี้ทั้งเขาและเธอต่างก็กลัวการสูญเสีย

ใช่เธอรู้เขามองอยู่ แต่เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาการของถิรายุ วริษาไม่เคยกลัวอะไรอีกหลังผ่านเรื่องแย่ๆ มามากมาย แต่จะมียกเว้นเพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือ การเสียถิรายุไป เด็กชายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตของเธอเจอแสงสว่างที่ให้ความอบอุ่นอีกครั้ง เป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อได้

ถ้าหากเสียลูก วริษาไม่อยากนึก... ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร

เธอไม่ได้อยากร้องไห้ แต่... ตอนนี้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ อาการถิรายุไม่เคยกำเริบหนักขนาดนี้มาก่อนเลย

น้ำตาหยดใสเริ่มไหลรินอาบแก้ม ดวงตาของชิษณุพงษ์ซึ่งเฝ้ามองวริษาอยู่แต่แรกจึงหม่นลงกว่าเดิม เขาวาดวงแขนออกไปและโอบร่างเล็กที่สั่นขึ้นมาน้อยๆ จากแรงสะอื้นไว้แนบอกตน ปลอบประโลมเธอด้วยความอบอุ่นจากตัวเขา และครั้งนี้เธอไม่ขัดขืน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่เกยคางซึ่งครึ้มไปด้วยไรหนวดกับกลุ่มผมค่อนข้างยุ่งนั้น

“ลูกต้องไม่เป็นอะไร ฝนทำใจดีๆ ไว้”

มือใหญ่ลูบเบาๆ ที่หัวไหล่บอบบาง พลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ชิษณุพงษ์ซบหน้าลงกับกลุ่มผมนุ่ม แม้สีหน้าจะเรียบเฉยติดจะเย็นชา แต่ในแววตานั้นระทมทุกข์ไม่ต่างกัน

นิตามองชายแปลกหน้าที่อาจจะเป็นพ่อของถิรายุแล้วได้แต่ทอดถอนใจ เธอไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับอดีตของวริษามากนัก รู้แต่ว่า หล่อนท้องไม่มีพ่อและย้ายมาตายเอาดาบหน้าที่เชียงใหม่เหมือนกันกับเธอ หญิงสาวขยับลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไถลไปยืนตรงหน้าประตูห้องฉุกเฉิน

ใจนึกกระหวัดไปถึงทวีรัฐ แล้วก็อดจะหนักใจขึ้นมาไม่ได้

“อ๊ะ!”

ความคิดของเธอหยุดลงแค่นั้นเมื่อเห็นคุณหมอกำลังเดินตรงมาที่ประตู นิตาขยับถอยห่างและรีบหันไปบอกวริษา

“พี่ฝนคะ คุณหมอออกมาแล้วค่ะ”

ทั้งวริษาและชิษณุพงษ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ประตูที่เปิดออกและคุณหมอที่ก้าวออกมาราวกับฑูตจากสวรรค์พอๆ กับที่น่ากลัวเหมือนยมทูตจากนรก วริษาก้าวเข้าไปหานายแพทย์วัยกลางคนซึ่งเปิดยิ้มที่คล้ายกับจะปลอบใจ

“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับอาการโดยทั่วไปปกติ แต่หมออยากให้อยู่ดูอาการสักสองสามวัน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็กลับบ้านได้ แต่ถ้าให้หมอแนะนำ หมออยากให้พาคนไข้เข้าไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ที่นั่นเครื่องมือกับยาจะพร้อมกว่ามาก แต่ทั้งนี้ก็แล้วคุณแม่กับคุณพ่อนะครับ เพราะเอ่อค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อยเลย”

“ถ้าลูกอาการดีขึ้น เราค่อยย้ายแกกลับกรุงเทพฯ พี่จะติดต่อโรงพยาบาลที่ดีที่สุดไว้ พร้อมเมื่อไหร่เราก็ไปกันได้เลย”

ชิษณุพงษ์เอ่ยขึ้นเมื่อได้อยู่กันตามลำพังกับวริษา หลังถิรายุได้รับอนุญาตให้ย้ายออกจากห้องไอซียูแล้ว ตอนนี้เด็กชายยังหลับใหลอยู่บนเตียง วริษานั่งเคียงข้างตัวตรงแทบไม่กระดิก ส่วนนิตากลับไปบ้านพักเพื่อเตรียมข้าวของเครื่องใช้มาให้วริษา หลังรู้ว่าถิรายุจะต้องอยู่โรงพยาบาลไปอีกสักสองสามวัน

“ฝน”

ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมถอนใจเมื่อไม่ได้รับคำตอบ เพราะห้องพิเศษของโรงพยาบาลประจำจังหวัดก๋ไม่ได้กว้างนัก แค่มีพื้นที่พอให้ตั้งเตียงและโต๊ะได้เท่านั้น แต่เธอกลับทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้ยินที่เขาพูด แล้วเมื่อเธอไม่เอ่ยอะไรสักคำ ชิษณุพงษ์จึงขยับเข้าไปยืนเคียงข้าง เขาวางมือลงบนไหล่บอบบางและทันทีเช่นกันที่วริษาดึงบ่าหนี เธอลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเขา มือยังจับมือเด็กชายไว้มั่น

“คุณกลับไปเถอะ ขอบคุณมากที่คุณพาตายุมาส่งโรงพยาบาล”

“ฝน” เสียงพูดอ่อนเหนื่อย “ลูกไม่สบาย นี่ฝนยังจะตั้งแง่กับพี่อีกหรือ ฝนไม่เห็นแก่ลูกบ้างเหรอ”

“ตั้งแง่” วริษาแค่นยิ้ม “ฉันนี่นะตั้งแง่กับคุณ ฉันถามจริงๆ เถอะ คุณไปเอาความมั่นใจจากไหนว่าเด็กคนนี้เป็นลูกคุณ คุณคิดหรือไงว่าเจ็ดปีนี่นอกจากคุณแล้วฉันไม่มีใคร” เธอชี้มือเข้าหาตัวเอง “ฉันที่ได้ชื่อว่าใจแตก แถมยังเป็นนักศึกษาไซด์ไลน์เนี่ยนะ เป็นแม่ของลูกคุณ”

น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นเยาะหยัน

“คุณมั่นใจได้ยังไงกันคะคุณชิษณุพงษ์” วริษาถอนหายใจ กำมือน้อยแน่นขึ้น “ถิรายุน่ะเป็นลูกของฉัน... แกไม่มีพ่อ เพราะตัวฉันเองยังไม่รู้เลยว่าพ่อของแกเป็นใคร ทีนี้คุณคงเข้าใจชัดแล้ว” เธอมองไปที่ประตูห้อง “เชิญค่ะ ตอนนี้ธุระของคุณคงจบแล้ว เคลียร์แล้วนะ”

ชิษณุพงษ์เลิกคิ้วขึ้น “ฝนแน่ใจเหรอที่พูดออกมาน่ะ” เสียงทุ้มที่ย้อนถามฟังดูมีเลศนัย

นัยน์ตาเรียวยาวปรากฏแวววิบวับขึ้นจนหญิงสาวต้องก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วย... เธอรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

“แน่ใจสิ...เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ” เธอยืนกราน เพราะถิรายุคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอจะไม่ยอมสูญเสียไปแน่นอน

“โอเค ถ้าฝนเข้าใจอย่างนั้น เมื่อกี้ฝนถามใช่ไหมว่าพี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน พี่ก็จะบอกให้” เขาหยิบซองสีขาวที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตยื่นส่งให้เธอ วริษารับมันมาแต่รีรอไม่กล้าเปิดจนเขาต้องสำทับ “เปิดดูสิ”

วริษาเม้มริมฝีปากแน่นแม้ไม่พอใจที่เขาสั่ง แต่ด้วยความอยากรู้เธอจึงเปิดออกดู แต่แรกหญิงสาวค่อนข้างงุนงง แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเขานั่นแหละ เธอก็กำกระดาษแผ่นนั้นจนแทบขาด

“ผลตรวจดีเอ็นเอ”

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์

“ตายุเป็นลูกของพี่ แต่ถึงไม่มีนี่พี่ก็มั่นใจว่าแกเป็นลูกของพี่”

“คุณไม่มีสิทธิ์!” วริษาแทบจะตะโกน เธอกำกระดาษแน่นขยำจนมันกลายเป็นก้อนกลม

“ถ้าพี่ขอตรงๆ แล้วฝนจะอนุญาต” เขาไม่นำพากับความโกรธเกรี้ยวของเธอแม้แต่นิด “ดูอย่างนี่สิ ฝนยังโกหกว่าแกไม่ใช่ลูกของพี่”

“ตายุไม่มีทางเป็นลูกของคนไม่มีความรับผิดชอบ!”

วริษาลงเสียงหนัก

“คุณไม่เคยต้องการแก ไม่ได้ตั้งใจทำให้แกเกิดมา!!”

“อ๋อ เพราะงั้นฝนถึงได้โกหกพี่” ชิษณุพงษ์ยิ้มมุมปากด้วยท่าทางแสนร้ายกาจ วริษาตาขุ่นไม่ชอบใจ

“แล้วยังไง เจ็ดปี เจ็ดปีที่คุณไม่รู้ว่ามีแก แล้วตอนนี้คุณจะมาเรียกร้องอะไร กลัวเสียชื่อเสียงงั้นเหรอ” วริษายิ้มเยาะ “ขอโทษเถอะ ถ้าฉันจะพูดเรื่องนี้ คงไม่รอจนป่านนี้หรอก ฉันจะบอกให้คุณโล่งใจนะ ตายุเป็นลูกของฉัน แกไม่มีพ่อ พอใจหรือยัง!”

“ดีนะ ฝนจะบอกว่าแกเกิดมาเองได้หรือไง เพิ่งรู้คนเราแค่มองตาก็ท้องได้แล้ว”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนพูดเต็มตาอย่างนึกไม่ถึง ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างขึ้งเครียด ชิษณุพงษ์ถอนหายใจก้าวเข้ามาใกล้เธอ วริษาขยับจะถอยแต่ติดโต๊ะจึงได้แต่เอนตัวหนีเมื่อเขาโน้มตัวลงมา

“ฝนก็รู้ตายุเกิดมาได้เพราะอะไร”

เธอมองเขาตาขุ่นเขียวแต่เขาเลิกคิ้วขึ้น

“โอเค เอาละวันนี้ฝนเจอเรื่องหนักๆ มาเยอะแล้ว อีกอย่างถ้าเราเถียงกันอยู่อย่างนี้ลูกคงได้ตื่นขึ้นมาแน่ ไว้เราค่อยคุยกันอีกทีวันหลัง”

“วันหลัง” วริษาส่งเสียงเหอะ “มันไม่มีวันหลัง ถ้าคุณต้องการตัวตายุก็ไปฟ้องศาลเอาเลย แล้วเรามาดูกันสิว่าศาลจะเข้าข้างใครระหว่างแม่ที่เลี้ยงดูตายุมาตลอดเจ็ดปี กับ... คนที่ไม่ได้ตั้งใจให้แกเกิดมาอย่างคุณ” รอยยิ้มหวานนั้นเย้ยหยัน “อ๋อ! แต่ถ้าขึ้นศาลคุณคงรู้นะ เรื่องมันคงไม่ได้เงียบๆ แน่ แล้วคนอย่างคุณน่ะจะรับได้เหรอ”

วริษายิ้มอย่างเป็นต่อ

“คุณไม่แคร์เรื่องชื่อเสียง แต่บรรดาญาติๆ ของคุณล่ะจะว่าไง!”




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ต.ค. 2559, 13:40:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ต.ค. 2559, 13:40:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1565





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
ดังปัณณ์ 1 ต.ค. 2559, 13:44:32 น.
สวัสดีค่า พาพี่ณุกับหนูฝนมาส่ง ตอนนี้เปิดให้โหวตพี่ณุเหี้ยมมากได้ค่า ><

ตอนนี้เล่ห์แฝงรัก เปิดให้ดาวน์โหลด E-BOOK ได้แล้วที่ https://goo.gl/g2pcqS

ราคา 260.- มีให้ดาวน์โหลดทั้งรูปแบบ PDF และ epub ค่ะ


คุยคุ้ยคุย

คุณเล็ก เรื่องเก่าแต่เอามาเล่าใหม่ค่า ที่เคยออกกับมธุรดา เรื่อง รอยร้าวในหัวใจค่า

วันนี้หนอนน้อยไปแล้วนะคะ ไว้เจอกันตอนหน้า วันนี้บ๊ายบายจ้า



Zephyr 21 ต.ค. 2559, 20:37:56 น.
โห เว้ย มวยถูกคู่ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account