น้ำค้างเปื้อนสี

'เพชร' ของสูงค่าที่ใครๆ ต่างหมายปอง

ชีวิตของ ‘เธอ’ จึงถูกเจียระไนเพื่อให้เป็นเพชรน้ำงามที่สุดที่เจ้าของจะได้อวดใครๆ

แต่กว่าจะเป็นเพชรต้องผ่านความร้อน ชีวิตคนเล่า ต้องผ่านความทุกข์สักเพียงไหน เมื่อคนคนหนึ่งหวังให้เพชรเปรอะเปื้อนโคลนตม



หากในวันที่เพชรอับแสง 'เขา' จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของเพชร และต่อให้เพชรมีรอยร้าว เธอก็ยังเป็นเพชรเม็ดเดียวในใจที่เขาปรารถนาจะครอบครอง


Tags: ดราม่า แอบรัก รักต้องห้าม สะท้อนสังคม

ตอน: บทที่ ๔





เสียงออดบอกเวลาพักกลางวันดังทั่วทั้งอาคารเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย นักเรียนหลายคนทยอยออกจากห้องเรียนเพื่อจะได้ใช้ช่วงเวลาพักให้คุ้มค่าที่สุด เพราะเป็นอันรู้กันว่าหากลงไปโรงอาหารช้าก็ต้องเสียเวลาต่อแถวอีกนาน

น้ำหนึ่งและขวัญฤดีเพื่อนสนิทรีบเก็บหนังสือเรียนใส่กระเป๋า แต่ก็ยังช้ากว่าเด็กหนุ่มรุ่นพี่ที่มายืนรอหน้าห้องเรียน น้ำหนึ่งหันไปเห็นอรรณพก่อนจะสะกิดเรียกเพื่อนสนิทของตน

"พี่อ้นไวกว่าอีกแล้ว"

ขวัญฤดีมองตามเสียงเพื่อน เธอย่นจมูกให้คนรักพลางรูดซิปกระเป๋านักเรียน แล้วจึงพากันออกไปสมทบกับคนที่รอ

"สงสัยพอออดดังพี่อ้นก็ตั้งท่าวิ่งออกจากห้องแน่เลย ถึงได้ไวขนาดนี้" ขวัญฤดีลอยหน้าลอยตาแขวะแฟนหนุ่ม

"เดี๋ยวเถอะ ถ้าพี่ไม่มารอขี้คร้านจะงอนอีก จริงไหมหนึ่ง"

"นั่นสิคะ" น้ำหนึ่งตอบกลั้วหัวเราะ

เพื่อนของเธอกล้าพูดไปอย่างนั้นเอง แต่ลึกลงไปน้ำหนึ่งรู้ใจเพื่อนดีว่ามีใจให้อรรณพอยู่ไม่น้อย รวมทั้งชายหนุ่มรุ่นพี่ก็จริงใจต่อเพื่อนของเธอ

แปลกใจก็แต่ว่าคนนิสัยน่าคบหาอย่างเขาเป็นเพื่อนสนิทกับหัวโจกอย่างดรัณได้อย่างไร เด็กสาวคิดแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะปลงๆ

ทางเดินไปยังโรงอาหารมีหลังคาเชื่อมจากอาคารเรียนพอป้องกันแดดฝน มีโต๊ะหินสำหรับนั่งพักผ่อนเป็นระยะตลอดทาง บริเวณนี้เองที่เด็กนักเรียนมักมาจับกลุ่มพูดคุยเสียงดัง หนึ่งในนั้นก็มีกลุ่มของดรัณซึ่งประกอบด้วยเด็กหนุ่มท่าทางเกเรที่มักตัวติดกับดรัณตลอดเวลา กับบรรดาเพื่อนผู้หญิงของเขาที่น้ำหนึ่งไม่เคยจำหน้าได้ครบทุกคนสักที

"เฮ้ยอ้น กูไปด้วย" ดรัณร้องบอกพลางก้าวข้ามเก้าอี้ ก่อนหันไปขยิบตากับเพื่อนลิ่วล้อให้จัดการกับผู้หญิงพวกนี้แทนตน

อรรณพหัวเราะน้อยๆ เมื่อเพื่อนเอาตัวรอดจากนักเรียนหญิงเหล่านั้นมาได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนเริ่มเบื่อรุ่นพี่มอหกคนนั้นแล้ว และกำลังพูดคุยกับรุ่นพี่อีกคนหนึ่งแทน

"มีใครเอาไรบ้างคะ ถ้าร้านเดียวกันเดี๋ยวขวัญซื้อมาให้"

"อยากกินก๋วยเตี๋ยวอ่ะ มีใครเอาไหม" อรรณพถามขึ้นบ้าง

"หนึ่งไง เมื่อกี้บ่นอยากกินใช่ไหม" ขวัญฤดีตอบแทนเพื่อนที่เงียบไป "งั้นเดี๋ยวขวัญไปซื้อก๋วยเตี๋ยวกับพี่อ้น หนึ่งกับพี่รันไปซื้อน้ำนะ"

"ได้ๆ" ดรัณตอบรับง่ายๆ พร้อมกับสั่งอาหารกับเพื่อน "กูเอาบะหมี่แห้ง พิเศษ"

น้ำหนึ่งรู้สึกเหมือนเหลือกันอยู่สองคนกับดรัณ ทั้งที่โรงอาหารก็คับคั่งไปด้วยนักเรียนมากมาย คงเพราะความรู้สึกพิเศษชนิดหนึ่งที่เธอรู้สึกต่อเขากระมัง น้ำหนึ่งแน่ใจว่าตนไม่เคยเกลียดใคร ยกเว้นดรัณเพียงคนเดียว

เด็กสาวตวัดหางตามองอีกฝ่ายเซ็งๆ พลางลอบถอนใจ ร่างบางรีบก้าวหนีไปซื้อน้ำ แต่แล้วขณะที่เธอกำลังยืนต่อแถวก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อน้ำหนักไม่เบานักของท่อนแขนพาดมาโอบไหล่ตน

"เอ๊ะ"

คนที่ทำตัวกักขฬะเช่นนี้จะเป็นใครไปได้นอกจากดรัณ เธอพยายามเบี่ยงกายหนี แต่เขาก็ยิ่งบีบต้นแขนเธอแรงขึ้นจนเจ็บ

"อย่ามองฉันด้วยสายตาอย่างนั้น อย่ามาสะบัดหน้าใส่ฉัน" เขาขู่ลอดไรฟัน

"ไปฟ้องป้าสิ"

เธอมองเขาด้วยแววตาท้าทาย ภาพเหตุการณ์ในอดีตยังติดอยู่ในความทรงจำ เมื่อโตขึ้นน้ำหนึ่งจึงรู้ว่ามันคือการแสดงความรักระหว่างผู้ใหญ่ เธอไม่อาจหลอกตัวเองได้ดังอดีตว่าดรัณรักป้าด้วยความรักรูปแบบเดียวกับเธอ

ดรัณจ้องตอบคนตรงหน้าด้วยดวงตาวาววับ เขารู้ว่าเธอมองเขาอย่างไร ไม่ต่างจากที่หลายคนในโรงเรียนนี้มองเขาด้วยสายตาเอือมระอา อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าลองเอาความสกปรกของตนไปแปดเปื้อนเธอบ้าง ยัยเด็กอวดดีจะขาดใจตายหรือไม่

"โตๆ กันแล้วฉันไม่ไปฟ้องป้าเธอหรอก ฉันมีวิธีของฉัน ลองไปถามพวกรุ่นพี่ผู้หญิงมอหกดูสิว่าฉันถนัดอะไร"

น้ำหนึ่งขนลุกเกรียวเมื่อดรัณแตะนิ้วหัวแม่มือลงบนริมฝีปากเธอ ความหวาดกลัว รังเกียจในสัมผัสของเขาเต้นริกทั่วอณูกาย ส่งให้เธอมีพละกำลังผลักเขาจนเซ

ดรัณเกือบชนเข้ากับเด็กชายที่ถือแก้วน้ำแดง ดวงตาวาวโรจน์ตวัดมองผู้ที่บังอาจทำร้ายร่างกายเขา แต่เมื่อเห็นน้ำหนึ่งรีบสั่งน้ำดื่มกับคนขายด้วยท่าทางเร่งร้อน เด็กหนุ่มจึงลอบยิ้มมุมปากพร้อมกับเปลี่ยนใจที่จะเอาคืน ยัยลูกไก่ก็ยังเป็นยัยลูกไก่วันยันค่ำ ท่าทางเธอกลัวเขาเสียจริงๆ

ดรัณตามมารวมกลุ่มที่โต๊ะอาหารตัวยาวเป็นคนสุดท้าย เขานั่งลงข้างอรรณพ ขณะที่สองสาวนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เพิ่งสังเกตเดี๋ยวนั้นเองว่าข้างชามก๋วยเตี๋ยวของทุกคนมีขวดน้ำ ยกเว้นของเขา

ในเมื่อกล้าลองดีกับเขา ดรัณก็หน้าไม่อายพอที่จะเอื้อมไปหยิบขวดน้ำของน้ำหนึ่งมาเป็นของตน ไม่สนใจว่าเธอจะเปิดฝาดื่มไปแล้วก็ตาม

"เอ๊ะ"

ไม่ทันที่เจ้าของจะโวยวาย ดรัณใช้หลอดเดียวกันนั้นดื่มน้ำต่อหน้าเธอราวกับกระหายเสียเต็มประดา

"เฮ้อ ชื่นใจ"

เด็กสาวได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เธอเกลียดเขา เกลียดท่าทางเหมือนอยู่เหนือคนทั้งโลกยิ่งนัก น้ำหนึ่งภาวนา...อธิษฐานอยู่ทุกขณะจิตให้เขาต้องพ่ายแพ้ต่อใครสักคนให้จงได้ เธออยากเห็นเขาหมดสภาพ ไม่เหลือท่าหรือศักดิ์ศรีใดๆ



"พี่รันนี่ขี้แกล้งเนอะ เรานึกว่าพี่เขาจะโหดๆ เสียอีก" ขวัญฤดีเปรยอย่างขบขัน ก่อนจะหันไปเห็นว่าคนที่ขึ้นบันไดมาด้วยกันหยุดยืนอยู่ตรงที่พักบันได

น้ำหนึ่งวางหน้าง้ำ เธอกินก๋วยเตี๋ยวไม่อร่อย แถมยังต้องดื่มน้ำขวดเดียวกับเพื่อนก็เพราะเขา ยังดีที่เมื่ออิ่มแล้วดรัณกับอรรณพแยกตัวไปสนามบาสฯ มิเช่นนั้นเธอคงไม่มีความสุขไปตลอดพักเที่ยงทีเดียว

"เป็นไรไปหนึ่ง ยังโกรธอยู่เหรอ" ขวัญฤดีเดินย้อนมาคล้องแขนเพื่อนไว้ ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"ใครบอกเราโกรธ เราเกลียดเขาต่างหาก"

คนฟังตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นจากปากเพื่อนเลย ตั้งแต่รู้จักกันมาตั้งสี่ปีน้ำหนึ่งไม่เคยแสดงออกว่าโกรธเกลียดใคร แม้แต่เพื่อนบางคนที่เอาเปรียบก็ตาม

"แต่เขาเป็นพี่หนึ่งนะ ไม่ใช่เหรอ"

เธอรู้อย่างที่หลายคนในโรงเรียนรู้ว่าดรัณมีศักดิ์เป็นพี่ชายของน้ำหนึ่ง แม้ไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่ก็อยู่บ้านเดียวกัน มีผู้ปกครองร่วมกัน

"เราไม่นับเขาเป็นพี่ ส่วนเขาก็ไม่นับเราเป็นน้อง" น้ำหนึ่งเอ่ยเสียงเรียบ "ต่อไปถ้าเขามากินข้าวด้วย เราขอไม่รวมกลุ่มนะขวัญ ขวัญอย่าโกรธเรานะ"

"ไม่โกรธหรอก เราจะแยกมากินกับหนึ่งเอง"

น้ำหนึ่งยิ้มให้เพื่อนรักพลางออกก้าวเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นเรียนของพวกตน ไม่ต้องเร่งร้อนนักเมื่อเหลือเวลาพักอีกยี่สิบนาที

"เราถามได้ไหมว่าทำไมหนึ่งไม่ถูกกับพี่รัน"

"เขานิสัยไม่ดี"

สองสาวเดินไปพูดคุยกันไป

"ยังไงอ่ะ เพื่อนเราบางคนก็นิสัยไม่ดีนะ ทั้งนายโน้ตที่เคยขโมยสมุดการบ้านหนึ่ง แล้วก็ยัยแจนที่ชอบพูดจาแขวะพวกเรา หนึ่งยังคบด้วยเลย"

ที่ว่าเขานิสัยไม่ดีอย่างไร น้ำหนึ่งคงตอบเพื่อนทุกเรื่องไม่ได้ เมื่อหนึ่งในเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวกับป้าของเธอ แต่ส่วนที่ว่าทำไมเธอจึงเกลียดเขา น้ำหนึ่งก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน อาจเพราะเพื่อนที่ขวัญฤดียกตัวอย่างมาเพียงแค่ทำไม่ดีต่อเธอ แต่กับดรัณ... เขาแย่งสิ่งที่เธอรัก สิ่งที่เป็นเหมือนตัวแทนของพ่อและแม่ไปจากเธอ

น้ำหนึ่งเล่าให้เพื่อนฟังถึงเรื่องที่เขาขโมยตุ๊กตาของเธอไป แล้วก็ได้เห็นสีหน้าประหลาดใจระคนขบขันของขวัญฤดี

"อะไร เรื่องแค่นี้เอง"

"มีอีกเยอะน่า เล่าทั้งวันก็ไม่จบหรอก" น้ำหนึ่งตอบฉุนๆ

"ว่าไปแล้วเมื่อกี้หนึ่งกับพี่รันก็แกล้งกันเหมือนเด็กๆ แฮะ"

"ฮื้อ เราไปแกล้งอะไรเขา" เธอถามเหมือนไม่รู้ตัว

"อย่าทำไขสือเลยจ้ะเพื่อนจ๋า ตัวเองแกล้งไม่ซื้อน้ำให้พี่รันใช่ไหมล่ะ เรารู้หรอก"

คนถูกรู้เท่าทันเม้มปากขุ่นเคืองใจ เขาอยากมาถึงเนื้อถึงตัว ทำตัวหยาบคายกับเธอก่อนทำไม จะเล่าให้เพื่อนฟังก็ไม่ได้ เพราะเธอเองต่างหากที่เสียหาย ไม่ใช่คนหน้าหนาหน้าทนอย่างดรัณ

เสียงกรีดร้องสลับกับเสียงสบถหยาบคายดังมาจากสุดฝั่งทางเดินของชั้นสาม น้ำหนึ่งลืมเรื่องขุ่นข้องใจชั่วขณะ เธอหันไปสบตากับเพื่อน ก่อนจะพากันก้าวเร็วไปยังห้องน้ำ ที่มาของเสียงคนทะเลาะวิวาทกัน

"บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งกับรัน ฮะ! กูบอกมึงแล้วนะอีแก้ม"

ท้ายประโยคนั้นตามมาด้วยเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้า รุ่นพี่มอหกที่ชื่อแก้มถึงกับหน้าสะบัดไปตามแรงตบ กระนั้นเจ้าหล่อนก็ยังฮึดกลับมาจิกผมอีกฝ่ายไว้ได้เช่นกัน

"มึงนั่นแหละ ผู้ชายเขาทิ้งยังตื๊ออยู่ได้ หน้าด้าน"

นักเรียนสาวทั้งสองต่างยื้อยุดฉุดกระชากจนล้มกลิ้งกับพื้น ไม่แยแสว่าพื้นห้องน้ำสกปรกแค่ไหน และบัดนี้ความสกปรกนั้นก็ติดต้องเสื้อผ้า เนื้อตัวของพวกเธอ

"ไปตามคุณครูกัน" ขวัญฤดีสะกิดเรียกเพื่อน

น้ำหนึ่งนิ่งลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะพยักหน้าและวิ่งไปยังห้องพักครูด้วยกัน

ภายในห้องพักครูระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกโกลาหลเล็กน้อยหลังได้รับการแจ้งข่าวจากพวกเธอ ครูบางท่านรีบเร่งไปที่เกิดเหตุ บางท่านไปแจ้งคุณครูใหญ่ ท่าทางทุกคนดูอ่อนอกอ่อนใจที่ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้เสียที ถึงกับเปรยว่าอาจต้องพักการเรียนเด็กสาวทั้งสองคน

"ถ้าถูกพักการเรียนล่ะแย่เลย จะจบมอหกแล้วแท้ๆ" ขวัญฤดีเปรยด้วยความเสียดายแทน

นั่นสิ น้ำหนึ่งเห็นด้วย ทางที่ดีควรจะพักการเรียนตัวต้นเหตุอย่างดรัณเสียมากกว่า

"เราบอกขวัญแล้วว่าเขานิสัยไม่ดี เชื่อหรือยังล่ะ ผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะตน"





ทุกเย็นถนนในซอยข้างโรงเรียนมักจะติดขัดจากบรรดารถของผู้ปกครองซึ่งจอดรอรับบุตรหลาน ตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่จนขึ้นมอสี่เข้าแล้ว กุสุมาหรือดัสกรยังคงผลัดกันรับส่งน้ำหนึ่งที่โรงเรียนไม่ได้ขาด ต่างจากดรัณที่ขออนุญาตกลับบ้านด้วยตนเองตั้งแต่ขึ้นมอสาม โดยอ้างว่าเขาต้องอยู่ซ้อมกีฬาหลังเลิกเรียน

น้ำหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนใบลีบแบนตามสมัยนิยมออกมามองหารถคันคุ้นตา แล้วเธอก็ได้เห็นรถเอสยูวีคันใหญ่ซึ่งสะดุดตาได้ง่าย มันจอดห่างจากประตูรั้วโรงเรียนไปจนเกือบสุดซอย

"คุณกร สวัสดีค่ะ"

น้ำหนึ่งรีบก้าวไปหาพร้อมกับพนมมือไหว้ผู้ที่มารอรับตนเย็นวันนี้ แปลกใจเล็กน้อยที่ดัสกรยืนรออยู่บนทางเท้า ต่างจากทุกครั้งที่เขามักนั่งรออยู่หลังพวงมาลัย

ดัสกรเปิดประตูให้เด็กสาวขึ้นไปนั่งตอนหน้า เขายังไม่ได้ปิดประตูลงขณะบอกกับเธอ

"รอสักครู่นะครับคุณหนึ่ง วันนี้รันโทร. มาบอกผมว่าจะกลับด้วย"

คนฟังใจหายวาบ ไม่รู่จะเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนวันนี้หรือไม่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ น้ำหนึ่งบอกตัวเองว่าเขาจะมากล่าวโทษเธอมิได้ ในเมื่อต้นเหตุก็คือตัวเขาเอง

"มาพอดีครับ" ดัสกรบอกเด็กสาวพลางโบกมือให้บุตรชาย

น้ำหนึ่งปรายตามองกระจกข้างตัวรถก็เห็นนักเรียนชายรูปร่างสูงโปร่งกำลังก้าวยาวตรงมา เนื้อตัวอาบเหงื่อ ชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกงอย่างตั้งใจ

น้ำหนึ่งสะดุ้งเมื่อเขากระชากประตูรถด้านที่เธอนั่งเปิดออก ดรัณทำทีประหลาดใจอย่างเสแสร้งเมื่อเห็นเธอนั่งบนที่ประจำของเขา

"คุณหนูมานั่งข้างคนขับได้ไง ต้องนั่งหลังสิคร้าบ"

เมื่อเด็กสาวยังคงนั่งนิ่ง ดัสกรจึงรุนหลังบุตรชายให้ขึ้นไปนั่งเบาะหลังเสียเอง ดีที่ดรัณไม่ได้ทำตัวป่วนมากกว่านั้น เขาจึงอ้อมไปประจำที่คนขับและเริ่มออกรถฝ่าการจราจรติดขัดยามเย็น

น้ำหนึ่งสะดุ้งอีกครั้งเมื่อดรัณชะโงกตัวมาเปิดวิทยุ เธอเบือนหน้าหนีกลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นโคโลญจน์จากกายเขา แล้วก็ต้องหันขวับเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นจัดปัดเป่าผ่านแก้มเธอไป

"รถนี่ก็หอมดีนะฮะ พ่อฉีดสเปรย์เหรอ" เขาเอ่ยอย่างพึงพอใจหลังกลับไปนั่งดีๆ ดังเดิม

"อืม แต่พ่อว่ากลิ่นมันจางแล้วนะ"

"ไม่หรอกฮะ หอม...กำลังดี"

ดรัณกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อสังเกตเห็นเสี้ยวหน้าแดงเห่อของยัยเด็กผมเปีย เธอย่อมต้องรู้ว่าเขาจงใจสื่อถึงเธอ

หน็อย ทำเป็นเมินหน้าใส่เขา อยากรู้เหลือเกินว่าถ้าตุ๊กตากระเบื้องแปดเปื้อนขึ้นมา ใครต่อใครจะพากันชื่นชมเช่นนี้หรือไม่ แล้วตัวเจ้าหล่อนจะยังวางท่าสูงส่งอยู่อีกไหม

"แล้ววันนี้ไม่มีซ้อมฟุตบอลหรือเจ้ารัน"

"ไม่มีครับ" เขาปด ยังไม่ละสายตาไปจากผู้ที่ทราบดีว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีซ้อมกีฬาทุกวันหรอก แต่หาเรื่องเถลไถลเท่านั้นเอง

"ดีแล้ว จะได้มีเวลาทำการบ้านบ้างล่ะ พ่อแทบไม่มีหน้ามองคุณแอ๊วทุกครั้งที่เกรดแกออก"

เด็กหนุ่มกลอกตาพลางถอนใจเซ็งๆ เพราะเหตุนี้อย่างไรเขาถึงเกลียดเวลาที่อยู่กับน้ำหนึ่ง เขาเกลียดที่ถูกเปรียบเทียบหรือถูกตำหนิต่อหน้าเธอ

"คุณแอ๊วไม่เคยว่าผมสักครั้ง พ่อนั่นแหละคิดไปเอง"

"ยังจะเถียงอีก ดูมันสิครับคุณหนึ่ง"

ดรัณตวัดสายตามองผู้ที่ถูกดึงมาเกี่ยวข้อง เขาเห็นเธอยิ้มอ่อนใจกับพ่อของเขา ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่เขาไม่รับรู้ด้วยเลย

"คะแนนโครงงานที่คุณกรช่วยหนึ่งทำออกมาแล้วนะคะ"

"จริงหรือครับ ได้เท่าไร"

เด็กหนุ่มเหลือบมองบิดา ท่านทำเสียงตื่นเต้นราวกับมีส่วนได้ส่วนเสียด้วยอีกคน

"ได้เอค่ะ คุณครูจะเอาเก้าอี้ขวดยาคูลท์ของเราไปประกอบการเรียนของรุ่นน้องด้วย"

"ดีสิครับ"

"ค่ะ เพราะคุณกรช่วยหนึ่งแท้ๆ"

ถ้าไม่มีความช่วยเหลือของดัสกร เธออาจส่งโครงงานไม่ทันตามกำหนดเวลาก็เป็นได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงออกอย่างเต็มใจช่วยเหลือเธอ ไม่ว่างานศิลปะหรือเป็นคู่ซ้อมแบดมินตันให้เธอ ดัสกรก็มีส่วนช่วยมาแล้วทั้งสิ้น

น้ำหนึ่งค่อยลบอคติในใจที่เคยมีต่อคนรักของป้าออกไป เธอเปิดใจมองดัสกรเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง เป็นพี่ เป็นน้าชาย และนานวันก็กลับกล้าพูดคุยกับเขามากกว่าป้าแท้ๆ ของตนเสียอีก

"มีอะไรที่ผมช่วยได้อีก คุณหนึ่งบอกเลยนะครับ"

ดรัณปรายตากลับมามองเด็กสาวซึ่งยิ้มกว้างอย่างยินดี อดคิดดูถูกไม่ได้ว่าที่เธอได้เกรดเฉลี่ยสูงทุกครั้งก็คงเพราะมีคนคอยช่วยเหลือนี่เอง

"อีกหน่อยเป็นหมอ พ่อไม่ต้องช่วยคุณเขาผ่าตัดหรือฮะ" ดรัณเอ่ยทะลุกลางปล้อง

น้ำหนึ่งหน้าเสียไปนิดหนึ่ง ลืมไปว่าบนรถวันนี้ยังมี 'มลพิษ' อย่างดรัณอยู่ร่วมด้วยอีกคน

"เดี๋ยวเถอะเจ้ารัน คุณหนึ่งเป็นหมอเมื่อไรพ่อจะช่วยจับแกมาให้คุณหนึ่งเย็บปากคนแรก"

เด็กหนุ่มหน้าคว่ำเมื่อถูกพ่อย้อนเข้าให้ พ่อเห็นเขาเป็นอะไร เขาไม่ใช่เศษขยะที่จะช่วยชูให้ดอกหญ้าข้างๆ งดงามขึ้นหรอกนะ

ดรัณฮึดฮัดหัวเสีย ขณะที่น้ำหนึ่งเองก็หวั่นใจกับอนาคตของตน เธออยากเป็นหมอก็จริง แต่ตอนนี้มีอีกความฝันที่เธออยากให้มันเป็นจริงเช่นกัน น้ำหนึ่งไม่เคยมีโอกาสได้บอกใครว่าเธออยากเป็นนักเปียโน



เมื่อสมาชิกของบ้านอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มื้อเย็นวันนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ คนที่น้ำหนึ่งรู้สึกได้ว่ากระปรี้กระเปร่าจัดแจงตระเตรียมอาหารต่างๆ ก็คือป้าของเธอ

หลังอาหารเย็นยังมีของหวานเป็นแพนเค้กที่กุสุมาผสมแป้งทิ้งไว้ ท่านนำออกมาทำที่ครัวฝรั่งในตัวบ้าน ใกล้กันกับโต๊ะอาหารนั่นเอง แม้จะอิ่มแค่ไหนแต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธให้เสียน้ำใจผู้ทำ

"ไม่เป็นไรค่ะคุณหนึ่ง เดี๋ยวพี่จัดการเอง"

น้ำหนึ่งชะงักมือซึ่งกำลังเขี่ยเศษอาหารจากจานลงถุงขยะ ก็พอดีกับที่สาวใช้ในบ้านมาแย่งจานไปเสียก่อน

"อุตส่าห์ช่วยยกมาก็ขอบคุณแล้วค่ะ คุณหนึ่งไปทานของหวานเถอะ"

"งั้นเดี๋ยวหนึ่งทำมาเผื่อพี่นีนะจ๊ะ"

ปราณีมองตามร่างบางที่ก้าวเร็วออกไปยิ้มๆ รู้หรอกว่าคุณหนึ่งของเธออยากทำอยากเล่นสนุก แต่ก็ขี้เกรงใจเป็นที่หนึ่ง แม้แต่กับคนงานในบ้านอย่างเธอ

ทว่าน้ำหนึ่งต้องผิดหวังเมื่อกลับออกไปพบว่าป้ามีลูกมืออยู่แล้ว ดรัณกำลังเอียงกระทะให้แป้งกระจายเป็นวงกลม ก่อนจะถูกกุสุมาตีเผียะเบาๆ ยังข้อมือพลางหัวเราะขันที่เขาทำผิดวิธี

เด็กสาวลอบถอนใจ ใช่แต่เพียงเธอเท่านั้นที่นึกเซ็ง สีหน้าดัสกรก็สื่อว่ารู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ครั้นหันมาเห็นเธอชายหนุ่มจึงแย้มยิ้ม ปั้นหน้าร่าเริงดังเดิม

"เปลี่ยนให้คุณหนึ่งทำบ้างแน่ะเจ้ารัน" เขาบอกลูกที่ยึดพื้นที่หน้าเตา ข้างๆ กุสุมา

ดรัณทำหูทวนลม เมื่อป้าของเธอไม่ได้ออกปาก น้ำหนึ่งเชื่อว่าเธอคงไม่ได้ลองทำอย่างที่คิดแล้ว เขาเชื่อคำพูดของใครเสียที่ไหน ถ้าไม่ใช่ป้าของเธอ

"มาชิมเร้วยัยหนึ่ง กร" กุสุมาเอ่ยชวนหลังตักไอศกรีมรสวานิลลาวางบนแพนเค้กจานแรก

เด็กสาวกำลังจะก้าวไปดูผลงานของป้า หากประโยคต่อมาก็เปลี่ยนใจเธอเสียก่อน

"ชิมดูสิตารัน ฝีมือทำแพนเค้กเราเป็นไงฮึ"

ดรัณใช้ช้อนเล็กตักชิม ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าชอบใจจริงๆ มันถ่ายทอดออกมาผ่านประกายตาพราวระยับที่เสริมสร้างเสน่ห์ความเป็นหนุ่ม ไม่ใช่เด็กๆ อย่างกาลก่อนอีกต่อไป

"อร่อยมากเลยครับ อร่อยกว่าร้านที่คุณแอ๊วเคยพาไปอีก"

"ร้านนั้นน่ะหวานไป ฉันเลยทำแบบไม่หวานมากดีกว่า ค่อยราดน้ำผึ้งเอาได้" กุสุมาตอบรับคำชมด้วยหัวใจพองโต "หนึ่ง มาชิมสิลูก"

ต่อให้อร่อยแค่ไหน น้ำหนึ่งก็ไม่อยากชิมแพนเค้กที่ผู้ชายคนนั้นทำหรอก

"หนึ่งอิ่มมากเลยค่ะ หนึ่งขอขึ้นไปทำรายงานนะคะป้า"

เธอจงใจปรายตามองดรัณท้ายประโยค เขาคงรู้ตัวเช่นกันจึงมองตอบมาด้วยแววตาขุ่นคลั่ก น้ำหนึ่งไม่สนใจว่าตนได้กวนตะกอนในใจเขาขึ้นมา เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้...หรือไม่ก็เมื่อเข้าห้องนอนของตนแล้ว พวกเธอก็ต่างแยกย้ายไปอยู่ในโลกของแต่ละคนอยู่ดี

"ตามใจ" ผู้เป็นป้าตอบเสียงสะบัดเล็กๆ หลังลับร่างหลานสาว

ดัสกรลอบถอนใจ อยากบอกกุสุมาเหลือเกินว่าท่าทางกระเง้ากระงอดเช่นนี้ หากเป็นเด็กๆ หรือสาวๆ ทำคงน่ารักดีหรอก แต่ไม่ใช่สาวใหญ่วัยย่างห้าสิบสี่ปีที่ทำท่าราวกับต้องการเอาชนะคะคานเด็ก

"คุณหนึ่งท่าจะงอนพี่ล่ะมังครับ"

"ฮื้อ มางอนอะไรฉัน" ตอบไปอย่างนั้นทั้งที่มือบรรจงหยอดแป้งแพนเค้กลงบนเตา

ดูเถอะ เขาพูดขนาดนี้เจ้าหล่อนยังไม่รู้ตัว ดรัณก็อีกคน ใครสั่งใครสอนให้มันขี้ประจบก็ไม่รู้

ดัสกรตัดสินใจลุกออกไปอย่างเบื่อหน่ายขณะที่กุสุมาร้องบอกให้ลูกของเขาระวังแพนเค้กไหม้ หากแทนที่จะตรงเข้าห้องของตน เขาคิดว่าเขาควรทำคะแนนกับเด็กสาวแทนเจ้าลูกชายตัวดีเสียก่อน

"คุณหนึ่งครับ" ชายหนุ่มเรียกพลางเคาะประตู

เขากำลังกังวลว่าเธอจะยินดีต้อนรับเขาหรือไม่ ประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออกเสียก่อน เธอยังอยู่ในชุดนักเรียนดังเดิม แต่เปียที่ถักไว้ได้คลายออกเป็นผมหางม้า

"คุณกร น้ำแอร์มันรั่วใส่โต๊ะหนังสือหนึ่งน่ะค่ะ" น้ำหนึ่งบอกราวฟ้อง

จากที่ตั้งใจจะมาขอโทษแทนบุตรชาย ดัสกรก้าวยาวเข้าไปในห้องพลางมองสำรวจบริเวณที่เจ้าของห้องร้องบอก

หยดน้ำจากเครื่องปรับอากาศหยดลงบนโต๊ะเป็นด่างดวงดังเธอว่า รวมทั้งบนปกหนังสือที่เด็กสาวคงวางไว้นั้นก่อนหน้านี้ก็เป็นรอยชื้นเช่นกัน

"ย้ายโต๊ะก่อนดีกว่าครับ ที่พื้นก็หาถังเล็กๆ มารองไว้ พรุ่งนี้ผมจะตามช่างมาดูให้"

น้ำหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา เธอรีบเก็บกระเป๋านักเรียนและหนังสือลงจากโต๊ะ ก่อนจะช่วยดัสกรยกโต๊ะอีกข้างหนึ่ง แต่การจะเคลื่อนย้ายโต๊ะไม้เนื้อดีนั้นไม่ง่ายเลย ด้วยมันมีน้ำหนักมากทีเดียว

"ผมลงไปตามเจ้ารันมาช่วยดีกว่า"

"ไม่ค่ะ ไม่ หนึ่งไหว" น้ำหนึ่งละล่ำละลักปฏิเสธ "ลองอีกทีนะคะคุณกร"

เห็นท่าทางแน่วแน่จริงจังนั้นแล้วดัสกรก็ไม่กล้าขัดใจ เขายิ้มอ่อนให้เธอก่อนออกแรงยกอีกครั้ง คราวนี้ต่างเริ่มรู้จังหวะกันมากกว่าเดิม

"ระวังเท้านะครับ" เขาบอกขณะผ่อนแรงวางโต๊ะลงกับพื้น

เด็กสาวเป่าลมออกจากปาก แก้มแดงสุกปลั่งเมื่อได้ออกแรงเต็มกำลัง เห็นแล้วดัสกรก็นึกแปลกใจยิ่งนักว่าลูกชายของเขามันเอาดวงตาไปไว้ที่ไหน ถึงได้มองไม่เห็นความงามของคนใกล้ตัว จริงอยู่ที่เจ้าหล่อนไม่ใช่คนสวยจัด แต่ก็เรียกได้ว่าน่ามอง ห่างไกลจากคำว่าขี้เหร่หรือแกงจืดอย่างที่ลูกชายของเขามักค่อนขอดให้ได้ยิน

"ไว้ตรงนี้ก็ได้ค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศห้อง" เธอว่ายิ้มๆ

"ผมไปหาถังมารองน้ำให้นะครับ"

"ไม่เป็นไรค่ะคุณกร หนึ่งมี ขอบคุณมากนะคะที่มาช่วย"

ชายหนุ่มรับไหว้คำขอบคุณ

"ต่อไปถ้ามีอะไรคุณหนึ่งเรียกผมเลยนะฮะ ส่วนเรื่องเจ้ารัน..."

"หนึ่งไม่สนใจหรอกค่ะ คุณกรไม่ต้องห่วง" เธอเอ่ยแทรกเมื่อรู้ว่าเขาคงจะขอโทษแทนบุตรชายดังเดิม

น้ำหนึ่งไม่ต้องการคำขอโทษของดัสกรด้วยมันไม่เกี่ยวกับตัวเขาสักนิด ความดีของเขาไม่อาจลบล้างความร้ายกาจของดรัณ เช่นเดียวกับที่ความร้ายกาจของดรัณก็ไม่อาจทำให้เธอมองผู้เป็นพ่อในแง่ลบไปได้

เมื่อเธอเอ่ยปัดเช่นนั้นดัสกรจึงไม่อยากเซ้าซี้ เขาก้าวออกจากห้องพลางงับประตูปิด หารู้ไม่ว่าคนที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดชะงักมองพ่อของตนด้วยความหวั่นระคนวิตกขึ้นมา

.........................................

พอโตขึ้นปัญหาก็ทำท่าจะโตตามด้วยสิคะ
ฝากติดตามเรื่องราวของน้ำค้างหยดน้อยๆ อย่างพวกเขาด้วยนะคะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ต.ค. 2559, 16:21:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ต.ค. 2559, 16:21:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 928





<< บทที่ ๓   บทที่ ๕ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account