เล่ห์แฝงรัก
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว

ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”

และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
Tags: ครอบครัว,พ่อแม่ลูก,ซึ้ง,โรแมนติก

ตอน: บทที่ ๓




เวลาทำให้วริษาเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ จากเคยหัวอ่อน ตอนนี้ชิษณุพงษ์รู้สึกเหมือนได้เห็นตัวตนอีกตัวตนหนึ่งของเธอ

ชายหนุ่มส่ายหน้าและเผยยิ้ม

ลูกแมวตัวน้อยๆ ที่เคยออดอ้อนคลอเคลียนั้นตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นแมวสาวปราดเปรียวจอมพยศเสียด้วย!

เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ทำให้เขาชะงัก เพ้นต์เฮ้าส์ชั้นบนสุด The view Paradise คือที่พักของชิษณุพงษ์ หนึ่งในโรงแรมหกดาวที่รับเฉพาะแขกวีไอพีในเชียงใหม่ และมันก็คือหนึ่งในกิจการของตระกูลเขา

ชายหนุ่มลุกจากโซฟาสีดำใกล้ผนังกระจกที่มองออกไปเห็นวิวเมืองเชียงใหม่ได้สามร้อยหกสิบองศา พลางกดรับก่อนกรอกเสียงลงไป

“เรื่องที่ให้จัดการเป็นยังไง”

เขาก้าวอ้อมโซฟาผ่านชั้นวางไม้แล้วหยุดมองที่กรอบรูปซึ่งตั้งไว้

“เรียบร้อยครับตามที่คุณณุต้องการ”

ชายหนุ่มยิ้มพอใจก่อนกดตัดสาย มือหนาหยิบกรอบรูปที่วางไว้นั้นขึ้นดู ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักยังเปื้อนยิ้ม ทว่า... รอยบุ๋มกดลึกตรงข้างแก้มทำให้รอยยิ้มนั้นดูร้ายกาจ

เขาวางกรอบรูปลงที่เดิม สอดมือลงในกระเป๋ากางเกงและยืนมองจ้องออกไปด้านนอก แสงแดดลำสุดท้ายของวันที่สองในเชียงใหม่สาดมาต้องเรือนร่างสูงล่ำสันส่งให้เขาดูคล้ายหุ่น และเงาสะท้อนในกระจกก็ส่องให้เห็นภาพในกรอบรูปถ่ายนั่น

วริษากับถิรายุกำลังกอดกัน

มันเป็นภาพแอบถ่าย ใช่... ชิษณุพงษ์ยังไม่ละความตั้งใจเดิม และยังมุ่งมั่นที่จะทำให้วริษาและถิรายุกลับไปกับเขาให้ได้





‘จะทำอย่างไรดี’

วริษาเฝ้าถามตัวเองนับแต่ชิษณุพงษ์กลับออกจากห้องไป และตลอดเวลาหลังจากนั้นเธอก็นั่งบนเก้าอี้ มือกุมมือถิรายุแนบหน้า ดวงตามองจับลูกน้อยไม่คลาดคลา

ที่เธอขู่เขาออกไป วริษากลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่ได้ผล

หากมีการขึ้นศาลเรื่องถิรายุ เธอหวั่นนักว่าจะแพ้ ชิษณุพงษ์มีเงินมีอำนาจ ส่วนตัวเธอแทบไม่มีอะไร จริงอยู่เธอยกประเด็นเรื่องไร้ความรับผิดชอบของเขามาอ้างได้ แต่ถ้าเขาอ้างถึงสภาพการเงินของเธอเข้า เธอก็คงจะแทบหมดทางสู้จริงๆ ยิ่งตอนนี้ถิรายุอาการไม่ค่อยดี ชิษณุพงษ์อาจเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างให้ได้สิทธิ์ในการดูแลถิรายุก็เป็นได้

วริษาหลับตาลง เธอแทบทรุดด้วยซ้ำที่เห็นเขาเตรียมการมาอย่างดี เธอไม่รู้เลยว่าชิษณุพงษ์ทำอย่างไรจึงได้ผลตรวจดีเอ็นเอของถิรายุมาเร็วขนาดนี้ มันแน่ว่าเขาต้องเตรียมการทุกอย่างมานานแล้ว

ซึ่งก็แปลว่า... เขารู้ว่าเธอมีถิรายุมานานมากแล้ว

วริษาหลับตาลง หัวใจชอกช้ำปวดแปลบและยังหวาดหวั่นถึงอนาคตที่ใกล้เข้ามา นัยน์ตาอมโศกเจือไปด้วยความขมขื่น จากนี้ความสุขของเธอคงไม่กลับคืนแล้วจนกว่าชิษณุพงษ์จะรามือ จากนี้ไป วันเวลาแห่งความเจ็บปวดและหวั่นกลัวคงคุกคามเธอไม่หยุดยั้ง วริษาซบหน้าลงกับท่อนแขนตัวเอง

หัวใจเธอไม่ได้เข้มแข็ง มันอ่อนแอ อ่อนแอมาตลอดจนบัดนี้ เท่าที่ทนฝืนยืนยันประจันหน้ากับเขาได้นั่นก็เต็มที่สำหรับเธอแล้ว

วริษาไม่ปฏิเสธกับตัวเองเลยว่า แค่เพียงได้พบหน้าชิษณุพงษ์อีกครั้ง ความเข้มแข็งของเธอก็พังทลายลง เช่นเดียวกับกำแพงในใจที่เธอเพียรสร้าง

เธอเจ็บเพราะเขา ทั้งทรมานก็เพราะเขา... แต่เธอกลับเลิกรักเขาไม่ได้สักที ในคำว่าเกลียดและโกรธนั้น ยังคงมีสายใยของคำว่ารักบางๆ เชื่อมไว้เสมอ วริษาเกลือกหน้ากับท่อนแขนตัวเองพลางกัดริมฝีปากแน่น เมื่อความทรงจำในอดีตเริ่มหวนกลับมา

อดีตที่ทั้งหวานและขม อดีตที่เป็นดั่งยาพิษ





สาวน้อยนัยน์ตาโตรูปร่างบอบบางนั้นกำลังแย้มยิ้มอย่างคนที่กำลังมีความสุขเต็มที่ ดวงหน้าเรียวได้รูป ผิวขาวอมชมพูดูเนียนตาเพราะเลือดฝาดของวัยสาว ริมฝีปากบอบบางน่าสัมผัสและจมูกโด่งน้อยๆ นั้นช่างรับกับคิ้วเรียวเข้มสีดำสนิทได้อย่างน่าพิศวง

นักศึกษาปีหนึ่งผู้น่ารักอันเป็นดาวคณะนั้นดูจะเป็นที่ใฝ่ปองของหนุ่มๆ จนเป็นที่อิจฉาของใครๆ อีกหลายคน

วริษา รัตน์กุล เป็นน้องสาวคนเดียวของ วรรษชล สาวสวยดาวเด่นของมหาวิทยาลัยเมื่อสี่ปีก่อน หญิงสาวถอดเอาความสวยหวานมาจากผู้เป็นพี่ไม่มีผิดเพี้ยนจนหลายคนแอบเชียร์อยู่ในใจว่าหล่อนนี่แหละคงจะไม่แคล้วได้เจริญรอยตามพี่สาวอย่างแน่นอน ชายหนุ่มมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาหวังจะพิชิตหัวใจของสาวน้อยแต่ไม่เป็นผล หญิงสาวน่ารักใสซื่อและไร้เดียงสาอย่างที่สุด

เพราะความรู้สึกใดๆ ในคำว่ารักยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

วริษาเป็นเด็กดี แต่กระนั้นก็ยังมีความดื้อรั้นและอวดดีที่ซ่อนไว้ในตัว ตลอดสิบแปดปีที่ผ่าน เธอไม่เคยออกนอกกรอบของพี่สาวที่ตั้งไว้สักครั้ง กับบรรดาหนุ่มๆ ที่แวะเวียนมาขายขนมจีบก็ต่างถอยร่นไม่เป็นขบวนเมื่อวริษมอบให้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น

จนกระทั่ง เปรมยุดา เพื่อนสนิทได้แนะนำให้เธอรู้จักกับพี่ชายของเขา ชิษณุพงษ์คือชายคนนั้น หนุ่มหล่อ สมาร์ต เขามีเสน่ห์อย่างเหลือล้น สาวๆ ต่างสนใจเขา และไม่เว้นแม้กระทั่งวริษา

แรกเจอเธอถึงกับอึ้งตะลึงไป

‘ฝน...ฝน’ เสียงหวานค่อนข้างแหลมของเปรมยุดา หรือ ยุดา เพื่อนสาวคนสนิทของวริษาเอ่ยถาม เมื่อเห็นหล่อนเอาแต่นิ่งมองใบหน้าของผู้เป็นพี่ชายของตนอยู่แบบนั้น

‘หะ... อ้อ! ขอโทษจ้ะ’

วริษาตอบและถอนสายตากลับมามองผู้เป็นเพื่อน ใบหน้าหวานเริ่มแดงปลั่งเมื่อเลือดฉีดตัวเร็วและแรงขึ้น เสียงหัวใจเต้นดังจนเกินระงับสองมือที่กำกันแน่นเย็นเฉียบราวกับว่าแช่อยู่ในน้ำแข็งก็ไม่ปาน

‘เป็นอะไร ไงล่ะพี่ณุหล่อมากใช่ไหมฝนถึงกับอึ้งไปเลย นี่ยุดาจะแนะนำอีกครั้งละกัน พี่ณุ ลูกพี่ลูกน้องยุดาเอง’ เปรมยุดาเอ่ยกลั้วหัวเราะพลางหันไปพูดกับพี่ชาย ‘พี่ณุคะนี่ฝนที่ยุดาพูดให้ฟังบ่อยๆ ไง’

วริษาไม่กล้ามองเขา เธอยกมือไหว้เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

‘สวัสดีค่ะ คุณณุ’ แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเงยมอง เพียงชั่วแวบเดียวที่ได้สบตากัน และได้รับรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่เขาส่งมาให้ เท่านั้นหัวใจของวริษาก็พลันกระตุกวูบอย่างที่ไม่เคยเป็น พี่ชายของเพื่อนได้ขโมยหัวใจของเธอไปตั้งแต่ตอนนั้น

‘เรียกพี่ณุจะดีกว่านะครับ น้องฝน’

เสียงของเขานุ่มทุ้มชวนฟัง ยามสบตานัยน์ตาคมเปล่งประกายอย่างน่ามองคล้ายท้องฟ้าที่ประดับด้วยดวงดาวในคืนเดือนมืด ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มทำให้เธอไม่อยากจะละสายตามองไปทางไหนอีกแล้ว วริษาอยากจะมองเขาอยู่แบบนั้นตราบนานเท่านาน

เธอรู้สึกหัวใจมันฟูฟ่องและพองโตได้อย่างน่าประหลาด

‘ค่ะพี่ณุ’

รับคำเขาไปแล้วจึงได้รู้ตัว วริษาก้มหน้าหลบไม่สบตากับเขาอีก ไม่รู้เธอคิดเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่า ที่ตีความไปว่าสายตาของเขาที่ทอดมองมามันมีความหมาย

ครานั้นวริษาไม่ได้รู้หรอก ว่าทำไมเขาถึงได้ทำท่าสนใจเธอมากขนาดนั้น... เธอรู้แค่อย่างเดียวว่า ‘ความรัก’ มันเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง

ความรู้สึกระหว่างเรามันเพิ่มพูนขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว วริษาไม่เคยรู้จักความรักและไม่เคยรักใครมาก่อน เธอทุ่มเทให้เขาหมดทั้งใจ เชื่อมั่นในตัวเขายิ่งกว่าใคร ไม่ฟังคำเตือนของวรรษชล ไม่ฟังใครทั้งนั้นนอกจากเขา จนกระทั่ง

คืนนั้นระหว่างเราเกิดขึ้น

ความเสียใจจากการเสียชีวิตของวรรษชล และเกลียดความดื้อรั้นของตัวเองจนทำให้เธอไม่ได้พูดกันดีๆ กับพี่สาวก่อนที่จะเสีย ทำให้โผเข้าหาหลักยึดเดียวที่เหลือ

ชิษณุพงษ์คือหลักยึดอันนั้น

จากความอ่อนไหวทางอารมณ์

จากความกล้ากึ่งกลัวและอยากทดลอง ทำให้วริษาไม่ทันคิดถึงผลที่จะตามมา คืนนั้นความสาวถูกมอบให้เขา คืนที่เป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด เธอตกเป็นของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อได้ยินได้ฟังคำสัญญา ที่ตอนหลังมารู้แล้วว่ามันคือคำลวง

‘ฝน... พี่รักฝนเหลือเกิน’

เสียงแหบพร่าอย่างที่แสดงว่าความปรารถนายังมิได้หายไปง่ายๆพร่ำกระซิบบอกดังขึ้นอยู่แนบชิดติดกับริมหู ร่างเปลือยเปล่าที่ไร้ซึ่งสิ่งใดปกปิดของเธอและเขาเกาะกอดกันแนบสนิทจนไร้ช่องว่าง มือใหญ่ลูบไล้อยู่แถวแผ่นหลังนวลเนียนท่ามกลางเสียงหายใจหอบน้อยๆ ของวริษาเอง เมื่อเวลานั้นเกมรักที่เฝ้าโหมพัดให้ลุกฮือได้ผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนทั้งคู่ต่างก็เหนื่อยอ่อนและสุขสม

‘ฝนก็รักพี่ณุค่ะ... พี่ณุอย่าทิ้งฝนนะคะตอนนี้ฝนมีแค่พี่ณุคนเดียวแล้วจริงๆ’

เสียงหวานออดอ้อนตามความรู้สึกข้างใน เธอไร้แล้วซึ่งเงาของพี่สาว ยิ่งพ่อแม่ยิ่งจากไปนานตั้งแต่ยังเล็ก... ญาติๆ ที่มีก็ไม่ค่อยจะสนิทสนมกันซักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเขาที่เธอทุ่มเทความรักให้ทั้งหมดหัวใจทุ่มเทร่างกายและจิตวิญญาณให้ไปจึงกลายเป็นหลักให้เรือน้อยเกาะยึดไว้ไม่ให้ปลิวไปตามแรงลมของกระแสสังคมที่โหดร้าย

‘ฝนกลัว... กลัวเหลือเกินว่าพี่ณุจะไม่รักฝนอีกแล้ว’

ถ้อยคำแสดงชัดถึงจิตใจของสาวน้อยที่ยอมพลีกายถวายชีวิตให้แด่ชายคนแรกในชีวิต... ณ ความรู้สึกในขณะนั้นหญิงสาวคิดไม่ออกเลยถ้าหากว่าเขาทิ้งเธอไปเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วเธอจะทำอย่างไรดี

‘พี่จะไม่มีวันทิ้งฝนแน่นอน’

ความหนักแน่นนั้น ทำให้หญิงสาวซบซุกเนื้อตัวเข้าหาร่างกายแกร่งมั่นใจแน่แล้วกับคำพูดของผู้ชาย... ที่สุดท้ายก็เป็นแค่สายลมที่พัดมาทักทายแล้วก็โบกผ่านพัดจางหายไป

‘ฝนรักพี่ณุ’

เธอเอ่ยเมื่อเขาประทับจุมพิตเร่าร้อนลงบนหน้าผากนวลและไล่ต่ำลงเรื่อยมาตามผิวนุ่ม และหยุดลงที่ริมฝีปากบางนิ่งนานราวกับจะซึมซับเอาลมหายใจของเธอที่มีทั้งหมดเข้าไปไว้ในร่างกายของเขา ร่างสูงใหญ่พลิกตัวขึ้นทาบทับเมื่อถอนจูบออก นิ้วมือใหญ่เกลี่ยผ่านริมฝีปากและดวงหน้านั้นแผ่วเบา นัยน์ตาคมฉายแววสมใจในอะไรบางอย่างที่เธอไม่เคยลืมเลือนสว่างวูบขึ้น เมื่อมือไม้เริ่มลุกล้ำสำรวจอีกครั้ง

‘พี่รู้... และหวังให้มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว’

วริษาหลับตาพริ้มด้วยความสุข เมื่อเขาก้มต่ำลงนัวเนียอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย มือใหญ่สำรวจจนเธอผวาด้วยความเสียวซ่านก่อนที่ทุกอย่างจะลุกพรึ่บราวกับน้ำมันที่ติดไฟ

ร่างกายของเราสองแนบชิดอีกครั้ง เมื่อความปรารถนาด้านมืดเข้าครอบงำปลุกปั่นสัญชาตญาณดิบในตัวให้ตื่นขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนภายในห้องนั้นร้อนไปด้วยไฟเสน่หาที่ไม่มีวันจะมอดดับไปง่ายๆ

และแล้วความสุขในชั่วข้ามคืนที่มีความใคร่เข้ามาเจือปนก็ผ่านไป วริษาผล็อยหลับไปเมื่อเฝ้าตอบสนองรสสัมผัสของชายหญิงที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนจากชายคนรักจนค่อนคืน

เธอหลับสนิทไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จนเกือบบ่ายของอีกวันจึงได้ลืมตาตื่นงัวเงียขึ้นมาเมื่อได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม มือบางควานหาร่างสูงใหญ่สมส่วนที่เฝ้าเกาะกอดมาทั้งคืน ก่อนจะเอะใจลืมตาขึ้นมอง... เพื่อจะพบว่าในห้องนั้นมีเพียงแค่เธอคนเดียว

ด้วยความที่ยังไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว นัยน์ตากลมโตกวาดมองหาร่างสูงของชิษณุพงษ์ด้วยความสดใสและสุขใจ... เธอรวบผ้าเข้ากับตัวลุกขึ้นเดินตามหาชายคนรักแต่ก็พบกับความว่างเปล่า ไร้เงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ อีกแล้วนอกจากเธอ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันก่อนที่ความกลัวจะพุ่งผ่าน

วริษารีบกลับมาที่ห้องนอน เธอโทรศัพท์หาคนที่หายตัวไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสายตาหวาดมองไปพบกับกระดาษโน๊ตเล็กๆ แผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนหัวเตียงพร้อมกับเงินอีกปึกหนึ่ง...

เธอรู้มันหมายถึงอะไร แต่เธอ... ไม่ยอมรับความจริงๆ ทั้งๆ ที่น้ำตาไหลริน หัวใจทั้งดวงสลาย ยามสายตากวาดผ่านตัวหนังสือส่งต่อไปยังสมองให้ได้รับรู้


‘วริษา
นี่คือ ‘ค่าตัว’ ของคุณ เงินจำนวนนี้คงมากพอที่มันจะทำให้คุณพอใจ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจว่าเรื่องเมื่อคืนทุกอย่างมันเกิดมาจากความเต็มใจของเราทั้งสองคน จะไม่มีการผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น... หวังว่าเราคงจะไม่ต้องเจอกันอีก สำหรับเรื่องเมื่อคืนผมมีความสุขมากจริงๆ
ชิษณุพงษ์’


เธอร้องไห้ น้ำตาไหลแทบเป็นสายเลือด วริษาจมอยู่กับน้ำตาเนิ่นนานด้วยหัวใจที่บอบช้ำ แต่กระนั้นก็ยังหวังไว้เล็กๆ ว่าเมื่อเจอหน้ากันทุกอย่างคงคลี่คลาย

วริษาออกจากห้องนอนในคอนโดนั้นของชิษณุพงษ์ด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ เธอตามหาเปรมยุดา จนแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนคนบ้า... จนลืมสนใจกับสายตาของผู้คนที่มองมาที่เธอแปลกๆ

‘ยุดา... พี่ณุล่ะยุดาเราติดต่อพี่ณุไม่ได้เลย’

เธอพร่ำถามด้วยนัยน์ตาแดงช้ำอย่างมีความหวัง

‘อะไรกัน’ เปรมยุดามองเธอด้วยหางตา ‘พี่ณุก็กลับไปทำงานแล้วน่ะสิ... เธอมีอะไรล่ะ” สายตานั้นไม่ปิดบังความสมเพชเลย แต่วริษาไม่สนใจ เธอเขย่าตัวคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนสนิทเบาๆ อย่างร้อนใจ

‘เรา... เรากับพี่ณุ... คือเมื่อคืน...’

วริษาอึกอักไม่กล้าพูดต่อ ไม่กล้าจะเปล่งเสียงให้กลายเป็นประโยคด้วยขณะนั้นหัวใจได้เกิดความละอาย ทว่าเปรมยุดากลับยิ้มเยาะสะบัดตัวออกอย่างรังเกียจยามที่เธอแตะตัว

‘เมื่อคืนทำไม...อ๋อ! เมื่อคืนเธอไปนอนกับพี่ณุมาใช่ไหม’ รอยยิ้มเย้ยหยันทำเอาวริษาถึงกับตัวสะท้าน ‘นี่ฉันจะบอกเอาบุญให้นะวริษา เธอคิดหรือว่าแค่มีอะไรกันแค่นั้นแล้วพี่ณุต้องรับผิดชอบ’ เสียงดังของเปรมยุดาที่เปล่งออกมาทำให้หลายคนเหลียวมามอง แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือวริษาตัวชาแข็งทื่อไปแล้วอย่างนึกไม่ถึงกับคำพูดต่อมาของคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนมาตลอด ‘เธอก็เป็นแค่ของเล่นที่พี่ณุเค้าเบื่อแล้วก็โยนทิ้งเท่านั้นเองไม่น่าเชื่อนะว่าเธอจะหลงเชื่อพี่ชายฉันซะเต็มหัวใจแบบนี้... ไม่น่านะฝนเธอไม่น่าโง่เลยจริงๆ!’

เปรมยุดายิ้มเยาะก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจแล้วพูดต่อ

‘รู้ไว้ซะนะผู้ชายน่ะ... เวลาอยากจะได้อะไรก็พูดได้ทั้งนั้นแหละแต่พอได้สมใจทุกอย่างมันก็ไม่ได้มีความหมาย’

เปรมยุดาพูดพลางยักไหล่ แล้วหันไปหัวเราะกับผุสดีที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่เอ่ยอะไร เท่านั้นยังไม่พอ เปรมยุดายังทิ้งคำพูดเจ็บแสบไว้ พอๆ กับที่ผุสดี มองเธอและยิ้มอย่างเวทนา

‘นี่วริษา ค่าตัวนั่นน่ะคงพอนะสำหรับเด็กเวอร์จิ้นแบบเธอ!’

และเพราะคำพูดนั้นวริษาถึงกับเข่าอ่อนไม่มีแรงจะทรงตัวให้ยืนอยู่ไหว เธอเหลือบมองไปรอบๆ ก่อนจะรู้สึกอายจนชา และยิ่งกว่านั้นคือเจ็บลึกเมื่อเจอสายตาเล้าโลมแสดงความต้องการชัดเจนจากนักศึกษาชายหลายคนที่ได้ยิน เธอวิ่งหนีไปจากตรงนั้น

และนั่นคือวันสุดท้ายที่เธอเหยียบย่างเข้าไปในมหาวิทยาลัย วริษาเก็บตัวเงียบด้วยความโศกเศร้าที่ได้รับรู้ความจริง เธอนึกอยากฆ่าตัวตายและเคยพยายามจะฆ่าตัวตายแต่ทำไม่สำเร็จ วริษารู้ตัวเธอมีอาการของโรคซึมเศร้า จนหนึ่งเดือน... สองเดือนผ่านไปอาการแปลกๆ ก็ได้เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ

เธอท้อง... นั่นคือคำตอบ

มีอีกชีวิตหนึ่งกำเนิดขึ้นมา โดยที่ผู้ที่ร่วมทำให้เขาเกิดไม่ได้คิดหวังอะไรนอกจาก... สนุกกับความใคร่เท่านั้นเอง

ความเศร้าความขมขื่นความผิดหวังเสียดแทงใจแม้แต่ในความฝัน วริษายังคงสะอื้นในความเป็นจริง และหัวใจของเธอมันก็ยังเจ็บปวดไม่ต่างจากวันนั้นเลย





ท่าทางของคนหลับที่ซบหน้าลงกับท่อนแขนที่วางอยู่บนเตียงของคนป่วยนั้นดูกระสับกระส่ายเสียจนทวีรัฐนึกสงสาร

ไม่ว่าวริษาจะฝันถึงอะไร แต่เธอคงทรมานกับมันมากพอดู

นายตำรวจหนุ่มเพิ่งมาถึงโรงพยาบาลเมื่อแสงอาทิตย์ของวันใหม่สาดส่องโผล่พ้นหมู่เมฆออกมา เมื่อคืนวานเขาแวะไปหาวริษกับถิรายุที่บ้าน แต่ก็ได้เจอกับนิตาแทน พี่เลี้ยงของถิรายุบอกว่าเด็กชายอาการกำเริบและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เขาอยากมาหาเธอทันทีเหมือนกัน แต่ว่าเพราะมีประชุมด่วนจึงมาไม่ได้ จึงได้มาเอาของเช้าวันนี้

ชายหนุ่มวางกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นของวริษาที่นิตาจัดให้มาลงบนโต๊ะปลายเตียง เพียงก้าวยาวๆ สองครั้งก็ไปหยุดยืนอยู่ข้างวริษาซึ่งหลับอยู่ข้างเตียงถิรายุ ร่างสูงโน้มลงมือใหญ่ปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากของเธอออกให้อย่างแผ่วเบา ใบหน้าคมโน้มต่ำลง สายตาจับที่หน้าผากนวล ใจเขาอยากประทับจุมพิตลงบนผิวนั้นใจจะขาด แต่... ก็ไม่ได้ทำ

“ฝน”

ชายหนุ่มวางมือลงบนบ่าบอบบางเขย่าเบาๆ เพื่อปลุกเธอให้ตื่นจากฝันร้าย

วริษากะพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าได้ปล่อยให้อดีตกลับมาหลอกหลอนเอาอีกแล้ว หญิงสาวส่งยิ้มเซียวๆ ให้ชายหนุ่มก่อนที่เขาจะยิ้มตอบมา มือใหญ่เอื้อมไปฉุดให้เธอลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นท่าทางว่าวริษาคงจะเมื่อยเต็มที หญิงสาวลุกโซเซขึ้นยืนโดยมีทวีรัฐคอยประคอง

แต่ว่าสัมผัสอบอุ่นและอ่อนโยนจากเขา ไม่ได้ช่วยคลายความหนาวเหน็บในใจให้หายไปได้เลยแม้แต่น้อย

“พี่ทวีรู้ได้ยังไงคะว่าฝนอยู่โรงพยาบาล”

เธอเอ่ยถามเมื่อทรงตัวได้แล้ว

“พี่ไปที่ร้านแล้วไม่เจอใคร... กะว่าจะเอาของเล่นไปฝากเจ้าตัวเล็กสักหน่อย ก็พอดีเจอนิดบอกว่าตายุเข้าโรงพยาบาล พี่เลยอาสาเอาของมาให้ฝน นิดจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”

วริษายิ้มเซียว และทอดสายตามองไปยังเด็กชาย

“ทำไมฝนไม่โทร. หาพี่ล่ะ”

นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถามต่ออย่างห่วงใย ฝ่ามือหนาวางลงบนบ่าบอบบางอย่างจะถาม มากกว่าจะปรารถนาอย่างอื่น

“พี่ทวีติดงานนี่คะ ฝนเลยไม่อยากกวน”

เธอตอบและถอนหายใจ ระหว่างที่ลูบผมของเด็กชาย

“รบกวนที่ไหน... พี่ก็เป็นห่วงทั้งฝนทั้งตายุนั่นแหละ แล้วนี่หมอว่ายังไงบ้าง... ทำไมอาการตายุถึงได้กำเริบจนยาใช้ไม่ได้ผลแบบนี้”

“ก็ช่วงนี้อากาศชื้นน่ะค่ะ หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะฝุ่นเยอะด้วย นี่ก็เปลี่ยนตัวยามาให้ใหม่ด้วยนะคะ แต่ก็อยากให้ดูอยู่อาการอีกสองสามวัน ถ้าไม่มีอะไรก็จะให้กลับบ้านแล้ว”

ทวีรัฐพยักหน้ารับและยิ้มส่งให้ วริษาเบือนสายตาขึ้นมามองสบและยิ้มตอบ และภาพนั้นก็ทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่มองอย่างขัดใจ

ความสนิทสนมนั้น รอยยิ้มนั้น ทำให้ชิษณุพงษ์ไม่พอใจ!

นัยน์ตาคมดำสนิททอประกายแสงไฟแห่งความโกรธขึ้นมาชั่ววูบเดียวก่อนที่จะปรับมันให้เป็นปกติ สองมือกำแน่นเข้าหาตัวแต่ไม่อาจมองเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนได้เพราะมันถูกซ่อนไว้ในสูทเนื้อหนาสีดำสนิท ใบหน้าหล่อเหลาขรึมเฉย ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นกอดอกและนิ่งมองภาพนั้น และเขาก็ทำลายบรรยากาศดีๆ ระหว่างทั้งทวีรัฐและวริษาลง

“อะแฮ่ม!”

วริษาเหลียวมองทันทีอย่างตกใจ แต่ทวีรัฐขมวดคิ้ว สายตาบ่งบอกว่าไม่ชอบใจกับการกระทำอันไร้มารยาทนั่น

“คุณเป็นใคร”

คำถามถูกเมิน ชิษณุพงษ์ก้าวเข้ามาใกล้ทั้งสองคนและเอ่ยอย่างจำเพราะเจาะจงกับวริษา

“พี่มารับ... คิดว่าเราควรจะไปทำธุระกันเช้านี้เลย”

“ฝนรู้จักเขาเหรอ” ทวีรัฐก้มลงมองวริษา เธอเม้มริมฝีปากและเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเธอขาวซีดผิดปกติ เท่านั้นนายตำรวจหนุ่มก็ชะงักเงยหน้าขึ้นมองชิษณุพงษ์และขยับมาบังวริษาไว้

“คุณเป็นใคร”

“พี่ทวีคะ--”

วริษาอึกอัก นัยน์ตาฉายแววชอกช้ำ แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยให้จบประโยค ชิษณุพงษ์ก็ยิ้มมุมปากและเอ่ยออกมา

“ผมเป็นสามีของวริษา”

ทวีรัฐเบิกตากว้าง วริษาเม้มปากแน่นมองสบตากับคนที่มองเธอและเลิกคิ้วขึ้น เรายังจ้องตากันแม้เมื่อชิษณุพงษ์เอ่ยต่อ

“และผมก็เป็นพ่อของตายุ ว่าแต่คุณล่ะเป็นใคร มีธุระอะไรกับภรรยาของผม”

“พ่อ... ภรรยา... ฝนนี่มันหมายความว่ายังไง”

ทวีรัฐก้มมาถามวริษาทันที เธอเม้มริมฝีปากแน่นและตวัดตามองชิษณุพงษ์อย่างโกรธขึ้ง

“แค่อดีตเท่านั้นล่ะค่ะพี่ทวี... แค่อดีตที่ฝนไม่ต้องการ”

คำตอบของเธอทำให้รอยยิ้มของชิษณุพงษ์หายไปจากใบหน้า

และแม้จะเจ็บปวดในใจกับคำตอบ ทวีรัฐก็ยังยิ้มออกมาได้ เขาวาดวงแขนดันวริษาให้ถอยไปอยู่ข้างหลัง และมองชิษณุพงษ์เต็มตา ครั้งนี้เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพลางยื่นมือออกไปข้างหน้า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ... คุณอดีต!”

ชิษณุพงษ์ยิ้มร้าย และเขาก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับทวีรัฐ ก่อนจะเหลือบแลลงมองลูกชายที่ยังหลับอยู่ดังเดิม เอ่ยบอกเสียงเย็น

“ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาเหลียวมองวริษา “นี่ใครน่ะฝน”

วริษากำลังจะเอ่ยปาก แต่ชิษณุพงษ์ไม่ได้รอ

“อ๋อ” เขาว่า ยิ้มมุมปากแสนร้าย “คนนอก!”

ทวีรัฐขบกรามแน่นทำท่าจะถลาเข้าไปหาอีกฝ่าย ถ้าหากว่าวริษาจะไม่ยื้อเอาไว้ กระนั้นชิษณุพงษ์ก็ไม่ได้ท่าทางกลัวเกรงแม้แต่นิด ดูเขาจะไม่ได้สนใจกับทวีรัฐอีกด้วยซ้ำ เพราะสายตาเขาจับอยู่ที่เธอ

“อย่าหวังกับน้ำบ่อหน้าให้มันมากนักนะฝน...”

วริษาเม้มริมฝีปากแน่น

“พี่บอกแล้วไงว่าฝนยังมีเวลาคิด อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน... และพี่คิดว่าข้อตกลงของเราคงจะมีเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นอีกนิดหน่อย” เขาเหลือบมองทวีรัฐก่อนเหลียวกลับมามองเธออีกครั้ง “ตัดสินใจให้ดีๆ แล้วกัน... อย่าหวังว่าฟางเส้นสุดท้ายจะแข็งแรงเพราะบางทีมันอาจจะขาดง่ายเสียจนคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ!”

ทวีรัฐขบกรามกรอด แต่ไม่ทันให้ผู้ชายทั้งสองคนได้วางมวยกัน เพราะเสียงร้องไห้จ้าของถิรายุดังขึ้นเสียก่อน

“แม่ฝนค้าบ แม่ฝน ฮึก... แงๆ”

เท่านั้นวริษาก็รีบกลับไปอยู่ข้างเตียง โอบกอดเด็กชายไว้แนบอก

“โอ๋ แม่ฝนอยู่นี่ ยุไม่ร้องนะลูก ไม่ร้อง”

เสียงที่ปลอบสั่น แม้จะชินแล้วกับการที่เด็กชายอาการกำเริบและหลังรู้สึกตัวมักจะร้องไห้ก็ตาม “ไหน หนูเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” ถิรายุสะอึกสะอื้นกอดเธอแน่นอย่างขวัญเสีย “ไม่ต้องกลัวนะยุ ไม่ต้องกลัวนะลูกแม่ แม่ฝนอยู่ตรงนี้นะ แม่อยู่ตรงนี้” เสียงหวานเอ่ยปลอบสั่นๆ อย่างกับจะร้องไห้ตามเมื่อสงสารผู้เป็นลูกชายจับใจ

“อย่าร้องนะครับคนดี... หนูไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

วริษาเอ่ยเมื่อแนบหน้าผากของตนเข้ากับหน้าผากของลูกน้อย

บ่อยนักเมื่อถิรายุอาการกำเริบจนหมดสติไป แรกที่รู้สึกตัวเด็กชายมักขวัญเสียและจะอ้อนซ้ำยังติดวริษาแจ ถิรายุจะไม่เอาใครเลยสักคนกระทั่งนิตาเองก็ตาม





“ผลการตรวจร่างกายของคนไข้อย่างละเอียดอีกครั้ง บอกว่า...”

นายแพทย์ที่ทำการรักษาถิรายุถอนลมหายใจหลังละคำพูดไว้ และเงยหน้าขึ้นกวาดตามองวริษาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน กับทวีรัฐและชิษณุพงษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ภายในห้องตรวจด้วยท่วงท่าหนักใจ และท่าทีเช่นนี้ก็ทำให้วริษาใจหายอย่างบอกไม่ถูก

สายๆ ของวันนี้หลังคุณหมอเข้ามาตรวจอาการของถิรายุอีกครั้ง วริษาก็ได้รับคำบอกว่าจะมีการตรวจร่างกายของเด็กชายอย่างละเอียดในช่วงบ่าย และมันก็เป็นการบอกที่ทำให้เธอไม่ใคร่สบายใจนัก

“เด็กชายถิรายุ...”

ในใจของวริษาอธิฐาน... ขอให้ทุกอย่างเป็นไปในทางบวก

“ซึ่งมีอาการของโรคหอบหืดเป็นโรคประจำตัวไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่คาดไว้ เรื่องนี้ขอให้คุณแม่สบายใจได้นะครับ”

วริษาเกือบจะยิ้มได้แล้วถ้าหากจะไม่ได้ยินว่า

“แต่... ที่น่าเป็นห่วงคือโรคที่แทรกขึ้นมา เราเพิ่งตรวจพบว่าคนไข้มีอาการของลิ้นหัวใจรั่ว”



ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2559, 20:31:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2559, 20:31:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1427





<< บทที่ ๒   บทที่ ๔ >>
ดังปัณณ์ 2 ต.ค. 2559, 20:33:34 น.
สวัสดีค่า พาพี่ณุกับหนูฝนมาส่งค่ะ และพี่ณุก็ยังคงเหี้ยม(ตกม้า) เสมอต้นเสมอปลาย

ตอนนี้มีจำหน่ายในรูปแบบของ E-BOOK ค่ะ ราคา 260.- บาท จำนวน 392.- หน้า มีทั้งรูปแบบ PDF และ epub ค่ะ ถ้าสนใจลองโหลดตัวอย่างมาอ่านแบบไม่ต้องรอเว็บได้ที่ลิงก์นี้เลยค่ะ
https://goo.gl/g2pcqS
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว
ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”
และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
อ่านแล้วอย่าลืมมาเม้าท์กันนะ
ป.ล. ขอคะแนนกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาาาาาาาาา


Zephyr 21 ต.ค. 2559, 21:17:50 น.
โอ้ยยย เชือดกันเข้าไป
ทีมใครดี
ทีมยุๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account