เล่ห์บุพเพ
พันธนาการที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก ทำให้มนต์พระจันทร์ต้องการอิสรภาพคืน ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อการพบกันอีกครั้งระหว่างเธอและเขามีกฏเกณฑ์ทางหน้าที่กำหนดไว้ว่าระหว่างคอนซัลและวิศวกรห้ามมีความสัมพันธ์กันนอกเหนือจากเพื่อนร่วมงานธรรมดา มนต์พระจันทร์จึงไม่อาจทวงถามถึงอิสรภาพที่รอคอยได้เสียที ในขณะที่วิณรุจน์เองก็ทำราวกับไม่รู้จักเธอ..ซ้ำยังกลายมาเป็นชู้ เรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้น

ตัวอย่างจ้า

"อยากหย่านักใช่มั้ย" วิณรุจน์เอ่ยถามหลังจากมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง

"ค่ะ ทะเบียนสมรสมันทำให้พระจันทร์ลำบาก"เธอเอ่ยราบเรียบ

Tags: มนต์พระจันทร์/วิณรุจน์/คอนซัล/โปรเจ็คแมนเนเจอร์

ตอน: บทที่ 5--------------เล่ห์บุพเพ-------- 100%

ด้วยรักและคิดถึงนักอ่านทุกท่านค่ะ
________________________________________________________________-

“มากันครบหรือยังครับ” วิณรุจน์ถามหลังจากที่เดินเข้าห้องประชุมเป็นคนสุดท้ายเพราะมัวเตรียมเอกสารเมื่อสั่งงานวิศวกรบางจุดให้เริ่มเดินหน้าในส่วนต่างๆได้

“ยังไม่ครบจ้ะรุจน์”ศุภางค์แจ้ง

ช่วงบ่ายก่อนเข้าประชุมมนต์พระจันทร์ถูกเรียกตัวไปพบคุณลีกะทันหัน ซึ่งยังพอมีเวลาเหลืออีกสิบห้านาทีก่อนการประชุมจะเริ่ม

วิณรุจน์ชักสีหน้าหงุดหงิดทันทีก่อนจะกวาดสายตาคมไปทั่วห้องเพียงแวบเดียว นึกสงสัยว่าขาดใครเพราะที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ครบแล้ว เขาเกลียดจริงๆพวกไม่ตรงต่อเวลา

“พวกคุณรู้มั้ย เวลาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราส่งงานล่าช้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เขาเอ่ยถามทุกคนที่อยู่ในห้อง และทั้งห้องก็เงียบกริบแม้แต่เหล่าวิศวกรทโมนยังไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ

“ความซวยมาเยือนไอ้พระจันทร์แล้วล่ะฝน”ศุภางค์เอียงหน้าเข้ามากระซิบกับน้ำฝน

เธอรู้จักวิณรุจน์มาหลายปี ทว่าก็ยังเกรงๆอยู่ไม่น้อยเพราะวิณรุจน์ไม่เหมือนพวกวิศวกรทโมนพวกนั้น เขาเป็นคนพูดน้อย สุขุมและเยือกเย็น แม้กับตนวิณรุจน์จะให้เกียรติเรียกพี่มาโดยตลอดและเป็นกันเองไม่ถือเนื้อถือตัว แต่ความที่เป็นคนจริงจังในหน้าที่การงานบวกกับเป็นคนนิ่งๆจึงทำให้เธอต้องสำรวมหน่อยเวลาที่ติดต่องานกับเขา ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นมิตรที่ดีต่อกันมาโดยตลอด

“จริง..มีเรื่องกับใครไม่มี ดันมาสะกิดต่อมจ้าวป่าอย่างคุณวิณรุจน์ หาเรื่องตายแท้ๆพระจันทร์เอ้ย!” น้ำฝนนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพของเพื่อนร่วมทีม ครั้นจะบอกว่าคุณลีชางเรียกพบก็ไม่กล้าเอ่ยปากก่อนที่วิณรุจน์จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเยือกเย็น

“บริษัทถูกปรับ แต่พวกคุณยังได้รับเงินเดือนตามปกติ แต่อาจเป็นงวดสุดท้าย พวกคุณเข้าใจรึยังว่าเวลาสำคัญยังไง” เขาพูดเปรียบเปรยให้ฟัง ก่อนจะเปิดประชุมโดยไม่รออีกต่อไป

แต่เพียงไม่นานนัก คนที่ทำให้การประชุมสำคัญต้องล่าช้าไปเพียงสามนาทีก็ปรากฏกายขึ้น

“ขอโทษค่ะที่เลท” มนต์พระจันทร์เอ่ยสีหน้าเจื่อน รู้สึกผิดที่ปล่อยให้ทุกคนต้องรอเธอเพียงคนเดียว

วันแรกของการทำงานเธอไม่ควรปล่อยให้คนอื่นรอ ยิ่งเธอเป็นผู้ที่คอยควบคุมเรื่องระยะเวลาและงบประมาณจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะผิดเวลาซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคอนซัลติ้งมากๆ

มนต์พระจันทร์ตัวชาขึ้นมาทันทีเมื่อหัวเรือใหญ่ในห้องประชุมละสายตาจากจอโน้ตบุ๊กมองมาที่เธอ เอกสารในมือแทบจะร่วงลงพื้น ทว่าเธอก็กระชับมันไว้แน่นจนมือชื้นเหงื่อ ดวงตากลมโตฉายแววตื่นตะลึงพรึงเพริศ นึกถึงคำที่ช่อรดาอวยพรให้ก่อนจากกันที่สนามบิน..ช่างศักดิ์สิทธิ์ดีแท้

“ขอให้โชคดี ได้พบสามีไวๆนะเพื่อน แล้วอย่าลืมโทร.มาเล่าให้ฟังด้วยล่ะ” ตอนนั้นเธอยังตอบติดตลกกลับไปว่า...สาธุ
ใครจะคิดว่าวิณรุจน์จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อหน้าเธอ..เร็วกว่าที่คิด

วิณรุจน์สบตากับผู้มาใหม่ แววตาคมกริบจับนิ่งที่ใบหน้าเรียวรูปไข่ดวงตาเป็นประกายตื่นตะลึงไม่น้อยขณะที่จ้องตอบเขา แม้ยามเจ้าตัวตกใจดวงตากลมโตแวววาวก็ยังชวนมอง ก่อนจะก้มลงดังเดิม

“กรุณารักษาเวลาด้วย ผมไม่ชอบร่วมงานกับคนที่ผิดเวลา” วิณรุจน์เอ่ยตำหนิโดยไม่เกรงใจ

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแม้จะดังไม่มากนัก แต่ก็น่าเกรงขามไม่เบาทำให้มนต์พระจันทร์เริ่มใจฝ่อ แต่เด็กหัวนอกอย่างเธอ จะไม่ยอมให้ใครมาทำลายความมั่นใจได้ง่ายๆหรอกนะ หล่อกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว แต่แค่ไม่เคยมีใครมีดวงตาคมกริบได้เท่าเขา..เท่านั้นเอง

มนต์พระจันทร์ขยับตัวนิดเพื่อเรียกคืนความมั่นใจให้ตัวเองก่อนจะโต้กลับด้วยประโยคที่พอได้ฟังแล้วทุกคนถึงกับเสียวสันหลังขึ้นมาแทน แม้แต่วิณรุจน์เองก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินจากเพื่อนร่วมงานหน้าใหม่หรือคนอื่นๆในห้องนี้

“ค่ะ ถ้าครั้งหน้าคุณลีและคุณพีรทัตเรียกพบฉุกเฉินจนกินเวลาประชุมอีก ฉันจะเรียนตามที่คุณบอก” เธอตอบตีหน้าหงิกขึ้นมาติดหมัด โดนต่อว่ายังไม่หงุดหงิดได้เท่าที่เขาไม่ถามเหตุผลก่อน

มนต์พระจันทร์เดินมานั่งที่ว่างข้างๆเพื่อนร่วมทีมซึ่งนั่งตัวลีบแทบจะติดไปกับเก้าอี้ทีเดียว แล้วเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นแบบไม่ได้สรรพ ก่อนที่วิณรุจน์จะกระแอมเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า..เงียบได้แล้ว

เขาปรายตามองคอนซัลคนใหม่นิด แม้เพียงแวบเดียวแต่ประกายตาคมกล้าของเขาก็ทำให้มนต์พระจันทร์ร้อนหนาวอย่างบอกไม่ถูก

“พระจันทร์กล้ามากเลยนะที่ตอบคุณรุจน์ไปแบบนั้น” ศุภางค์เอียงหน้าเข้ามากระซิบยิ้มๆ

“เรื่องจริง ทำไมต้องกลัว” เธอตอบกลับเบาๆ

“เจ๋งอ่ะ” น้ำฝนเอียงหน้าเข้ามากระซิบด้วยคน แล้วก็แอบกลั้นยิ้ม

วิณรุจน์เริ่มพูดไปเรื่อยๆตั้งแต่เริ่มต้นโครงการกระทั่งจะปิดไตรมาสแรก ผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ แม้จะล่าช้าไปบ้างเพราะปัญหาที่เกิด แต่ก็ถือได้ว่ายังไม่ผิดไปจากเป้าหมายมากนัก เขาอธิบายและชี้จุดบกพร่องที่ต้องได้รับการแก้ไขและขอความร่วมมือจากแผนกต่างๆในการประสานงานให้เร็วขึ้น

“เรื่องที่ผมให้คำนวณงบประมาณในการซ่อมแซมโซนเอ ไม่ทราบว่าไปถึงไหนแล้ว” วิณรุจน์หันมาถามคอนซัลเพราะโซนเอจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดเป็นสองกะเพื่อเร่งให้แล้วเสร็จในส่วนแรกตามระยะเวลาที่กำหนดซึ่งเหลืออีกเพียงสองอาทิตย์เศษ

“เอกสารอยู่บนโต๊ะคุณเรียบร้อยแล้วค่ะ” มนต์พระจันทร์ตอบ เธอเพิ่งได้รับเอกสารฉบับนั้นจากคุณลีชางที่เพิ่งจะเซ็นต์อนุมัติเมื่อครู่และฝากให้เธอนำมาให้เขา ทว่ามนต์พระจันทร์เลือกที่จะนำไปวางไว้บนโต๊ะแทน

“ติดปัญหาตรงไหนรึเปล่า” เขาถามต่อราบเรียบราวกับว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยมีมีเรื่องผิดใจมาก่อน

“เรื่องแรงงาน การจัดซื้อจัดจ้างคงล่าช้าเพราะกะทันหัน อาจทำให้ระยะเวลาในการดำเนินการซ่อมแซมโซนเอล่าช้าไปอีก อีกทั้งเรื่องงบประมาณก็ใช้จ่ายไปมาก” เธออธิบายให้ฟัง เรื่องนั้นวิณรุจน์ก็ทราบดีเพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากวิศวกรของบริษัทคนหนึ่งทุจริตและงบประมาณก็ใช้จ่ายไปเกือบสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วตามแผน

ทุกคนในที่ประชุมมองหน้ากันด้วยความทึ่ง แม้วันนี้จะเป็นวันที่สองสำหรับหน้าที่คอนซัล แต่มนต์พระจันทร์ก็เตรียมตัวมาดี ไม่พลาดแม้จุดเดียว ตรงข้ามกลับเป็นฝ่ายถามวิณรุจน์เกี่ยวกับบางจุดที่รายงานไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ

ศุภางค์นั่งอมยิ้ม โชคดีของเธอที่ทางรัฐบาลเลือกมนต์พระจันทร์ ถ้าเป็นเธออาจจะตอบคำถามวิณรุจน์ได้ไม่ละเอียดเท่า

“คุณมีวิธีแก้รึเปล่า” เขาถามลองภูมิ และมนต์พระจันทร์ก็รู้ว่าเขาอยากทดสอบความสามารถในหน้าที่ของเธอ

“ค่ะ” เธอตอบก่อนจะเริ่มชี้แจงให้ฟังตามแผนที่วางไว้ซึ่งคุณลีชางก็เห็นด้วยกับเธอ จึงทำการปรับแก้รายละเอียดใหม่ เพื่อประหยัดงบรวมถึงแรงงานก็ไม่ต้องรอให้เสียเวลา

วิณรุจน์ละสายตาจากโน้ตบุกเมื่อบันทึกรายละเอียดและความเห็นต่างๆกันลืมเสร็จพอดีหลังจากมนต์พระจันทร์อธิบายจบ เขาสบตาเธอนิดก่อนจะสรุปโดยไม่มองเธอ

“ตกลงตามนั้น”

น้ำฝนถึงกับชูนิ้วโป้งให้มนต์พระจันทร์ จากนั้นสาวบัญชีใจกล้าเจ้าเก่าก็ลุกขึ้นพูดด้วยทีท่าสุดมั่นราวกับเกรงว่าทุกคนจะลืมเธอทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็พูดไม่หยุดปาก บางเรื่องก็ไม่ควรพูดในที่ประชุมเพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องประสานงานระหว่างแผนกเท่านั้น

“ถ้างั้นคุณรุจน์ก็รีบส่งรายละเอียดเรื่องงบให้เดือนนะคะ เดือนจะได้เสนอหัวหน้าเพื่อเบิกจ่าย จะได้ไม่เสียเวลา” น้ำเสียงที่ดัดให้หวานจนเกินจริงทำให้เพื่อนร่วมงานแอบเบ้ปาก พอพูดจบหญิงสาวคนดังกล่าวก็ยิ้มหวานให้เขา ทว่าวิณรุจน์กลับไม่สนใจมองแม้เพียงหางตาจนน่าสงสารเมื่อเธอคนนั้นยิ้มเก้อ สายตาคมยังคงจับนิ่งอยู่บนจอโน้ตบุ๊กและเอ่ยตอบรับเพียงสั้นๆเท่านั้น

“ครับ”

ศุภางค์รวมถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆต่างกลั้นยิ้ม ก่อนที่เจ้าหล่อนจะหันมาถลึงตาใส่มนต์พระจันทร์โดยไม่ทราบสาเหตุ ถึงกระนั้นก็เถอะ..เดาได้ไม่ยากนักว่าสาวบัญชีนางนี้แอบหลงใหลในตัวโปรเจ็คสุดฮอตแน่นอน

“งั้นก็เริ่มดำเนินการเลยนะ แต่ละจุดช่วยแจ้งพนักงานบางส่วนให้ทราบด้วย หลังจากที่จัดสรรเรื่องแรงงานเรียบร้อยแล้วคุณก็ดำเนินการตามที่คุยกันไว้ได้เลยนะครับคุณภาวิทย์” วิณรุจน์หันมาบอกกับวิศวกรน้องใหม่ที่ตั้งแต่มนต์พระจันทร์ก้าวเท้าเข้ามาในห้องประชุม ภาวิทย์ก็คอยชำเลืองมองอยู่บ่อยครั้ง

“ครับ” ภาวิทย์รับคำสั้นๆ

“ส่วนจุดดี..ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะแบ่งคนบางส่วนไปช่วยแกด้วยนะโย” วิณรุจน์บอกเพราะโซนดีเป็นอีกจุดที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยเนื่องจากเป็นสะพานคู่ขนานกันและมีจุดที่เชื่อมต่อกับจุดเอโดยตรงร่วมถึงจุดบีด้วยทว่าโครงสร้างของจุดบีนั้นเป็นไปตามมาตรฐานกำหนดจึงเสียหายน้อยกว่าโซนดีนัก

“ก็ดี..ตอนนี้คนงานหลายคนเริ่มล้ากันมากเพราะทำโอทีทุกวัน จะได้มีเวลาพักเต็มที่บ้าง” วาโยตอบท่าทีสบายๆไม่ได้เกร็งเหมือนคนอื่นๆ

“มีใครอยากจะเพิ่มเติมตรงไหนรึเปล่า” วิณรุจน์เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความเห็น และมนต์พระจันทร์ก็ไม่รีรอที่จะซักถามถึงข้อสงสัยต่างๆที่เธอตรวจพบจากเอกสาร

“มีค่ะ” เธอเอ่ย เป็นครั้งแรกที่วิณรุจน์มองหน้าเธอตรงๆแบบไม่กะพริบ แต่แววตาของเขาก็คาดเดาความรู้สึกยากเหลือเกินในความคิดของมนต์พระจันทร์

จากนั้นเธอก็เริ่มซักถามในข้อสงสัยต่างๆและวิณรุจน์ก็ตอบได้หมด ทั้งห้องประชุมต่างหันมองวิณรุจน์และมนต์พระจันทร์สลับกันไปมา เมื่ออีกคนถามและอีกคนก็ตอบได้ละเอียดยิบราวกับเป็นการโต้วาทีระหว่างคอนซัลกับทีมวิศวกรก็ไม่ปาน

“เอาแล้วมั้ยล่ะไอ้รุจน์..ฉันว่าแกเจอคู่ชกแล้วว่ะ” ทินกรเอียงหน้าเข้ามากระซิบพร้อมทั้งกลั้นยิ้ม

วิณรุจน์เหลือบตามองเพื่อนนิด ไม่เอ่ยปากโต้ตอบเนื่องจากกำลังตั้งใจฟังคำถามของมนต์พระจันทร์ต่อเพราะถ้าพลาดเขาอาจจะตอบผิดก็ได้ และหลายๆคำถามนั้นก็มาจากการรายงานผลของวิศวกรประจำจุดที่ตกหล่น อีกอย่างใครจะคิดว่าเจ้าหน้าที่คอนซัลคนใหม่จะละเอียดยิบจนเผลอไม่ได้ขนาดนี้

วิณรุจน์ตอบคำถามมนต์พระจันทร์จนครบทุกข้อโดยไม่มีตกหล่นอย่างละเอียด ก่อนที่เขาจะคลี่ยิ้มพราวเมื่อมนต์พระจันทร์เงียบไป มันเป็นรอยยิ้มในแบบที่ไม่เคยมีใครได้เห็นนอกจากกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะปกติแล้ววิณรุจน์เป็นสิงห์ยิ้มยาก ยิ่งเป็นสาวๆด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

มนต์พระจันทร์อึ้งไปนิด เขายิ้มให้เธอเหรอ ยิ้มเยาะหรือว่าอะไร

“มีข้อสงสัยอีกรึเปล่าครับ” เขาเอ่ยอย่างสุภาพทว่าก็กลั้วขันอยู่ในลำคอ นึกในใจตั้งแต่ทำงานกินตำแหน่งโปรเจ็คแมนเนเจอร์มาหลายปียังไม่เคยเจอที่ปรึกษาคนไหนกล้าซักถามเขาเกินสามคำเลย ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเขาแจกแจงให้ฟัง เธอเหล่านั้นก็แค่จดและจดเท่านั้น

“ไม่มีค่ะ” เธอตอบก่อนจะทวงถามถึงรายงานจากโซนซีและโซนบีที่ยังไม่ได้รับตามกำหนด “แต่ฉันยังไม่ได้รับรายงานจากโซนบีและซี นี่..ก็เลยกำหนดส่งมาสองวันแล้ว” เธอบอกพร้อมทั้งเอ่ยเป็นนัยว่าเวลาเป็นเรื่องสำคัญซึ่งวิณรุจน์ก็เข้าใจความหมายดีว่าเธอกำลังย้อนสอนเขา จึงหันไปมองวิศวกรประจำโซนที่ทำให้เขาถูกย้อนสอนราวกับจะบีบคอทั้งคู่ให้ตายคามือเพราะทั้งสองคนแม้จะทำงานดีไม่มีหลุดแต่ขึ้นชื่อเรื่องเลทการส่งรายงานเป็นที่สุด

“ฉันวางไว้บนโต๊ะแกตั้งแต่เมื่อวานก่อนแล้ว” ทินกรบอก ขณะที่ศักดิ์สิทธ์ก็พยักหน้าบอกว่าเขาก็ส่งแล้วเช่นกัน วิณรุจน์นึกอยากลุกไปเตะเพื่อนทั้งสองคนเสียจริง ส่งคาบเส้นแบบไม่เผื่อเวลาให้เขาตรวจทานบ้างเลย

“ขอโทษที ช่วงนี้ผมยุ่งมากจึงไม่ทันได้ตรวจทานรายงานให้คุณ ยังไง..ผมจะรีบเคลียร์ให้เสร็จวันนี้” เขายอมรับผิด เป็นครั้งแรกที่จนมุม “ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้ว ผมขอปิดประชุมครับ” เขาเอ่ยปิดท้าย

ทุกคนในที่ประชุมถึงกับต้องกลั้นยิ้มและก็อึ้งไปตามๆกัน ร่วมงานกับวิณรุจน์มาหลายปียังไม่เคยเจอใครทันวิณรุจน์มาก่อน มนต์พระจันทร์ถือว่าเป็นหญิงไทยคนแรกที่สามารถต้อนจนวิณรุจน์ต้องเอ่ยคำขอโทษกลางห้องประชุมออกมาได้

เดือนฉายถึงกับเบ้ปากไม่พอใจมนต์พระจันทร์ที่มาทำงานเพียงสองวันก็โชว์ความสามารถน่าทึ่งซะแล้ว เห็นได้ชัดว่าวิณรุจน์เองก็ยอมรับในตัวผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย แต่เธอจะไม่ยอมให้มนต์พระจันทร์มามีบทบาทสำคัญกว่าเด็ดขาด

“เอ่อ..ขอโทษนะคะ คุณศุ คอนซัลคนใหม่ชื่ออะไรคะ ไม่คิดจะแนะนำให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ” เธอจีบปากจีบคอพูดขณะที่มนต์พระจันทร์และคนอื่นๆกำลังจะแยกย้ายออกจากห้อง

“มนต์พระจันทร์ค่ะ คุณ..เดือนฉาย แผนกบัญชีถูกต้องรึเปล่าคะ” มนต์พระจันทร์ตอบซะเอง เพราะอ่านจากสีหน้าพี่ศุกับน้ำฝนแล้วคงไม่อยากจะเสวนากับสาวแผนกบัญชีนางนี้เท่าไหร่นัก ถ้าไม่จำเป็น

“ชื่อเพราะดีนะคะ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันค่ะ เอ..ได้ข่าวมาว่าคุณมนต์พระจันทร์มีสามีแล้วจริงรึเปล่าคะ” เดือนฉายเปิดประเด็น ประเด็นที่ทำให้ทุกคนต้องหยุดฟัง “เดือนได้ยินคนลือกันหนาหูก็เลยอยากถามให้หายสงสัยน่ะค่ะ เพราะหลายๆคนคงอยากรู้” เดือนฉายเหลือบสายตามองวิณรุจน์ซึ่งกำลังง่วนกับการเก็บเอกสารและโน้ตบุ๊ก

มนต์พระจันทร์อึ้งไปนิด ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าถามเรื่องส่วนตัวทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงนาที ทว่าเธอก็ไม่คิดจะปิดเป็นความลับอะไรเพราะเรื่องนี้พี่ศุและน้ำฝนก็รู้ดีอยู่แล้ว

“จริงค่ะ” เธอตอบโดยไม่มองเจ้าของทะเบียนสมรสอีกคน

เดือนฉายฉีกยิ้มพึงพอใจต่อคำตอบที่ได้รับ อย่างน้อยเธอก็ได้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมแล้ว จากนั้นหนุ่มๆวิศวกรก็ถึงกับร้องโอดครวญด้วยความเสียดาย

“รู้มั้ยครับคุณพระจันทร์ คุณหักอกผมตั้งแต่ยังไม่ทันได้เดินหน้าจีบเลยนะ” ทินกรเอ่ยแสดงอาการใจสลายกับคำตอบที่ได้ยิน มนต์พระจันทร์ถึงกับปล่อยหัวเราะเสียงใส ขณะที่ภาวิทย์หน้าจืดสนิท หัวใจแตกสลายไม่มีชิ้นดี เขากะว่าจะค่อยๆสานสัมพันธ์จนกว่าเธอจะยอมรับรักเขา แต่สุดท้ายก็อกหักไม่เป็นท่า

“ขอโทษนะครับ ขออนุญาตละลาบละล้วงหน่อยนะฮะ..สามีคุณพระจันทร์ไม่ว่าเหรอฮะที่คุณมาทำงานไกลถึงนี่” ทินกรนึกสงสัย
มนต์พระจันทร์ยิ้มนิด เธอกำลังคิดว่าควรจะตอบอย่างไรดีขณะที่ต้นเรื่องอีกคนก็ยืนอยู่ในห้องนี้

“ไม่ว่าค่ะ” เพราะเธอไม่เคยถาม และเขาก็ไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร มนต์พระจันทร์คิดโดยไม่ทันเห็นว่าวิณรุจน์แอบชำเลืองมาขณะที่เธอตอบ

“ถ้าเป็นผมหน่อยไม่ได้ จะหนีบเอาไว้ไม่ให้ห่างเชียวล่ะ สวยขนาดนี้” ทินกรพูดตามที่ใจคิด มนต์พระจันทร์คลี่ยิ้มบางเบา เธอชินเสียแล้วกับคำชื่นชมเหล่านี้

“บางที..ความสวยก็ไม่ช่วยเสมอไป จริงมั้ยค่ะคุณพระจันทร์” เดือนฉายเอ่ยเป็นนัยแทรกขึ้นมาก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปากแล้วเดินออกจากห้องไป

ใช่..บางทีความสวยก็ไม่ได้ช่วยอะไรอย่างที่เดือนฉายบอกเพราะความรักต่างหากที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งระหว่างเธอกับวิณรุจน์มันไม่ได้เริ่มต้นจากตรงไหนทั้งนั้น

“พอแล้วนายทิน เลิกหยอดเถอะเพราะมันไม่ได้ผลหรอก พระจันทร์เขารักเดียวใจเดียวย่ะ!” ศุภางค์ตัดบทด้วยความรำคาญก่อนจะชวนน้ำฝนและมนต์พระจันทร์กลับไปทำงานต่อ มนต์พระจันทร์ตีหน้ายุ่งกับประโยคสุดท้ายของศุภางค์หลังจากออกพ้นห้องประชุมเพียงนิดเดียว

..เธอเนี่ยนะ..รักเดียวใจเดียว ทว่าก็ไม่ได้แก้ต่าง ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจแบบนั้นก็ดีจะได้ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องรักสามเศร้าให้ปวดหัวด้วย

ภาวิทย์ซึ่งก้าวมาตามหลังไม่ห่าง หยุดมองเธอนิด สายตาของเขาหม่นวูบชอบกลก่อนจะเดินจากไปโดยทิ้งเพียงรอยยิ้มบางเบาให้เธอ

“รู้จักกันแล้วเหรอ” น้ำฝนถาม วิศวกรคนใหม่ใบหน้าคมคายหล่อเหลาทีเดียว แต่ถ้าเปรียบระหว่างวิณรุจน์แล้ว วิณรุจน์กระชากใจกว่า

“อืม..ขึ้นเครื่องมาพร้อมกันน่ะ” มนต์พระจันทร์ตอบข้อสงสัย

“น่าสงสารเนอะ เราดูออกว่าเขาสนใจพระจันทร์อยู่” น้ำฝนแสดงความเห็น

มนต์พระจันทร์ถอนใจนิด บางทีเธอก็นึกเกลียดความสวยของตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน เพราะมันเที่ยวไปทำร้ายจิตใจใครต่อใครโดยไม่รู้ตัว แต่เจ้าของทะเบียนสมรสอีกคนสิ!น่าโมโหกว่า ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ตั้งหลายปี ใช่สิ..เขาเป็นผู้ชายนี่!จะจดทะเบียนสมรสกี่ครั้งคำนำหน้าก็ยังเป็นนายเหมือนเดิม

_________________________________________________________
“จะว่าไปแล้ว ยัยเดือนฉายเดือนดับก็กล้าถามเนอะ ไม่มีมารยาท” น้ำฝนเอ่ยด้วยความหมั่นไส้เมื่อกลับมาถึงแผนกตัวเอง

“ตั้งใจถามกันท่ามากกว่า ก็ดูสิ!หนุ่มๆแวะเวียนมาทำธุระที่แผนกเราเป็นว่าเล่นทั้งที่บางเรื่องก็ไม่จำเป็น” ศุภางค์ให้ความเห็นขันๆ

“ทำไมเหรอคะ” มนต์พระจันทร์ถาม เพราะไม่ทันได้ฟังตั้งแต่ต้นประโยค

“ก็เพราะความสวยของเรานั่นแหละที่ทำให้พวกลิงพวกแรดอยากมาชม” ศุภางค์อธิบายต่อยิ้มๆ เธอจึงพยักหน้าหงึกหงัก เธอไม่เคยสนใจว่าใครจะมอง ใครจะจีบเธออย่างไรแม้จะรู้ว่าตัวเองมีรูปทรัพย์ก็ตามที บางทีความสวยก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะถือทะเบียนสมรสอยู่ในมือ ถ้าโสด..ก็ว่าไปอย่าง

“ลือกันว่ายัยเดือนดับแอบสนใจคุณรุจน์ ถึงได้คอยกันท่าสาวๆทุกคนที่สวยกว่าตัวเอง” น้ำฝนเล่าบ้างก่อนจะพูดถึงเหตุการณ์ที่มนต์พระจันทร์โต้ตอบกับโปรเจ็ครุจน์อย่างสนุกปาก “แต่ฝนชอบตอนที่พระจันทร์กับคุณรุจน์ถามตอบสลับกันนี่แหละ ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลยนะ แถมยังกล้าย้อนสอนเขาด้วย เจ๋งชะมัด” น้ำฝนดีดนิ้วชมดังเปาะ

“เราแค่ทำตามหน้าที่ ไม่เห็นต้องหงอเลย อีกอย่างเรามาตรวจสอบเขานะ เขาต่างหากที่ต้องกลัวเรา” มนต์พระจันทร์ให้ความเห็น กระทั่งศุภางค์ปรี่เข้ามาสะกิดแขนหลังจากเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นวิณรุจน์กำลังเดินเข้ามาพอดี

“อ้าว!รุจน์ มาส่งรายงานเองเลยเหรอ ให้เด็กที่แผนกเอามาให้ก็ได้นี่” ศุภางค์เอ่ยทัก

“ผมเพิ่งตรวจเสร็จ จะออกไปดูงานที่โซนเอพอดี อีกอย่าง..” วิณรุจน์เหลือบตามองเจ้าของใบหน้าหวานหยดเพียงนิดก่อนจะพูดต่อ “เกรงว่ารายงานจะตกหล่น ผมไม่อยากโดนตำหนิอีกครับ” เขาเอ่ย ก่อนจะยื่นรายงานให้กับมนต์พระจันทร์ เธอรับมันมาถือไว้ รู้ว่าโดนเหน็บเข้าให้แล้ว จากนั้นร่างสูงๆของเขาก็ก้าวออกจากเต็นท์ทันทีปล่อยให้ศุภางค์ยืนอ้าปากค้างเก้ออยู่กลางอากาศเพราะกำลังจะทำตัวเป็นทูต

“แหม..ไม่รู้จะรีบไปไหน จะแนะนำให้รู้จักกันซะหน่อย” ศุภางค์บ่นกระปอดกระแปดตามหลัง

มนต์พระจันทร์มองตามแผ่นหลังของร่างสูง แววตาสลดวูบนิด คนใจร้าย ไม่เจอกันตั้งหลายปีจะทักทายกันบ้างเป็นไม่มี เขาคงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอกับเขารู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน คิดว่าเธออยากจะเกี่ยวข้องกับเขานักหรือไง มนต์พระจันทร์ชักสีหน้าหงิกเล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้ไล่ตามแผ่นหลังสูงที่ก้าวฉับๆหายไปตามทางเดินเข้าไซด์งาน โดยที่เพื่อนร่วมงานทั้งสองไม่ทันเห็น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฝากอีกหนึ่งตอนค่าา

by>>>>>รจนาไฉน




รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ต.ค. 2559, 19:08:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ต.ค. 2559, 19:30:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 995





<< บทที่ 4 ----------เล่ห์บุพเพ 100%--------   บทที่ 6-------เล่ห์บุพเพ--------100% >>
Kim 4 ต.ค. 2559, 12:21:18 น.
ชอบๆ... เดี๋ยวกลับจะไปอ่านตั้งแต่เริ่มต้นเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account