เล่ห์บุพเพ
พันธนาการที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก ทำให้มนต์พระจันทร์ต้องการอิสรภาพคืน ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อการพบกันอีกครั้งระหว่างเธอและเขามีกฏเกณฑ์ทางหน้าที่กำหนดไว้ว่าระหว่างคอนซัลและวิศวกรห้ามมีความสัมพันธ์กันนอกเหนือจากเพื่อนร่วมงานธรรมดา มนต์พระจันทร์จึงไม่อาจทวงถามถึงอิสรภาพที่รอคอยได้เสียที ในขณะที่วิณรุจน์เองก็ทำราวกับไม่รู้จักเธอ..ซ้ำยังกลายมาเป็นชู้ เรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้น

ตัวอย่างจ้า

"อยากหย่านักใช่มั้ย" วิณรุจน์เอ่ยถามหลังจากมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง

"ค่ะ ทะเบียนสมรสมันทำให้พระจันทร์ลำบาก"เธอเอ่ยราบเรียบ

Tags: มนต์พระจันทร์/วิณรุจน์/คอนซัล/โปรเจ็คแมนเนเจอร์

ตอน: บทที่ 6-------เล่ห์บุพเพ--------100%

ฝากติอีกหนึ่งบทค่ะ

by....รจนาไฉน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------



“รุจน์มานี่..มารู้จักกับสมาชิกใหม่ของบ้านเรา” ภาวินีเอ่ย ขณะที่วิณรุจน์มองเด็กหญิงผมเปียแขนขายาวเก้งก้างข้างกายมารดานิ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีเสียเฉยๆ

“น้องชื่อมนต์พระจันทร์ ต่อไปพระจันทร์จะมาอยู่กับเราที่บ้านหลังนี้” มารดาบอกเขา

เขาเคยเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้ที่โรงพยาบาลในวันที่บิดาเสียชีวิตและจากคำบอกเล่าของมารดา พ่อแม่ของเธอก็เสียชีวิตในวันเดียวกัน วันเผา..เธอเอาแต่นั่งร้องไห้หน้าโลงศพของทั้งคู่จนตาบวม ขณะที่ญาติพี่น้องต่างถกเถียงกันเพื่อขอเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของมนต์พระจันทร์กระทั่งมารดาเขาแสดงเจตน์จำนงขอเป็นผู้อุปการะเองเพราะคำสั่งเสียของพ่อแม่เด็กคนนั้น

ตอนนั้นเขาเรียนอยู่ปีหนึ่ง และเด็กคนนั้นเพิ่งขึ้นม.สอง เขานึกสงสารที่เธอต้องมาเสียทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมกันในขณะที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ แม้เขาจะสูญเสียบิดา แต่ก็ยังโชคดีกว่านักเพราะยังเหลือมารดาอยู่อีกทั้งคน มิหนำซ้ำญาติพี่น้องของเด็กคนนั้นก็เอาแต่ถกเถียงกันเรื่องใครจะเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของมนต์พระจันทร์ตั้งแต่วันแรกที่สวดอภิธรรมศพ ทุกคนล้วนแล้วแต่หวังผลประโยชน์มหาศาลจากหุ้นที่พ่อแม่มนต์พระจันทร์ถืออยู่ในบริษัทอัครกานต์เท่านั้น มิได้มีใครห่วงใยในตัวเด็กน้อยจริงๆเพราะกว่าที่เด็กน้อยจะบรรลุนิติภาวะก็กินเงินจากปันผลได้มากโข

วิณรุจน์นึกย้อนกลับไปในอดีต มือหนาค้างเติ่งบนแป้นพิมพ์มาพักใหญ่ครุ่นคิดอยู่ในหัวว่าเขาจะทำอย่างไรดีหลังจากนี้

“รุจน์” พีรทัตเอ่ยเรียกวิณรุจน์อยู่สองสามครั้งตั้งแต่เดินขึ้นมาบนบ้านพักทว่าเขาก็เอาแต่นิ่งใจลอยราวกับหุ่นขี้ผึ้ง

“ครับพี่คี้” วิณรุจน์สะดุ้งนิด

“เป็นอะไรใจลอยแต่เช้า” พีรทัตเอ่ยถามเพราะปกติแล้วไม่เคยเห็นวิณรุจน์ในโหมดนี้มาก่อน เขาเพียงยิ้มบางๆมุมปาก จากนั้นพีรทัตก็พูดต่อ “ได้ยินมาว่าเมื่อวานโดนต้อนจนต้องเอ่ยคำขอโทษกลางที่ประชุมเชียวเหรอ” พีรทัตแซว

“ครับ” เขายอมรับยิ้มๆ

“เป็นไปได้ มิน่าไอ้พวกแรดถึงได้บอกว่ารุจน์เจอคู่ชกซะแล้ว” พีรทัตพูดขันๆ

“ผมไม่ได้เก่งกาจมาจากไหนนี่ฮะ มีผิดพลาดเหมือนกัน” เขาพูดพลอยยิ้มไปด้วย ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าที่เพื่อนร่วมงานต่างนำเรื่องนี้ไปโจษจันท์สนุกปาก “ว่าแต่พี่คี้มาหาผมถึงบ้านพัก มีอะไรรึเปล่าครับ”
เพราะก่อนหน้าที่พีรทัตจะก้าวขึ้นบันไดมา เขาเห็นแววกังวลติดบนใบหน้าไม่คลาย

พีรทัตชักสีหน้ายุ่งขึ้นมาทันที เขาขับรถออกไซต์งานหลังจากเซ็นต์เอกสารเสร็จเพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยกับวิณรุจน์ซึ่งที่ไซต์ไม่เหมาะจะพูดเรื่องส่วนตัวนัก

“ขอโทษนะที่รบกวนเวลาพักผ่อน ทั้งที่เพิ่งออกกะมา”

“ไม่เป็นไรครับ พี่คี้มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาได้เลย” วิณรุจน์เอ่ย ไม่ได้มีอาการเบื่อหน่ายให้เห็นแม้แต่น้อย

จะว่าวิณรุจน์เป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง ก็ไม่น่าใช่เพราะเท่าที่รู้จักกันมาหลายปี วิณรุจน์ไม่เคยอ้อมค้อมและฝืนใจทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบเด็ดขาด

“เรื่องชมพูน่ะ” พีรทัตเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด

พลอยชมพูเป็นลูกสาวของเขากับภรรยาที่แยกทางกันตั้งแต่พลอยชมพูแบเบาะ เมื่อก่อนเขาก็เป็นเหมือนวิณรุจน์นี่แหละที่ทุ่มเทให้กับงานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัวจึงทำให้ภรรยาของเขาตัดสินใจแยกทางด้วย แล้วไปแต่งงานใหม่กับเศรษฐีหนุ่มชาวเดนมาร์กทิ้งให้เขาเลี้ยงดูพลอยชมพูตามลำพัง

เขาจึงพาลูกสาวไปฝากให้พ่อแม่เลี้ยงแล้วตัวเองก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ส่งเสียเลี้ยงดูลูก ดังนั้นเมื่อลูกขออะไรเขาก็หาให้ทุกอย่างเพื่อชดเชยที่เขาไม่มีเวลาดูแล จึงทำให้พลอยชมพูกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ แม้แต่เขาซึ่งเป็นพ่อแท้ๆยังดุด่าว่ากล่าวไม่ได้โชคดีที่ได้วิณรุจน์มาคอยปรามให้ไม่งั้นพลอยชมพูคงเสียคนไปนานแล้ว

พีรทัตลำบากใจไม่น้อยที่ต้องรบกวนวิณรุจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าแม้เจ้าตัวจะไม่เคยแสดงสีหน้าระอาให้เห็นก็ตามที เขารู้ว่าวิณรุจน์เข้าใจและเต็มใจช่วย ทว่าเกือบทุกครั้ง..ทุกปัญหาของพลอยชมพูก็ต้องจบลงที่วิณรุจน์เป็นคนแก้เสมอ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผ่านมาเกือบเดือนที่ร่วมงานกัน แม้แต่คำทักทายยังไม่มีหลุดจากปากหยัก เมื่อเขาทำเป็นไม่รู้จัก เธอก็เฉยบ้าง แม้จะอยากทวงถามถึงทะเบียนสมรมว่าจะหย่าเมื่อไหร่ดี ทว่าด้วยหน้าที่และกฎเกณฑ์จึงไม่สามารถเอ่ยอะไรได้ดั่งใจคิด ทุกครั้งที่ออกไปตรวจงานก็คุยแค่เรื่องงานอย่างเดียว ต่างคนต่างทำหน้าที่ตน ครั้นพอเธอถาม..เขาก็ตอบ เมื่อเขาอธิบาย..เธอก็จดและจด เสร็จก็กลับเต็นท์จนเริ่มชินกระทั่งเขาเข้ากะกลางคืนก็ไม่เคยได้พบกันอีก

วันนี้ก็เหมือนเดิม เธอออกมาตรวจงานที่โซนเอ แต่ไม่คิดว่าจะพบวิณรุจน์เวลานี้เพราะปกติแล้วจะเป็นภาวิทย์ที่อยู่ประจำกะกลางวัน ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ฉายแววอิดโรยเต็มที แต่ด้วยฤทธิ์กาแฟร่างสูงของวิณรุจน์จึงยังทรงตัวอยู่ได้ เธอสังเกตเห็นถ้วยกาแฟมันยังมีไอร้อนลอยอวลอยู่เลย

“ผมยืนกะจนถึงเที่ยงน่ะ ตอนบ่ายภาวิทย์จึงจะมารับช่วงต่อ” เขาตอบหลังจากสังเกตเห็นแววสงสัยบนใบหน้าเนียนลออ ก่อนที่มนต์พระจันทร์จะนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลบางส่วนจะมาดูความคืบหน้าของโครงการก่อนที่รัฐมนตรีจะมาเอง

“เมื่อคืนทำอะไรไปบ้างคะ” เธอถามคำถามเดิมตลอดเกือบเดือนที่ผ่านมา และวิณรุจน์ก็เริ่มอธิบายว่าเขาทำอะไรไปบ้าง ซึ่งก็เช่นเคย..มือบางก็จะคอยจด ก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างเดียวโดยไม่มองเขาแม้ยามที่เจ้าตัวตั้งคำถามก็ตามที

วิณรุจน์แอบสังเกตคนที่เอาแต่ก้มหน้าจดทุกอย่างที่เขาพูด นานครั้งจะถามขึ้นมาสักหนเมื่อเกิดข้อสงสัย วันเวลาเกือบสิบปีที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลย เขาเองก็ทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆมนต์พระจันทร์ก็โผล่มารับหน้าที่คอนซัลคนใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งร่างบางก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทั้งคำพูดคำจา การวางตัวรวมไปถึงหน้าที่การงานที่ส่งให้เธอสมบูรณ์แบบ

แววตากลมโตที่เคยซุกซนเมื่อครั้งยังเยาว์ก็ไม่มีให้เห็น จึงทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเธอใช่เด็กหญิงมนต์พระจันทร์รึเปล่า เขาจึงเริ่มต้นไม่ถูก วิณรุจน์ลอบมองใบหน้ากระจ่างใสอย่างพินิจพิเคราะห์ขณะที่ปากก็พูดไปเรื่อยๆ แพขนตาหนางอนยาวหลุบต่ำจดจ่ออยู่กับสมุดรายงานในมือแทบไม่กระดิก สวยอย่างนี้ไงเล่าถึงเป็นขวัญใจมหาชนเพียงชั่วข้ามคืน

มนต์พระจันทร์หน้าตาดีตั้งแต่เด็ก เจ้าตัวคงเสียดายที่ไม่มีอิสระได้คบหาใครเพราะบ่วงสัญญา เขาเองก็เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ขวนขวายอะไรนัก จึงถือทะเบียนสมรสนิ่งเฉยตลอดมา อาจเพราะเขายังไม่เจอคนถูกใจก็เลยไม่รีบร้อนลุกขึ้นมาขอหย่าเสียที แล้วมนต์พระจันทร์ล่ะ..มีคนรักแล้วหรือยัง ถ้ามี..เขาก็พร้อมจะคืนอิสรภาพให้เธอ ทว่าต้องไม่ใช่ภายในสองปีนี้แน่ๆ

“เป็นไงบ้าง” วิณรุจน์ตัดสินใจชวนคุยหลังจากที่พูดเรื่องงานจบ

“ก็ละเอียดดีค่ะ” เธอตอบก่อนจะชะงักมือที่กำลังเขียนบรรทัดสุดท้ายลง มองเขาด้วยความไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดไปหรือเปล่า

“สบายดีหรือเปล่า” เขาถามอีกครั้งราวกับย้ำว่าเธอไม่ได้ฟังผิด

“ค่ะ สบายดี” มนต์พระจันทร์ตอบสั้นๆมองประเมินเขาด้วยความงุนงง ทั้งยังตกใจไม่น้อยที่จู่ๆเขาก็ชวนคุยนอกรอบเป็นครั้งแรก
..เกือบเดือน..กว่าเขาจะจำได้ว่าเคยรู้จักเธอ นานไปรึเปล่า มนต์พระจันทร์แอบค่อนขอดในใจ

“ขอโทษ..ที่ไม่ได้ทักตั้งแต่วันแรก” วิณรุจน์เอ่ยราวกับรู้ทันความคิดเธอ

“ค่ะ เวลาเกือบสิบปีที่ไม่พบกันเลย เราก็ไม่ต่างจากคนที่เพิ่งรู้จักกัน” มนต์พระจันทร์พูดตามที่คิด เธอไม่ได้ประชดเขา แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เวลาเกือบสิบปี เขาจำอะไรเกี่ยวกับเธอได้บ้างล่ะ คงไม่มี เพราะเธอก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าวิณรุจน์ตัวเป็นๆน่ะเป็นเช่นไร

วิณรุจน์ในวันนี้แตกต่างจากเมื่อแปดปีที่แล้ว เขาสูงขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาคมสันเข้ารูปเข้ารอยกว่าแต่ก่อนมาก เรียกว่าหล่อขึ้นกว่าเดิมเยอะ มีเพียงแววตาสีนิลคมกริบและเฉยชาเท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกว่ายังมีเค้าของวิณรุจน์คนเดิมหลงเหลืออยู่
วิณรุจน์ตั้งท่าจะพูดต่อทว่าเสียงของน้ำฝนก็ทำให้เขาต้องเงียบไป

“ขอโทษนะคะคุณรุจน์ พอดีคุณลีเรียกพระจันทร์ด่วนน่ะค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุย คุยงานกันอยู่รึเปล่าคะ”น้ำฝนรีบออกตัวที่มาขัดจังหวะการทำงานของทั้งคู่ ทว่ามนต์พระจันทร์ก็ชิงตอบซะเอง

“เสร็จพอดีฝน” เธอเหลือบตามองคนตัวสูงนิด ขณะที่เขาเองก็จ้องเธอนิ่งๆไม่มีแววยิ้มหรือความรู้สึกใดๆให้อ่านได้ก่อนจะเดินจากมาโดยไม่เอ่ยลา
..สมกับฉายามนุษย์หินจริงๆ

-------------------------------------------------------------------------------------------------

“รุจน์ แม่ขอร้องทำเพื่อแม่สักครั้งได้มั้ย” ภาวินีเอ่ยหลังจากพยายามพูดคุยกับลูกชายมาหลายครั้งแล้ว ทว่าวิณรุจน์ก็ยังยืนกรานคำเดิมคือไม่แต่งงาน เขาถอนใจด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อไหร่มารดาจะเลิกบังคับให้เขาแต่งงานกับมนต์พระจันทร์ซะที

“ยุคนี้ 2016แล้วนะครับ เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่จะมาคลุมถุงชนแล้วก็ถือสัญญาปากเปล่า จับลูกหลานให้แต่งงานกันนะฮะคุณนายภาวินี” วิณรุจน์เอ่ยขำๆด้วยท่าทีสบายๆ ทว่ายั่วโทสะมารดาสุดๆ
หลายเดือนที่ผ่านมา มารดาเฝ้าเพียรพยายามพูดเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่วิณรุจน์ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด พยายามเลี่ยงไม่พบหน้ามารดาจนต้องค้างที่ไซต์งานอยู่บ่อยๆ

เขาเพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงานได้เพียงปีเดียว ชีวิตหลังรั้วมหา’ลัยก็ยังไม่ได้ใช้ให้คุ้มค่า จู่ๆมารดาก็จะหาบ่วงมาผูกคอให้ซะแล้ว อีกทั้งบ่วงที่ว่าก็ฤทธิ์มากใช่ย่อย ดูอย่างวันก่อนที่เขานุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวเดินอยู่ในห้องนอนตัวเองเพราะเตรียมจะอาบน้ำ ทว่าเจ้าหล่อนดันเปิดประตูเข้ามาพอดี ศีรษะเขาจึงโดนสันหนังสือที่ถืออยู่ในมือเธอเข้าเต็มๆ ซ้ำยังถูกมารดาเอ็ดที่ไม่รู้จักล็อคประตูให้เรียบร้อย ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนแอบเข้าห้องนอนตอนที่เขาไม่อยู่ เพราะปกติก็ไม่เคยเห็นเฉียดมาใกล้

“ถ้าพูดกันดีๆไม่ได้ก็ต้องบังคับ” ภาวินีแผดเสียงกร้าวหลังจากที่พยายามพูดดีก็แล้ว อธิบายเหตุผลก็แล้ว วิณรุจน์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตามใจตนเสียที “ก็ได้..แกจะไม่แต่งงานกับมนต์พระจันทร์ก็ได้ แต่อย่ามาเรียกฉันว่าแม่อีกเด็ดขาด”

“นี่..แม่เอาจริงเหรอฮะ” เขาเอ่ยหน้ายุ่งหลังจากที่เห็นมารดาเริ่มฉุนขาด

“ใช่ ถ้าแกยังเห็นว่าฉันเป็นแม่แกอยู่..แกต้องแต่งงานกับมนต์พระจันทร์”

ท่าทีสบายๆเมื่อครู่ของเขาหายไป รอยยิ้มที่แต้มมุมปากหุบลงสนิทเมื่อมารดาเอ่ยจริงจัง สันกรามทั้งสองข้างขบกันแน่นจนเกิดเป็นริ้วรอยนูนขึ้นลงสลับกันด้วยความไม่ชอบใจนัก ยิ่งนึกถึงน้องสาวตัวแสบก็ยิ่งโกรธ มารดาถึงกับจะตัดขาดจากความเป็นแม่ลูกกันเพียงเพราะเขาไม่ยอมแต่งงาน แม่ห่วงมนต์พระจันทร์ห่วงอัครกานต์และพยายามทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับบิดา ทว่าไม่ห่วงไม่แคร์ความรู้สึกเขาซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆบ้าง และวิธีที่ใช้ก็โหดร้ายเกินไปสำหรับเขาซึ่งเพิ่งจะมีชีวิตวัยหนุ่มซึ่งยังไม่ได้ใช้ให้คุ้มค่า

แต่นั่นแหละ..ต่อให้เขาหนีหายไป ทว่าก็ทำได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เขาเหลือมารดาเพียงคนเดียวอีกทั้งท่านก็ยังมีโรคหัวใจแทรกซ้อนด้วย ถ้าขัดใจอาจจะโกรธไม่ยอมกินยาก็ได้

“ก็ได้ครับ แต่แค่จดทะเบียนสมรสเท่านั้น จะไม่มีงานแต่ง และหลังจากที่จดทะเบียนสมรสแล้ว คุณแม่ต้องส่งมนต์พระจันทร์ไปเรียนต่อที่เมืองนอกทันที รับปากผมได้รึเปล่า” เขาเอ่ยเสียงเข้มจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นหลังจากไม่มีทางเลี่ยงได้

มือบางปล่อยกระเป๋านักเรียนที่หิ้วกลับจากโรงเรียนกระแทกกับพื้นเสียงดังด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ใบหน้างามหยดซีดเผือด ทั้งไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยทุกอย่าง แต่ทำไมถึงไม่มีใครถามเธอบ้างเลยว่ายินยอมรึเปล่า

วิณรุจน์หันมาสบตากับเธอเรียบนิ่ง แววตาเย็นชาและเยือกเย็น รอยสันกรามที่สลับกันขึ้นลงบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้ ภาวินีหันมามองเธอนิด สีหน้าของท่านครุ่นคิดไม่ตกเพราะรักเด็กสาวราวกับแก้วตาดวงใจ ทว่าก็ยอมตกปากรับคำลูกชายในที่สุด

“ตกลง ฉันรับปาก ถ้าแกทำตามที่พูดจริงๆ” ภาวินีเอ่ยน้ำเสียงอ่อนลง พึงใจไม่น้อยแม้จะไม่ได้จัดงานแต่งงานให้สังคมรับทราบก็ตามที แต่นี่ก็ถือว่าเธอได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับสามีแล้ว..

มนต์พระจันทร์จำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี สายตาที่มองเธอในวันนั้นเยือกเย็นยากจะคาดเดา หลังจากจดทะเบียนสมรสได้เพียงอาทิตย์เดียว เธอก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่อเมริกาและก็ไม่เคยได้ติดต่อกับเขาอีก

“คุณพระจันทร์ครับ” ภาวิทย์สะกิดมือบางแผ่วเบา หลังจากที่พบมนต์พระจันทร์นั่งนิ่งราวตอไม้ มือบางก็เขี่ยข้าวในจานไปมา

“คุณวิทย์ ฉันคิดว่าคุณจะไม่พูดกับฉันแล้วซะอีก” มนต์พระจันทร์ยิ้มกว้างให้เขา สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้คุยกันเลยถ้าไม่นับเรื่องงาน ภาวิทย์ยิ้มให้เธอก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมจานข้าวในมือ

“ผมกำลังทำใจอยู่น่ะฮะ” เขาเอ่ยยอมรับขันๆ “ยอมรับครับว่าตกใจไม่น้อย เพราะดูแล้ว..คุณไม่เหมือนคนที่มีสามีเลย” เขาพูดเปิดอกตรงไปตรงมา เล่นเอามนต์พระจันทร์วางหน้าไม่ถูกเช่นกัน

“ค่ะ บางที..ฉันก็ลืมไปเหมือนกัน” เธอตอบฉุนๆแล้วถอนใจเฮือกยาว

ภาวิทย์เองนึกอยากถามว่าเพราะอะไรมนต์พระจันทร์ถึงตอบแบบนี้ ทว่าก็ไม่กล้าละลาบละล้วงนักเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว เขาจึงยกเรื่องอื่นขึ้นมาสนทนาแทนเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป ก่อนที่สองสาวจะถือจานข้าวเข้ามาสมทบ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เย็นวันเดียวกัน พอเลิกงานมนต์พระจันทร์รวมถึงศุภางค์และน้ำฝนก็ติดรถของโครงการเข้าเมืองเพราะของใช้ขาดไปหลายอย่าง ทั้งในตู้ก็เย็นก็ว่างเปล่า เธอมักจะหิวกลางดึกต้องตื่นมาหาอะไรกินจนเสียนิสัย อีกอย่างศุภางค์กับน้ำฝนก็วางแผนไว้ว่าวันหยุดนี้จะมาทำอะไรกินกัน ทั้งที่คิดกันเอาไว้นานแล้วแต่เพิ่งจะได้หายใจหายคอคล่องหน่อยหลังจากเรื่องงานเข้าที่เข้าทาง

มือบางไขกุญแจห้องขณะที่ภาวิทย์ถือข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือเดินมาส่งเธอที่บ้านพัก ส่วนใหญ่ที่ซื้อมาก็เป็นพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมปัง ของที่กินง่ายๆไม่ยุ่งยากเพราะเวลามีไม่มากนัก

“ขอบคุณมากนะคะ ที่หิ้วของมาส่ง” เธอยิ้มให้เขาหลังจากเปิดประตูให้ภาวิทย์นำข้าวของเข้ามาเก็บด้านใน

“ยินดีครับ ความจริงไม่ต้องขอบคุณหรอกฮะ เพราะเย็นพรุ่งนี้ผมกะจะมาร่วมวงด้วย ไม่ได้ออกตังค์ออกแรงก็ยังดี” เขาเอ่ยยิ้มๆ เพราะไม่ได้เข้าเมืองไปด้วยแต่เห็นมนต์พระจันทร์เดินหิ้วข้าวของซะตัวเอียงกับเพื่อนๆจึงแวบงานอาสามาส่ง “งั้น ผมกลับไปทำงานก่อนนะฮะ เดี๋ยวคนงานเอาไปฟ้องโปรเจ็คล่ะยุ่งเลย” เขาพูดขันๆ

“ค่ะ” มนต์พระจันทร์พลอยขันตามเขาโดยลืมสังเกตไปว่าห้องข้างๆนั้นมีคนอยู่

เสียงฝีเท้าหนักๆเดินทั่วบ้านพักติดกันทำให้มนต์พระจันทร์นิ่งฟังนิด นึกแปลกใจว่าเขากลับมาพักที่บ้านแฝดด้วยหรือ ประโยคเมื่อครู่ของภาวิทย์ เขาจะได้ยินรึเปล่าก่อนที่มือถือในกระเป๋าสะพายจะดัง

“สวัสดีค่ะคุณป้า คิดถึงจังค่ะ” มนต์พระจันทร์รีบชิงหยอดก่อนที่จะฟังเสียงบ่นจากผู้เป็นป้า เพราะตั้งแต่มาที่นี่ก็ร่วมเดือนแล้วเธอยังไม่ได้โทร.กลับหาท่านเลย

“อย่ามาทำเป็นปากหวานใส่ป้าหน่อยเลย คิดถึงแบบไหนกันเงียบหายไปเลยลูก” ภาวินีตัดพ้อ

“พระจันทร์รอให้งานเข้าที่ก่อนน่ะค่ะแล้วค่อยโทร.หาคุณป้า เด็กใหม่นี่คะก็ต้องใส่ใจงานหน่อย เดี๋ยวเจ้านายจะว่าเอาได้ คุณป้าสบายดีนะคะ ไปหาหมอตรงตามนัดรึเปล่า” มนต์พระจันทร์ร่ายยาวเป็นชุด

“จ้ะ ป้าแข็งแรงดี ไม่มีอะไรน่าห่วง คุณหมอว่าอย่างนั้นนะ แต่คำตอบจากเรานี่ล่ะจะทำให้ป้าเครียดอีกรึเปล่า”

มนต์พระจันทร์กลอกตานิด เธอว่าแล้วเชียว ท่านคงโทร.มาถามว่าพบวิณรุจน์รึยัง ได้คุยกันบ้างรึเปล่าแล้วก็อะไรอีกมากมายที่ท่านอยากรู้

“พระจันทร์ไปเจอตารุจน์หรือยัง ได้คุยกันบ้างรึเปล่า” ภาวินีถามทันทีขณะที่มนต์พระจันทร์กำลังครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรให้ท่านสบายใจ

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แน่นอนว่ามันไม่จบ

“ค่ะอะไร ได้เจอหรือได้คุย แล้วตารุจน์ว่าไงมั้งล่ะ” น้ำเสียงผู้เป็นป้าดูยินดีไม่น้อยกับคำตอบของเธอ เธอเปล่าโกหกนะ ก็เจอกันบ้างแบบเฉียดๆ คุยแล้ว..คุยเรื่องงานไง

“ก็..ไม่ว่าไงนี่คะ”

“ฮ้าย!ไม่ได้ดั่งใจเลย เอาล่ะ..ไม่เป็นไร เจอกันก็ดีแล้วถือเป็นจุดเริ่มต้น แค่นี้ก่อนนะลูก ป้ามีสายซ้อนจากวิชิต” วิชิตคือมือขวาคนสนิท เรียกว่าคนเก่าคนแก่ของอัครกานต์ก็ว่าได้ที่คอยอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับภาวินีมาโดยตลอด ที่สำคัญเป็นคนดีและไว้ใจได้

ภาวินีวางสายไปแล้ว มนต์พระจันทร์ถึงกับผ่อนลมหายใจออกจากปากด้วยความโล่งอกเพราะถ้าคุยต่อ เธอก็ไม่รู้จะต้องเจอภารกิจอะไรจากท่านอีก

-----------------------------------------------------------------------จบตอน--------------------------------------------------

ขอบคุณที่ติดตามค่า



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2559, 20:49:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2559, 20:49:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1038





<< บทที่ 5--------------เล่ห์บุพเพ-------- 100%   บทที่7----------เล่ห์บุพเพ--------30% >>
Kim 8 ต.ค. 2559, 23:21:22 น.
มาอยู่ตั้งเดือนหนึ่งละเพิ่งจะทักทาย ความรู้สึกช้าจริงนะนายรุจน์


รจนาไฉน 12 ต.ค. 2559, 21:22:23 น.
ขอบคุณคอมเม้นนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account