เทพบุตรกิเลนไฟ
เพราะหนี้ก้อนโตที่มีอยู่ทำให้ ดรัญญา คุณหมอสาวสวยที่คนในวงการอาชญากรรมแห่งชลบุรีรู้จักในนามหมอเถื่อน ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับข้อเสนอเป็นหมอประจำแก๊งให้กับนักเลงอย่าง ศาเวธน์ มาเฟียหนุ่มหล่อผู้ได้ฉายาว่ากิเลนไฟ ที่มาพร้อมมาดเงียบขรึมน่าหมั่นไส้เกินใคร


มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากว่าเขากับเธอจะไม่ได้เริ่มใกล้ชิดกัน และยิ่งกว่านั้น ...


ถ้าเขาจะไม่ได้มีคู่หมั้นผู้สุดแสนเพอร์เฟ็กต์อย่าง 'บุศลินทร์' อยู่ก่อนแล้ว!


เอาละสิ หลายคนพากันแซวนี่เธอกำลังจะแย่งแฟนชาวบ้านหรือไง แต่สาวมั่นอย่างเธอจะให้ยอมรับว่าชอบเขาจริงก็ฝันไปเถอะ ขี้เก๊กขนาดนั้น ใจร้อนเป็นที่หนึ่ง มุทะลุไม่มีใครเกิน ... เหอะ รอไว้ชาติหน้าละกัน


แต่ท่ามกลางปัญหาหัวใจที่ก่อเกิด ใครจะรู้ เงามืดก็เคลื่อนมาครอบทับพัทยาถิ่นของเขาจากฝีมือของอาชญากรนาม 'ฟีนิกซ์'


ขณะรักษาชีวิตให้ผู้คนทั้งในและนอกเงามืด ดรัญญาพบว่าตนเองตกอยู่ในวังวนการแย่งชิงอำนาจที่ดุเดือดระหว่างแก๊งมาเฟียนานาชาติ อีกทั้งโชคชะตายังได้นำพาให้เธอค้นพบปมอดีตของครอบครัวตนเอง ที่โยงใยไปถึงปมอดีตของศาเวธน์อีกด้วย


อะไรกัน ทำไมเรื่องราวมันวุ่นวายขึ้นทุกทีแบบนี้!


ขอเชิญลุ้นระทึกไปกับการผจญภัยของคุณหมอสาวสวยสุดห้าว ในดงเพชณฆาตปืนไว และการหักเหลี่ยมเฉือนคมที่ซ่อนกระสุนมรณะในรอยยิ้ม รวมถึงการเรียนรู้ความหมายของคำว่าความรัก ในแบบฉบับเคล้าควันปืน กับ เทพบุตรกิเลนไฟ นวนิยายโรแมนซ์แอ็คชั่น - ดราม่า ที่จะพาทุกหัวใจสั่นไหวไปพร้อมกัน!


------------------------------------------------------------------------------------------------------


Tags: โรแมนซ์ แอ็คชั่น ดราม่า หมอ นักเลง อันธพาล

ตอน: บทที่ 2 - Baby Blue 3/3

ตอนที่ศาเวธน์เดินเข้าไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ตึกอำนวยการ เขาถอดแจ็คเก็ตเก็บไว้ในเบาะใต้รถคู่ใจ เพราะไม่อยากปรากฏตัวกลางโรงพยาบาลเหมือนอันธพาลมาตามหาคู่อริ ดังนั้นเขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตคอปกสีฟ้าอ่อน พับแขนขึ้นมาเพียงพอที่จะไม่แสดงรอยสัก กางเกงยีนแม้จะเข่าขาดแต่ยี่ห้อแช้ปส์เอกลักษณ์ของพี่ตูนบอดี้สแลมก็ไม่ได้ทำให้ดูแย่ ถึงเขาจะเจาะหมุดไล่ระดับตามใบหู แต่เชื่อเถอะ ทุกคนที่คุยด้วยไม่เคยมองหูเขาหรอก

“มาติดต่อพบแพทย์หญิงดรัญญาครับ” ชายหนุ่มแจ้งแก่ประชาสัมพันธ์สาวสวยหลังเคาน์เตอร์ ปรับสีหน้าให้ขรึมน้อยลงกว่าเคย หรือพูดง่ายๆ คือตีสีหน้าให้เป็นมิตรกับชาวบ้านมากขึ้นกว่าปกติ

“มีธุระอะไรเป็นพิเศษหรือได้นัดไว้ล่วงหน้าก่อนหรือเปล่าคะ?” ถามโดยประชาสัมพันธ์สาวที่มองหน้าศาเวธน์ก่อนชำเลืองมองช่อดอกคาร์เนชั่นสีขาว ราคาสองพันกว่าบาทในมือของเขา แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

เทพบุตรกิเลนไฟตอบเสียงเรียบ “เธอเป็นคนรักษาลุงผม เลยอยากมาขอบคุณ ไม่ได้นัดล่วงหน้า”

อันที่จริง ลูกน้องในแก๊งกิเลนหาข้อมูลมาให้ครบถ้วน เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ ประวัติ แม้แต่ ‘งานพิเศษ’ ที่เธอทำนอกโรงพยาบาล ศาเวธน์รู้ครบหมดแล้ว เขาจะติดต่อนัดเจอเธอเป็นการส่วนตัวที่อื่นก็ได้ แต่ด้วยความที่อยากให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็วที่สุด ชายหนุ่มจึงเลือกบึ่งมอเตอร์ไซค์มาที่โรงพยาบาลเอื้อกล้า หวังเจอเธอแล้วยัดดอกไม้ใส่มือให้จบๆ ไป

“รอสักครู่นะคะ ตามตารางแล้ว คุณหมอน่าจะมาเข้าเวรแล้วละค่ะ” หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ประสานงานติดต่อ กำลังจะยกหูโทรศัพท์ชนิดตั้งโต๊ะขึ้น ทันใดนั้น หางตาของศาเวธน์ก็เหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากลิฟต์ในห้องโถงใหญ่ ก้าวเท้าปราดๆ เดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์ออกนอกประตูไปด้วยความรีบร้อน คล้ายกำลังจะไปที่ไหนสักแห่ง

หญิงสาวในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดคนหนึ่งในกลุ่มนั้น สะดุดความสนใจของเขา

“อ๊ะ นั่นหมอดรีมนี่นา” ประชาสัมพันธ์สาวชะงักนิ้วมือที่กำลังจิ้มปุ่มบนแป้นโทรศัพท์ แล้วลุกขึ้นยืนชะโงกมองตามคนกลุ่มนั้น ก่อนจะพึมพำเบาๆ “เอ จะไปไหนกันนะ คุณเสริฐหน้าบอกบุญไม่รับเลย หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น...”

หล่อนหันกลับมาจะสอบถามหนุ่มหล่อที่มาติดต่อว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ก็พบว่าร่างสูงโปร่งและช่อดอกคาร์เนชั่นหอมฟุ้งนั้น ได้หายลับไปจากเบื้องหน้าเสียแล้ว



“คุณ ใจเย็นๆ จะทำอะไรคิดดีๆ ห่วงลูกเราบ้าง”

“ไม่ต้องมายุ่ง พวกคุณเก่งนักก็ให้แม่คุณเลี้ยงสิ ฉันมันสร้างแต่ปัญหา ฉันมันไม่ได้เรื่อง!”

“โถ แม่ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอก...”

“แม่คุณนี่ ยังไงคุณก็ต้องปกป้อง”

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้นเลย”

ดรัญญาได้ยินถ้อยคำโต้แย้งของสองสามีภรรยาขณะย่ำเท้าตามหลังวันประเสริฐและกลุ่มหมอพยาบาลขึ้นบันไดสู่ชั้นดาดฟ้าของตึกเด็กอ่อน หญิงสาวพบว่าขณะนี้มีกลุ่มเจ้าหน้าที่เกือบสิบคนยืนถอยออกมาเป็นเหมือนแนวกั้นชั้นนอก ดรัญญาแหวกกลุ่มคนที่ยืนดูก้าวเดินไปยังด้านในแนวกั้นมนุษย์ ตามหลังด้วยกลุ่มหมอสองสามคน แต่เธอรู้ดีว่าตนเองถูกเลือกมาให้ทำหน้าที่เจรจากับคนไข้อย่างเลี่ยงไม่ได้

ระหว่างที่เดินจากตึกอำนวยการมาตึกนี้ ป้าแอ๋วใช้เวลานั้นอธิบายรายละเอียดของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้พวกเธอฟังเรียบร้อย

“คุณแม่มีอาการเบบี้บลูค่ะ ซึมเศร้าหลังคลอดบุตร น้อยใจคำพูดกระทบกระเทียบจากแม่สามี ประกอบกับเครียดที่ลูกคลอดออกมาไม่แข็งแรง ต้องอยู่ในห้องอบตลอดเวลา หลังออกจากห้องพักแวะมาดูลูกที่ชั้นสาม เลยหนีขึ้นมาจะกระโดดตึก แต่สามีตามมาพบก่อน”

ร่างในชุดคนไข้ของหญิงสาวคนหนึ่ง บัดนี้ได้ขึ้นไปยืนอยู่บนราวระเบียงขอบตึกอย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งเป็นกำแพงคอนกรีตสูงระดับหน้าอก มีความกว้างของสันกำแพงเพียงแค่ให้วางเท้าได้ หากเกิดลมพัดมาแรงๆ สักวูบหนึ่ง ร่างของแม่ลูกอ่อนก็อาจจะละลิ่วลงไปกระแทกพื้นลานจอดรถด้านล่างด้วยความสูงสิบเมตร

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น โอกาสรอดชีวิตแทบเป็นไปไม่ได้

“คุณ งั้นเราแยกบ้านอยู่ก็ได้ มีแค่คุณ ผม ลูก สามคนเท่านั้น ดีไหม?”

ถัดออกมาไม่ห่างนัก ชายที่เป็นสามีนั่งคุกเข่าอ้อนวอนให้หล่อนลงมาด้วยใบหน้านองน้ำตา ดรัญญาเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของเขา ส่วนวันประเสริฐเดินไปข้างหน้าไม่หยุด ยกมือขึ้นกวัก แต่มองเผินๆ ไม่รู้ว่ากำลังกวักเข้ามาหาตัว หรือโบกไล่ออกไปกันแน่

“คุณคนไข้ ลงมาเหอะนะ ผมเป็นรองผอ. โรงพยาบาลนี้ มีอะไรให้ช่วยเหลือบอกมาได้”

“อย่าเข้ามา!” หญิงสาวคนไข้ตวาดขณะที่วันประเสริฐเดินเข้าใกล้เกินไป รองผู้อำนวยการหนุ่มหยุดเท้ากึกแล้วถอยกรูดมายืนซับเหงื่อข้างดรัญญา แต่จังหวะนั้นแม่ลูกอ่อนเสียสมดุลการทรงตัวเล็กน้อย สองแขนกางออกกว้างหมุนเหมือนกังหันลม แผ่นหลังเอนหงายไปด้านหลัง ทำท่าเหมือนกำลังจะตกลงไป

“ไม่นะ”

ดรัญญาเบิกตากว้าง ปฏิกิริยาตอบรับของเธอ คือพุ่งตัวไปด้านหน้า ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปหมายไขว่คว้าโดยทันที



“หยุดตรงนั้น! ไม่ต้องเข้ามา” คนไข้สาวซึ่งค้นพบจุดสมดุลของร่างกายอีกครั้งและกลับมายืนตรงได้แล้วส่งเสียงตวาดลั่น ศาเวธน์ซึ่งยืนปะปนรวมอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ เห็นคุณหมอสาวซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าของช่อดอกไม้ในมือเขา หยุดชะงักก่อนจะถึงตัวหล่อนเพียงไม่กี่หลาเท่านั้น

ตอนนี้ดรัญญาอยู่ใกล้หญิงคนไข้มากกว่าทุกคนแล้ว

ชายหนุ่มเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความสนใจ เธอจะทำยังไงต่อไปนะ?

“คุณแม่คะ ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ มีอะไรค่อยๆ พูดคุยกันดีกว่า เนอะ” ดรัญญาตะล่อมด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังจริงใจมากที่สุด แต่เพียงกล่าวจบเท่านั้น วันประเสริฐที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงแหลมขึ้นทันที

“ใช่ๆ ลงมาคุยกันก่อนเถอะคุณ นี่คุณหมอนางฟ้าอุตส่าห์มาหาคุณด้วยตัวเองเชียวนะ เมื่อเช้าได้ดูข่าวไหม? นั่นแหละ เกิดเป็นอะไรไป ไม่สงสารลูกผัว สงสารพ่อแม่ตัวเองหน่อยก็ยังดี ทุกคนเป็นกำลังใจให้คุณอยู่นะ จริงไหมพวกเรา? เอ้า ปรบมือให้กำลังใจคุณเค้าหน่อย คุณเค้าจะได้ลงมา”

ดรัญญาก้มหน้ามองพื้น สองมือกำหมัดเพื่อระงับอารมณ์ ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างปวดหัว เมื่อรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลนำทีมปรบมือเป็นคนแรก จากนั้นเจ้าหน้าที่คนอื่นจะไม่ทำตามก็ไม่ได้ ดังนั้นเสียงปรบมือเปาะแปะไม่ค่อยเข้าจังหวะสักเท่าไหร่จึงดังขึ้นทั่วดาดฟ้า ตามความประสงค์ของวันประเสริฐ

นี่กลายเป็นสิ่งที่บีบคั้นให้คนที่อยากฆ่าตัวตายรู้สึกแย่มากขึ้น

คุณหมอสาวเงยหน้าขึ้น สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พยายามรื้อฟื้นความทรงจำจากการเข้าคอร์สจิตวิทยาในการคุยกับผู้ป่วย ซึ่งทางโรงพยาบาลได้เคยจัดอบรมเมื่อปีที่แล้วให้กับแพทย์ที่จบใหม่ ดรัญญารับจ้างมาลงชื่อเข้าคอร์สแทนเพื่อนหมอที่ขอบาย จึงพอจะมีความรู้รับมือเรื่องแบบนี้ได้อยู่

เท่าที่ดรัญญานึกออกตอนนี้ ต้องให้คนไข้ระบายความอัดอั้นในใจออกมา ต้องเป็นฝ่ายคอยรับฟัง ไม่ใช่เป็นฝ่ายให้คนไข้รับฟัง อย่าเข้าไปใกล้ใน ‘ระยะปลอดภัย’ โดยพลการ อย่าพูดให้คนไข้รู้สึกกดดันหรือรู้สึกผิดเด็ดขาด ซึ่งทั้งหมดนั้น วันประเสริฐทำเสียครบถ้วนเลย

งามไส้จริงๆ !

สายลมบนดาดฟ้าพัดผ่านมาเพียงแผ่วเบา ผมหางม้าของเธอไหวตามแรงลมนั้น ดรัญญายกมือข้างหนึ่งโบกไปด้านหลัง เป็นสัญญาณให้หยุดการกระทำบ้าบอนั่นซะ เธอไม่รู้ว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่ แต่คุณหมอสาวรู้สึกดีขึ้นเมื่อเสียงปรบมือพลันเงียบหายไปตามที่ต้องการ

“ถ้าคุณแม่มีอะไรอยากระบาย บอกหมอได้นะ หมอพร้อมรับฟังค่ะ” ดรัญญาเริ่มต้นการเจรจาอีกครั้ง

“หมอฟังแล้วจะได้อะไรคะ หมอไม่เข้าใจหรอก” คุณแม่ลูกอ่อนกล่าวพลางสะอึกสะอื้น “หมอรู้เหรอว่ากว่าที่ฉันจะได้แต่งงานลำบากขนาดไหน หมอรู้เหรอว่ากว่าที่ฉันจะเติบโตมาเป็นแม่คนได้ ฉันผ่านอะไรมาบ้าง บางทีที่แม่ของสามีฉันพูดคงถูกแล้วล่ะ ฉันคงเป็นแม่ที่ดีไม่ได้หรอก ในเมื่อตัวฉันเองไม่มีแม่ด้วยซ้ำ!”

“แหม ไม่มีแม่แล้วทำไมล่ะคะ ดูหมอสิ หมอเองก็ไม่มีพ่อนะ แถมแม่ยังติดคุกตลอดชีวิตตั้งแต่หมออยู่มอปลายอีกต่างหาก” ดรัญญาได้ยินเสียงใครหลายคนจากด้านหลังอุทานออกมาด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของวันประเสริฐ แต่คุณหมอสาวไม่คิดสนใจ

“หมอว่าไงนะคะ” คุณแม่ลูกอ่อนซึ่งน่าจะอายุอ่อนกว่าดรัญญาสองสามปีมีสีหน้าอึ้งๆ ไปเล็กน้อย หล่อนยกมือปาดน้ำตา และกล่าวต่อพลางหัวเราะขมขื่น “ทำไมคล้ายกันเลย ฉันไม่มีแม่ ส่วนพ่อติดคุกสามสิบปี”

“ใช่ไหมล่ะ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติจะตายไป” ดรัญญาสอดสองมือลงไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์ เห็นแววตาที่คนไข้สาวมองมาที่เธอมีความเป็นมิตรมากขึ้น จึงพูดต่อพร้อมกับเดินเข้าไปหาแบบหน้าตาเฉย “ชีวิตที่ต้องดูแลตัวเองน่ะมันไม่สนุกเลย หมอเข้าใจแบบแจ่มแจ้งเลยนะ คนที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ เขาไม่เข้าใจเราหรอก”

เมื่อพูดจบ ดรัญญาก็เดินไปท้าวศอกกับขอบกั้นดาดฟ้า เอนกายทอดสายตามองไกลออกไปที่ก้อนเมฆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เท้าทั้งสองข้างของคุณแม่ลูกอ่อนอยู่ห่างจากมือของเธอเพียงไม่กี่คืบเท่านั้น

“แล้วคุณหมอเคยคิดอยากตายไหมคะ?” คนไข้ผู้มีอารมณ์แปรปรวนและอาการจิตตกอย่างรุนแรงหลังคลอด เพราะความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ก้มหน้าถามดรัญญาเสียงเครือ

“เคยสิ คนเราทุกคนก็เคยอยากตายกันทั้งนั้นแหละ” ดรัญญาตอบ แต่ตรงข้ามกับความจริง ขืนให้บอกไปว่าทุกครั้งที่ท้อแท้ เธอจะเลือกลุกขึ้นสู้ถึงขนาดเคยมีเรื่องต่อยปากผู้ชายมาแล้ว ความพยายามทั้งหมดที่ทำมาคงพังทลายไปไม่เหลือซากกันพอดี

“แล้วหมอผ่านมันมาได้ยังไง” สุ้มเสียงที่อ่อนลงอย่างชัดเจน คือสิ่งที่ทุกคนรอคอย

ดรัญญาดึงมือขวาออกจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ และยื่นออกไปหาหล่อน “มากับหมอสิ หมอจะอธิบายให้ฟัง”

ความเงียบงันพลันบังเกิด ดรัญญากลืนน้ำลายด้วยความลุ้นระทึก เธอเงยหน้าสบตากับคุณแม่ลูกอ่อน และแล้ว คุณแม่ก็ยื่นมือซ้ายออกมาจับมือเธอ ได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกจากบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ยืนดูด้านหลังอย่างชัดเจน คราวนี้เสียงปรบมือดังเกรียวกราวขึ้นด้วยความจริงใจมากกว่าเดิม

“คุณหมอช่วยฉันด้วยนะคะ” หล่อนพูดทั้งน้ำตา

ดรัญญายิ้ม “แน่นอนค่ะ ลงมาก่อนแล้วค่อยว่ากันเนอะ”

“ค่ะ” คนไข้หญิงพยักหน้า แต่ทว่าทันใดนั้น เท้าที่กำลังจะขยับลงจากกำแพงพลันก้าวพลาด ยังผลให้ทั้งร่างสูญเสียสมดุล ดรัญญาตระหนักในวินาทีนั้นว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เธอพยายามฉุดมือมาด้านหน้า แต่ไม่ทันแล้ว ร่างของคุณแม่วัยสาวหงายไปด้านหลัง...

หล่นออกไปจากดาดฟ้า

“ไม่!”

คุณหมอสาวอุทาน มือของเธอที่จับมือคนไข้หญิงยังกระชับแน่นไม่ปล่อย ตอนนี้ร่างของคนไข้จึงห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศด้านนอก

“จับแน่นๆ อย่าปล่อยนะคะ” ดรัญญากัดฟันกรอด พยายามดึงหญิงสาวขึ้นมา แต่ทำไม่ได้ น้ำหนักตัวของอีกฝ่ายดึงร่างบางของเธอเลื่อนขึ้นมาบนขอบของกำแพงกั้นดาดฟ้า รองเท้าผ้าใบสีขาวตัดแดงของร่างบางในเสื้อกาวน์ ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นทีละนิด

หากไม่มีใครสักคนมาช่วย ถ้ามือของสองหญิงสาวไม่หลุดออกจากกันไปเสียก่อน ร่างของดรัญญาก็อาจจะถูกดึงข้ามร่วงลงไปด้วยอีกคนอย่างแน่นอน

ขณะนี้เสียงปรบมือชะงักค้างหายขาด ทุกผู้คนมัวแต่ตกตะลึงร่างกายแข็งค้าง ไม่มีใครจะทำอะไรได้ทันในพริบตาที่ไม่คาดฝันนี้

นอกจาก...

ดรัญญารู้สึกมีแรงลงพัดวูบที่ข้างกาย ทันในนั้นเท้าของเธอก็กลับมาแตะพื้นอีกครั้ง มือที่เรียวบางทว่าแข็งแกร่งเหลือคณาของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าคนหนึ่ง ก็เอื้อมจับท่อนแขนของคุณแม่ลูกอ่อน ก่อนจะออกแรงดึงหล่อนกลับขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าได้อย่างง่ายดายนัก



อังค์จิก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ต.ค. 2559, 17:17:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ต.ค. 2559, 17:17:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 869





<< บทที่ 2 - Baby Blue 2/3   บทที่ 3 - Congestive Heart failure (25%) [ภาพบาดตา] >>
ปริยาธร 8 ต.ค. 2559, 12:13:45 น.
ฉากนี้หมอดรีมเท่มากกกกกกกกกกก


อังค์จิก 8 ต.ค. 2559, 17:51:15 น.
ขอบคุณครับพี่นุ้ยยยยยยยย
หมอดรีมเราแนวเท่เสมอเลยเนอะ


รจนาไฉน 8 ต.ค. 2559, 20:56:21 น.
ชักชอบซะแล้วสิ


อังค์จิก 8 ต.ค. 2559, 22:18:42 น.
คุณรจนาไฉน
ดีใจที่ชอบนะครับ เป็นกำลังใจให้หมอดรีมด้วยน้า
หมอดรีมต้องเจอกับอะไรๆ อีกเยอะเลยละครับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account