คำสาปขังรัก
คุณจะทำอย่างไร...ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องคำสาป ไม่สามารถจะมีรักที่ดีได้
ถ้ารู้ว่าทางเดินของรักโรยด้วยหนามและคราบน้ำตา
เราควรจะหยุด...หรือเดินต่อแม้จะกลัวจนใจสั่น
ถ้ารู้ว่าทางเดินของรักโรยด้วยหนามและคราบน้ำตา
เราควรจะหยุด...หรือเดินต่อแม้จะกลัวจนใจสั่น
Tags: คำสาป ความรัก พยากรณ์
ตอน: บทที่ 10 The Tower
The Tower
บางครั้งเราก็ไม่ทันระวังหัวใจ
กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้น และจบลง โดยที่เราไม่ทันได้ถอนใจ
ชนิศามั่นใจว่ามันไม่ใช่ความรัก แต่ความรู้สึกอยากเคียงข้างสำหรับเธอแล้วน่ากลัวกว่าความรักมาก
หากเป็นรัก เธอคงเพียงไขว่คว้า ได้มาหรือไม่ก็ปล่อยวางได้ไม่ยาก
แต่ความรู้สึกอยากเคียงข้าง ทำให้เธอไม่ยอมปล่อยมือ และไม่ยอมให้เขาหายไปจากชีวิต เหมือนที่เตชิตต้องคำสาปให้เดินข้างเธอมาจนถึงวันนี้
Che'rie : ที่จริงแล้ว...หนูปล่อยวางเฮียได้ยากกว่าคนรักมากเลย รู้ไหมคะ
ข้อความนั้นเธอเคยส่งให้เตชิตเมื่อนานมาแล้ว และวันนี้เธอเกือบพิมพ์ส่งให้การันต์ แต่ยังไม่ทันกดส่ง หญิงสาวก็หยุดนิ้วไว้ก่อน เธอกดลบข้อความ โยนโทรศัพท์ไว้บนโซฟา แล้วเดินไปหยิบกล่องไพ่มาเปิด
มือขาววาดลงกรีดไพ่อย่างชำนาญ เธอวางมือนิ่งเหนือไพ่อย่างคุ้นเคย ก่อนเลือกไพ่ออกมา 3 ใบ
Justment...5 wands...and 10 swards...
ไพ่ 3 ใบที่เรียงกับอยู่บนโต๊ะ ตอบคำถามที่ทำให้แม่หมออย่างชนิศาถอนหายใจหนัก ๆ ยกมือกอดอกมองที่ไพ่ซึ่งวางเรียงอยู่นิ่ง
หญิงสาวเม้มริมฝีปากเบา ๆ อย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนจะยกมือรวบกองไพ่บนโต๊ะเข้ามารวมกัน จัดไพ่เรียบร้อยแล้วจึงวางในกล่องไม้สีดำวาดลายแปลกตา ห่อทับด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำที่เธอใช้ปูโต๊ะ
"ไง...ดูอะไร" คนเป็นมารดาเอ่ยถามเมื่อเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง
"เรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ" เธอคลี่ยิ้มเจื่อน ๆ หยิบห่อผ้าไปวางบนชั้นวางหนังสือที่กั้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สำหรับวางอุปกรณ์เพื่อการทำนาย
"มีความรักเหรอ" มารดาเอ่ยถามหน้าตาเฉย ขณะนั่งลงบนโซฟาสีกาแฟที่ตั้งไว้มุมห้อง เอนตัวหยิบหนังสือที่วางไว้บนโต๊ะไม้ข้าง ๆ ขึ้นมาเปิดอ่าน
ชนิศานิ่งไปครู่ เดินไปนั่งข้างมารดา "ความรักอะไรกันคะ"
"ถูกใช่ไหม" ณัฐกานต์เงยหน้าจากหนังสือมาจ้องตาบุตรสาว แล้วชนิศาก็เป็นฝ่ายหลบตามารดา
"อีกสองวันจะมีคราส ราหูเข้าราศีสิงห์ ช่วงนี้หนูจะอ่อนไหวง่าย ขี้เหงา แล้วก็หลงงมงายกับความรัก...ระวังไว้ให้ดีเถอะ"
ชนิศากัดริมฝีปากเบา ๆ อย่างเคยชิน เอนตัวพิงผนังข้างโซฟาอย่างอ่อนล้า เอ่ยพึมพำเบา ๆ พลางแค่นหัวเราะในคอกึ่งหยัน
"ใครจะกล้าล่ะคะ...ก็รู้อยู่แล้วว่ารักไม่ได้"
"รู้แล้วจะทำได้หรือเปล่ามันคนละเรื่องกัน" มารดาถอนใจ มองหน้าบุตรสาวด้วยความเข้าใจ "แม่ได้แค่บอก แต่หนูจะใช้ชีวิตยังไงก็เป็นเรื่องของหนู"
หญิงสาวพยักหน้ารับคำ นั่งมองมารดาอ่านหนังสือเงียบ ๆ
เมื่อวันนี้หน้าไพ่เตือนถึงความเจ็บปวด และไม่สมหวัง เธอยังจะกล้ายื่นมือไปคว้าความรักไว้ได้อย่างไร
"แม่คะ...แม่เคยบอกว่ามนุษย์อยู่ด้วยปัจจุบัน" เธอเลื่อนสายตาไปสบตามารดา "เมื่อทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาเป็นผลของกรรม ก็คือการกระทำในปัจจุบัน แปลว่าคำพยากรณ์ก็เปลี่ยนแปลงได้ใช่ไหมคะ"
ณัฐกานต์คลี่ยิ้มอย่างรู้ทัน
"หนูก็เคยเปลี่ยนมาแล้วไม่ใช่เหรอ"
"มนุษย์ดำรงอยู่ตามกฎแห่งกรรม เพียงแต่บางครั้งเราก็จำไม่ได้ หรือไม่ทันได้รู้ว่าเคยกระทำอะไรลงไป แผนภาพการพยากรณ์ก็เป็นแค่รหัสพงศาวดารที่ตีความผลของกรรมผ่านการโคจรของดวงดาว แต่สุดท้ายคนที่กำหนดความเป็นไปก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี"
เธอเป็นหนึ่งในนักทำนายที่หลายคนให้ความเคารพนับถือ แต่ณัฐกานต์มักย้ำเตือนถึงผลแห่งการกระทำมากกว่าแรงส่งของดวงชะตา
"เราไม่ได้เรียนพยากรณ์เพื่อยึดมั่นต่อคำพยากรณ์" เธอยิ้มบาง "เราเรียน...เพื่อเข้าใจและรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่างหาก"
ชนิศาค่อย ๆ คลานไปเอนตัวนอนบนตักมารดา ยกแขนโอบกอดรอบเอวบางของคนที่นั่งอยู่ "แล้วถ้าบางเรื่อง...มันมีปัจจัยแวดล้อมที่กำหนดไม่ได้ล่ะคะ"
ณัฐกานต์ก้มลงมองลูกสาว ลูบหัวเธอเบา ๆ อย่างใจเย็น "อย่างความรักใช่ไหม..."
ชนิศาถอนใจเบา ๆ "หนูรู้ว่าหนูเป็นพวกคนถูกสาป เสาร์คู่มฤตยูเล็งลัคน์ ยังไงก็ต้องเจ็บเพราะความรัก"
"อาจเพราะ...ตลอดมาหนูคว้าทุกอย่างมาได้ด้วยสมองกับสองมือ" หญิงสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ "มีแค่เรื่องนี้...ที่ใช้แค่หัวใจหนูคนเดียวไม่ได้"
ณัฐกานต์ยังยิ้มอย่างใจเย็น เธอลูบหัวบุตรสาวเบา ๆ อดจะเป็นห่วงไม่ได้ "มีสตินะ...แม่รู้ว่ามันยาก"
หญิงสาวพยักหน้ารับ นอนนิ่ง ๆ อยู่บนตักมารดา ให้ความอบอุ่นลบเลือนความรู้สึกในใจ
ในหัวยังคงมีคำถาม เมื่อดวงดาวบอกชัดถึงทางเดินที่ไม่สวยงามเช่นเดียวกับภาพบนหน้าไพ่
ณัฐกานต์ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงเซนส์แรง คนเป็นมารดาเอ่ยคำง่าย ๆ แต่หลายครั้งคำนั้นกลายเป็นเรื่องจริงโดยที่เธอไม่ต้องสัมผัสไพ่หรืออ่านทักษา ชนิศาเองก็สืบทอดความสามารถนี้ของมารดามาไม่น้อย เพียงแต่วิทยาศาสตร์สอนให้เธอมองข้ามสัญชาตญาณ มีเพียงบางเรื่องที่เธอตัดสินใจใช้สัญชาตญาณ แล้วเค้นเอาความจริงออกมา
ชนิศาหมุนตัวเดินออกจากเคาท์เตอร์พยาบาล ถอนใจเบา ๆ กับงานที่เพิ่งเสร็จสิ้นลง
"อ้าว...เชรี สวัสดีค่ะ" เสียงเอ่ยทักทำให้หญิงสาวคลี่ยิ้มหวาน
"สวัสดีค่ะ พี่กานต์" เธอเอียงคอมองชายหนุ่ม "เดี๋ยวนี้เตียงอีเมอร์รุกรานมาถึงนี่แล้วหรือคะ"
ปกติหน่วยศัลยศาสตร์ฉุกเฉินจะมีหอผู้ป่วยเป็นของตัวเอง มีบ้างที่หอเต็มจึงรุกรานมาที่เตียงของศัลยศาสตร์ทั่วไป
"ใช่ค่ะ ช่วงนี้เคสเต็มเลย" เขาถอนใจเบา ๆ
"เหนื่อยไหมคะ"
"ก็นิดหน่อยนะ ไม่แย่เท่าไร"
"แหม...พูดแบบนี้เชรีก็อดปลอบพี่กานต์สิคะ" หญิงสาวอมยิ้มบอกเบา ๆ "นี่ทานอะไรมาหรือยังคะ ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ"
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ ก่อนถาม "เชรียังไม่ได้ทานข้าวเหรอคะ"
เธอพยักหน้ารับ "ค่ะ เชรีเพิ่งราวน์สามัญเสร็จ นี่ยังไม่ได้ไปราวน์พิเศษในโซนของเชรีเลย"
"อ้อ...อย่างนั้นเชรีไปราวน์พิเศษก่อนไหม เดี๋ยวพี่เคลียร์วอร์ดเสร็จแล้วตามลงไป"
ชนิศานิ่งไปอย่างงุนงง ไม่คิดว่าเขาจะตอบรับคำชวน "ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วเชรีโทร.หาพี่กานต์อีกทีแล้วกันนะคะ"
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา หญิงสาวก็โทรศัพท์หาเขา นัดเจอกันที่หน้าโรงพยาบาล
"ใจดีจังเลยนะคะ" เธอหัวเราะเบา ๆ "แบบนี้...เชรีก็ตัดใจลำบากแย่สิคะ"
"ขยันหยอดได้ตลอดเลยนะคะ" เขาหัวเราะเบา ๆ "เดี๋ยวพี่ขอแวะซื้อยาแปปนะ เชรีคิดแล้วกันว่าจะทานที่ไหน"
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ การหาร้านอาหารใกล้โรงพยาบาลที่ยังเปิดในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หาร้านที่ถูกใจคนเรื่องมากอย่างเธอเป็นเรื่องยากที่สุด ปกติหญิงสาวสนิทกับขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร้ายสะดวกซื้อมากกว่าจะจัดมื้ออาหารจริงจัง
"เมื่อวานเชรีเปิดไพ่เล่น...รู้ไหมคะว่าได้อะไร" เธอเอ่ยขึ้นระหว่างทางเดินไปร้านขายยา
"Justment, 5 wands, and 10 swords" เธอนิ่งไปครู่ ก่อนแปลความ "คุณพระจันทร์บอกว่าพี่กานต์ยังเหนื่อยและเบื่อกับความรัก แม้จะสนุกกับความสัมพันธ์แปลก ๆ แบบนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะมองอะไรจริงจัง"
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ "ส่วน 10 swords ที่เป็นไพ่สรุป...เชรีไม่อยากแปลค่ะ" ไพ่ที่บอกถึงความเจ็บปวดที่เดินมาถึงจุดที่ต้องล้มเลิกทุกความตั้งใจ เธอไม่อยากรับรู้ความรู้สึกนั้น
"คุณพระจันทร์..." ชายหนุ่มมองเธออย่างแปลกใจ
"เชรีเรียกไพ่ว่าคุณพระจันทร์น่ะค่ะ เธอเป็นสาวน้อยอารมณ์ร้ายอยู่เหมือนกัน วันไหนเชรีถามเรื่องโง่ ๆ เธอจะใช้หน้าไพ่ตะโกนตอบเชรี อารมณ์ว่า...เรื่องแบบนี้เธอก็รู้อยู่แล้ว ยังจะลากฉันออกมาจากหิ้งทำไม เหอะ...คุณพระจันทร์ขี้เซา เอาแต่นอน" เธอไหวไหล่ หลี่ตาอย่างเกเรราวพูดถึงเพื่อนรักที่น่าหมันไส้คนหนึ่ง
"เหมือนคุยกับเพื่อนเลยนะ"
"เธอก็เป็นเพื่อนจริง ๆ ล่ะค่ะ" หญิงสาวพยักหน้ารับ หยุดเท้าอยู่หน้าร้านยาให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปเพียงลำพัง "เชรีรอตรงนี้นะคะ"
เธอยืนกอดอกมองคนที่เดินเข้าไปในร้านนิ่ง การันต์ยังไม่ได้ตอบเธอว่าทานข้าวหรือยัง ด้วยนิสัยเขาทำให้เธอคาดเดาคำตอบที่ไม่ได้คำตอบได้ไม่ยาก
เมื่อชายหนุ่มเดินกลับมาอีกครั้ง เธอก็เอ่ยถามเสียงเรียบ
"พี่กานต์...ทานข้าวแล้วใช่ไหมคะ"
เขาชะงักไปครู่ ก่อนตอบรับ "อืม..."
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ
"แต่เชรีอยากทานอะไรก็เลือกเลย พี่นั่งเป็นเพื่อนได้"
เธอส่ายหน้า "ไม่ล่ะค่ะ...เชรีชวนเพราะอยากทานข้าวกับพี่กานต์ แต่ถ้าพี่กานต์ทานแล้วเดี๋ยวเชรีไปหาขนมที่ห้องก็ได้ค่ะ ไม่หิวเท่าไร"
"อ้าว...พี่นั่งเป็นเพื่อนได้จริง ๆ นะ"
หญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ "ขอบคุณค่ะ แต่ไว้คราวหลังดีกว่า ถือว่าพี่กานต์ติดเชรีหนึ่งมื้อก็แล้วกันนะคะ"
เธอกำลังจะเดินกลับโรงพยาบาล แต่ก็เปลี่ยนใจหมุนตัวไปอีกด้าน "นึกออกแล้ว เชรีอยากกินนมสด"
เธอพาการันต์เดินไปตามถนนหน้าโรงพยาบาล อดไม่ได้ที่จะถามเบา ๆ "ทำไมถึงออกมากับเชรีล่ะคะ ทำไมไม่บอกว่าทานข้าวแล้ว"
เขานิ่งไปครู่ เหลือบมองเธอก่อนตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ "ไม่รู้สิ แต่พี่ปฏิเสธเชรีไม่ลง"
หญิงสาวกลอกตาอย่างอ่อนใจ ผู้ชายใจดีมักทำให้ผู้หญิงเข้าใจผิดได้ง่าย แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงใจดีที่จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นานนัก เสียงหวานจึงหลุดคำถามที่เธอรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"พี่กานต์ชอบเชรีเหรอคะ"
ชายหนุ่มนิ่งงันไป เผลอหยุดเท้าที่เดินไปข้าง ๆ เธอจนหญิงสาวต้องหยุดตาม
แล้วเขาก็ตอบ "เปล่าค่ะ...คนที่พี่แอบชอบไม่ใช่เชรี"
ชนิศาหลับตาซึมซับความรู้สึกเหมือนมีมีดมาขูดเบา ๆ ในหัวใจ เธอคิดว่าเตรียมใจไว้แล้ว และความรู้สึกที่มีก็ไม่ได้ลึกซึ้งจนต้องเจ็บปวด แต่เมื่อได้ยินจริง ๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บมากกว่าที่คิดไว้
"พี่กานต์ชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอคะ"
"หมายถึงยังไง...หน้าตาหรือหน้าใจ" เขามองเธอแล้วยิ้ม "พี่ชอบมองตา ชอบคนที่ตาสวย ส่วนใหญ่จะชอบตาโต ๆ ถ้าหน้าใจ พี่ชอบคนอารมณ์ดี ยิ้มเก่ง ใจดีมีน้ำใจ ห้าวก็ได้เรียบร้อยก็ได้"
ชนิศาอมยิ้ม วูบหนึ่งที่ภาพของมีนาผุดขึ้นมาในหัว เพื่อนสาวมีครบทุกคุณสมบัติที่เขากล่าวถึง เสียงหวานจึงเผลอหลุดคำ
"เป็นมีนาเหรอคะ"
"หือ...มีตัวละครลับออกมาตั้งแต่เมื่อไรคะ" เขาหัวเราะทีเล่นทีจริง
"ก็...พี่กานต์ต้องดูแลมีนาดี ๆ นะคะ" เพื่อนสาวเป็นที่รักของใครหลายคน เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และน่าปกป้อง
ชนิศาหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างสังเกต ตัดสินใจทิ้งช่วงเวลาให้เขาเก็บความรู้สึกกับชื่อของมีนา โชคดีที่ทั้งคู่เดินมาถึงรถเข็นที่ขายนมสดร้านโปรดของเธอพอดี
"ชาเย็นหนึ่ง โอวัลตินเย็นหนึ่งค่ะ" เธอบอกกับคนขายอย่างคุ้นเคย ก่อนหันมามองชายหนุ่ม
"พี่ว่า...หนูได้ข่าวอะไรมาผิดไปแล้วล่ะ"
"ผิดตรงไหนคะ..." เธอเอียงคอมองเขานิ่ง "พี่กานต์เป็นประธานชั้นปีก็ต้องดูแลเพื่อนให้ดี ๆ เชรีพูดอะไรผิดไปเหรอคะ...หรือว่าพี่กานต์...ชอบมีนาคะ ถึงแปลคำพูดของเชรีไปไกลกว่าความหมาย"
เธอกระพริบตามองหน้าซื่อตาใส ขณะที่ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเบา ๆ
"ร้ายนักนะเชรี" เขาอดถอนใจไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ช่างบลัฟฟ์คนได้หน้าตาเฉย
เธอยักคิ้วขึ้นเบา ๆ กึ่งท้า "ว่าไงคะ..."
"เชรีฟังข่าวมั่วมากไปแล้ว" เขาไม่เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธ ยิ่งทำให้ชนิศาเข้าใจคำตอบได้ไม่ยาก
เธอจะปล่อยผ่านไปก็ได้ แต่ชนิศาไม่ใช่เด็กดีแบบนั้น หญิงสาวอมยิ้มอย่างร้ายกาจ รับแก้วจากคนขายมายื่นจรงหน้าเขา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"โอวัลตินหรือชาเย็นดีคะ"
"หือ...ของพี่เหรอ"
"ค่ะ...."
"อะไรก็ได้ค่ะ"
"เลือกเถอะค่ะ เชรีเลือกของที่เชรีกินได้ทั้งคู่อยู่แล้ว"
เขานิ่งไปครู่ "โอวัลตินแล้วกัน"
เธอส่งแก้วโอวัลตินให้ชายหนุ่ม ก่อนเดินไปข้างเขาเงียบ ๆ จนใกล้ถึงประตูโรงพยาบาล เสียงหวานก็เอ่ยถึงเรื่องที่การันต์เกือบลืมไปแล้ว
"พี่กานต์รู้ไหมคะ...การไม่ตอบคือคำตอบอย่างหนึ่ง" หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบ ดูดชาเย็นในแก้วด้วยท่าทางสบายใจจนน่าหมันไส้
"จริง ๆ แล้ว เชรีเป็นน้องสาวที่น่ารักมากเลยรู้ไหมคะ...ถ้าเฮีย ๆ จะดูแลเชรีให้ดี เชรีก็จะเป็นเด็กน่ารักที่รับฟัง ก่อกวน และปั่นหัวเฮียไปเรื่อย ๆ แค่เพียงเฮียจะเดินเข้ามา บอก ๆ ๆ ๆ แล้วก็ฟังเชรีสวด" เธอเอ่ยเสียงหวาน "อยู่ที่ว่า...พี่กานต์จะเป็นเฮียของเชรีได้หรือเปล่า"
ชายหนุ่มนิ่งงันไปอย่างตั้งตัวไม่ติด เขากระพริบตาปริบ ๆ มองสาวน้อยที่แปลงร่างเป็นนางมารร้ายอย่างงุนงง
"พี่กานต์ไม่ได้ชอบเชรี แต่เชรีชอบพี่กานต์ไงคะ...เชรีอยากให้พี่กานต์อยู่ข้าง ๆ เป็นเฮียที่เชรีอ้อนได้เรื่อย ๆ" เธอบอกหน้าตาเฉย
"แต่กฎของเฮียคือ ถ้าเชรีอยากรู้เรื่องของเฮีย เชรีจะทั้งจิก กัด คาดคั้น บลัฟฟ์ และอาจเลยเถิดไปถึงกินหัวจนกว่าเชรีจะได้คำตอบ"
เธอกัดริมฝีปากคิดเพียงครู่ หยุดยืนมองหน้าเขาด้วยดวงตาคมดุที่ไร้แววหวาน "ตอนนี้เชรีอยากรู้...พี่กานต์ชอบมีนาใช่ไหมคะ"
การันต์นิ่งงันอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ขณะที่ชนิศาลอบถอนใจเบา ๆ ในใจ การที่เธอเผยภาคนางมารร้ายต่อหน้าเขาคือสัญญาณสำหรับตัวเธอเองว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอยอมรับ คือคนที่เธออยากเดินข้าง ๆ โดยไม่มีเงื่อนไข
แต่ที่เธอไม่รู้คือ...เขายินดีจะให้เธออยู่ข้าง ๆ หัวใจหรือไม่
คำถามนี้คือการทดสอบ
"เชรีแม่ง...ร้ายกาจ" เขาถอนใจเบา ๆ แล้วยิ้มให้เธอ "ดี...เป็นน้องสาวที่แสบดี พี่ไม่ได้ทะเลาะกับน้องมานานมากแล้ว"
"เชรีไม่มีพี่ชาย เลยต้องจีบบรรดาเฮีย ๆ มาดูแลเชรีนี่ไงคะ" เธอบอกหน้าตาเฉย เดินไปเอนตัวพิงราวระเบียงทางเดิน ก่อนอมยิ้มบาง ๆ
"คิดจะเนียน...ปล่อยให้คำถามลอบไปกับสายลมเหรอคะ เชรีไม่ใช่ลูกแมวนะ"
การันต์ถอนใจเบา ๆ "เฮ้อ...นี่พี่เชื่อใจแกไปแล้วนะ"
"โอ๊ะ...มีขึ้นแกด้วย นี่หมายถึงเชรีจริง ๆ เหรอคะ"
"อือ...แกนั่นล่ะเชรี" เพราะอะไรไม่รู้ สรรพนามที่เปลี่ยนไปของเขากลับทำให้ชนิศาหัวเราะได้สดใสกว่าเดิม เธอจะถือว่านี่คือหนึ่งในสัญญาณของการยอมรับก็แล้วกัน
"ขอคำถามใหม่"
"พี่กานต์ชอบมีนาใช่ไหมคะ" เธอเอ่ยอีกครั้ง
ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ "ใช่ค่ะ...เชรีได้ยินมาจากไหน"
"ก็มีคนเดากันเยอะเหมือนกันนะคะ พี่นิลยังเดาว่าเป็นมีนาเลย" เธอหัวเราะเบา ๆ "ครบไคทีเรีย...ตาสวย น่ารัก หวานก็ได้ห้าวก็ได้ สไตล์นางเอกเกาหลี"
ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ มองท่าทางของหญิงสาวที่ผุดรอยยิ้มราวนางมารร้ายอย่างไม่ไว้ใจ
ชนิศาหัวเราะคิก "เชรีควรช่วยหรือสร้างความร้าวฉานดีนะ"
"เชรีไม่ต้องทำอะไร พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้อยู่แล้วค่ะ"
"ทำไมล่ะคะ" หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ การันต์ไม่น่าใช่ผู้ชายที่จะยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ได้พยายาม
"จำที่หนูเคยส่งเรื่องกำแพงให้พี่ได้ไหม" เธอเคยส่งบทความที่เขียนถึงกำแพงหัวใจที่ปิดกั้นไม่ให้ใครเดินเข้าไปให้เขาอ่าน
"รู้ไหม...กำแพงมันไม่มีจริงหรอก เราแค่มโนว่าที่เราเข้าไปไม่ถึงเพราะมีกำแพงกั้น" เขาถอนใจเบา ๆ เงยหน้ามองฟ้าที่มืดสนิทด้วยรอยยิ้มกึ่งหยันกับโลก "การที่เราเข้าไปไม่ถึง จริง ๆ เพราะเราไม่ได้คู่กันไง ต่อให้ไม่มีกำแพงความเป็นเพื่อนก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี"
"เชรีสอนพี่เองไม่ใช่เหรอ...เราไม่ควรหวังอะไรกับคนที่ไม่ได้สนใจเรา" เขาหันมามองเธอนิ่ง
ความเจ็บปวดบางอย่างในดวงตาคู่นั้นดึงดูดขนชนิศาอยากกระโจนเข้าไปกอดเขาไว้ แต่วันนี้เธอทำให้เขาตกใจมามากพอแล้ว
"คนอกหัก 2 คนไม่ควรอยู่ใกล้กันนาน โดยเฉพาะเมื่อพี่กานต์ไม่คิดจะให้หนูกอดปลอบ" หญิงสาวไหวไหล่เบา ๆ "เชรีกลับหอดีกว่า คิดว่าจะไม่เจ็บแต่เชรีว่านี่มันเจ็บกว่าที่คิดอีกนะคะ"
หญิงสาวยันตัวยืนตรงหน้าชายหนุ่ม เอียงคอมองเขานิ่ง เพียงครู่ ก่อนคลี่ยิ้มหวาน "ฝันดีค่ะ...ขอให้เวรนี้ได้นอน"
"แล้วอย่าลืม...ฝันถึงเชรีนะคะ"
เธออมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหมุนตัวจากมา
เมื่อพ้นสายตาชายหนุ่มนั่นล่ะ หยาดน้ำใส ๆ จึงรื้นขึ้นมากลบตา เธอเงยหน้าหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ พลางถอนใจ
"คิดว่าจะไม่เจ็บ...นี่มันเจ็บกว่าที่คิดเสียอีก"
เธอไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีให้การันต์เป็นแบบไหน แต่การเดินข้าง ๆ การมีเขาให้คุยด้วยกลายเป็นความสบายใจอย่างหนึ่งที่เธออยากเก็บเอาไว้ตลอดไป
และชนิศาก็ทำผิดพลาด ด้วยการความความสัมพันธ์ที่ต้องการการผูกมัดจนหัวใจคิดเกินเลย
"มีเฮียเพิ่มอีกคนก็น่าจะดีนะคนสวย..." เธออมยิ้ม บอกตัวเองเบา ๆ แล้วเดินต่อ
----
พี่กานต์ชัดเจนแล้วนะคะ งานนี้เชรีของเราอกหักเต็ม ๆ ค่ะ
เอ้า...หาใครดามหัวใจสาวน้อยกันหน่อยค่ะ
คุณ sunflower : คิดถึงจังค่ะ ไอซ์ก็ว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องซับซ้อน เราเลยพยายามทำให้มันชัดเจนเพื่อจะง่าย หรือยากกว่าเดิมก็ไม่รู้นะคะ
คุณ คิมหันตุ์ : บทนี้ เขียนไปเจ็บเบา ๆ แทนเชรีเลยค่ะ
โปรย The High Priestess
Karunt : ที่จริงพี่ก็นิสัยแบบตีนตุ๊กแกนะ
Karunt : วางใกล้เสาใกล้กำแพงก็เลื้อยๆไป
คำตอบอย่างตามทันกันทำให้หญิงสาวเผลออมยิ้มบาง ๆ นี่เป็นข้อแก้ตัวที่ดีของผู้ชายใจอ่อนที่พร้อมจะหวั่นไหวไปกับใครที่เข้าใกล้
น่าเศร้าที่เขาเพียงหวั่นไหว ไม่เคยคิดพัฒนาให้ไกลไปกว่านี้
หรือเป็นเธอเองที่ไร้ความสามารถ จนปัญญาจะเดินไปข้างหัวใจชายหนุ่ม
Che'rie : ถ้าจะทำแบบนี้ เดี๋ยวพี่กานต์จะได้เป็นกิ๊กคนแรกของหนูนะคะ
บางครั้งเราก็ไม่ทันระวังหัวใจ
กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้น และจบลง โดยที่เราไม่ทันได้ถอนใจ
ชนิศามั่นใจว่ามันไม่ใช่ความรัก แต่ความรู้สึกอยากเคียงข้างสำหรับเธอแล้วน่ากลัวกว่าความรักมาก
หากเป็นรัก เธอคงเพียงไขว่คว้า ได้มาหรือไม่ก็ปล่อยวางได้ไม่ยาก
แต่ความรู้สึกอยากเคียงข้าง ทำให้เธอไม่ยอมปล่อยมือ และไม่ยอมให้เขาหายไปจากชีวิต เหมือนที่เตชิตต้องคำสาปให้เดินข้างเธอมาจนถึงวันนี้
Che'rie : ที่จริงแล้ว...หนูปล่อยวางเฮียได้ยากกว่าคนรักมากเลย รู้ไหมคะ
ข้อความนั้นเธอเคยส่งให้เตชิตเมื่อนานมาแล้ว และวันนี้เธอเกือบพิมพ์ส่งให้การันต์ แต่ยังไม่ทันกดส่ง หญิงสาวก็หยุดนิ้วไว้ก่อน เธอกดลบข้อความ โยนโทรศัพท์ไว้บนโซฟา แล้วเดินไปหยิบกล่องไพ่มาเปิด
มือขาววาดลงกรีดไพ่อย่างชำนาญ เธอวางมือนิ่งเหนือไพ่อย่างคุ้นเคย ก่อนเลือกไพ่ออกมา 3 ใบ
Justment...5 wands...and 10 swards...
ไพ่ 3 ใบที่เรียงกับอยู่บนโต๊ะ ตอบคำถามที่ทำให้แม่หมออย่างชนิศาถอนหายใจหนัก ๆ ยกมือกอดอกมองที่ไพ่ซึ่งวางเรียงอยู่นิ่ง
หญิงสาวเม้มริมฝีปากเบา ๆ อย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนจะยกมือรวบกองไพ่บนโต๊ะเข้ามารวมกัน จัดไพ่เรียบร้อยแล้วจึงวางในกล่องไม้สีดำวาดลายแปลกตา ห่อทับด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำที่เธอใช้ปูโต๊ะ
"ไง...ดูอะไร" คนเป็นมารดาเอ่ยถามเมื่อเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง
"เรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ" เธอคลี่ยิ้มเจื่อน ๆ หยิบห่อผ้าไปวางบนชั้นวางหนังสือที่กั้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สำหรับวางอุปกรณ์เพื่อการทำนาย
"มีความรักเหรอ" มารดาเอ่ยถามหน้าตาเฉย ขณะนั่งลงบนโซฟาสีกาแฟที่ตั้งไว้มุมห้อง เอนตัวหยิบหนังสือที่วางไว้บนโต๊ะไม้ข้าง ๆ ขึ้นมาเปิดอ่าน
ชนิศานิ่งไปครู่ เดินไปนั่งข้างมารดา "ความรักอะไรกันคะ"
"ถูกใช่ไหม" ณัฐกานต์เงยหน้าจากหนังสือมาจ้องตาบุตรสาว แล้วชนิศาก็เป็นฝ่ายหลบตามารดา
"อีกสองวันจะมีคราส ราหูเข้าราศีสิงห์ ช่วงนี้หนูจะอ่อนไหวง่าย ขี้เหงา แล้วก็หลงงมงายกับความรัก...ระวังไว้ให้ดีเถอะ"
ชนิศากัดริมฝีปากเบา ๆ อย่างเคยชิน เอนตัวพิงผนังข้างโซฟาอย่างอ่อนล้า เอ่ยพึมพำเบา ๆ พลางแค่นหัวเราะในคอกึ่งหยัน
"ใครจะกล้าล่ะคะ...ก็รู้อยู่แล้วว่ารักไม่ได้"
"รู้แล้วจะทำได้หรือเปล่ามันคนละเรื่องกัน" มารดาถอนใจ มองหน้าบุตรสาวด้วยความเข้าใจ "แม่ได้แค่บอก แต่หนูจะใช้ชีวิตยังไงก็เป็นเรื่องของหนู"
หญิงสาวพยักหน้ารับคำ นั่งมองมารดาอ่านหนังสือเงียบ ๆ
เมื่อวันนี้หน้าไพ่เตือนถึงความเจ็บปวด และไม่สมหวัง เธอยังจะกล้ายื่นมือไปคว้าความรักไว้ได้อย่างไร
"แม่คะ...แม่เคยบอกว่ามนุษย์อยู่ด้วยปัจจุบัน" เธอเลื่อนสายตาไปสบตามารดา "เมื่อทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาเป็นผลของกรรม ก็คือการกระทำในปัจจุบัน แปลว่าคำพยากรณ์ก็เปลี่ยนแปลงได้ใช่ไหมคะ"
ณัฐกานต์คลี่ยิ้มอย่างรู้ทัน
"หนูก็เคยเปลี่ยนมาแล้วไม่ใช่เหรอ"
"มนุษย์ดำรงอยู่ตามกฎแห่งกรรม เพียงแต่บางครั้งเราก็จำไม่ได้ หรือไม่ทันได้รู้ว่าเคยกระทำอะไรลงไป แผนภาพการพยากรณ์ก็เป็นแค่รหัสพงศาวดารที่ตีความผลของกรรมผ่านการโคจรของดวงดาว แต่สุดท้ายคนที่กำหนดความเป็นไปก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี"
เธอเป็นหนึ่งในนักทำนายที่หลายคนให้ความเคารพนับถือ แต่ณัฐกานต์มักย้ำเตือนถึงผลแห่งการกระทำมากกว่าแรงส่งของดวงชะตา
"เราไม่ได้เรียนพยากรณ์เพื่อยึดมั่นต่อคำพยากรณ์" เธอยิ้มบาง "เราเรียน...เพื่อเข้าใจและรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่างหาก"
ชนิศาค่อย ๆ คลานไปเอนตัวนอนบนตักมารดา ยกแขนโอบกอดรอบเอวบางของคนที่นั่งอยู่ "แล้วถ้าบางเรื่อง...มันมีปัจจัยแวดล้อมที่กำหนดไม่ได้ล่ะคะ"
ณัฐกานต์ก้มลงมองลูกสาว ลูบหัวเธอเบา ๆ อย่างใจเย็น "อย่างความรักใช่ไหม..."
ชนิศาถอนใจเบา ๆ "หนูรู้ว่าหนูเป็นพวกคนถูกสาป เสาร์คู่มฤตยูเล็งลัคน์ ยังไงก็ต้องเจ็บเพราะความรัก"
"อาจเพราะ...ตลอดมาหนูคว้าทุกอย่างมาได้ด้วยสมองกับสองมือ" หญิงสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ "มีแค่เรื่องนี้...ที่ใช้แค่หัวใจหนูคนเดียวไม่ได้"
ณัฐกานต์ยังยิ้มอย่างใจเย็น เธอลูบหัวบุตรสาวเบา ๆ อดจะเป็นห่วงไม่ได้ "มีสตินะ...แม่รู้ว่ามันยาก"
หญิงสาวพยักหน้ารับ นอนนิ่ง ๆ อยู่บนตักมารดา ให้ความอบอุ่นลบเลือนความรู้สึกในใจ
ในหัวยังคงมีคำถาม เมื่อดวงดาวบอกชัดถึงทางเดินที่ไม่สวยงามเช่นเดียวกับภาพบนหน้าไพ่
ณัฐกานต์ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงเซนส์แรง คนเป็นมารดาเอ่ยคำง่าย ๆ แต่หลายครั้งคำนั้นกลายเป็นเรื่องจริงโดยที่เธอไม่ต้องสัมผัสไพ่หรืออ่านทักษา ชนิศาเองก็สืบทอดความสามารถนี้ของมารดามาไม่น้อย เพียงแต่วิทยาศาสตร์สอนให้เธอมองข้ามสัญชาตญาณ มีเพียงบางเรื่องที่เธอตัดสินใจใช้สัญชาตญาณ แล้วเค้นเอาความจริงออกมา
ชนิศาหมุนตัวเดินออกจากเคาท์เตอร์พยาบาล ถอนใจเบา ๆ กับงานที่เพิ่งเสร็จสิ้นลง
"อ้าว...เชรี สวัสดีค่ะ" เสียงเอ่ยทักทำให้หญิงสาวคลี่ยิ้มหวาน
"สวัสดีค่ะ พี่กานต์" เธอเอียงคอมองชายหนุ่ม "เดี๋ยวนี้เตียงอีเมอร์รุกรานมาถึงนี่แล้วหรือคะ"
ปกติหน่วยศัลยศาสตร์ฉุกเฉินจะมีหอผู้ป่วยเป็นของตัวเอง มีบ้างที่หอเต็มจึงรุกรานมาที่เตียงของศัลยศาสตร์ทั่วไป
"ใช่ค่ะ ช่วงนี้เคสเต็มเลย" เขาถอนใจเบา ๆ
"เหนื่อยไหมคะ"
"ก็นิดหน่อยนะ ไม่แย่เท่าไร"
"แหม...พูดแบบนี้เชรีก็อดปลอบพี่กานต์สิคะ" หญิงสาวอมยิ้มบอกเบา ๆ "นี่ทานอะไรมาหรือยังคะ ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ"
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ ก่อนถาม "เชรียังไม่ได้ทานข้าวเหรอคะ"
เธอพยักหน้ารับ "ค่ะ เชรีเพิ่งราวน์สามัญเสร็จ นี่ยังไม่ได้ไปราวน์พิเศษในโซนของเชรีเลย"
"อ้อ...อย่างนั้นเชรีไปราวน์พิเศษก่อนไหม เดี๋ยวพี่เคลียร์วอร์ดเสร็จแล้วตามลงไป"
ชนิศานิ่งไปอย่างงุนงง ไม่คิดว่าเขาจะตอบรับคำชวน "ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วเชรีโทร.หาพี่กานต์อีกทีแล้วกันนะคะ"
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา หญิงสาวก็โทรศัพท์หาเขา นัดเจอกันที่หน้าโรงพยาบาล
"ใจดีจังเลยนะคะ" เธอหัวเราะเบา ๆ "แบบนี้...เชรีก็ตัดใจลำบากแย่สิคะ"
"ขยันหยอดได้ตลอดเลยนะคะ" เขาหัวเราะเบา ๆ "เดี๋ยวพี่ขอแวะซื้อยาแปปนะ เชรีคิดแล้วกันว่าจะทานที่ไหน"
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ การหาร้านอาหารใกล้โรงพยาบาลที่ยังเปิดในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หาร้านที่ถูกใจคนเรื่องมากอย่างเธอเป็นเรื่องยากที่สุด ปกติหญิงสาวสนิทกับขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร้ายสะดวกซื้อมากกว่าจะจัดมื้ออาหารจริงจัง
"เมื่อวานเชรีเปิดไพ่เล่น...รู้ไหมคะว่าได้อะไร" เธอเอ่ยขึ้นระหว่างทางเดินไปร้านขายยา
"Justment, 5 wands, and 10 swords" เธอนิ่งไปครู่ ก่อนแปลความ "คุณพระจันทร์บอกว่าพี่กานต์ยังเหนื่อยและเบื่อกับความรัก แม้จะสนุกกับความสัมพันธ์แปลก ๆ แบบนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะมองอะไรจริงจัง"
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ "ส่วน 10 swords ที่เป็นไพ่สรุป...เชรีไม่อยากแปลค่ะ" ไพ่ที่บอกถึงความเจ็บปวดที่เดินมาถึงจุดที่ต้องล้มเลิกทุกความตั้งใจ เธอไม่อยากรับรู้ความรู้สึกนั้น
"คุณพระจันทร์..." ชายหนุ่มมองเธออย่างแปลกใจ
"เชรีเรียกไพ่ว่าคุณพระจันทร์น่ะค่ะ เธอเป็นสาวน้อยอารมณ์ร้ายอยู่เหมือนกัน วันไหนเชรีถามเรื่องโง่ ๆ เธอจะใช้หน้าไพ่ตะโกนตอบเชรี อารมณ์ว่า...เรื่องแบบนี้เธอก็รู้อยู่แล้ว ยังจะลากฉันออกมาจากหิ้งทำไม เหอะ...คุณพระจันทร์ขี้เซา เอาแต่นอน" เธอไหวไหล่ หลี่ตาอย่างเกเรราวพูดถึงเพื่อนรักที่น่าหมันไส้คนหนึ่ง
"เหมือนคุยกับเพื่อนเลยนะ"
"เธอก็เป็นเพื่อนจริง ๆ ล่ะค่ะ" หญิงสาวพยักหน้ารับ หยุดเท้าอยู่หน้าร้านยาให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปเพียงลำพัง "เชรีรอตรงนี้นะคะ"
เธอยืนกอดอกมองคนที่เดินเข้าไปในร้านนิ่ง การันต์ยังไม่ได้ตอบเธอว่าทานข้าวหรือยัง ด้วยนิสัยเขาทำให้เธอคาดเดาคำตอบที่ไม่ได้คำตอบได้ไม่ยาก
เมื่อชายหนุ่มเดินกลับมาอีกครั้ง เธอก็เอ่ยถามเสียงเรียบ
"พี่กานต์...ทานข้าวแล้วใช่ไหมคะ"
เขาชะงักไปครู่ ก่อนตอบรับ "อืม..."
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ
"แต่เชรีอยากทานอะไรก็เลือกเลย พี่นั่งเป็นเพื่อนได้"
เธอส่ายหน้า "ไม่ล่ะค่ะ...เชรีชวนเพราะอยากทานข้าวกับพี่กานต์ แต่ถ้าพี่กานต์ทานแล้วเดี๋ยวเชรีไปหาขนมที่ห้องก็ได้ค่ะ ไม่หิวเท่าไร"
"อ้าว...พี่นั่งเป็นเพื่อนได้จริง ๆ นะ"
หญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ "ขอบคุณค่ะ แต่ไว้คราวหลังดีกว่า ถือว่าพี่กานต์ติดเชรีหนึ่งมื้อก็แล้วกันนะคะ"
เธอกำลังจะเดินกลับโรงพยาบาล แต่ก็เปลี่ยนใจหมุนตัวไปอีกด้าน "นึกออกแล้ว เชรีอยากกินนมสด"
เธอพาการันต์เดินไปตามถนนหน้าโรงพยาบาล อดไม่ได้ที่จะถามเบา ๆ "ทำไมถึงออกมากับเชรีล่ะคะ ทำไมไม่บอกว่าทานข้าวแล้ว"
เขานิ่งไปครู่ เหลือบมองเธอก่อนตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ "ไม่รู้สิ แต่พี่ปฏิเสธเชรีไม่ลง"
หญิงสาวกลอกตาอย่างอ่อนใจ ผู้ชายใจดีมักทำให้ผู้หญิงเข้าใจผิดได้ง่าย แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงใจดีที่จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นานนัก เสียงหวานจึงหลุดคำถามที่เธอรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"พี่กานต์ชอบเชรีเหรอคะ"
ชายหนุ่มนิ่งงันไป เผลอหยุดเท้าที่เดินไปข้าง ๆ เธอจนหญิงสาวต้องหยุดตาม
แล้วเขาก็ตอบ "เปล่าค่ะ...คนที่พี่แอบชอบไม่ใช่เชรี"
ชนิศาหลับตาซึมซับความรู้สึกเหมือนมีมีดมาขูดเบา ๆ ในหัวใจ เธอคิดว่าเตรียมใจไว้แล้ว และความรู้สึกที่มีก็ไม่ได้ลึกซึ้งจนต้องเจ็บปวด แต่เมื่อได้ยินจริง ๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บมากกว่าที่คิดไว้
"พี่กานต์ชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอคะ"
"หมายถึงยังไง...หน้าตาหรือหน้าใจ" เขามองเธอแล้วยิ้ม "พี่ชอบมองตา ชอบคนที่ตาสวย ส่วนใหญ่จะชอบตาโต ๆ ถ้าหน้าใจ พี่ชอบคนอารมณ์ดี ยิ้มเก่ง ใจดีมีน้ำใจ ห้าวก็ได้เรียบร้อยก็ได้"
ชนิศาอมยิ้ม วูบหนึ่งที่ภาพของมีนาผุดขึ้นมาในหัว เพื่อนสาวมีครบทุกคุณสมบัติที่เขากล่าวถึง เสียงหวานจึงเผลอหลุดคำ
"เป็นมีนาเหรอคะ"
"หือ...มีตัวละครลับออกมาตั้งแต่เมื่อไรคะ" เขาหัวเราะทีเล่นทีจริง
"ก็...พี่กานต์ต้องดูแลมีนาดี ๆ นะคะ" เพื่อนสาวเป็นที่รักของใครหลายคน เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และน่าปกป้อง
ชนิศาหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างสังเกต ตัดสินใจทิ้งช่วงเวลาให้เขาเก็บความรู้สึกกับชื่อของมีนา โชคดีที่ทั้งคู่เดินมาถึงรถเข็นที่ขายนมสดร้านโปรดของเธอพอดี
"ชาเย็นหนึ่ง โอวัลตินเย็นหนึ่งค่ะ" เธอบอกกับคนขายอย่างคุ้นเคย ก่อนหันมามองชายหนุ่ม
"พี่ว่า...หนูได้ข่าวอะไรมาผิดไปแล้วล่ะ"
"ผิดตรงไหนคะ..." เธอเอียงคอมองเขานิ่ง "พี่กานต์เป็นประธานชั้นปีก็ต้องดูแลเพื่อนให้ดี ๆ เชรีพูดอะไรผิดไปเหรอคะ...หรือว่าพี่กานต์...ชอบมีนาคะ ถึงแปลคำพูดของเชรีไปไกลกว่าความหมาย"
เธอกระพริบตามองหน้าซื่อตาใส ขณะที่ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเบา ๆ
"ร้ายนักนะเชรี" เขาอดถอนใจไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ช่างบลัฟฟ์คนได้หน้าตาเฉย
เธอยักคิ้วขึ้นเบา ๆ กึ่งท้า "ว่าไงคะ..."
"เชรีฟังข่าวมั่วมากไปแล้ว" เขาไม่เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธ ยิ่งทำให้ชนิศาเข้าใจคำตอบได้ไม่ยาก
เธอจะปล่อยผ่านไปก็ได้ แต่ชนิศาไม่ใช่เด็กดีแบบนั้น หญิงสาวอมยิ้มอย่างร้ายกาจ รับแก้วจากคนขายมายื่นจรงหน้าเขา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"โอวัลตินหรือชาเย็นดีคะ"
"หือ...ของพี่เหรอ"
"ค่ะ...."
"อะไรก็ได้ค่ะ"
"เลือกเถอะค่ะ เชรีเลือกของที่เชรีกินได้ทั้งคู่อยู่แล้ว"
เขานิ่งไปครู่ "โอวัลตินแล้วกัน"
เธอส่งแก้วโอวัลตินให้ชายหนุ่ม ก่อนเดินไปข้างเขาเงียบ ๆ จนใกล้ถึงประตูโรงพยาบาล เสียงหวานก็เอ่ยถึงเรื่องที่การันต์เกือบลืมไปแล้ว
"พี่กานต์รู้ไหมคะ...การไม่ตอบคือคำตอบอย่างหนึ่ง" หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบ ดูดชาเย็นในแก้วด้วยท่าทางสบายใจจนน่าหมันไส้
"จริง ๆ แล้ว เชรีเป็นน้องสาวที่น่ารักมากเลยรู้ไหมคะ...ถ้าเฮีย ๆ จะดูแลเชรีให้ดี เชรีก็จะเป็นเด็กน่ารักที่รับฟัง ก่อกวน และปั่นหัวเฮียไปเรื่อย ๆ แค่เพียงเฮียจะเดินเข้ามา บอก ๆ ๆ ๆ แล้วก็ฟังเชรีสวด" เธอเอ่ยเสียงหวาน "อยู่ที่ว่า...พี่กานต์จะเป็นเฮียของเชรีได้หรือเปล่า"
ชายหนุ่มนิ่งงันไปอย่างตั้งตัวไม่ติด เขากระพริบตาปริบ ๆ มองสาวน้อยที่แปลงร่างเป็นนางมารร้ายอย่างงุนงง
"พี่กานต์ไม่ได้ชอบเชรี แต่เชรีชอบพี่กานต์ไงคะ...เชรีอยากให้พี่กานต์อยู่ข้าง ๆ เป็นเฮียที่เชรีอ้อนได้เรื่อย ๆ" เธอบอกหน้าตาเฉย
"แต่กฎของเฮียคือ ถ้าเชรีอยากรู้เรื่องของเฮีย เชรีจะทั้งจิก กัด คาดคั้น บลัฟฟ์ และอาจเลยเถิดไปถึงกินหัวจนกว่าเชรีจะได้คำตอบ"
เธอกัดริมฝีปากคิดเพียงครู่ หยุดยืนมองหน้าเขาด้วยดวงตาคมดุที่ไร้แววหวาน "ตอนนี้เชรีอยากรู้...พี่กานต์ชอบมีนาใช่ไหมคะ"
การันต์นิ่งงันอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ขณะที่ชนิศาลอบถอนใจเบา ๆ ในใจ การที่เธอเผยภาคนางมารร้ายต่อหน้าเขาคือสัญญาณสำหรับตัวเธอเองว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอยอมรับ คือคนที่เธออยากเดินข้าง ๆ โดยไม่มีเงื่อนไข
แต่ที่เธอไม่รู้คือ...เขายินดีจะให้เธออยู่ข้าง ๆ หัวใจหรือไม่
คำถามนี้คือการทดสอบ
"เชรีแม่ง...ร้ายกาจ" เขาถอนใจเบา ๆ แล้วยิ้มให้เธอ "ดี...เป็นน้องสาวที่แสบดี พี่ไม่ได้ทะเลาะกับน้องมานานมากแล้ว"
"เชรีไม่มีพี่ชาย เลยต้องจีบบรรดาเฮีย ๆ มาดูแลเชรีนี่ไงคะ" เธอบอกหน้าตาเฉย เดินไปเอนตัวพิงราวระเบียงทางเดิน ก่อนอมยิ้มบาง ๆ
"คิดจะเนียน...ปล่อยให้คำถามลอบไปกับสายลมเหรอคะ เชรีไม่ใช่ลูกแมวนะ"
การันต์ถอนใจเบา ๆ "เฮ้อ...นี่พี่เชื่อใจแกไปแล้วนะ"
"โอ๊ะ...มีขึ้นแกด้วย นี่หมายถึงเชรีจริง ๆ เหรอคะ"
"อือ...แกนั่นล่ะเชรี" เพราะอะไรไม่รู้ สรรพนามที่เปลี่ยนไปของเขากลับทำให้ชนิศาหัวเราะได้สดใสกว่าเดิม เธอจะถือว่านี่คือหนึ่งในสัญญาณของการยอมรับก็แล้วกัน
"ขอคำถามใหม่"
"พี่กานต์ชอบมีนาใช่ไหมคะ" เธอเอ่ยอีกครั้ง
ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ "ใช่ค่ะ...เชรีได้ยินมาจากไหน"
"ก็มีคนเดากันเยอะเหมือนกันนะคะ พี่นิลยังเดาว่าเป็นมีนาเลย" เธอหัวเราะเบา ๆ "ครบไคทีเรีย...ตาสวย น่ารัก หวานก็ได้ห้าวก็ได้ สไตล์นางเอกเกาหลี"
ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ มองท่าทางของหญิงสาวที่ผุดรอยยิ้มราวนางมารร้ายอย่างไม่ไว้ใจ
ชนิศาหัวเราะคิก "เชรีควรช่วยหรือสร้างความร้าวฉานดีนะ"
"เชรีไม่ต้องทำอะไร พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้อยู่แล้วค่ะ"
"ทำไมล่ะคะ" หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ การันต์ไม่น่าใช่ผู้ชายที่จะยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ได้พยายาม
"จำที่หนูเคยส่งเรื่องกำแพงให้พี่ได้ไหม" เธอเคยส่งบทความที่เขียนถึงกำแพงหัวใจที่ปิดกั้นไม่ให้ใครเดินเข้าไปให้เขาอ่าน
"รู้ไหม...กำแพงมันไม่มีจริงหรอก เราแค่มโนว่าที่เราเข้าไปไม่ถึงเพราะมีกำแพงกั้น" เขาถอนใจเบา ๆ เงยหน้ามองฟ้าที่มืดสนิทด้วยรอยยิ้มกึ่งหยันกับโลก "การที่เราเข้าไปไม่ถึง จริง ๆ เพราะเราไม่ได้คู่กันไง ต่อให้ไม่มีกำแพงความเป็นเพื่อนก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี"
"เชรีสอนพี่เองไม่ใช่เหรอ...เราไม่ควรหวังอะไรกับคนที่ไม่ได้สนใจเรา" เขาหันมามองเธอนิ่ง
ความเจ็บปวดบางอย่างในดวงตาคู่นั้นดึงดูดขนชนิศาอยากกระโจนเข้าไปกอดเขาไว้ แต่วันนี้เธอทำให้เขาตกใจมามากพอแล้ว
"คนอกหัก 2 คนไม่ควรอยู่ใกล้กันนาน โดยเฉพาะเมื่อพี่กานต์ไม่คิดจะให้หนูกอดปลอบ" หญิงสาวไหวไหล่เบา ๆ "เชรีกลับหอดีกว่า คิดว่าจะไม่เจ็บแต่เชรีว่านี่มันเจ็บกว่าที่คิดอีกนะคะ"
หญิงสาวยันตัวยืนตรงหน้าชายหนุ่ม เอียงคอมองเขานิ่ง เพียงครู่ ก่อนคลี่ยิ้มหวาน "ฝันดีค่ะ...ขอให้เวรนี้ได้นอน"
"แล้วอย่าลืม...ฝันถึงเชรีนะคะ"
เธออมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหมุนตัวจากมา
เมื่อพ้นสายตาชายหนุ่มนั่นล่ะ หยาดน้ำใส ๆ จึงรื้นขึ้นมากลบตา เธอเงยหน้าหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ พลางถอนใจ
"คิดว่าจะไม่เจ็บ...นี่มันเจ็บกว่าที่คิดเสียอีก"
เธอไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีให้การันต์เป็นแบบไหน แต่การเดินข้าง ๆ การมีเขาให้คุยด้วยกลายเป็นความสบายใจอย่างหนึ่งที่เธออยากเก็บเอาไว้ตลอดไป
และชนิศาก็ทำผิดพลาด ด้วยการความความสัมพันธ์ที่ต้องการการผูกมัดจนหัวใจคิดเกินเลย
"มีเฮียเพิ่มอีกคนก็น่าจะดีนะคนสวย..." เธออมยิ้ม บอกตัวเองเบา ๆ แล้วเดินต่อ
----
พี่กานต์ชัดเจนแล้วนะคะ งานนี้เชรีของเราอกหักเต็ม ๆ ค่ะ
เอ้า...หาใครดามหัวใจสาวน้อยกันหน่อยค่ะ
คุณ sunflower : คิดถึงจังค่ะ ไอซ์ก็ว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องซับซ้อน เราเลยพยายามทำให้มันชัดเจนเพื่อจะง่าย หรือยากกว่าเดิมก็ไม่รู้นะคะ
คุณ คิมหันตุ์ : บทนี้ เขียนไปเจ็บเบา ๆ แทนเชรีเลยค่ะ
โปรย The High Priestess
Karunt : ที่จริงพี่ก็นิสัยแบบตีนตุ๊กแกนะ
Karunt : วางใกล้เสาใกล้กำแพงก็เลื้อยๆไป
คำตอบอย่างตามทันกันทำให้หญิงสาวเผลออมยิ้มบาง ๆ นี่เป็นข้อแก้ตัวที่ดีของผู้ชายใจอ่อนที่พร้อมจะหวั่นไหวไปกับใครที่เข้าใกล้
น่าเศร้าที่เขาเพียงหวั่นไหว ไม่เคยคิดพัฒนาให้ไกลไปกว่านี้
หรือเป็นเธอเองที่ไร้ความสามารถ จนปัญญาจะเดินไปข้างหัวใจชายหนุ่ม
Che'rie : ถ้าจะทำแบบนี้ เดี๋ยวพี่กานต์จะได้เป็นกิ๊กคนแรกของหนูนะคะ
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2559, 18:42:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2559, 18:44:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 1161
<< บทที่ 9 The Star | บทที่ 11 High Priestess >> |
คิมหันตุ์ 9 ต.ค. 2559, 01:49:00 น.
เห็นไหมเชรี พอภาพชัดเจนระดับ 3D IMAX มันก็พังยับเยินเลยทีเดียว. มาๆกอดปลอบ 2 ทีจ้ะ โอ๋ๆ แต่ตอนหน้า เฮียกอรอหยอดแปลกๆนะคะ!!!!
เห็นไหมเชรี พอภาพชัดเจนระดับ 3D IMAX มันก็พังยับเยินเลยทีเดียว. มาๆกอดปลอบ 2 ทีจ้ะ โอ๋ๆ แต่ตอนหน้า เฮียกอรอหยอดแปลกๆนะคะ!!!!
goszy 10 ต.ค. 2559, 23:02:40 น.
แล่วคนที่ขังเชรีไว้เมื่อไหร่จิมาาา
แล่วคนที่ขังเชรีไว้เมื่อไหร่จิมาาา
SaranyaW 11 ต.ค. 2559, 19:38:05 น.
ชอบการันต์ขึ้นมาทันทีที่ตอบชัดเจน มีนาจะออกมาให้เรารู้จักมั้ยคะ แต่ถ้าเราเป็นมีนา เราคงไม่ชอบผู้ชายที่ใจดีไปทั่ว
ชอบการันต์ขึ้นมาทันทีที่ตอบชัดเจน มีนาจะออกมาให้เรารู้จักมั้ยคะ แต่ถ้าเราเป็นมีนา เราคงไม่ชอบผู้ชายที่ใจดีไปทั่ว
Zephyr 22 ต.ค. 2559, 10:50:25 น.
เีแล้ว พี่กานต์ชัดเจนซะที
เหลือยัยเชรีละ คิดตะไหลๆหนอดๆไปถึงเมื่อไรนะ
เีแล้ว พี่กานต์ชัดเจนซะที
เหลือยัยเชรีละ คิดตะไหลๆหนอดๆไปถึงเมื่อไรนะ